“น้องหญิง”ซูจิ่งสิงกล่าวอย่างอิจฉา “สนใจเขาให้น้อยลงหน่อย”“ก็ได้” กู้หว่านเยว่กล่าวอย่างจนใจ สามีเป็นคนขี้หึงมาก นางไม่ได้รู้เรื่องนี้เป็นวันแรกแต่กู้หว่านเยว่เป็นคนที่จัดการเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน และจะไม่ปฏิบัติกับอวิ๋นมู่เกินกว่าคำว่ามารยาทแต่นางจะรู้ได้อย่างไร ในวันที่นางได้ช่วยชีวิตเอาไว้ สายตาของอวิ๋นมู่ก็ไม่สามารถมีใครได้อีกชิงเหลียนให้เด็กรับใช้มาพาตัวอวิ๋นมู่กลับห้อง เมื่อเห็นอวิ๋นมู่คลื่นไส้อาเจียน นางก็อดพูดไม่ได้ว่า“คุณชายอวิ๋น ทำไมท่านถึงทำแบบนี้?”นางสังเกตอวิ๋นมู่อยู่นานมากแล้ว เข้าใจความคิดของเขามาตั้งนานแล้ว“ฮ่าฮ่า” อวิ๋นมู่ค่อนข้างเมาเล็กน้อย “ข้าก็อยากหยุดเหมือนกัน แต่ก็หยุดไม่ได้ขอเพียงได้เห็นรอยยิ้มของนาง ข้าก็มีความสุขแล้ว”เสียงของเขาดูแหบพร่าเล็กน้อย “ท่านพ่อถามข้าว่า ทำเช่นนี้คุ้มค่าหรือ?”ขอบตาของชิงเหลียนแดงเรื่อ “ฮูหยินมีคุณธรรมอันสูงส่ง จิตใจอ่อนโยน ก็ย่อมเป็นผู้หญิงที่เป็นที่รักที่สุดในโลกอยู่แล้ว”นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ “ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพูดถึงเรื่องความรู้สึก จะบอกได้อย่างไรว่ามันคุ้มค่าหรือไม่? หากรักแล้วก็คือรัก ถ้าจะมาคิดเล็กคิ
ข้างในมีนางและปรมาจารย์แพทย์อยู่ก็พอแล้ว“ไม่เอา พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านให้ข้าเข้าไปด้วยกันเถอะ” ซูจิ่นเอ๋อร์พูดอย่างเด็ดเดี่ยว “เมื่อก่อนข้าก็เคยช่วยท่าน ครั้งนี้ข้าออกไปไหนไม่ได้ได้โปรดเถอะ”กู้หว่านเยว่สบตากับนาง จากสายตาของนางจะมองเห็นความเด็ดเดี่ยวและความรักที่ลึกซึ้ง พลางถอนหายใจ แล้วโยนชุดป้องกัน หน้ากาก และถุงมือไปให้“ใส่ซะ แล้วตามข้าเข้าไป”“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่สะใภ้ใหญ่”ซูจิ่นเอ๋อร์มีสีหน้าดีใจ รีบสวมชุดป้องกัน พร้อมกับเอ่ยปากรับรอง“พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”“อืม”กู้หว่านเยว่กำลังจะพาซูจิ่นเอ๋อร์เข้าไป แต่จู่ ๆ ซูจิ่งสิงก็พูดขึ้นทันใด “น้องหญิง”“มีอะไรหรือ?” เมื่อครู่กู้หว่านเยว่ขอให้เขารออยู่ข้างนอก“ไม่มีอะไร ระวังตัวด้วย” ซูจิ่งสิงเอื้อมมือไปสวมผ้าคลุมหน้าให้นาง แววตาอ่อนโยนเปี่ยมด้วยความรักจิ่นเอ๋อร์ไม่รู้เรื่องก็พอแล้ว เขาจะเป็นตัวถ่วงอีกไม่ได้“ไม่ต้องเป็นห่วง”กู้หว่านเยว่เผยรอยยิ้มอันสดใส แต่น่าเสียดายที่ผ้าคลุมหน้าบดบังไว้มองไม่เห็น นางพาซูจิ่นเอ๋อร์เข้ามาในเรือนขณะนี้ปรมาจารย์แพทย์ได้เริ่มฝังเข็มให้ฟู่หลานเหิงแล้ว เมื่อเห็นกู้หว่
เขาแยกแยะอยู่นาน นี่ถึงสามารถจำคนได้“จิ่นเอ๋อร์? เหตุใดเจ้าร้องไห้จนกลายเป็นเช่นนี้?”ซูจิ่นเอ๋อร์ร้องไห้สะอึกสะอื้น “ท่านไข้สูงตลอดทั้งคืน เกือบตายไปแล้ว ข้าสามารถไม่ร้องไห้ได้หรือ?”ฟู่หลานเหิงนี่ถึงนึกขึ้นได้ เมื่อวานเขาอ่านหนังสือราชการจบก็นอนสะลึมสะลือบนเตียง ไม่รู้เหตุใดเปลือกตาหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาก็ทำอันใดไม่ได้อีกที่แท้ก็ไข้สูง มิน่าเล่าตอนนี้จึงปวดตัวนัก“เจ้า เจ้าออกไปก่อน ประเดี๋ยวจะติดเอาได้” ฟู่หลานเหิงนึกถึงอาการของตน รีบพูดขึ้นซูจิ่นเอ๋อร์กลับส่ายหน้า สบมองเขาสายตาหนักแน่น “ข้าไม่ออกไป ข้าจะอยู่ดูแลท่านที่นี่ เมื่อวานก็เป็นข้าดูแลท่าน”ฟู่หลานเหิงยังอยากพูดอะไร ก็ได้ยินซูจิ่นเอ๋อร์พูดทั้งน้ำตา “เมื่อวานท่านเพิ่งกลับจากประตูวิญญาณมาได้เที่ยวหนึ่ง ข้าคิดตกหลายเรื่องนักใต้เท้าฟู่ ฟู่หลานเหิง ท่านโปรดตอบข้า ท่านไม่ชอบข้าจริงหรือ?”“ข้า...”ฟู่หลานเหิงอยากพูดว่าไม่ แต่เขากลับรู้ชัดภายในใจ เขาชอบสบมองดวงตาจริงใจคู่นั้นของซูจิ่นเอ๋อร์ ตอนนี้เขาจะหลอกหัวใจของตนได้เยี่ยงไร“จิ่นเอ๋อร์ ข้าแก่กว่าเจ้ามากนัก” ฟู่หลานเหิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง“นั่นแล้วอย่างไร?” ซูจ
“ได้”ถ้อยคำนี้นับว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง ซูจิ่งสิงไม่มีอะไรให้พูดอีกบังเอิญคือซูจิ้งและนางหยางกำลังนั่งรถม้ามาหาพวกเขาที่เมืองอวี้พอดีระยะนี้สองผู้เฒ่าอยู่ที่บ้านไม่มีอะไรทำ ว่างก็ว่างจริงนั่นล่ะ วางแผนทำกิจการเพาะเลี้ยง“พวกเราวางแผนเลี้ยงหมู”“พรวด!”กู้หว่านเยว่เกือบพ่นน้ำชาออกมา เห็นว่าผ่านไปหลายเดือนผิวพรรณขาวขึ้นไม่น้อย แม้ว่าคล้ายฮูหยินสูงศักดิ์ในอดีต นางหยางกลับไม่ใส่ใจรักษาความสูงศักดิ์อีก นางเอ่ยถามออกไป“ท่านแม่ ท่านแน่ใจหรือ? ท่านจะเลี้ยงหมู?!”แม้แต่ซูจิ่งสิงเองก็ตกใจ หลังสงบลงแล้วจึงเอ่ยถาม “เหตุใดพวกท่านอยากเลี้ยงหมูเล่า?”นางหยางพูดว่า “นี่มิใช่ที่ว่าการอำเภอพูดว่ากิจการเพาะเลี้ยงได้รับการสนับสนุนหรอกหรือ ข้าและพ่อเจ้าอยู่ที่บ้านว่างงานไม่มีอะไรทำ มิสู้ไปลองดูสักหน่อย”เอ่ยถึงกิจการเพาะเลี้ยงนี้ ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ากู้หว่านเยว่เพราะนางเป็นคนให้ที่ว่าการอำเภอประกาศสนับสนุนกิจการเพาะเลี้ยงนี้ ยังตีพิมพ์ตำราสอนการเพาะเลี้ยงอีกไม่น้อย วางไว้ที่ที่ว่าการอำเภอเพื่อมอบให้คนนำไปศึกษาเป้าหมายสำคัญก็เพื่อความร่ำรวย ทำให้เกษตรกรรมและการเลี้ยงสัตว์ของเจดีย์หนิงกู่ พ
“หา?” นางหยางเกือบผุดลุกจากเก้าอี้ ข่าวนี้กะทันหันเกินไป“เจ้าเด็กคนนี้ นี่เรื่องเมื่อใดกัน เหตุใดกะทันหันเพียงนี้...”นางหยางยังจำครั้งก่อนฟู่หลานเหิงปฏิเสธลูกสาวของตนได้ สรุปคือทำให้นางเสียใจไปหลายวัน สำหรับคนรุ่นหลังอย่างฟู่หลานเหิง นางชมชอบอย่างมากแต่เป็นลูกเขย นางต้องดูให้ดีฟู่หลานเหิงทำให้จิ่นเอ๋อร์เสียใจไม่รู้มากน้อยกี่ครั้งแล้ว?“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าค่อยๆ พูดกับท่าน”กู้หว่านเยว่เห็นนางหยางใกล้หลุดคำปฏิเสธออกมาเต็มที รีบห้ามคนไว้ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้ให้นางฟังหนึ่งรอบทีแรกนางหยางยังมีโทสะ ได้ยินว่าฟู่หลานเหิงถึงขั้นเป็นกาฬโรคเพื่อซูจิ่นเอ๋อร์ ความโมโหจึงหายไปครึ่งใหญ่จนกระทั่งได้ยินว่าซูจิ่นเอ๋อร์เกือบร้องไห้จนหมดสติเพราะฟู่หลานเหิง หัวคิ้วขมวดชนกันแน่นจิ่นเอ๋อร์ เป็นก้อนเนื้อที่หลุดออกจากร่างกายนางนางรู้อุปนิสัยดีที่สุดที่ผ่านมาเอาแต่ใจ ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ หลังถูกเนรเทศก็ดื้อรั้นมากยิ่งขึ้นไม่น้อยคนที่เด็กคนนี้เลือก ไม่มีวันเปลี่ยนอย่างง่ายดายนางหยางไม่ต่อต้านแล้ว หันมองซูจิ้งซูจิ้งกลับเป็นคนยอมรับได้อย่างว่องไวคนหนึ่ง หยิบกระดา
พริบตาต่อมาก็ถึงวันที่สิบห้าเดือนสามแล้ววันนี้ถูกกำหนดไว้ชั่วคราว แม้ว่าเร่งรีบไปบ้าง แต่ขั้นตอนที่พึงมีก็จะขาดไปไม่ได้สามหนังสือหกพิธี ฟู่หลานเหิงเตรียมการครบถ้วนสมบูรณ์ บิดามารดาสกุลฟู่เองก็ใจกว้าง ทั้งหมดล้วนทำตามความนัยของลูกชายวันแต่งงาน ซูจิ่นเอ๋อร์สวมชุดเจ้าสาวสีแดงตั้งแต่เช้า นั่งหน้าคันฉ่อง ราวกับกำลังฝันไปกู้หว่านเยว่กุมมือเล็กของนางไว้ ใส่กำไลทองหนักๆ หนึ่งวง เปล่งเสียงนุ่มนวล“ข้าและพี่ใหญ่เจ้าเตรียมคฤหาสน์ไว้ให้เจ้าที่เมืองอวี้และเมืองตะวันไม่ตกดินแห่งละหนึ่งหลัง โฉนดใส่ไว้ในสินเดิมของเจ้าแล้ว เส้นทางในภายภาคหน้า เจ้าต้องเดินด้วยตนเอง”“พี่สะใภ้ใหญ่” ซูจิ่นเอ๋อร์สะอื้นเบาๆ ใบหน้าเล็กถูกทาชาดไว้เผยความอ่อนเยาว์อย่างชัดเจน“เพิ่งสิบสี่ปี อิงตามหลักการแล้ว ยังต้องรออีกสองปี เพียงแต่ข้ารู้เจ้ากังวลร่างกายของใต้เท้าฟู่ ต้องการไปดูแลเขาโดยเร็ว พี่สะใภ้ใหญ่ก็ทำให้เจ้าสมปรารถนาแล้ว”กู้หว่านเยว่ช่วยซูจิ่นเอ๋อร์ปัดผมบนหน้าผาก ซูจิ่นเอ๋อร์ซาบซึ้งอย่างสุดจิตสุดใจ โผเข้าหาอ้อมกอดนางทั้งน้ำตา“ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ที่ทำให้สมปรารถนา จิ่นเอ๋อร์มีวันนี้ได้ ล้วนได้รับการสั่งสอนจา
“เกิดอันใดขึ้น?”ซูจิ่งสิงส่งซูจิ่นเอ๋อร์ขึ้นเกี้ยว กวาดมองบรรยากาศเจือกลิ่นอายมีความสุข เป่าปี่ตีกลองเสียงดังมาก ทั้งสองเดินมาที่ฝั่งหนึ่งกู้หว่านเยว่กระซิบข้างโสตเขา “หร่านถิงส่งรายงานลับมา คืนนี้เถาเอ๋อร์ต้องการสั่งให้คนเผายุ้งฉางทุกแห่งเจ้าค่ะ”นางโมโหคันเขี้ยวแผนโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนักเพื่อดูแลผู้ลี้ภัย กู้หว่านเยว่สร้างยุ้งฉางไว้ทุกอำเภอภายในยุ้งฉางล้วนเป็นนางใช้มิติย้ายเข้าไปทุกยุ้งฉาง อย่างน้อยใส่เสบียงอาหารนับตันหากถูกเผาจริง เช่นนั้นนางก็เจ็บเนื้อแล้วยิ่งไปกว่านั้นเถาเอ๋อร์ไม่เสียดายเสบียงอาหารเลยแม้แต่น้อย ไม่ใส่ใจความเป็นตายของราษฎร์“ผู้ลี้ภัยของเจดีย์หนิงกู่มีหลายหมื่นคน เสบียงอาหารถูกเผา ผู้ลี้ภัยไม่มีเสบียงอาหาร เจดีย์หนิงกู่ต้องชุลมุนวุ่นวายเป็นแน่”ซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว จิตสังหารวูบไหวภายในก้นบึ้งของสายตาเถาเอ๋อร์คนนี้ อำมหิต!“นางมิใช่ต้องการเผายุ้งฉางหรือ เช่นนั้นก็ให้นางได้รับผลกรรมเองเถอะ”กู้หว่านเยว่แสยะยิ้มชั่วร้ายใช้แนวทางของฝ่ายตรงข้ามตอบโต้กลับไป นางเชี่ยวชาญที่สุดแล้ว“ความนัยของเจ้าคือ...”ซูจิ่งสิงชะงัก ก็เห็นกู้หว่านเยว่เขย่งเท้า ก
ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เดินเข้ามา เอ่ยถามสถานการณ์ ชิวจู๋รีบตอบ“ล้วนเป็นความผิดของบ่าว น้ำร้อนเดือดนี้ บ่าวไม่ถือให้ดี ราดใส่ตัวคุณชายรองแล้ว”ซูจื่อชิงกัดฟันอธิบาย “ไม่โทษนาง เป็นข้าเดินไม่ดูทาง เข้าไปชนนาง”ชิวจู๋ตกตะลึง มองซูจื่อชิงสายตาซาบซึ้ง“ไปที่เรือนส่วนในถอดเสื้อผ้าออก ใช้น้ำเย็นอาบ”กู้หว่านเยว่เอ่ยกำชับ น้ำร้อนนี้อุณหภูมิสูงมาก เพียงไม่ทันระวังก็ทิ้งแผลเป็นได้“ขอรับ”ครู่ต่อมาซูจื่อชิงมองทางเมี่ยชิงหว่าน เห็นว่าสายตาอีกฝ่ายหันมองทางอื่น มิมองเขา อารมณ์หม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด“พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไปเรือนส่วนในก่อนแล้ว”ซูจื่อชิงวิ่งไปยังเรือนส่วนในอย่างว่องไวปานเหินบิน“เจ้าเองก็เบิกยาทาแผลถูกลวกที่คลังมาเล็กน้อย เป็นเด็กผู้หญิงอย่าได้ทิ้งแผลเป็นไว้บนตัว”กู้หว่านเยว่สบมองชิวจู๋สายตาอ่อนโยน สาวใช้คนนี้ไม่คุ้นหน้าอยู่บ้าง อาจเป็นหลี่เฉินอันส่งมาช่วยเหลือกระมัง“ขอบคณฮูหยิน” ชิวจู๋หางตาแดงเรื่อ รีบขอบคุณและออกไป“จื่อชิงถูกลวกรุนแรงนัก ข้าไปดูหน่อย” กู้หว่านเยว่หันหน้าไปเอ่ยกับซูจิ่งสิง“ได้ ให้ชิงเหลียนประคองเจ้าไป”วันนี้มีคนมาก ซูจิ่งสิงเองก็ไม่อยากให
ข้าเป็นคนไร้ชื่อเสียงย่อมไม่กลัว แต่ต่อไปจวนแม่ทัพของพวกเจ้ายังจะมีหน้าอยู่ในซุ่ยโจวอีกหรือ”ระหว่างที่พูด แม่นางตั่วเดินไปใต้ต้นไม้อีกครั้ง แล้วกอดเฉิงซินที่ถูกมัดแขวนไว้“คุณชายน้อย ท่านหลอกบ่าวให้หลงเชื่อสนิทใจ ท่านบอกว่าจะพาบ่าวไปอยู่อย่างสุขสบาย บ่าวจึงได้ทิ้งผัวที่บ้านตามท่านมา แต่สุดท้าย ทุกคนในบ้านท่านกลับรังแกบ่าว ฮือฮือฮือ...”อย่าเห็นว่าแม่นางตั่วแต่งงานแล้ว กลับหน้าตาเย้ายวน ทั่วทั้งตัวมีจริตจะก้านแผ่ซ่านออกมาสวมกระโปรงเกาะอกรัดเอวตัวยาว ภายนอกมีเสื้อคลุมสีชมพูสวมทับ หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลง ทำให้เฉิงซินมองดูจนไม่อาจละสายตา“เฉิงเหลียน เจ้า เจ้าตะโกนโหวกเหวกใส่คนของข้า หากจะวางอำนาจก็กลับไปที่ค่ายทหารของเจ้า อย่ามาวางอำนาจให้ข้าดู”เฉินซินเห็นแม่นางตั่วถูกรังแกไม่ได้ จึงรีบตะโกนใส่เฉิงเหลียน“เจ้านี่มันกู่ไม่กลับแล้วจริงๆ ท่านแม่หมดสติเพราะโกรธเจ้าเรื่องหญิงคนนี้ แต่เจ้ากลับปกป้องนางหรือ”ทำไมถึงได้มีคนที่โง่ขนาดนี้?เฉิงเหลียนกำหมัดแน่นช่างเป็นลูกชายที่แน่จริง ทำให้พ่อแม่ลำเอียงรักแต่เขา“ก็เพราะท่านแม่โกรธข้าจนหมดสตินะสิ หากข้าไล่ให้นางไป ท่านแม่ไม่หมดสติเส
เมื่อหมอหลายคนได้ยินว่ากู้หว่านเยว่มาตรวจอาการของเฉิงฮูหยิน ทำให้โล่งอกทันทีรีบแจ้งข้อสรุปในการตรวจอาการให้กู้หว่านเยว่ส่วนข้อสรุปนั้นก็คือ...เอ่อ ไม่มีข้อสรุปกู้หว่านเยว่เองก็เป็นหมอเมื่อเห็นท่าทางเหงื่อแตกพลั่กของทุกคน นางก็เข้าใจทันทีพวกเขาไม่มีวิธีแต่ก็กลัวเฉิงทั่วลงโทษดูท่าอาการของเฉิงฮูหยินค่อนข้างอันตรายกู้หว่านเยว่มาถึงข้างเตียง แล้วเริ่มตรวจชีพจรให้เฉิงฮูหยิน ดูจากการเต้นของชีพจร นางวินิจฉัยว่าอาการหมดสติของเฉิงฮูหยินมีสาเหตุมาจากหัวใจแต่ความจริงจะใช่หรือไม่ คงต้องตรวจให้ลึกลงไปอีกขั้นกู้หว่านเยว่ลุกขึ้นแล้วให้เฉิงทั่วกับหมอหลายคนออกไป ส่วนนางอยู่ในห้องแล้วพาเฉิงฮูหยินเข้าไปตรวจในมิติหลังจากตรวจดู กู้หว่านเยว่แน่ใจว่าเฉิงฮูหยินมีปัญหาหัวใจแต่กำเนิดโชคดี ที่เรื่องนี้ยังไม่ถือว่าร้ายแรงมากนักหมอหลายคนสลับกันรักษา แม้จะไม่ทำให้เฉิงฮูหยินฟื้นขึ้นมา แต่อย่างไรก็ทำให้อาการของนางทรงตัวกู้หว่านเยว่พาเฉิงฮูหยินออกมาจากมิติ แล้วให้ซูจิ่งสิงปล่อยพวกเขาเข้ามา“พระชายา ฮูหยินของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”“แม่ข้าจะฟื้นขึ้นมาอีกหรือไม่?”เฉิงทั่วกับเฉิงเหลียนเข้ามาถึ
ไฟแห่งความอยากรู้อยากเห็นในใจของผู้ชมอย่างนาง ลุกโชนโชติช่วงตกลงเจ้าเฉิงซินพาสตรีแบบใดกลับมา ถึงได้ทำให้เฉิงฮูหยินโกรธจนหมดสติไป อีกทั้งแม่ทัพเฉิงยังด่าทอต่อว่าได้น่าเกลียดเช่นนี้หลังจากหันมองดูภายในเรือนหนึ่งรอบ เหมือนจะไม่เห็นสตรีผู้นั้น“ท่านพี่ พวกเขาเอาสตรีนางนั้นไปไว้ที่ใดหรือ?”กู้หว่านเยว่แอบกระซิบข้างหูซูจิ่งสิง อีกฝ่ายส่ายหน้าอย่างระอาเรื่องอย่างนี้ เขาจะสนใจได้อย่างไร?“ไปเถอะ เข้าไปดูข้างในก่อน”ช่วยคนสำคัญกว่า กู้หว่านเยว่ตามเฉิงทั่วเข้าไปในห้องขณะนี้ภายในห้องมีหมออีกสามคนกำลังรักษา หมอคนหนึ่งตรวจชีพจรให้เฉิงฮูหยินอยู่ข้างเตียง ส่วนหมออีกสองคนยืนสีหน้าร้อนใจอยู่ด้านหลัง“เป็นอย่างไร?”หมอคนหนึ่งแอบกระซิบถามหมอที่ตรวจชีพจรส่ายหน้าเบาๆ“นี่จะทำเช่นไรดี หากรักษาเฉิงฮูหยินไม่ได้ ด้วยนิสัยของท่านแม่ทัพ คงได้กุดหัวพวกเราจนหลุดแน่”หนึ่งในหมอเอ่ยถามด้วยสีหน้าร้อนรน ทุกคนรู้ถึงความสำคัญของเฉิงฮูหยินสำหรับเฉิงทั่ว“พวกเจ้าถามข้า ข้าเองก็ไม่รู้”“หมอโจว ที่นี่ทักษะวิชาแพทย์ของท่านสูงกว่าใคร ประสบการณ์โชกโชน ท่านลองดูสิว่าอาการของฮูหยินควรทำอย่างไร?”หมอสองคนมองด
เฉิงทั่วเป็นคนที่เย่อหยิ่งมากพอเจอหน้ากันก็ทำความเคารพอย่างเป็นทางการ พอเห็นได้ว่าเรื่องร้ายแรงเพียงใดกู้หว่านเยว่นึกถึงรองแม่ทัพที่เข้ามาอย่างเร่งรีบ แล้วเชิญเฉิงทั่วออกไปหรือว่าผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว เฉิงฮูหยินยังไม่ฟื้นอีก?“เจ้าลุกขึ้นมาก่อน”“ข้าน้อยไม่ลุก นอกจากพระชายาจะรับปาก”เฉิงทั่วทำหน้าดื้อดึง เมื่อมองให้ละเอียดขอบตาของเขาแดง“เอาละ เจ้านำทางไปเถอะ แล้วบอกมาด้วยว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่”กู้หว่านเยว่ไม่มีทางเลือก ดูท่าคงกลับไปนอนต่อไม่ได้แล้วเฉิงทั่วถึงได้เช็ดน้ำตา แล้วลุกขึ้นจากพื้น อย่าว่าไป ท่าทางเช่นนั้นน่าสงสารเหลือเกินตาเฒ่าผู้นี้คงเป็นห่วงภรรยาของเขาจริงๆ“เมื่อคืนตั้งแต่ฮูหยินหมดสติไป ก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย นอนอยู่บนเตียงไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่ว่าหมอจะใช้วิธีใด ก็ไม่ได้ผลทั้งสิ้น”เฉิงทั่วพูดไปด้วย ขอบตาพลันแดงไปด้วยเขากับเฉิงฮูหยินแต่งงานกันตั้งแต่หนุ่มสาว ประคับประคองกันมาตลอดในอดีตยามออกศึกที่ชายแดน เฉิงฮูหยินติดตามเขาไปด้วย ต่อมาย้ายมารักษาการที่ซุ่ยโจว เฉิงฮูหยินก็ตามมาอีกคลอดบุตธิดาให้เขาสองคน ทั้งสองคนรักใคร่กันมากถ้าเฉิงฮูหยินเกิดเรื่องอะไ
คาดว่าน่าจะเป็นศัตรูของสกุลอวิ๋น เห็นอวิ๋นมู่พ่อลูกไม่กลับมานานจึงสบจังหวะหาช่องว่าง เล่นงานสกุลอวิ๋นในเมื่อเป็นเช่นนี้ อวิ๋นมู่ไม่กลับไปคงไม่ได้แล้วซูจิ่งสิงได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ข้าส่งคนไปคุ้มกันเจ้า”ตอนนี้สกุลอวิ๋นกับพวกเขาเจดีย์หนิงกู่ถือว่าร่วมงานกัน แม้เรื่องนี้จะเป็นความลับ แต่ยากจะรับประกันว่าไม่แพร่งพรายออกไปเกิดคนในราชสำนักรู้เข้า ความปลอดภัยของอวิ๋นมู่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง“ขอบคุณท่านอ๋อง”อวิ๋นมู่มองซูจิ่งสิงอย่างแปลกใจ ทำให้อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเรียบ“อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้เป็นห่วงเจ้า”เพราะกู้หว่านเยว่ บรรยากาศระหว่างทั้งสองมักจะแปลกประหลาด ตั้งแต่พบกันครั้งแรกก็ไม่ถูกกันแล้วอวิ๋นมู่ยิ้มเจื่อน “ท่านอ๋องวางใจได้ ข้าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองแต่ว่า ความหวังดีของท่านอ๋องข้าน้อยขอน้อมรับ และตื้นตันเหลือเกิน”การเดินทางไปเมืองหลวงในครั้งนี้มีอันตราย เขาจึงไม่ปฏิเสธ“เจ้าจะออกเดินทางเมื่อใด?”กู้หว่านเยว่รีบสอบถาม“คืนนี้มากล่าวลาท่านอ๋องและพระชายา พรุ่งนี้เมื่อฟ้าสางจะออกเดินทางทันที”“เวลาเร่งรีบขนาดนี้เชียว”กู้หว่านเยว่รีบถาม“พรุ่งนี้ท่านอย่าเพิ่งรีบไป
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน รองแม่ทัพวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน แล้วหันมองเฉิงทั่วแวบหนึ่ง“ท่านแม่ทัพ แย่แล้ว ฮูหยินหมดสติไปแล้วขอรับ”เฉิงทั่วหน้าถอดสี “อะไรนะ?”เขารีบลุกขึ้นยืนขึ้น ไม่มีเวลาสนใจกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่ยังอยู่ตรงนี้ แล้วรีบสอบถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”“คุณชายน้อยกลับมาแล้ว ไม่เพียงกลับมา ยังพาอีกคน...”รองแม่ทัพกระดากปากที่จะเอ่ย จึงได้แต่ส่งสายตาให้อีกฝ่าย“ท่านแม่ทัพ ท่านกลับไปดูเองเถอะขอรับ”เฉิงทั่วไม่มีแก่ใจจะกินอาหาร จึงลุกขึ้นขอตัว “ท่านอ๋อง พระชายา โปรดให้ข้าไปดูฮูหยินสักครู่ได้หรือไม่”“ไปเถอะ”ซูจิ่งสิงโบกมือ“ขอบคุณท่านอ๋อง” เฉิงทั่วรีบวิ่งออกไปทันทีหนานหยางอ๋องมองแผ่นหลังที่ร้อนใจของเขา แล้วรู้สึกเศร้าเล็กน้อยหากพระชายาของเขายังอยู่คงดีไม่น้อย เขากับเหล่าเฉิงแข่งกันมาค่อนชีวิต มีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว ที่เขาแพ้มาตลอด“เกิดอะไรขึ้น?” กู้หว่านเยว่กระซิบถามชิงเหลียนชิงเหลียนเอ่ยเสียงต่ำ “คุณชายใหญ่สกุลเฉิงพาสตรีคนหนึ่งกลับมาด้วย เหมือนจะเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว”เจ้าหมอนี่กู้หว่านเยว่เกือบสำลักข้าวมิน่าเฉิงฮูหยินถึงได้เป็นลม เจ้าเฉิงซินเม
มิน่าท่านอ๋องถึงยอมสวามิภักดิ์ต่อพวกเขา ทั้งสองคนไม่ธรรมดาจริงๆ มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา“พวกเราเองก็มาถึงเมืองซุ่ยโจว และได้พบท่านอ๋องกับพระชายาแล้ว เดี๋ยวส่งจดหมายไปแจ้งท่านอ๋องหน่อยเถอะ ท่านจะได้วางใจ”จู้หวยกล่าวเตือนอย่างใส่ใจครั้งนี้ก่อนออกเดินทาง ท่านอ๋องกำชับเขาแล้วว่า ต้องดูแลเนี่ยชิงหลานให้ดีในเมื่อเนี่ยชิงหลานเป็นคู่หมั้นของเขา เขาย่อมดูแลเอาใจใส่มาก“รู้แล้ว รู้แล้ว เจ้าอย่าเอาแต่บ่นข้า อีกเดี๋ยวตอนเขียนจดหมายข้าจะเป็นคนพูดส่วนเจ้าเป็นคนเขียน ขี่ม้ามาทั้งวัน เมื่อยมือจะแย่แล้ว”จู้หวยยิ้มพร้อมพยักหน้า“เรื่องนี้ไม่ยาก ขอเพียงเจ้าไม่รังเกียจที่ตัวหนังสือข้าน่าเกลียดก็พอ”เนี่ยชิงหลานขบขันเขาจนหัวเราะเสียงดังทันที“ตัวหนังสือของเจ้าน่าเกลียดมาก แต่ไม่เป็นไร วรยุทธ์ของเจ้าสูงส่ง พวกเจ้าที่เป็นทหารแม้จะไม่ใช่คนเถื่อน แต่ต้องรู้จักเขียนอ่านไว้บ้าง ถึงจะรู้เขารู้เรารบอย่างไรก็ไม่แพ้ ทว่าเรื่องการเขียนหนังสือไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันมากนัก แค่ดูได้ก็พอ”นางพูดอย่างจริงจัง จนจู้หวยเองก็หัวเราะตามนางไปด้วย ในแววตามีแต่ความเอ็นดู“ท่านหญิงพูดถูก”แม้ทั้งสองค
หลังหนังสือยอมจำนนออกมาแล้ว เนี่ยชิงหลานก็นำกองทัพเหอตง มาเสริมทัพกู้หว่านเยว่“เขตเหอตงของข้าไม่มีสิ่งใดเลย มีเพียงถ่านหินและเงินทองมากมาย พี่ใหญ่จึงนำไปแลกเสบียงหนึ่งชุด ส่งข้ามาช่วยเหลือพวกท่าน”กู้หว่านเยว่ไม่ได้พบเนี่ยชิงหลานมาสักพักใหญ่ๆ แล้วตอนนี้เมื่อทั้งสองได้พบกัน นางดีใจมาก“เจ้าตัวสูงขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ลูบหัวเนี่ยชิงหลาน ทำให้อีกฝ่ายยิ้มอย่างเขินอาย“ไม่เพียงตัวสูงขึ้น ข้ายังหมั้นหมายแล้วด้วย”นี่เป็นข่าวที่อยู่เหนือความคาดหมายเมื่อเห็นพวกเขาหลายคนเดินทางเหน็ดเหนื่อย กู้หว่านเยว่รีบเชิญพวกเขาเข้าจวน เมื่อถึงห้องรับแขกจึงจับมือเนี่ยชิงหลานไว้ แล้วสอบถามอย่างละเอียด“เหตุใดจึงรวดเร็วเช่นนี้ เจ้าหมั้นกับผู้ใดหรือ?”“หมั้นกับแม่ทัพในค่ายของท่านพี่ นามว่าจู้หวย”ไม่ใช่เฉิงเซวียนหรอกหรือ ข่าวนี้ทำให้พวกกู้หว่านเยว่ยิ่งแปลกใจแต่เมื่อนึกดูอย่างละเอียด เฉิงเซวียนกับเนี่ยชิงหลานใช่ว่าจะเหมาะสมกันแม้ทั้งสองจะสนิทสนมกันตั้งแต่เด็ก ทว่าทัศนคติไม่ตรงกันบวกกับก่อนหน้านี้เพราะหญิงอื่น เฉิงเซวียนเข้าใจเนี่ยชิงหลานผิดหลายครั้งเนี่ยชิงหลานรู้ว่ากู้หว่านเยว่คิดอะไร จึ
ตกลงปีนั้นรัชทายาทตายเยี่ยงไรกันแน่?เขารู้ดียิ่งกว่าผู้ใดหากไม่ใช่รัชทายาทและพระชายารัชทายาทตายไป ไฉนเลยเขาจะได้นั่งตำแหน่งฮ่องเต้?ทว่าบัดนี้ เขาคิดว่าตำแหน่งฮ่องเต้กำลังตกอยู่ในอันตราย“ไป จับคนสกุลหลี่เข้าคุกใหญ่!”มู่หรงถิงไม่ฟังคำชี้แนะจากนั้นยามทุกคนมายังสกุลหลี่ กลับพบว่าสกุลหลี่มีเพียงความว่างเปล่า เหลือบ่าวรับใช้ที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่สองสามคนกำลังใช้วิธีพรางตา“ภายในหอบรรพบุรุษสกุลหลี่ พบเส้นทางสายหนึ่ง...”องครักษ์ไปจับคนตัวสั่นเทานี่คือเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเดิมทีมู่หรงถิงก็โมโหอยู่แล้ว ต้องการใครสักคนเพื่อบันดาลโทสะ คิดไม่ถึงเลยว่าจะหาตัวคนรองรับอารมณ์ไม่พบ ยังถูกเขาจับได้ว่าคนของสกุลหลี่หนีไปแล้วเขาพลิกโต๊ะ กระทืบองครักษ์ไปจับตัวคนจนตาย“ฝ่าบาท” ตอนฮองเฮามา ภายในตำหนักวุ่นวายไปหมด แม้แต่นางกำลังก็ถูกมู่หรงถิงบีบคอตายไปสองคนฮองเฮาอดทนต่อความขยะแขยง สั่งให้คนลากศพไปจัดการ“เจ้ามาแล้ว”ตอนมู่หรงถิงอยู่เพียงลำพังจะบันดาลโทสะเยี่ยงไรก็ย่อมได้ แต่เขากลัวทำให้ฮองเฮาตกใจ“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินเรื่องของอัครมหาเสนาบดีหลี่แล้ว”ฮองเฮาก้าวเท้าเบาๆ มาหยุดต่อหน้ามู