เขาแยกแยะอยู่นาน นี่ถึงสามารถจำคนได้“จิ่นเอ๋อร์? เหตุใดเจ้าร้องไห้จนกลายเป็นเช่นนี้?”ซูจิ่นเอ๋อร์ร้องไห้สะอึกสะอื้น “ท่านไข้สูงตลอดทั้งคืน เกือบตายไปแล้ว ข้าสามารถไม่ร้องไห้ได้หรือ?”ฟู่หลานเหิงนี่ถึงนึกขึ้นได้ เมื่อวานเขาอ่านหนังสือราชการจบก็นอนสะลึมสะลือบนเตียง ไม่รู้เหตุใดเปลือกตาหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาก็ทำอันใดไม่ได้อีกที่แท้ก็ไข้สูง มิน่าเล่าตอนนี้จึงปวดตัวนัก“เจ้า เจ้าออกไปก่อน ประเดี๋ยวจะติดเอาได้” ฟู่หลานเหิงนึกถึงอาการของตน รีบพูดขึ้นซูจิ่นเอ๋อร์กลับส่ายหน้า สบมองเขาสายตาหนักแน่น “ข้าไม่ออกไป ข้าจะอยู่ดูแลท่านที่นี่ เมื่อวานก็เป็นข้าดูแลท่าน”ฟู่หลานเหิงยังอยากพูดอะไร ก็ได้ยินซูจิ่นเอ๋อร์พูดทั้งน้ำตา “เมื่อวานท่านเพิ่งกลับจากประตูวิญญาณมาได้เที่ยวหนึ่ง ข้าคิดตกหลายเรื่องนักใต้เท้าฟู่ ฟู่หลานเหิง ท่านโปรดตอบข้า ท่านไม่ชอบข้าจริงหรือ?”“ข้า...”ฟู่หลานเหิงอยากพูดว่าไม่ แต่เขากลับรู้ชัดภายในใจ เขาชอบสบมองดวงตาจริงใจคู่นั้นของซูจิ่นเอ๋อร์ ตอนนี้เขาจะหลอกหัวใจของตนได้เยี่ยงไร“จิ่นเอ๋อร์ ข้าแก่กว่าเจ้ามากนัก” ฟู่หลานเหิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง“นั่นแล้วอย่างไร?” ซูจ
“ได้”ถ้อยคำนี้นับว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง ซูจิ่งสิงไม่มีอะไรให้พูดอีกบังเอิญคือซูจิ้งและนางหยางกำลังนั่งรถม้ามาหาพวกเขาที่เมืองอวี้พอดีระยะนี้สองผู้เฒ่าอยู่ที่บ้านไม่มีอะไรทำ ว่างก็ว่างจริงนั่นล่ะ วางแผนทำกิจการเพาะเลี้ยง“พวกเราวางแผนเลี้ยงหมู”“พรวด!”กู้หว่านเยว่เกือบพ่นน้ำชาออกมา เห็นว่าผ่านไปหลายเดือนผิวพรรณขาวขึ้นไม่น้อย แม้ว่าคล้ายฮูหยินสูงศักดิ์ในอดีต นางหยางกลับไม่ใส่ใจรักษาความสูงศักดิ์อีก นางเอ่ยถามออกไป“ท่านแม่ ท่านแน่ใจหรือ? ท่านจะเลี้ยงหมู?!”แม้แต่ซูจิ่งสิงเองก็ตกใจ หลังสงบลงแล้วจึงเอ่ยถาม “เหตุใดพวกท่านอยากเลี้ยงหมูเล่า?”นางหยางพูดว่า “นี่มิใช่ที่ว่าการอำเภอพูดว่ากิจการเพาะเลี้ยงได้รับการสนับสนุนหรอกหรือ ข้าและพ่อเจ้าอยู่ที่บ้านว่างงานไม่มีอะไรทำ มิสู้ไปลองดูสักหน่อย”เอ่ยถึงกิจการเพาะเลี้ยงนี้ ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ากู้หว่านเยว่เพราะนางเป็นคนให้ที่ว่าการอำเภอประกาศสนับสนุนกิจการเพาะเลี้ยงนี้ ยังตีพิมพ์ตำราสอนการเพาะเลี้ยงอีกไม่น้อย วางไว้ที่ที่ว่าการอำเภอเพื่อมอบให้คนนำไปศึกษาเป้าหมายสำคัญก็เพื่อความร่ำรวย ทำให้เกษตรกรรมและการเลี้ยงสัตว์ของเจดีย์หนิงกู่ พ
“หา?” นางหยางเกือบผุดลุกจากเก้าอี้ ข่าวนี้กะทันหันเกินไป“เจ้าเด็กคนนี้ นี่เรื่องเมื่อใดกัน เหตุใดกะทันหันเพียงนี้...”นางหยางยังจำครั้งก่อนฟู่หลานเหิงปฏิเสธลูกสาวของตนได้ สรุปคือทำให้นางเสียใจไปหลายวัน สำหรับคนรุ่นหลังอย่างฟู่หลานเหิง นางชมชอบอย่างมากแต่เป็นลูกเขย นางต้องดูให้ดีฟู่หลานเหิงทำให้จิ่นเอ๋อร์เสียใจไม่รู้มากน้อยกี่ครั้งแล้ว?“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าค่อยๆ พูดกับท่าน”กู้หว่านเยว่เห็นนางหยางใกล้หลุดคำปฏิเสธออกมาเต็มที รีบห้ามคนไว้ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้ให้นางฟังหนึ่งรอบทีแรกนางหยางยังมีโทสะ ได้ยินว่าฟู่หลานเหิงถึงขั้นเป็นกาฬโรคเพื่อซูจิ่นเอ๋อร์ ความโมโหจึงหายไปครึ่งใหญ่จนกระทั่งได้ยินว่าซูจิ่นเอ๋อร์เกือบร้องไห้จนหมดสติเพราะฟู่หลานเหิง หัวคิ้วขมวดชนกันแน่นจิ่นเอ๋อร์ เป็นก้อนเนื้อที่หลุดออกจากร่างกายนางนางรู้อุปนิสัยดีที่สุดที่ผ่านมาเอาแต่ใจ ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ หลังถูกเนรเทศก็ดื้อรั้นมากยิ่งขึ้นไม่น้อยคนที่เด็กคนนี้เลือก ไม่มีวันเปลี่ยนอย่างง่ายดายนางหยางไม่ต่อต้านแล้ว หันมองซูจิ้งซูจิ้งกลับเป็นคนยอมรับได้อย่างว่องไวคนหนึ่ง หยิบกระดา
พริบตาต่อมาก็ถึงวันที่สิบห้าเดือนสามแล้ววันนี้ถูกกำหนดไว้ชั่วคราว แม้ว่าเร่งรีบไปบ้าง แต่ขั้นตอนที่พึงมีก็จะขาดไปไม่ได้สามหนังสือหกพิธี ฟู่หลานเหิงเตรียมการครบถ้วนสมบูรณ์ บิดามารดาสกุลฟู่เองก็ใจกว้าง ทั้งหมดล้วนทำตามความนัยของลูกชายวันแต่งงาน ซูจิ่นเอ๋อร์สวมชุดเจ้าสาวสีแดงตั้งแต่เช้า นั่งหน้าคันฉ่อง ราวกับกำลังฝันไปกู้หว่านเยว่กุมมือเล็กของนางไว้ ใส่กำไลทองหนักๆ หนึ่งวง เปล่งเสียงนุ่มนวล“ข้าและพี่ใหญ่เจ้าเตรียมคฤหาสน์ไว้ให้เจ้าที่เมืองอวี้และเมืองตะวันไม่ตกดินแห่งละหนึ่งหลัง โฉนดใส่ไว้ในสินเดิมของเจ้าแล้ว เส้นทางในภายภาคหน้า เจ้าต้องเดินด้วยตนเอง”“พี่สะใภ้ใหญ่” ซูจิ่นเอ๋อร์สะอื้นเบาๆ ใบหน้าเล็กถูกทาชาดไว้เผยความอ่อนเยาว์อย่างชัดเจน“เพิ่งสิบสี่ปี อิงตามหลักการแล้ว ยังต้องรออีกสองปี เพียงแต่ข้ารู้เจ้ากังวลร่างกายของใต้เท้าฟู่ ต้องการไปดูแลเขาโดยเร็ว พี่สะใภ้ใหญ่ก็ทำให้เจ้าสมปรารถนาแล้ว”กู้หว่านเยว่ช่วยซูจิ่นเอ๋อร์ปัดผมบนหน้าผาก ซูจิ่นเอ๋อร์ซาบซึ้งอย่างสุดจิตสุดใจ โผเข้าหาอ้อมกอดนางทั้งน้ำตา“ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ที่ทำให้สมปรารถนา จิ่นเอ๋อร์มีวันนี้ได้ ล้วนได้รับการสั่งสอนจา
“เกิดอันใดขึ้น?”ซูจิ่งสิงส่งซูจิ่นเอ๋อร์ขึ้นเกี้ยว กวาดมองบรรยากาศเจือกลิ่นอายมีความสุข เป่าปี่ตีกลองเสียงดังมาก ทั้งสองเดินมาที่ฝั่งหนึ่งกู้หว่านเยว่กระซิบข้างโสตเขา “หร่านถิงส่งรายงานลับมา คืนนี้เถาเอ๋อร์ต้องการสั่งให้คนเผายุ้งฉางทุกแห่งเจ้าค่ะ”นางโมโหคันเขี้ยวแผนโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนักเพื่อดูแลผู้ลี้ภัย กู้หว่านเยว่สร้างยุ้งฉางไว้ทุกอำเภอภายในยุ้งฉางล้วนเป็นนางใช้มิติย้ายเข้าไปทุกยุ้งฉาง อย่างน้อยใส่เสบียงอาหารนับตันหากถูกเผาจริง เช่นนั้นนางก็เจ็บเนื้อแล้วยิ่งไปกว่านั้นเถาเอ๋อร์ไม่เสียดายเสบียงอาหารเลยแม้แต่น้อย ไม่ใส่ใจความเป็นตายของราษฎร์“ผู้ลี้ภัยของเจดีย์หนิงกู่มีหลายหมื่นคน เสบียงอาหารถูกเผา ผู้ลี้ภัยไม่มีเสบียงอาหาร เจดีย์หนิงกู่ต้องชุลมุนวุ่นวายเป็นแน่”ซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว จิตสังหารวูบไหวภายในก้นบึ้งของสายตาเถาเอ๋อร์คนนี้ อำมหิต!“นางมิใช่ต้องการเผายุ้งฉางหรือ เช่นนั้นก็ให้นางได้รับผลกรรมเองเถอะ”กู้หว่านเยว่แสยะยิ้มชั่วร้ายใช้แนวทางของฝ่ายตรงข้ามตอบโต้กลับไป นางเชี่ยวชาญที่สุดแล้ว“ความนัยของเจ้าคือ...”ซูจิ่งสิงชะงัก ก็เห็นกู้หว่านเยว่เขย่งเท้า ก
ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เดินเข้ามา เอ่ยถามสถานการณ์ ชิวจู๋รีบตอบ“ล้วนเป็นความผิดของบ่าว น้ำร้อนเดือดนี้ บ่าวไม่ถือให้ดี ราดใส่ตัวคุณชายรองแล้ว”ซูจื่อชิงกัดฟันอธิบาย “ไม่โทษนาง เป็นข้าเดินไม่ดูทาง เข้าไปชนนาง”ชิวจู๋ตกตะลึง มองซูจื่อชิงสายตาซาบซึ้ง“ไปที่เรือนส่วนในถอดเสื้อผ้าออก ใช้น้ำเย็นอาบ”กู้หว่านเยว่เอ่ยกำชับ น้ำร้อนนี้อุณหภูมิสูงมาก เพียงไม่ทันระวังก็ทิ้งแผลเป็นได้“ขอรับ”ครู่ต่อมาซูจื่อชิงมองทางเมี่ยชิงหว่าน เห็นว่าสายตาอีกฝ่ายหันมองทางอื่น มิมองเขา อารมณ์หม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด“พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไปเรือนส่วนในก่อนแล้ว”ซูจื่อชิงวิ่งไปยังเรือนส่วนในอย่างว่องไวปานเหินบิน“เจ้าเองก็เบิกยาทาแผลถูกลวกที่คลังมาเล็กน้อย เป็นเด็กผู้หญิงอย่าได้ทิ้งแผลเป็นไว้บนตัว”กู้หว่านเยว่สบมองชิวจู๋สายตาอ่อนโยน สาวใช้คนนี้ไม่คุ้นหน้าอยู่บ้าง อาจเป็นหลี่เฉินอันส่งมาช่วยเหลือกระมัง“ขอบคณฮูหยิน” ชิวจู๋หางตาแดงเรื่อ รีบขอบคุณและออกไป“จื่อชิงถูกลวกรุนแรงนัก ข้าไปดูหน่อย” กู้หว่านเยว่หันหน้าไปเอ่ยกับซูจิ่งสิง“ได้ ให้ชิงเหลียนประคองเจ้าไป”วันนี้มีคนมาก ซูจิ่งสิงเองก็ไม่อยากให
หลังซูจิ่นเอ๋อร์นั่งบนเกี้ยวแล้ว เสียงเป่าตีดังตลอดทางจนมาถึงคฤหาสน์หลังใหม่ของสกุลฟู่นี่คือฟู่หลานเหิงจัดการไว้สำหรับแต่งงาน ย่อมไม่สามารถแต่งงานแล้ว ก็พาภรรยาเข้าไปอยู่ในศาลาว่าการได้หรอกกระมังยิ่งไปกว่านั้นคฤหาสน์หลังนี้อยู่ห่างจากจวนกู้เพียงถนนสองสาย ครั้นเขาติดพันงานราชการ จิ่นเอ๋อร์ก็สามารถกลับไปเที่ยวเล่นที่จวนกู้ได้ทุกเมื่อก่อนนี้ฟู่หลานเหิงคิดมากเกินไป ไม่กล้ารับรักซูจิ่นเอ๋อร์ทว่าเพียงเขายอมรับแล้ว ก็ทำอย่างดีที่สุด อยากจะควักหัวใจออกมามอบให้ซูจิ่นเอ๋อร์ ไม่ว่าอะไรก็ล้วนต้องมอบของดีที่สุดให้นาง“ใต้เท้า มีสหายร่วมงานมากมายมาแสดงความยินดีกับการแต่งงานของท่าน”“เชิญพวกเขาไปนั่งในงานเถอะ”เกี้ยวผ่านเข้าประตู ฟู่หลานเหิงจูงมือซูจิ่นเอ่อร์ข้ามเตาอั้งโล่ เข้าโถงหลักปูด้วยพรมแดง กราบไหว้ฟ้าดินเสียงคนทำพิธีดังออกไปภายนอก “หนึ่งคำนับฟ้าดินสองคำนับบิดามารดาสามสามีภรรยาคำนับกันและกัน”ซูจิ่นเอ๋อร์ได้ยินว่า “ส่งเข้าห้องหอ” สองสามคำนี้ รอยยิ้มหวานล้ำปรากฏขึ้นในแววตา ปล่อยฟู่หลานเหิงจูงผ้าแพรสีแดงของนางไปอย่างอิสระ ทีละก้าวๆ ส่งนางเข้าห้องใหม่สีแดงภายในกลุ่มคน สองสามคนจ
องครักษ์ข้างหน้ากำลังเดินไป คล้ายสังเกตไม่เห็น เงาดำหลายร่างนั้นกล้ามากขึ้น ลอบออกจากพวกเขา เข้าไปภายในยุ้งฉางห้าหกคนมารวมตัวกันในลาน คนหนึ่งกระซิบเสียงค่อย “ยังคิดว่าองครักษ์เฝ้ายุ้งฉางเข้มงวดมากเสียอีก ลอบเข้ามาได้ง่ายเพียงนี้เชียวรึ”“หุบปาก” คนเป็นหัวหน้ารู้สึกไม่ชอบมาพากล “ทำธุระสำคัญที่สุด”“เหนือใต้ออกตกแยกย้ายไปละคนทิศ ข้าไปใจกลาง ถึงแล้วราดน้ำมันในเต็มทุกพื้นที่ โยนหินเหล็กไฟเข้าไป ไฟติดแล้วก็ไป”“ขอรับ”แผนการเป็นขั้นเป็นตอน หลายคนนั้นต้องการโผล่ศีรษะออกไปภายในมุมหนึ่ง ลู่จิงดีดนิ้วเบาๆ จากนั้นเสียงหอนของหมาป่าก็ดังขึ้น“โบร๋ว”“มารดาเถอะ นี่คือเสียงอะไร ฟังแล้วชวนให้คนขนลุก”“คล้ายเสียงหมาป่า”“เหลวไหล ไฉนเลยจะมีหมาป่าภายในเมืองได้?” คนเป็นหัวหน้าสบถออกมาทีหนึ่ง ลูกน้องยกมือสั่นๆ “ไม่ใช่ พี่ พี่ใหญ่ ข้างหลังท่าน มีหมาป่าจริงๆ”มองเห็นหมาป่าตาเขียวเดินออกมาทีละตัวรอบทิศทาง สายตาจับจ้องพวกเขา“อ๊า!” หลายคนนั้นร้องออกมา หมาป่าถูกกระตุ้น ขาสองข้างย่ำพื้น กระโจนขึ้นมากัดขาหนึ่งในพวกเขา“อ๊า เจ็บจะตายแล้ว ช่วยด้วย!”จากนั้นเสียงร้องโอดครวญก็น่าสงสารมากยิ่งขึ้น หมาป
กู้หว่านเยว่ตัดบทพวกเขาอย่างไร้ความปรานี นางไม่มีทางเห็นใจกษัตริย์ทูเจวี๋ยอย่างแน่นอนแม้ว่าเขาจะแต่งงานกับราชินีทูเจวี๋ยแล้วอย่างไรเล่า เป็นสามีภรรยามานานนับสิบปี นึกจะฆ่าก็ฆ่า ไร้ศีลธรรมยิ่งนัก“ฝ่าบาท พระองค์ห้ามเขียนนะเพคะ”พระสนมลี่ส่ายหน้า “อย่าให้พวกเขาเอาหม่อมฉันมาขู่พระองค์ได้”กษัตริย์ทูเจวี๋ยเกิดความลังเล เขาคิดไว้แล้ว ว่าในอนาคตจะยกบัลลังก์ให้กับบุตรที่อยู่ในครรภ์ของพระสนมลี่ หากร่างพระราชโองการนี้ออกมาจริง ๆ แผนการที่ทำมาทั้งหมดของเขาก็ต้องพังทลายลง“ท่านคิดให้ดี ๆ”กริชของกู้หว่านเยว่ขยับเข้ามาใกล้คอของพระสนมลี่ กระทั่งคมมีดบาดคอของนางจนเลือดไหลซึมความจริงแล้วนางไม่ได้อยากฆ่าพระสนมลี่ ถึงอย่างไรเสียบุตรในครรภ์ของนางก็ยังไร้เดียงสา นางแค่อยากขู่กษัตริย์ทูเจวี๋ยเท่านั้นหากกษัตริย์ทูเจวี๋ยให้ความร่วมมือกับนางอย่างว่าง่าย เรื่องหลังจากนี้ก็จะง่ายมากขึ้นเลือดสีแดงของพระสนมลี่ไหลเปื้อนกริช นางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดกษัตริย์ทูเจวี๋ยแทบใจสลาย “หยุดนะ อย่าทำร้ายนาง”เขามองใบหน้าของพระสนมลี่อย่างรักใคร่ แม้ว่าเขาจะหลงใหลในอำนาจแห่งกษัตริย์ทูเจวี๋ย แต่หากพระสนมลี่แล
“ดูท่าพระสนมลี่ผู้นี้จะเป็นนางในดวงใจของพระองค์นะเพคะ”น้ำเสียงของกู้หว่านเยว่แฝงไปด้วยการข่มขู่ จากนั้นกริชก็ได้พุ่งเข้ามาใส่หน้าของพระสนมลี่พระสนมลี่เป็นคนขี้ขลาด นางกรีดร้องในทันที“ฝ่าบาท ฝ่าบาทช่วยหม่อมฉันด้วย!”“หยุดร้อง หากดึงดูดทหารเข้ามา ข้าจะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก”กู้หว่านเยว่กล่าวเตือน พระสนมลี่ตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือดกษัตริย์ทูเจวี๋ยรีบกล่าว “อย่าทำร้ายนาง พวกเจ้าอย่าทำร้ายนาง นางกำลังตั้งครรภ์!”นัยน์ตาของเขาเปล่งประกาย เสี่ยวถ่านมองท้องของพระสนมลี่อย่างไม่อยากจะเชื่อ“นางกำลังตั้งครรภ์หรือ?”จู่ ๆ นางก็ได้สติกลับมา จากนั้นก็เปิดจดหมายลับที่กู้หว่านเยว่ให้นางเมื่อครู่ หลังจากที่กวาดสายตาอ่านอย่างละเอียดแล้ว สีหน้าก็พลันซีดเผือดลงในทันที“ดังนั้น เสด็จพ่อ เพื่อจะได้เปิดทางให้เด็กในครรภ์ของพระสนมลี่ พระองค์ถึงกับยอมเสียสละชีวิตของลูกและเสด็จแม่หรือเพคะ?”เสี่ยวถ่านจำได้ขึ้นใจพระสนมลี่มีฐานะยากจน ตระกูลฝ่ายมารดาไร้ซึ่งอำนาจเพราะเหตุนี้ แม้ว่านางจะได้ความรักอย่างลึกซึ้งจากเสด็จพ่อ แต่เสด็จแม่กลับไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา ฐานะที่ต่ำต้อย ต่อให้ได้รับความโปรดปรานเพียง
กษัตริย์ทูเจวี๋ยรู้สึกกลัวขึ้นมาจริง ๆ นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัวกู้หว่านเยว่ตัดนิ้วของเขาอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่กะพริบตานั้น นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันนั้น กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะได้ล้วงหยิบพระราชโองการออกมาจากห้วงมิติ แล้วโยนให้กษัตริย์ทูเจวี๋ย“เขียน แต่งตั้งให้องค์หญิงเก้าขึ้นเป็นรัชทายาทแห่งทูเจวี๋ย”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นกษัตริย์ทูเจวี๋ยแทบจะตะโกนออกมาในทันที“ไม่ได้! จะยกราชบัลลังก์ให้นางไม่ได้!”สองคนนี้ต้องการให้เขาเขียนพระราชโองการแต่งตั้งองค์รัชทายาท แล้วออกคำสั่งให้ขุนพลเกาเถียนตกอยู่ภายใต้อำนาจของเสี่ยวถ่าน! เลวทรามยิ่งนัก! เขาไม่มีทางเขียนอย่างแน่นอน!นัยน์ตาของกษัตริย์ทูเจวี๋ยวูบไหว อีกอย่างในใจของเขามีตัวเลือกสำหรับตำแหน่งองค์รักชทายาทแล้วกู้หว่านเยว่เข้าใจความคิดของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง “ท่านคงอยากให้องค์ชายสิบขึ้นเป็นองค์รัชทายาทสินะ?”“เจ้า!” กษัตริย์ทูเจวี๋ยตกใจอย่างมาก นางผู้นี้รู้ได้อย่างไร?“ไม่ใช่!”“ข้าเห็นมันในตอนที่เปิดอ่านจดหมายลับของท่านแล้ว”กู้หว่านเยว่ยื่นจดหมายลับหลายฉบับ
หากเปลี่ยนเป็นเหยลวี่เจิง ต่อให้นิ้วจะถูกตัดจนครบทุกนิ้ว เขาก็ไม่มีวันยอมคุกเข่าร้องขอชีวิตอย่างแน่นอนแม้ว่าเขาจะร้ายกาจและฉลาดแกมโกง แต่กลับยังคงเย่อหยิ่งกษัตริย์ทูเจวี๋ยผู้นี้ กลับเป็นคนรักตัวกลัวตายกษัตริย์ทูเจวี๋ยหน้าแดงเถือกเมื่อเห็นสายตาเยาะเย้ยของกู้หว่านเยว่ แต่เขาไม่อยากตาย ทำได้เพียงฝืนหยิบพู่กันที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดภายใต้แววตาที่เปล่งประกาย ซูจิ่งสิงก็พลันกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก“ข้าว่าทางที่ดีที่สุดท่านควรเชื่อฟังดีกว่า หากกล้าเล่นตุกติกกับข้า โกหกพวกเรา ข้าจะทำให้ท่านทรมานยิ่งกว่าตายเป็นพันเท่า”“พวกเจ้า!”กษัตริย์ทูเจวี๋ยกัดฟันกรอด กระทั่งหางตาของเขาเห็นเสี่ยวถ่านไม่ได้สนใจเขา คาดว่าเด็กคนนี้คงจะตัดหางปล่อยวัดเขาไปแล้วเพื่อชีวิตของตัวเอง เขาทำได้แต่เขียนจดหมายอย่างว่าง่าย เพื่อเรียกคนสนิทเข้าวัง“ที่แท้ขุนพลเกาเถียนผู้นี้ก็เป็นคนของท่านนี่เอง”กู้หว่านเยว่หยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน ในตอนที่ได้ยินเสี่ยวถ่านเล่าความเป็นมาของทั้งสี่ตระกูล นางได้ยินชื่อของตระกูลเกาเถียนด้วย“กองกำลังของท่านคงมีไม่น้อย”กู้หว่านเยว่หยิบตราประทับกษัตริย์ออ
สี่ตระกูลนี้ นอกจากตระกูลกู่ลี่ที่โดนเนรเทศแล้ว อีกสามตระกูลที่เหลือ ไม่ว่าจะตระกูลไหนใครก็ล่วงเกินไม่ได้สามตระกูลนี้ล้วนแต่มีองค์ชายที่อยากจะสนับสนุน ดังนั้นเขาไม่มีทางที่ยอมจำนนต่อพวกเขาอย่างแน่นอนเสี่ยวถ่านเดินมาถึงตรงหน้ากู้หว่านเยว่ พลางวิเคราะห์สถานการณ์ในตอนนี้ของสองสามีภรรยานางเริ่มกังวลหลังจากที่กู้หว่านเยว่ฟังจบ นางกลับคลี่ยิ้มและขยี้ปลายจมูก “ใครบอกว่าทั้งสามตระกูลนี้ เจ้าไม่สามารถใช้ประโยชน์จากตระกูลไหนได้เลย?”“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?”เสี่ยวถ่านยังไม่ได้สติกลับมาแต่ซูจิ่งสิงกลับเข้าใจความหมายของภรรยา จากนั้นก็ส่ายหน้าด้วยความเอ็นดูสมแล้วที่เป็นภรรยาของเขา และเป็นโจรได้สมบทบาท ชอบปล้นคลังสินค้าของผู้อื่นก็เรื่องหนึ่ง แม้กระทั่งกองกำลังของผู้อื่นที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีนางก็ปล้นชิงไม่มีเหลือ“หากข้าเดาไม่ผิด น้องหญิง เจ้าน่าจะอยากช่วงชิงกองกำลังในมือของกษัตริย์ทูเจวี๋ยมาด้วยสินะ?”ซูจิ่งสิงมองนางด้วยสายตาเปล่งประกาย กู้หว่านเยว่ยิ้มอย่างเก้อเขิน“ตอบถูก แต่ไม่มีรางวัลให้หรอกนะ”ซูจิ่งสิงคลี่ยิ้มพลางพยักหน้า “วิธีนี้ได้ผลแน่นอน อีกอย่างกษัตริย์ทูเจวี๋ยก็อ
ในเมื่อกู้หว่านเยว่เสนอเงื่อนไขนี้ นั้นก็หมายความว่านางตอบตกลงแล้วเสี่ยวถ่านแสดงสีหน้าดีใจ จากนั้นก็รีบคำนับโขกดินให้กู้หว่านเยว่สามครั้ง “ท่านอาจารย์ ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด”“ได้ ลุกขึ้นเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงตัวของเสี่ยวถ่านขึ้นมา ในเมื่อเสี่ยวถ่านคือลูกศิษย์ของนางแล้ว เช่นนั้นอาจารย์อย่างนางก็ต้องช่วยลูกศิษย์สักหน่อย คงไม่เป็นไร“เจ้ายังมีศิษย์พี่อีกคน นั้นคือลูกศิษย์ของสามีข้า ตอนนี้อยู่ในเจดีย์หนิงกู่ ไว้มีโอกาส ข้าจะพาเขามาพบเจ้า”ครั้นเอ่ยถึงหลี่เฉินอัน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่เจดีย์หนิงกู่เป็นอย่างไรบ้าง นัยน์ตาของกู้หว่านเยว่ฉายแววคะนึงหา เสี่ยวถ่านพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ในขณะเดียวกันก็มองกู้หว่านเยว่อย่างเป็นกังวล “ท่านอาจารย์ เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรกันดี?”หากต้องขึ้นครองบัลลังก์ คงไม่ใช่กล่าวเพียงปากเปล่าแล้วจะทำได้“ไม่รีบ”กู้หว่านเยว่มองไปทางอื่น ก่อนที่สายตาจะมาตกอยู่ที่กษัตริย์ทูเจวี๋ย มุมปากยกยิ้มที่แฝงไปด้วยเลศนัยบางอย่าง“ท่านพี่ ท่านคลายจุดให้กษัตริย์ทูเจวี๋ยก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่เดินมาตรงหน้าของทั้งสองคน เพื่อป้องกันไม่ให้กษัตริย์ทูเจวี๋ยหนีไปไ
“ข้า....” เสี่ยวถ่านหวนนึกถึงคืนที่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่นั้น เพื่อปกป้องนาง ราชินีทิ้งโอกาสรอดชีวิตของตัวเองในทันที“ข้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อเจ้าค่ะ”เสี่ยวถ่านตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “เพื่อเสด็จแม่ ข้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อ”“ได้”กู้หว่านเยว่ไม่ได้ใส่ใจกับคำตอบนี้ของเสี่ยวถ่าน จากการเฝ้าสังเกตการณ์ในสองวันที่ผ่านมานี้ นางได้พบว่าถึงแม้เด็กคนนี้จะเป็นเพียงเด็กสาว แต่นางมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวมากเพียงแต่เพราะอายุยังน้อยนัก ความสามารถในการจัดการเรื่องราวจึงยังอ่อนต่อโลกนัก ตราบใดที่ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างดี เมื่อถึงเวลานั้นจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง“เสี่ยวถ่าน เจ้าจงฟังข้า เมื่อครู่เจ้าเองก็เห็นท่าทีที่เสด็จพ่อเจ้ามีต่อเจ้า หากบัดนี้เจ้าปล่อยเสด็จพ่อของเจ้าไป ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในทูเจวี๋ย เสด็จพ่อของเจ้าคงไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่” กู้หว่านเยว่มองเข้าไปในดวงตาของนาง พลางกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หากเจ้าอยากมีชีวิตเป็นของเจ้าเอง เพื่อแก้แค้นให้เสด็จแม่ ข้ายังมีอีกวิธีหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าจะยอมทำหรือไม่”“วิธีอะไรเจ้าคะ?”เสี่ยวถ่านกล่าวถามด้วยจิตใต้สำนึก“เจ้าตามข้ามา”กู้หว่านเยว่
“ไฟกองนั้น ท่านตั้งใจปล่อยให้มันเกิดขึ้นหรือเป็นคนบงการเองกันแน่?” เสี่ยวถ่านจ้องเขม็งไปทางกษัตริย์ทูเจวี๋ย นางอยากได้ยินคำสารภาพจากเสด็จพ่อด้วยตัวเองกษัตริย์ทูเจวี๋ยรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นสายตาที่จ้องเขม็งของนาง ครั้นเผชิญหน้ากับการซักไซ้ไล่ถามของเสี่ยวถ่าน นัยน์ตาก็ฉายแววประหม่า“ตระกูลกู่ลี่ยกตระกูลของแม่เจ้ามาข่มขู่ข้าในราชสำนักหลายครั้ง ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อความสงบสุขของทูเจวี๋ย”เขารู้สึกละอายใจ “ในเมื่อเจ้าเป็นบุตรสาวของข้า ก็ยิ่งต้องเข้าใจความยากลำบากของเสด็จพ่อของเจ้า”เขาเอื้อมมือไปทางเสี่ยวถ่าน “เสี่ยวถ่าน มานี่ เจ้าคือสายเลือดกษัตริย์ทูเจวี๋ยของข้า ก็ควรมีใจเป็นหนึ่งเดียวกับข้า”ครั้นเสี่ยวถ่านเห็นกษัตริย์ทูเจวี๋ยเดินมาหาตน นางที่ยังจมปลักอยู่กับความเจ็บปวดจากการเห็นเสด็จแม่ถูกเสด็จพ่อปลิดชีพ ถึงกับตกใจจนพูดไม่ออกในตอนนี้เองได้เกิดแสงเย็นสว่างวาบขึ้นภายใต้ฝ่ามือของกษัตริย์ทูเจวี๋ย กริชด้ามหนึ่งได้พุ่งเข้ามาแทงเสี่ยวถ่านโดยไม่ทันตั้งตัว “เสด็จพ่อ ท่านจะทำสิ่งใด?”รูม่านตาของเสี่ยวถ่ายหดลงอย่างฉับพลัน นางยังรับความจริงเรื่องที่เสด็จพ่อฆ่าเสด็จแม่ไม่ได้ เพียงพ
“เหยลวี่เจิงตายแล้ว เขาตายแล้ว ตายได้แล้วก็ดี กดขี่ข่มเหงข้ามานานเพียงนี้ ข้าหวังให้เขารีบตาย ๆ ไปได้ตั้งนานแล้ว สมควรตายแล้ว!” พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์ทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิง ก็ค่อนข้างซับซ้อน เดิมกษัตริย์ทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิงมีความสัมพันธ์แบบพันธมิตร แต่เพราะอำนาจของตระกูลฝ่ายราชินีของกษัตริย์ทูเจวี๋ยแข็งแกร่งเกินไป จนเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงมาถึงราชบัลลังก์ของกษัตริย์ทูเจวี๋ย ทำให้กษัตริย์ทูเจวี๋ยต้องร่วมมือกับเหยลวี่เจิง เพื่อล้มอำนาจของตระกูลฝ่ายราชินี ไหนเลยจะรู้ว่าเหยลวี่เจิงจะไม่สนคุณธรรมการทหาร หลังจากโค่นล้มราชินีได้แล้ว กุมอำนาจยิ่งใหญ่ในมือ และหันมีดกระบี่ใส่กษัตริย์ทูเจวี๋ยแทน กษัตริย์ทูเจวี๋ยเรียกได้ว่าเคลื่อนหินไม่พ้นปลายเท้าตนเอง “รีบไป ไปเรียกขุนพลเกา คนสนิทของข้าเข้ามา” กษัตริย์ทูเจวี๋ยรีบออกคำสั่ง สีหน้าฉายแววตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย ขันทีรีบผงกศีรษะ เตรียมจะออกไปส่งข่าว แต่พอเดินไปถึงประตู สุดท้ายก็มีหินก้อนหนึ่งพุ่งเข้ามา กระแทกเขาหมดสติไปทันที “ใคร?” กษัตริย์ทูเจวี๋ยสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ “เสด็จพ่อ ข้าเอง!” เสียงของเสี่ยวถ่านดังมาจาก