หลังซูจิ่นเอ๋อร์นั่งบนเกี้ยวแล้ว เสียงเป่าตีดังตลอดทางจนมาถึงคฤหาสน์หลังใหม่ของสกุลฟู่นี่คือฟู่หลานเหิงจัดการไว้สำหรับแต่งงาน ย่อมไม่สามารถแต่งงานแล้ว ก็พาภรรยาเข้าไปอยู่ในศาลาว่าการได้หรอกกระมังยิ่งไปกว่านั้นคฤหาสน์หลังนี้อยู่ห่างจากจวนกู้เพียงถนนสองสาย ครั้นเขาติดพันงานราชการ จิ่นเอ๋อร์ก็สามารถกลับไปเที่ยวเล่นที่จวนกู้ได้ทุกเมื่อก่อนนี้ฟู่หลานเหิงคิดมากเกินไป ไม่กล้ารับรักซูจิ่นเอ๋อร์ทว่าเพียงเขายอมรับแล้ว ก็ทำอย่างดีที่สุด อยากจะควักหัวใจออกมามอบให้ซูจิ่นเอ๋อร์ ไม่ว่าอะไรก็ล้วนต้องมอบของดีที่สุดให้นาง“ใต้เท้า มีสหายร่วมงานมากมายมาแสดงความยินดีกับการแต่งงานของท่าน”“เชิญพวกเขาไปนั่งในงานเถอะ”เกี้ยวผ่านเข้าประตู ฟู่หลานเหิงจูงมือซูจิ่นเอ่อร์ข้ามเตาอั้งโล่ เข้าโถงหลักปูด้วยพรมแดง กราบไหว้ฟ้าดินเสียงคนทำพิธีดังออกไปภายนอก “หนึ่งคำนับฟ้าดินสองคำนับบิดามารดาสามสามีภรรยาคำนับกันและกัน”ซูจิ่นเอ๋อร์ได้ยินว่า “ส่งเข้าห้องหอ” สองสามคำนี้ รอยยิ้มหวานล้ำปรากฏขึ้นในแววตา ปล่อยฟู่หลานเหิงจูงผ้าแพรสีแดงของนางไปอย่างอิสระ ทีละก้าวๆ ส่งนางเข้าห้องใหม่สีแดงภายในกลุ่มคน สองสามคนจ
องครักษ์ข้างหน้ากำลังเดินไป คล้ายสังเกตไม่เห็น เงาดำหลายร่างนั้นกล้ามากขึ้น ลอบออกจากพวกเขา เข้าไปภายในยุ้งฉางห้าหกคนมารวมตัวกันในลาน คนหนึ่งกระซิบเสียงค่อย “ยังคิดว่าองครักษ์เฝ้ายุ้งฉางเข้มงวดมากเสียอีก ลอบเข้ามาได้ง่ายเพียงนี้เชียวรึ”“หุบปาก” คนเป็นหัวหน้ารู้สึกไม่ชอบมาพากล “ทำธุระสำคัญที่สุด”“เหนือใต้ออกตกแยกย้ายไปละคนทิศ ข้าไปใจกลาง ถึงแล้วราดน้ำมันในเต็มทุกพื้นที่ โยนหินเหล็กไฟเข้าไป ไฟติดแล้วก็ไป”“ขอรับ”แผนการเป็นขั้นเป็นตอน หลายคนนั้นต้องการโผล่ศีรษะออกไปภายในมุมหนึ่ง ลู่จิงดีดนิ้วเบาๆ จากนั้นเสียงหอนของหมาป่าก็ดังขึ้น“โบร๋ว”“มารดาเถอะ นี่คือเสียงอะไร ฟังแล้วชวนให้คนขนลุก”“คล้ายเสียงหมาป่า”“เหลวไหล ไฉนเลยจะมีหมาป่าภายในเมืองได้?” คนเป็นหัวหน้าสบถออกมาทีหนึ่ง ลูกน้องยกมือสั่นๆ “ไม่ใช่ พี่ พี่ใหญ่ ข้างหลังท่าน มีหมาป่าจริงๆ”มองเห็นหมาป่าตาเขียวเดินออกมาทีละตัวรอบทิศทาง สายตาจับจ้องพวกเขา“อ๊า!” หลายคนนั้นร้องออกมา หมาป่าถูกกระตุ้น ขาสองข้างย่ำพื้น กระโจนขึ้นมากัดขาหนึ่งในพวกเขา“อ๊า เจ็บจะตายแล้ว ช่วยด้วย!”จากนั้นเสียงร้องโอดครวญก็น่าสงสารมากยิ่งขึ้น หมาป
กู้หว่านเยว่สนใจขึ้นมาแล้ว “ข่าวลืออะไร?”“พูดว่ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสองสามีภรรยา เป็นดาวหายนะลงมาสู่โลกมนุษย์หากสวรรค์พิโรธ จะทำให้ยุ้งฉางลุกไหม้ด้วยตนเองต้องการระงับโทสะของสวรรค์ มีเพียงต้องใช้พวกท่านเป็นเครื่องสังเวย หาไม่แล้วเจดีย์หนิงกู่ก็จะพบเจอภัยพิบัติ”คนเป็นหัวหน้าพูดเสียงสั่นๆ กลัวตนเองพูดผิดไป ชีวิตน้อยๆ ก็จบสิ้นแล้วกู้หว่านเยว่โมโหจนหัวเราะออกมาแล้ว ดาวหายนะลงมาสู่โลกมนุษย์ น้ำสกปรกหนึ่งอ่างใหญ่เลยทีเดียวหากมาถึงขั้นนี้จริง ราษฎร์ในเจดีย์หนิงกู่ก็กลัวสวรรค์ จะต้องขอให้พวกเขาเป็นเครื่องสังเวยอย่างแน่นอนอย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอันใดในเจดีย์หนิงกู่นี้“ไม่เพียงแค่นี้กระมัง?”ฝ่ายชายหันมองซูจิ่งสิงแวบหนึ่ง ไม่กล้าพูดอยู่บ้างทันใดนั้นพลุก็ถูกจุดขึ้นทางฝั่งคฤหาสน์ฟู่“พลุสีแดง คฤหาสน์ฟู่ตกอยู่ในอันตราย”สีหน้ากู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป สายตาคมกริบตกลงบนตัวชายที่กำลังสั่น“พูด!”“มหาราชครูยังหาขอทานเป็นกามโรคอีกสองสามคน!สั่งให้ลอบเข้าคฤหาสน์ฟู่ ข่มขืนเจ้าสาว ปรักปรำลงบนตัวสกุลซู”“เพล้ง” ซูจิ่งสิงปาถ้วยชาในมือจนแหลกละเอียด สีหน้าแข็งทื่อดุจเหล็กจนคนต
เรื่องนี้พูดไปพูดมาล้วนเป็นเด็กผู้หญิงเสียเปรียบ สีหน้าฟู่หลานเหิงแข็งทื่อดุจเหล็ก“จิ่นเอ๋อร์เพิ่งมาเมืองอวี้ได้ไม่นาน อยู่ที่นี่ก็แทบไม่มีสหาย อีกทั้งยังไม่เคยผูกแค้นกับใคร เป็นใครโหดเหี้ยมเพียงนี้!”ก่อนซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่มา เขาสอบสวนขอทานเหล่านั้นแล้ว กลับไม่ได้รับอะไร“พวกเขาอาศัยความวุ่นวายในงานเลี้ยงแต่งงานลอบเข้าทางประตูหลัง บนตัวมีผงยาปลุกกำหนัด ตรงมาที่ห้องหอ”“พูดว่ามีคนจ่ายเงินจ้างพวกเขา ส่วนคนผู้นั้นเป็นใคร พวกเขาเองก็ไม่รู้จัก”เดิมทีฟู่หลานเหิงอยากให้พวกเขาวาดรูปพรรณสัณฐานของคนผู้นั้น ทว่าขอทานเหล่านั้นพูดว่าคนผู้นั้นปิดหน้า คาดว่าปลอมเสียง สวมชุดดำ ไม่สามารถหาเบาะแสอะไรได้ระหว่างพูด สองสามคนก็มาถึงห้องเก็บฟืน“ปล่อยพวกเราไปเถอะ พวกเราไม่รู้ใครเป็นคนสั่งจริงๆ”“พวกเราเพียงรับเงินมาทำงาน”กู้หว่านเยว่มองผ่านรอยแยกเข้าไป พบว่าคนเหล่านั้นล้วนถูกทรมานมาก่อนไม่ผิดไปดังคาด“หลังจบเรื่องแล้วอย่าลืมใช้น้ำส้มสายชูและเหล้าขาวฆ่าเชื้อห้องเก็บฟืน”“ฆ่าเชื้อ?”“อืม พวกเขาเป็นกามโรค”นางขมวดคิ้ว ไม่รู้สึกดีอันใดต่อกามโรค“กามโรค? นี่ นี่มิใช่โรคพรรค์นั้นหรือ?”ฟู่
“ท่านมหาราชครู อย่าได้ร้อนใจไป จะต้องสำเร็จแน่นอนขอรับ” หร่านถิงซึ่งอยู่ด้านข้าง ดีดสายพิณอย่างนุ่มนวลเมื่อได้ยินเสียพิณ จิตใจของเถาเอ๋อร์ก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย“มหาราชครู ฝ่าบาททรงมีรับสั่งเร่งรัดอีกคราแล้ว พวกเราจะโจมตีเจดีย์หนิงกู่เมื่อใดหรือ?”เจียงเต๋อจื้อเดินเข้ามาด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น พลางมองเถาเอ๋อร์ที่ยังฟังเสียงดนตรี ในใจก็รู้สึกสับสนวุ่นวายตั้งแต่กองทัพมาถึงแม่น้ำมู่ตัน ก็ฟังคำสั่งของเถาเอ๋อร์ และนิ่งเฉยมาโดยตลอดผลคือผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้ว แผนการของเถาเอ๋อร์ยังไม่มีความคืบหน้าใด และหอสังเกตการณ์ตรงข้ามแม่น้ำมู่ตันก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว“จะเร่งเร้าอันใดกันนัก” เถาเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์“ข้าหาได้ต้องการจะเร่งเร้าไม่ ทว่าไม่มีเสบียงกรังแล้ว...”เจียงเต๋อจื้อพูดไม่ออก ตั้งแต่คลังหลวงของราชวงศ์ถูกปล้น ฝ่าบาทก็เริ่มยักย้ายทรัพย์สินของท้องพระคลังไปใช้ กอปรกับระยะนี้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยครั้ง ในท้องพระคลังจึงไม่มีเงินเหลืออยู่แล้วเสบียงที่จัดสรรให้กองทัพของพวกเขาในครานี้ อย่างมากสุดก็อยู่ได้เพียงสองเดือน เสบียงก็แทบไม่เหลือแล้ว“ไม่มีเสบียงก็ไปหามาสิ จะมารบกวนข้าเ
“เข้าใจแล้ว พวกเราจะไปกันเดี๋ยวนี้เลย”กู้หว่านเยว่จอดเฮลิคอปเตอร์ไว้ในพื้นที่โล่ง หลังจากนั้นก็พาซูจิ่งสิงเข้าไปใกล้โดยพลันนางโบกมือเก็บเสบียงของเถาเอ๋อร์จนหมดเกลี้ยงจากนั้นก็จู่โจมทหารลาดตระเวนสองนายจนสลบไป หลังจากนั้นก็สวมเสื้อผ้าของพวกเขา และแฝงกายเข้าไปในกองทัพเงียบ ๆ“กระโจมทหารของเถาเอ๋อร์อยู่ที่ใด?”กู้หว่านเยว่ขยิบตาให้ซูจิ่งสิง ก่อนทั้งสองจะสื่อสารกันด้วยคำพูด“ด้านหน้า”ซูจิ่งสิงชี้ไปทางทิศหนึ่งเถาเอ๋อร์เป็นมหาราชครู พื้นที่กระโจมทหารย่อมต้องดีที่สุด พวกเขาเพียงแค่มองหากระโจมทหารด้านหน้าก็พบแล้วทั้งสองคนเดินตามทหารลาดตระเวนไปครู่หนึ่ง ระบบของกู้หว่านเยว่ก็สแกนแผนที่ค่ายทหารเสร็จสิ้น ก่อนจะส่งขึ้นบนหน้าจอ“ไปเถอะ พวกเราต้องไปทางทิศตะวันออก”กู้หว่านเยว่จูงมือซูจิ่งสิง หลังจากสลัดทหารลาดตระเวนทิ้งแล้ว ก็เดินยืดอกผ่านกระโจมทหารไปทั้งสองคนสวมชุดทหารลาดตระเวน กอปรกับฟ้ามืดแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดความสงสัยของผู้ใดแม้แต่น้อยทั้งสองคนเดินมาถึงนอกกระโจมทหารขนาดใหญ่ซึ่งดูโอ่อ่าโดยไม่รู้ตัวขณะที่ได้ยินเสียงพิณอันไพเราะดังออกมาจากข้างในซูจิ่งสิงเดินไปข้างหน้าหน
“ใช้เวลาครึ่งก้านธูป” ยากระตุ้นกำหนัดนี้ เป็นยาที่ที่แรงที่สุดในคอลเลกชันของนาง ทันทีที่ออกฤทธิ์ก็จะสูญสิ้นสติสัมปชัญญะ ร่างกายร้อนรุ่มดั่งไฟผลาญ ปรารถนาเพียงราคะเท่านั้น เมื่อเห็นพวกของทานเริ่มมีท่าทางว่ายาออกฤทธิ์แล้ว กู้หว่านเยว่พูดเสียงต่ำว่า “ไปเถอะ พวกเราออกไปกันก่อน” นางไม่อยากอยู่ดูเรื่องที่ขัดความคิดผิดประเพณีแบบนี้ในกระโจมหรอกนะ “อื้อ” เมื่อคนทั้งสองออกจากกระโจมทัพ ก็พบกับทหารลาดตระเวนเข้าพอดี “เฮ้ นี่พวกเจ้าสองคนทำอะไรกันน่ะ?” ผู้เป็นหัวหน้าทหารที่เดินลาดตระเวนถาม ซูจิ่งสิงรีบดึงกู้หว่านเยว่เข้ามา เลียนแบบสำเนียงของพวกเขาแล้วกล่าวว่า “ท่านมหาราชครูต้องการบุรุษกำยำหลายนาย พวกเราเพิ่งพาคนเข้าไปน่ะ” มีเสียงครวญครางดังออกมาจากกระโจมทัพ พวกทหารลาดตระเวนสบตากัน ต่างพากันหัวเราะออกมาแล้ว เป็นดังคาด ไม่มีใครสงสัยซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ซุบซิบนินทากันไม่คำ ก็ไปเดินลาดตระเวนต่อ ในกระโจมทัพ หลังเถาเอ๋อร์สลบไป ก็ถูกความรุ่มร้อนสายหนึ่งทำให้ตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือด้วยความร้อน ความร้อนรุ่มสายนั้นไม่เหมือนกับความร้อนจากอากาศ เสมือนมีเปลวไฟกองหนึ่งลุกไหม้จากภายใ
“นังสารเลวที่สมควรตายนั่น ไม่รู้ว่าเอาเสน่ห์ยาแฝดอะไรให้ฝ่าบาทเสวย ถึงทำให้ฝ่าบาททรงเชื่อนางขนาดนั้น จนให้นางมาคุมทัพ” ผู้ที่เป็นผู้นำ ถึงกับเป็นเจียงเต๋อจื้อ เขานำคนเดินผ่านหน้ากระโจมไป ปากก็บ่นไปว่า “นางนับเป็นตัวอะไรกัน สตรีแพศยานางหนึ่ง ยังกล้ามาวางก้ามข้า” เจียงเต๋อจื้อโมโหจนใบหน้าบิดเบี้ยว “ตอนที่บิดาสู้ศึกอยู่ในสนามรบ นางยังไม่ทันเกิดเลยด้วยซ้ำ” กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากันครั้งหนึ่ง ดูท่าเจ้าเจียงเต๋อจื้อนี่กับเถาเอ๋อร์จะไม่ลงรอยกันนะ “ท่านพี่ หรือจะยังไม่ฆ่ามันดี?” กู้หว่านอี๋เสนออย่างเงียบๆ นางมองเจตนาสังหารของซูจิ่งสิงออก “เหลือมันไว้ ให้กัดกันเองกับเถาเอ๋อร์” ซูจิ่งสิงคิดจะฆ่าเจียงเต๋อจื้อจริงๆ เพราะในตอนที่ถูกริบทรัพย์ทั้งตระกูลนั้น เจียงเต๋อจื้อเหยียดหยามดูแคลนสกุลซูและตัวเขาสารพัดวิธี ไอ้คนต่ำช้านี่ พอเห็นผลประโยชน์ก็ลืมคุณธรรม ตายไปก็ไม่มีอะไรให้เสียดาย แต่เขาก็เข้าใจวัตถุประสงค์ของกู้หว่านเยว่เช่นกัน หากฆ่าเจียงเต๋อจื้อในเวลานี้ ฮ่องเต้สุนัขก็จะส่งผู้อื่นมาอีก มิสู้เหลือชีวิตมันไว้เลี้ยงหนอนกู่ดีกว่า แต่ต่อให้ไม่ฆ่ามัน ก็ไม่อาจปล่อยให้มันเป็นสุ
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก