เรื่องนี้พูดไปพูดมาล้วนเป็นเด็กผู้หญิงเสียเปรียบ สีหน้าฟู่หลานเหิงแข็งทื่อดุจเหล็ก“จิ่นเอ๋อร์เพิ่งมาเมืองอวี้ได้ไม่นาน อยู่ที่นี่ก็แทบไม่มีสหาย อีกทั้งยังไม่เคยผูกแค้นกับใคร เป็นใครโหดเหี้ยมเพียงนี้!”ก่อนซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่มา เขาสอบสวนขอทานเหล่านั้นแล้ว กลับไม่ได้รับอะไร“พวกเขาอาศัยความวุ่นวายในงานเลี้ยงแต่งงานลอบเข้าทางประตูหลัง บนตัวมีผงยาปลุกกำหนัด ตรงมาที่ห้องหอ”“พูดว่ามีคนจ่ายเงินจ้างพวกเขา ส่วนคนผู้นั้นเป็นใคร พวกเขาเองก็ไม่รู้จัก”เดิมทีฟู่หลานเหิงอยากให้พวกเขาวาดรูปพรรณสัณฐานของคนผู้นั้น ทว่าขอทานเหล่านั้นพูดว่าคนผู้นั้นปิดหน้า คาดว่าปลอมเสียง สวมชุดดำ ไม่สามารถหาเบาะแสอะไรได้ระหว่างพูด สองสามคนก็มาถึงห้องเก็บฟืน“ปล่อยพวกเราไปเถอะ พวกเราไม่รู้ใครเป็นคนสั่งจริงๆ”“พวกเราเพียงรับเงินมาทำงาน”กู้หว่านเยว่มองผ่านรอยแยกเข้าไป พบว่าคนเหล่านั้นล้วนถูกทรมานมาก่อนไม่ผิดไปดังคาด“หลังจบเรื่องแล้วอย่าลืมใช้น้ำส้มสายชูและเหล้าขาวฆ่าเชื้อห้องเก็บฟืน”“ฆ่าเชื้อ?”“อืม พวกเขาเป็นกามโรค”นางขมวดคิ้ว ไม่รู้สึกดีอันใดต่อกามโรค“กามโรค? นี่ นี่มิใช่โรคพรรค์นั้นหรือ?”ฟู่
“ท่านมหาราชครู อย่าได้ร้อนใจไป จะต้องสำเร็จแน่นอนขอรับ” หร่านถิงซึ่งอยู่ด้านข้าง ดีดสายพิณอย่างนุ่มนวลเมื่อได้ยินเสียพิณ จิตใจของเถาเอ๋อร์ก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย“มหาราชครู ฝ่าบาททรงมีรับสั่งเร่งรัดอีกคราแล้ว พวกเราจะโจมตีเจดีย์หนิงกู่เมื่อใดหรือ?”เจียงเต๋อจื้อเดินเข้ามาด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น พลางมองเถาเอ๋อร์ที่ยังฟังเสียงดนตรี ในใจก็รู้สึกสับสนวุ่นวายตั้งแต่กองทัพมาถึงแม่น้ำมู่ตัน ก็ฟังคำสั่งของเถาเอ๋อร์ และนิ่งเฉยมาโดยตลอดผลคือผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้ว แผนการของเถาเอ๋อร์ยังไม่มีความคืบหน้าใด และหอสังเกตการณ์ตรงข้ามแม่น้ำมู่ตันก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว“จะเร่งเร้าอันใดกันนัก” เถาเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์“ข้าหาได้ต้องการจะเร่งเร้าไม่ ทว่าไม่มีเสบียงกรังแล้ว...”เจียงเต๋อจื้อพูดไม่ออก ตั้งแต่คลังหลวงของราชวงศ์ถูกปล้น ฝ่าบาทก็เริ่มยักย้ายทรัพย์สินของท้องพระคลังไปใช้ กอปรกับระยะนี้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยครั้ง ในท้องพระคลังจึงไม่มีเงินเหลืออยู่แล้วเสบียงที่จัดสรรให้กองทัพของพวกเขาในครานี้ อย่างมากสุดก็อยู่ได้เพียงสองเดือน เสบียงก็แทบไม่เหลือแล้ว“ไม่มีเสบียงก็ไปหามาสิ จะมารบกวนข้าเ
“เข้าใจแล้ว พวกเราจะไปกันเดี๋ยวนี้เลย”กู้หว่านเยว่จอดเฮลิคอปเตอร์ไว้ในพื้นที่โล่ง หลังจากนั้นก็พาซูจิ่งสิงเข้าไปใกล้โดยพลันนางโบกมือเก็บเสบียงของเถาเอ๋อร์จนหมดเกลี้ยงจากนั้นก็จู่โจมทหารลาดตระเวนสองนายจนสลบไป หลังจากนั้นก็สวมเสื้อผ้าของพวกเขา และแฝงกายเข้าไปในกองทัพเงียบ ๆ“กระโจมทหารของเถาเอ๋อร์อยู่ที่ใด?”กู้หว่านเยว่ขยิบตาให้ซูจิ่งสิง ก่อนทั้งสองจะสื่อสารกันด้วยคำพูด“ด้านหน้า”ซูจิ่งสิงชี้ไปทางทิศหนึ่งเถาเอ๋อร์เป็นมหาราชครู พื้นที่กระโจมทหารย่อมต้องดีที่สุด พวกเขาเพียงแค่มองหากระโจมทหารด้านหน้าก็พบแล้วทั้งสองคนเดินตามทหารลาดตระเวนไปครู่หนึ่ง ระบบของกู้หว่านเยว่ก็สแกนแผนที่ค่ายทหารเสร็จสิ้น ก่อนจะส่งขึ้นบนหน้าจอ“ไปเถอะ พวกเราต้องไปทางทิศตะวันออก”กู้หว่านเยว่จูงมือซูจิ่งสิง หลังจากสลัดทหารลาดตระเวนทิ้งแล้ว ก็เดินยืดอกผ่านกระโจมทหารไปทั้งสองคนสวมชุดทหารลาดตระเวน กอปรกับฟ้ามืดแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดความสงสัยของผู้ใดแม้แต่น้อยทั้งสองคนเดินมาถึงนอกกระโจมทหารขนาดใหญ่ซึ่งดูโอ่อ่าโดยไม่รู้ตัวขณะที่ได้ยินเสียงพิณอันไพเราะดังออกมาจากข้างในซูจิ่งสิงเดินไปข้างหน้าหน
“ใช้เวลาครึ่งก้านธูป” ยากระตุ้นกำหนัดนี้ เป็นยาที่ที่แรงที่สุดในคอลเลกชันของนาง ทันทีที่ออกฤทธิ์ก็จะสูญสิ้นสติสัมปชัญญะ ร่างกายร้อนรุ่มดั่งไฟผลาญ ปรารถนาเพียงราคะเท่านั้น เมื่อเห็นพวกของทานเริ่มมีท่าทางว่ายาออกฤทธิ์แล้ว กู้หว่านเยว่พูดเสียงต่ำว่า “ไปเถอะ พวกเราออกไปกันก่อน” นางไม่อยากอยู่ดูเรื่องที่ขัดความคิดผิดประเพณีแบบนี้ในกระโจมหรอกนะ “อื้อ” เมื่อคนทั้งสองออกจากกระโจมทัพ ก็พบกับทหารลาดตระเวนเข้าพอดี “เฮ้ นี่พวกเจ้าสองคนทำอะไรกันน่ะ?” ผู้เป็นหัวหน้าทหารที่เดินลาดตระเวนถาม ซูจิ่งสิงรีบดึงกู้หว่านเยว่เข้ามา เลียนแบบสำเนียงของพวกเขาแล้วกล่าวว่า “ท่านมหาราชครูต้องการบุรุษกำยำหลายนาย พวกเราเพิ่งพาคนเข้าไปน่ะ” มีเสียงครวญครางดังออกมาจากกระโจมทัพ พวกทหารลาดตระเวนสบตากัน ต่างพากันหัวเราะออกมาแล้ว เป็นดังคาด ไม่มีใครสงสัยซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ซุบซิบนินทากันไม่คำ ก็ไปเดินลาดตระเวนต่อ ในกระโจมทัพ หลังเถาเอ๋อร์สลบไป ก็ถูกความรุ่มร้อนสายหนึ่งทำให้ตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือด้วยความร้อน ความร้อนรุ่มสายนั้นไม่เหมือนกับความร้อนจากอากาศ เสมือนมีเปลวไฟกองหนึ่งลุกไหม้จากภายใ
“นังสารเลวที่สมควรตายนั่น ไม่รู้ว่าเอาเสน่ห์ยาแฝดอะไรให้ฝ่าบาทเสวย ถึงทำให้ฝ่าบาททรงเชื่อนางขนาดนั้น จนให้นางมาคุมทัพ” ผู้ที่เป็นผู้นำ ถึงกับเป็นเจียงเต๋อจื้อ เขานำคนเดินผ่านหน้ากระโจมไป ปากก็บ่นไปว่า “นางนับเป็นตัวอะไรกัน สตรีแพศยานางหนึ่ง ยังกล้ามาวางก้ามข้า” เจียงเต๋อจื้อโมโหจนใบหน้าบิดเบี้ยว “ตอนที่บิดาสู้ศึกอยู่ในสนามรบ นางยังไม่ทันเกิดเลยด้วยซ้ำ” กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากันครั้งหนึ่ง ดูท่าเจ้าเจียงเต๋อจื้อนี่กับเถาเอ๋อร์จะไม่ลงรอยกันนะ “ท่านพี่ หรือจะยังไม่ฆ่ามันดี?” กู้หว่านอี๋เสนออย่างเงียบๆ นางมองเจตนาสังหารของซูจิ่งสิงออก “เหลือมันไว้ ให้กัดกันเองกับเถาเอ๋อร์” ซูจิ่งสิงคิดจะฆ่าเจียงเต๋อจื้อจริงๆ เพราะในตอนที่ถูกริบทรัพย์ทั้งตระกูลนั้น เจียงเต๋อจื้อเหยียดหยามดูแคลนสกุลซูและตัวเขาสารพัดวิธี ไอ้คนต่ำช้านี่ พอเห็นผลประโยชน์ก็ลืมคุณธรรม ตายไปก็ไม่มีอะไรให้เสียดาย แต่เขาก็เข้าใจวัตถุประสงค์ของกู้หว่านเยว่เช่นกัน หากฆ่าเจียงเต๋อจื้อในเวลานี้ ฮ่องเต้สุนัขก็จะส่งผู้อื่นมาอีก มิสู้เหลือชีวิตมันไว้เลี้ยงหนอนกู่ดีกว่า แต่ต่อให้ไม่ฆ่ามัน ก็ไม่อาจปล่อยให้มันเป็นสุ
เมื่อซูจิ่งสิงโปรยผงพิษส่งเจียงเต๋อจื้อเสร็จ ก็เหินร่างกลับไปอยู่ข้างกายกู้หว่านเยว่ “เป็นอย่างไรบ้าง สำเร็จแล้วหรือไม่?” ท่าทางของกู้หว่านเยว่ดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ซูจิ่งสิงยิ้มบางๆ ว่า “สามีของเจ้าออกปฏิบัติการทั้งที ก็ต้องสำเร็จอยู่แล้ว” เขาหยิบผงคันคะเยอที่เหลือออกมา “เหลือที่ไม่ได้ใช้อีกมาก เจ้าเก็บไว้ อย่าได้สิ้นเปลืองเสียล่ะ เพื่อในอนาคตยังมีประโยชน์อีก” “ได้” กู้หว่านเยว่หัวเราะอิอิ โบกมือน้อยๆ เก็บผงคันคะเยอเข้าไปในมิติ นางถึงกับนึกภาพน่าอนาถต่อจากนี้ ที่เจียงเต๋อจื้อคันจนทนไม่ไหวออกเลย กู้หว่านเยว่กวาดของไปตลอดทั้งคืน เวลานี้แทบจะขโมยของในค่ายทหารกว่าครึ่งไปหมดแล้ว กระทั่งเสื้อผ้าที่เหล่าทหารถอดออกมาจะนำไปซักก็เก็บไปด้วยแล้ว ไม่ว่าเห็นสิ่งใดเป็นประโยชน์ก็ต้องเก็บ ราวกับโจรร้ายก็ไม่ปาน “เก็บมาทั้งคืน รู้สึกหิวบ้างแล้ว ถือโอกาสที่ฟ้าเพิ่งสาง พวกเราไปกินข้าวเช้ากันเถอะ” กู้หว่านเยว่เสนอ ยามนี้นางกำลังตั้งครรภ์ เดิมก็ใช้พลังงานมากอยู่แล้ว แล้วยังใช้งานมิติอีก จึงยิ่งเผาผลาญพลังงานไปเร็วกว่าเดิม ซูจิ่งสิงรู้ว่าช่วงนี้ภรรยาหิวเร็ว “แต่ว่าตอนนี้พวกเราอยู่ในค่ายท
“ข้าจะสอนให้ท่าน” กู้หว่านเยว่แนะนำวิธีกดชัตเตอร์เพียงคร่าว ๆ ซูจิ่งสิงถือว่าหัวไว ไม่นานเขาก็เรียนรู้จนทำได้ เขาหันมากดชัตเตอร์ใส่กู้หว่านเย่วเสียงดังแชะแชะ “ให้ข้าดูหน่อย” กู้หว่านเยว่หยิบกล้องขึ้นมา จากนั้นหุบยิ้มทันที เป็นจริงตามคาด ไม่มีแฟนหนุ่มคนไหนถ่ายรูปแฟนสาวออกมาดูดีสักคน! ผู้ชายไม่เอาไหน! “ไม่สวยเลย!” กู้หว่านเยว่เบ้ริมฝีปากแดง “ท่านถ่ายรูปข้าไม่สวยเลย” ซูจิ่งสิงรู้สึกผิด “น้องหญิง ให้โอกาสข้าอีกครั้งเถอะ” เขาก็ไม่รู้เพราะเหตุใด เห็นชัดว่าในกล้องน้องหญิงดูงดงาม ทว่าเมื่อถ่ายออกมาไม่เป็นภาพซ้อนก็เป็นภาพมุมอับ... เขาวางกล้องไว้ข้างมือ รอกินอาหารเสร็จแล้วค่อยศึกษาดูใหม่ ทว่าตอนที่กินแซนด์วิชไข่ดาว สีหน้าของเขาดูเหยเกอีกแล้ว นี่คือสิ่งใดกัน หวานหวาน เค็มเค็ม รสชาติไม่ดีเลย... ทว่าน้องหญิงกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย ซูจิ่งสิงแอบวางแซนด์วิชไข่ดาวลง และหยิบเกี๊ยวน้ำที่อยู่ข้างกันขึ้นมากู้หว่านเยว่คิดไม่ถึงว่าซูจิ่งสิงจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับอาหารเช้าในสมัยปัจจุบันได้เลย ทว่าก็ไม่บังคับฝืนใจเขา จากนั้นจึงรีบหยิบแซนด์วิชไข่ดาวมากินเองหลังจากกินอาหารมื้อเช้าเ
บุรุษที่นอนอยู่บนเตียงเหล่านั้น มุมปากยังมีน้ำลายติดอยู่ พวกเขาอายุไม่เท่ากัน ทั้งหนุ่มและแก่ทว่าสิ่งเดียวที่เหมือนกันคือ บนร่างกายของพวกเขามีตุ่มแดงและตุ่มน้ำขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน เมื่อคืนพวกเขาคงจัดหนักเกินไป ตุ่มน้ำแตกออกและมีของเหลวไหลซึมออกมา ทำเอาเจียงเต๋อจื้อตกใจจนต้องถอยห่าง “กาม กามโรค!”เขาไม่เคยเป็นโรคนี้มาก่อน ทว่าเขาเคยเห็นสหายสนิทเป็นโรคนี้สหายสนิทมักจะไปหอนางโลม หลังจากติดโรคนี้มา ตุ่มน้ำแดงบนร่างกายของเขาจะเริ่มแตกและเน่าเปื่อยคันไปทั่วทั้งตัวจนทนไม่ไหวในเวลาไม่ถึงครึ่งปี เขาก็จากไปหลังจากเจียงเต๋อจื้อตกใจแล้ว เขาพลันรู้สึกเบิกบาน และปรบมือ“มหาราชครู ท่านถูกผู้ใดใช้อุบายชั่วเล่นงาน?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงโอหัง “เฮ้อ เดิมทีข้าก็เคยบอกท่านแล้ว ในยามปกติประพฤติตัวให้ดีหน่อย อย่าสร้างศัตรูให้มาก” เจียงเต๋อจื้อเยาะเย้ย “ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือไม่ ถูกคนลอบวางแผนเล่นงาน ท่านว่าในกระโจมทหารใหญ่โตแห่งนี้ ผู้ใดต้องการลอบเล่นงานท่าน?”เขาหยุดพักความคิดที่จะข่มเหงเถาเอ๋อร์ผู้หญิงที่เป็นกามโรค เขาไม่กล้ายุ่งเกี่ยวด้วย“ตามความเห็นของข้า สตรีไม่สมควรออกหน้าออกตา”เจ
“นี่คือเรือใหญ่ของหมู่บ้านเรา สามารถจุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ด้านท้ายเรือยังมีเรือเล็กอีกสองลำ เพื่อความสะดวกในการให้คนลงไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านแนะนำ กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบบันไดขึ้นไปบนเรือใหญ่ทันที“หว่านเยว่!”แววตาของซูจิ่งสิงทั้งเอ็นดูและจนปัญญา“เจ้าห้ามไปที่ทะเลสาบ ตกลงกันแล้ว”“เราเป็นสามีภรรยากัน”กู้หว่านเยว่กะพริบตา กล่าวอย่างซุกซน“หากมีอันตราย ก็จะได้ตายไปพร้อมกัน”ซูจิ่งสิง ...ระหว่างพูด กู้หว่านเยว่ก็ขึ้นไปบนเรือแล้ว พร้อมกับเรียกให้ทุกคนขึ้นมา ซูจิ่งสิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลางเหาะขึ้นไปบนเรือ แล้วโอบเอวนางไว้“ชิงหว่าน”สายตาของเผยเสวียนฉายแววไม่เห็นด้วย ทำให้เมี่ยชิงหว่านโกรธมาก“คนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรคือท่านพ่อของข้า หากท่านรักตัวกลัวตายก็ไม่ต้องไป แต่ข้าต้องไปให้ได้”พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วก้าวขึ้นเรือไปเผยเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นตามไปด้วยสีหน้ามืดมนเนื่องจากมาตรวจสอบหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ซูจิ่งสิงจึงนำองครักษ์ที่พายเรือเป็นมาล่วงหน้า หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือแล้ว ซูจิ่งสิงก็สั่งให้องครักษ์พายเ
“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งชิงโบกมือให้ลุก เขามีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่ต้องมากพิธีเขาเปิดเรื่องถามทันที “ทะเลสาบที่เกิดเรื่องอยู่ไหน?”“ด้านหลังหมู่บ้าน เชิญท่านอ๋องตามข้าน้อยมา”ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีใครสนใจ คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเดินทางมาด้วยตัวเองจากปากทางหมู่บ้านไปถึงทะเลสาบยังห่างไปอีกช่วงหนึ่ง กู้หว่านเยว่จึงถือโอกาสถามทันทีว่า“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังหน่อยเจ้าค่ะ”ผู้ใหญ่บ้านสังเกตเห็นว่าข้างกายของท่านอ๋องนั้นยังมีสตรีหน้าตางดงามอีกหนึ่งคนตั้งแต่ที่ท่านอ๋องจูงมือของนาง แสดงท่าทางปกป้องมากเป็นพิเศษ ผู้ใหญ่บ้านพอจะเดาสถานะของกู้หว่านเยว่ได้ครั้นเห็นนางเอ่ยปากถาม จึงรีบกล่าวทันที“รายงานพระชายา ทะเลสาบแห่งนี้ชื่อว่าทะเลสาบโก่วสยง”เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างตกปลาเลี้ยงชีพจากทะเลสาบแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน กลับเกิดพายุครั้งใหญ่เกิดฟ้าผ่าสายหนึ่งกลางทะเลสาบโก่วสยงแห่งนี้“ยามนั้นเรียกได้ว่าแผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง จนชาวบ้านต้องพากันออกมาดูสถานการณ์ ผลปรากฏว
“ว่ามา”“เช้าตรู่วันนี้ หมู่บ้านชาวประมงมีชาวประมงสูญหายอีกสองคน หนานหยางอ๋องทรงรับสั่งให้รุดหน้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าหลังจากที่มาถึงกลางทะเลสาบ เรือและคนก็ล้วนหายไปพร้อมกันขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป “หนานหยางอ๋องไปที่นั่นได้อย่างไร?”“พระชายาทรงยังไม่ทราบ เดิมทีหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นเป็นที่ตั้งหลักของกองทัพทหารหนานหยางอ๋อง”ฉู่เฟิงกล่าวอธิบาย คิ้วของกู้หว่านเยว่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม“ท่านพี่ เรารีบไปดูกันเถอะ”ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินทาง คาดไม่ถึงว่าหนานหยางอ๋องจะเกิดเรื่องเช่นนี้ก่อน ดังนั้นแผนการเดิมคือการสำรวจหมู่บ้านชาวประมงอย่างช้า ๆ หากหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นอันตรายมากจริง ๆ ก็ต้องล้อมทะเลสาบนั้นไว้ ห้ามใครเข้าไปเด็ดขาดแต่ตอนนี้หนานหยางอ๋องดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เรื่องราวกลับเลวร้ายมากขึ้นทุกที“เราต้องไปดูก่อน ฉู่เฟิงเจ้ามาบังคับม้า เร่งความเร็วกว่านี้”ฉู่เฟิงพยักหน้า ทันทีที่กระโดดขึ้นรถม้าก็เห็นรถม้าอีกคันไล่ตามมา“พี่หญิงหว่านเยว่!”เมี่ยชิงหว่านเปิดม่านหน้าต่างรถม้า ก่อนจะชะโงกหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาออกมา“ท่านพ่อเกิดเรื่องแล้ว
เช้าวันที่สอง ในที่สุดซูจื่อชิงก็ลืมตาหลังจากเมาค้างมาหนึ่งคืนเต็ม อาการปวดหัวของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น วินาทีต่อจากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงฉับพลัน“ชิวจู๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงของเขา อีกทั้งบนตัวของนางก็สวมใส่เพียงเสื้อเอี๊ยมชิ้นเดียวซูจื่อชิงกระโดดลงจากเตียงทันที จากนั้นก็มองไปยังเสื้อผ้าที่ร่วงอยู่บนพื้นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “เมื่อคืนคุณชายรองคิดว่าข้าเป็นผู้อื่น จึงถอดเสื้อผ้าของข้า...”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของซูจื่อชิงซีดเผือดลง เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายพูดเป็นนัยอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เวลานี้อาการปวดหัวของเขาทวีคูณมากขึ้น เขาไม่มีความภาพความประทับใจของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย เขาคิดไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรชิวจู๋หรือไม่“เราสองคนทำอะไรกันแน่?”เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยนึกชอบชิวจู๋“เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายรองยังอยากจะให้ข้าพูดออกมาอีกอย่างนั้นหรือ แล้วข้ายังจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ น้
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่
นางหยางปาดน้ำตา “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลกู้จื่อชิงให้ดี มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว เรื่องในวันนี้คงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเจ้าเอง”ชิวจู๋กัดริมฝีปากพยักหน้าหลังจากที่กู้หว่านเยว่ต้มยาระงับประสาทให้แล้ว ก็ยื่นใบสั่งยาให้คนอื่น เพื่อเตรียมสมุนไพรนางแอบลากซูจิ่งสิงเข้ามาในมุมหนึ่งของลานกว้าง“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงไม่พูดสิ่งใด เรื่องความรู้สึกของซูจื่อชิงเขาเองก็ไม่รู้จะเข้าไปแทรกอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมี่ยชิงหว่านกำลังจะหมั้นกับเผยเสวียนแล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปชิงตัวใครออกมาอย่างแน่นอนครั้นกู้หว่านเยว่เห็นซูจิ่งสิงไม่กล่าวสิ่งใด ก็รู้ทันทีว่าคนที่แข็งกระด้างด้านความรู้สึกอย่างเขาคงไม่มีทางคิดออกแน่นอนดังนั้น นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ท่านไม่รู้สึกว่าการแต่งงานของเมี่ยชิงหว่านและเผยเสวียนกะทันหันเกินไปหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”“ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน มากสุดเพียงครึ่งเดือน อีกทั้งช่วงเวลานี้ ชิงหว่านไม่ได้สนใจเผยเสวียนเลย กลับเป็นเผยเสวียนที่คอยเอาแต่ประกาศอยู่เรื่อย ๆ ทำ
“คุณชายรองเราไปกันเถอะ ในเมื่อคุณหนูฟู่ตัดสินใจจะหมั้นกับคุณชายเผยแล้ว ต่อให้ท่านรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ”ชิวจู๋ประคองซูจื่อชิงลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าซูจื่อชิงจะรับแรงกระตุ้นไม่ไหวกระอีกออกมาเป็นเลือดและสลบไปในที่สุด“คุณชายรอง คุณชายรอง!” ชิวจู๋รีบประคองซูจื่อชิงกู้หว่านเยว่กำลังคุยเรื่องนี้กับซูจิ่งสิงพอดี ครั้นได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าซูจื่อชิงสลบไม่ได้สติและกระอักออกมาเป็นเลือด“เด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกเขาอยู่หยก ๆ ว่าให้ถนอมร่างกายของตัวเอง ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ด่าทอพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนรีบเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง“เกิดอะไรขึ้น?”ทันทีที่เข้าไปก็เห็นซูจื่อชิงสลบอยู่บนเตียง สีหน้าเขียวคล้ำ มุมปากมีคราบเลือดหยดหนึ่งติดอยู่นางหยางและซูจิ้งกลับมาพอดี ครั้นเห็นบุตรชายกลายเป็นเช่นนี้ ก็เจ็บปวดคล้ายกับโดนมีดหรีดหัวใจ“หว่านเยว่ เจ้ารีบดูอาการให้เขาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าเรียกเขาอยู่ครึ่งวัน กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด”“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป น้องชายรองแค่สลบไปเท่านั้น
“ในเมื่อเขามาหาเจ้าแล้วถึงที่แล้ว เจ้าก็ควรออกพบเขาสักหน่อย”เผยเสวียนคลี่ยิ้มหวาน ทำให้เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วแน่น“ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอใคร เจ้าไปบอกเขาเถอะ ข้าเข้านอนแล้ว”เด็กรับใช้ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง เผยเสวียนตั้งใจลูบแก้มของนาง“สาเหตุที่เขาอยากพบเจ้าตอนนี้ คาดว่าคงยังคาใจ อยากฟังคำตอบจากปากของเจ้าเอง ข้าอยากให้เจ้าออกไปบอกเขาด้วยตัวเอง ให้เขาตัดใจเสียเถิด”เมี่ยชิงหว่านตัวสั่นระริก “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เจอเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ไม่ได้”เผยเสวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ชิงหว่าน เด็กดี เชื่อฟังข้าเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จากการโกรธของข้าจะเป็นอย่างไร”เมี่ยชิงหว่านลังเลเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไป“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปบอกเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกเขาเอง ถึงตอนนั้นอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ข้าเกรงว่าคงจะควบคุมปากไว้ไม่ได้”เผยเสวียนกล่าวพลางสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกนัยน์ตาของเมี่ยชิงหว่านฉายแววเกลียดชัง จากนั้นก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ข้าไปเอง ข้าจะออกไปบอกเขาเอง”“แบบนี้สิ ถึงจะเป็นคู่หมั้นที่น่ารักของข้า”เผยเสวียนหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพลางส
หลังจากเกิดความชุลมุนพักใหญ่ ในที่สุดเจ้าตัวก็ฟื้น “ข้า ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”ซูจื่อชิงมองรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา ท่าทางนั้นเหมือนตายทั้งเป็นกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ชิงหว่านกำลังจะหมั้นแล้ว ต่อไปเจ้าสองคนก็ต้องต่างคนต่างอยู่ เจ้าทำตัวแบบนี้ไปให้ใครดูกัน?”ซูจื่อชิงตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมา“ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ต้องโทษปากของข้าที่เอาแต่ขับไสไล่ส่งนางออกไปไกลมากขึ้นทุกที”ตอนนี้ซูจื่อชิงน้ำตาเช็ดหัวเข่า“ทำไมข้าถึงชอบพูดประชดประชัน ทำไมข้าถึงไม่บอกความรู้สึกของข้ากับนางให้เร็วกว่านี้”บัดนี้คงทำได้แค่มองคนที่ตนรักแต่งงานกับคนอื่นไปต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? หลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจอยู่แต่ในร้านอาหาร ดื่มจนเมามาย เพียงแค่อยากให้ตัวเองไร้ความรู้สึกเท่านั้นน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ไม่สามารถลบล้างด้วยการดื่มเหล้าได้ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ทำได้แค่ลืมไปชั่วขณะ หลังจากสร่างเมากลับมาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม“เสียใจ ข้าเสียใจจริง ๆ”ซูจื่อชิงน้ำตาไหลอาบสอง