พริบตาต่อมาก็ถึงวันที่สิบห้าเดือนสามแล้ววันนี้ถูกกำหนดไว้ชั่วคราว แม้ว่าเร่งรีบไปบ้าง แต่ขั้นตอนที่พึงมีก็จะขาดไปไม่ได้สามหนังสือหกพิธี ฟู่หลานเหิงเตรียมการครบถ้วนสมบูรณ์ บิดามารดาสกุลฟู่เองก็ใจกว้าง ทั้งหมดล้วนทำตามความนัยของลูกชายวันแต่งงาน ซูจิ่นเอ๋อร์สวมชุดเจ้าสาวสีแดงตั้งแต่เช้า นั่งหน้าคันฉ่อง ราวกับกำลังฝันไปกู้หว่านเยว่กุมมือเล็กของนางไว้ ใส่กำไลทองหนักๆ หนึ่งวง เปล่งเสียงนุ่มนวล“ข้าและพี่ใหญ่เจ้าเตรียมคฤหาสน์ไว้ให้เจ้าที่เมืองอวี้และเมืองตะวันไม่ตกดินแห่งละหนึ่งหลัง โฉนดใส่ไว้ในสินเดิมของเจ้าแล้ว เส้นทางในภายภาคหน้า เจ้าต้องเดินด้วยตนเอง”“พี่สะใภ้ใหญ่” ซูจิ่นเอ๋อร์สะอื้นเบาๆ ใบหน้าเล็กถูกทาชาดไว้เผยความอ่อนเยาว์อย่างชัดเจน“เพิ่งสิบสี่ปี อิงตามหลักการแล้ว ยังต้องรออีกสองปี เพียงแต่ข้ารู้เจ้ากังวลร่างกายของใต้เท้าฟู่ ต้องการไปดูแลเขาโดยเร็ว พี่สะใภ้ใหญ่ก็ทำให้เจ้าสมปรารถนาแล้ว”กู้หว่านเยว่ช่วยซูจิ่นเอ๋อร์ปัดผมบนหน้าผาก ซูจิ่นเอ๋อร์ซาบซึ้งอย่างสุดจิตสุดใจ โผเข้าหาอ้อมกอดนางทั้งน้ำตา“ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ที่ทำให้สมปรารถนา จิ่นเอ๋อร์มีวันนี้ได้ ล้วนได้รับการสั่งสอนจา
“เกิดอันใดขึ้น?”ซูจิ่งสิงส่งซูจิ่นเอ๋อร์ขึ้นเกี้ยว กวาดมองบรรยากาศเจือกลิ่นอายมีความสุข เป่าปี่ตีกลองเสียงดังมาก ทั้งสองเดินมาที่ฝั่งหนึ่งกู้หว่านเยว่กระซิบข้างโสตเขา “หร่านถิงส่งรายงานลับมา คืนนี้เถาเอ๋อร์ต้องการสั่งให้คนเผายุ้งฉางทุกแห่งเจ้าค่ะ”นางโมโหคันเขี้ยวแผนโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนักเพื่อดูแลผู้ลี้ภัย กู้หว่านเยว่สร้างยุ้งฉางไว้ทุกอำเภอภายในยุ้งฉางล้วนเป็นนางใช้มิติย้ายเข้าไปทุกยุ้งฉาง อย่างน้อยใส่เสบียงอาหารนับตันหากถูกเผาจริง เช่นนั้นนางก็เจ็บเนื้อแล้วยิ่งไปกว่านั้นเถาเอ๋อร์ไม่เสียดายเสบียงอาหารเลยแม้แต่น้อย ไม่ใส่ใจความเป็นตายของราษฎร์“ผู้ลี้ภัยของเจดีย์หนิงกู่มีหลายหมื่นคน เสบียงอาหารถูกเผา ผู้ลี้ภัยไม่มีเสบียงอาหาร เจดีย์หนิงกู่ต้องชุลมุนวุ่นวายเป็นแน่”ซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว จิตสังหารวูบไหวภายในก้นบึ้งของสายตาเถาเอ๋อร์คนนี้ อำมหิต!“นางมิใช่ต้องการเผายุ้งฉางหรือ เช่นนั้นก็ให้นางได้รับผลกรรมเองเถอะ”กู้หว่านเยว่แสยะยิ้มชั่วร้ายใช้แนวทางของฝ่ายตรงข้ามตอบโต้กลับไป นางเชี่ยวชาญที่สุดแล้ว“ความนัยของเจ้าคือ...”ซูจิ่งสิงชะงัก ก็เห็นกู้หว่านเยว่เขย่งเท้า ก
ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เดินเข้ามา เอ่ยถามสถานการณ์ ชิวจู๋รีบตอบ“ล้วนเป็นความผิดของบ่าว น้ำร้อนเดือดนี้ บ่าวไม่ถือให้ดี ราดใส่ตัวคุณชายรองแล้ว”ซูจื่อชิงกัดฟันอธิบาย “ไม่โทษนาง เป็นข้าเดินไม่ดูทาง เข้าไปชนนาง”ชิวจู๋ตกตะลึง มองซูจื่อชิงสายตาซาบซึ้ง“ไปที่เรือนส่วนในถอดเสื้อผ้าออก ใช้น้ำเย็นอาบ”กู้หว่านเยว่เอ่ยกำชับ น้ำร้อนนี้อุณหภูมิสูงมาก เพียงไม่ทันระวังก็ทิ้งแผลเป็นได้“ขอรับ”ครู่ต่อมาซูจื่อชิงมองทางเมี่ยชิงหว่าน เห็นว่าสายตาอีกฝ่ายหันมองทางอื่น มิมองเขา อารมณ์หม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด“พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไปเรือนส่วนในก่อนแล้ว”ซูจื่อชิงวิ่งไปยังเรือนส่วนในอย่างว่องไวปานเหินบิน“เจ้าเองก็เบิกยาทาแผลถูกลวกที่คลังมาเล็กน้อย เป็นเด็กผู้หญิงอย่าได้ทิ้งแผลเป็นไว้บนตัว”กู้หว่านเยว่สบมองชิวจู๋สายตาอ่อนโยน สาวใช้คนนี้ไม่คุ้นหน้าอยู่บ้าง อาจเป็นหลี่เฉินอันส่งมาช่วยเหลือกระมัง“ขอบคณฮูหยิน” ชิวจู๋หางตาแดงเรื่อ รีบขอบคุณและออกไป“จื่อชิงถูกลวกรุนแรงนัก ข้าไปดูหน่อย” กู้หว่านเยว่หันหน้าไปเอ่ยกับซูจิ่งสิง“ได้ ให้ชิงเหลียนประคองเจ้าไป”วันนี้มีคนมาก ซูจิ่งสิงเองก็ไม่อยากให
หลังซูจิ่นเอ๋อร์นั่งบนเกี้ยวแล้ว เสียงเป่าตีดังตลอดทางจนมาถึงคฤหาสน์หลังใหม่ของสกุลฟู่นี่คือฟู่หลานเหิงจัดการไว้สำหรับแต่งงาน ย่อมไม่สามารถแต่งงานแล้ว ก็พาภรรยาเข้าไปอยู่ในศาลาว่าการได้หรอกกระมังยิ่งไปกว่านั้นคฤหาสน์หลังนี้อยู่ห่างจากจวนกู้เพียงถนนสองสาย ครั้นเขาติดพันงานราชการ จิ่นเอ๋อร์ก็สามารถกลับไปเที่ยวเล่นที่จวนกู้ได้ทุกเมื่อก่อนนี้ฟู่หลานเหิงคิดมากเกินไป ไม่กล้ารับรักซูจิ่นเอ๋อร์ทว่าเพียงเขายอมรับแล้ว ก็ทำอย่างดีที่สุด อยากจะควักหัวใจออกมามอบให้ซูจิ่นเอ๋อร์ ไม่ว่าอะไรก็ล้วนต้องมอบของดีที่สุดให้นาง“ใต้เท้า มีสหายร่วมงานมากมายมาแสดงความยินดีกับการแต่งงานของท่าน”“เชิญพวกเขาไปนั่งในงานเถอะ”เกี้ยวผ่านเข้าประตู ฟู่หลานเหิงจูงมือซูจิ่นเอ่อร์ข้ามเตาอั้งโล่ เข้าโถงหลักปูด้วยพรมแดง กราบไหว้ฟ้าดินเสียงคนทำพิธีดังออกไปภายนอก “หนึ่งคำนับฟ้าดินสองคำนับบิดามารดาสามสามีภรรยาคำนับกันและกัน”ซูจิ่นเอ๋อร์ได้ยินว่า “ส่งเข้าห้องหอ” สองสามคำนี้ รอยยิ้มหวานล้ำปรากฏขึ้นในแววตา ปล่อยฟู่หลานเหิงจูงผ้าแพรสีแดงของนางไปอย่างอิสระ ทีละก้าวๆ ส่งนางเข้าห้องใหม่สีแดงภายในกลุ่มคน สองสามคนจ
องครักษ์ข้างหน้ากำลังเดินไป คล้ายสังเกตไม่เห็น เงาดำหลายร่างนั้นกล้ามากขึ้น ลอบออกจากพวกเขา เข้าไปภายในยุ้งฉางห้าหกคนมารวมตัวกันในลาน คนหนึ่งกระซิบเสียงค่อย “ยังคิดว่าองครักษ์เฝ้ายุ้งฉางเข้มงวดมากเสียอีก ลอบเข้ามาได้ง่ายเพียงนี้เชียวรึ”“หุบปาก” คนเป็นหัวหน้ารู้สึกไม่ชอบมาพากล “ทำธุระสำคัญที่สุด”“เหนือใต้ออกตกแยกย้ายไปละคนทิศ ข้าไปใจกลาง ถึงแล้วราดน้ำมันในเต็มทุกพื้นที่ โยนหินเหล็กไฟเข้าไป ไฟติดแล้วก็ไป”“ขอรับ”แผนการเป็นขั้นเป็นตอน หลายคนนั้นต้องการโผล่ศีรษะออกไปภายในมุมหนึ่ง ลู่จิงดีดนิ้วเบาๆ จากนั้นเสียงหอนของหมาป่าก็ดังขึ้น“โบร๋ว”“มารดาเถอะ นี่คือเสียงอะไร ฟังแล้วชวนให้คนขนลุก”“คล้ายเสียงหมาป่า”“เหลวไหล ไฉนเลยจะมีหมาป่าภายในเมืองได้?” คนเป็นหัวหน้าสบถออกมาทีหนึ่ง ลูกน้องยกมือสั่นๆ “ไม่ใช่ พี่ พี่ใหญ่ ข้างหลังท่าน มีหมาป่าจริงๆ”มองเห็นหมาป่าตาเขียวเดินออกมาทีละตัวรอบทิศทาง สายตาจับจ้องพวกเขา“อ๊า!” หลายคนนั้นร้องออกมา หมาป่าถูกกระตุ้น ขาสองข้างย่ำพื้น กระโจนขึ้นมากัดขาหนึ่งในพวกเขา“อ๊า เจ็บจะตายแล้ว ช่วยด้วย!”จากนั้นเสียงร้องโอดครวญก็น่าสงสารมากยิ่งขึ้น หมาป
กู้หว่านเยว่สนใจขึ้นมาแล้ว “ข่าวลืออะไร?”“พูดว่ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสองสามีภรรยา เป็นดาวหายนะลงมาสู่โลกมนุษย์หากสวรรค์พิโรธ จะทำให้ยุ้งฉางลุกไหม้ด้วยตนเองต้องการระงับโทสะของสวรรค์ มีเพียงต้องใช้พวกท่านเป็นเครื่องสังเวย หาไม่แล้วเจดีย์หนิงกู่ก็จะพบเจอภัยพิบัติ”คนเป็นหัวหน้าพูดเสียงสั่นๆ กลัวตนเองพูดผิดไป ชีวิตน้อยๆ ก็จบสิ้นแล้วกู้หว่านเยว่โมโหจนหัวเราะออกมาแล้ว ดาวหายนะลงมาสู่โลกมนุษย์ น้ำสกปรกหนึ่งอ่างใหญ่เลยทีเดียวหากมาถึงขั้นนี้จริง ราษฎร์ในเจดีย์หนิงกู่ก็กลัวสวรรค์ จะต้องขอให้พวกเขาเป็นเครื่องสังเวยอย่างแน่นอนอย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอันใดในเจดีย์หนิงกู่นี้“ไม่เพียงแค่นี้กระมัง?”ฝ่ายชายหันมองซูจิ่งสิงแวบหนึ่ง ไม่กล้าพูดอยู่บ้างทันใดนั้นพลุก็ถูกจุดขึ้นทางฝั่งคฤหาสน์ฟู่“พลุสีแดง คฤหาสน์ฟู่ตกอยู่ในอันตราย”สีหน้ากู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป สายตาคมกริบตกลงบนตัวชายที่กำลังสั่น“พูด!”“มหาราชครูยังหาขอทานเป็นกามโรคอีกสองสามคน!สั่งให้ลอบเข้าคฤหาสน์ฟู่ ข่มขืนเจ้าสาว ปรักปรำลงบนตัวสกุลซู”“เพล้ง” ซูจิ่งสิงปาถ้วยชาในมือจนแหลกละเอียด สีหน้าแข็งทื่อดุจเหล็กจนคนต
เรื่องนี้พูดไปพูดมาล้วนเป็นเด็กผู้หญิงเสียเปรียบ สีหน้าฟู่หลานเหิงแข็งทื่อดุจเหล็ก“จิ่นเอ๋อร์เพิ่งมาเมืองอวี้ได้ไม่นาน อยู่ที่นี่ก็แทบไม่มีสหาย อีกทั้งยังไม่เคยผูกแค้นกับใคร เป็นใครโหดเหี้ยมเพียงนี้!”ก่อนซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่มา เขาสอบสวนขอทานเหล่านั้นแล้ว กลับไม่ได้รับอะไร“พวกเขาอาศัยความวุ่นวายในงานเลี้ยงแต่งงานลอบเข้าทางประตูหลัง บนตัวมีผงยาปลุกกำหนัด ตรงมาที่ห้องหอ”“พูดว่ามีคนจ่ายเงินจ้างพวกเขา ส่วนคนผู้นั้นเป็นใคร พวกเขาเองก็ไม่รู้จัก”เดิมทีฟู่หลานเหิงอยากให้พวกเขาวาดรูปพรรณสัณฐานของคนผู้นั้น ทว่าขอทานเหล่านั้นพูดว่าคนผู้นั้นปิดหน้า คาดว่าปลอมเสียง สวมชุดดำ ไม่สามารถหาเบาะแสอะไรได้ระหว่างพูด สองสามคนก็มาถึงห้องเก็บฟืน“ปล่อยพวกเราไปเถอะ พวกเราไม่รู้ใครเป็นคนสั่งจริงๆ”“พวกเราเพียงรับเงินมาทำงาน”กู้หว่านเยว่มองผ่านรอยแยกเข้าไป พบว่าคนเหล่านั้นล้วนถูกทรมานมาก่อนไม่ผิดไปดังคาด“หลังจบเรื่องแล้วอย่าลืมใช้น้ำส้มสายชูและเหล้าขาวฆ่าเชื้อห้องเก็บฟืน”“ฆ่าเชื้อ?”“อืม พวกเขาเป็นกามโรค”นางขมวดคิ้ว ไม่รู้สึกดีอันใดต่อกามโรค“กามโรค? นี่ นี่มิใช่โรคพรรค์นั้นหรือ?”ฟู่
“ท่านมหาราชครู อย่าได้ร้อนใจไป จะต้องสำเร็จแน่นอนขอรับ” หร่านถิงซึ่งอยู่ด้านข้าง ดีดสายพิณอย่างนุ่มนวลเมื่อได้ยินเสียพิณ จิตใจของเถาเอ๋อร์ก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย“มหาราชครู ฝ่าบาททรงมีรับสั่งเร่งรัดอีกคราแล้ว พวกเราจะโจมตีเจดีย์หนิงกู่เมื่อใดหรือ?”เจียงเต๋อจื้อเดินเข้ามาด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น พลางมองเถาเอ๋อร์ที่ยังฟังเสียงดนตรี ในใจก็รู้สึกสับสนวุ่นวายตั้งแต่กองทัพมาถึงแม่น้ำมู่ตัน ก็ฟังคำสั่งของเถาเอ๋อร์ และนิ่งเฉยมาโดยตลอดผลคือผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้ว แผนการของเถาเอ๋อร์ยังไม่มีความคืบหน้าใด และหอสังเกตการณ์ตรงข้ามแม่น้ำมู่ตันก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว“จะเร่งเร้าอันใดกันนัก” เถาเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์“ข้าหาได้ต้องการจะเร่งเร้าไม่ ทว่าไม่มีเสบียงกรังแล้ว...”เจียงเต๋อจื้อพูดไม่ออก ตั้งแต่คลังหลวงของราชวงศ์ถูกปล้น ฝ่าบาทก็เริ่มยักย้ายทรัพย์สินของท้องพระคลังไปใช้ กอปรกับระยะนี้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยครั้ง ในท้องพระคลังจึงไม่มีเงินเหลืออยู่แล้วเสบียงที่จัดสรรให้กองทัพของพวกเขาในครานี้ อย่างมากสุดก็อยู่ได้เพียงสองเดือน เสบียงก็แทบไม่เหลือแล้ว“ไม่มีเสบียงก็ไปหามาสิ จะมารบกวนข้าเ
แม้ว่าภายในมิติของนางจะมีแปลงสมุนไพร แต่ภายในแปลงสมุนไพรล้วนปลูกสมุนไพรหายาก ไม่มีสมุนไพรรักษาโรคไข้รากสาดน้อยธรรมดาดังนั้น สมุนไพรเหล่านี้ล้วนเป็นกู้หว่านเยว่ซื้อจากแพลตฟอร์มซื้อขายการแจกจ่ายยาเริ่มขึ้นอย่างว่องไวเหล่าราษฎรขยับขึ้นมาทีละคน ขบวนคนเริ่มขยับอย่างเชื่องช้า“พี่หญิงหว่านเยว่ ท่านไปพักผ่อนก่อนเถอะ”ลั่วยางเข้ามาเตือนนางหนึ่งประโยค เอ่ยปากอย่างห่วงใย“ข้าบอกกับหมอเหล่านั้นแล้ว หากพวกเขาไม่แน่ใจโรค ค่อยมาถามข้าเจ้าค่ะ”นางอธิบาย“หากข้าเองก็หมดหนทาง ค่อยให้คนเข้าไปหาท่าน”กู้หว่านเยว่พยักหน้า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน”เกาเจี้ยนสบมองลั่วยางอย่างสงสาร “ยางเอ๋อร์ เจ้าต้องเหนื่อยแล้ว”แม้พูดว่าด้านหน้ายังมีหมอตรวจอาการก่อนแต่คนมากถึงเพียงนี้ ย่อมมีหมอที่รักษาไม่ได้รวมเข้าด้วยกัน ก็เพียงพอให้ลั่วยางยุ่ง“ข้าไม่เป็นไร สามารถรักษาราษฎรได้ ช่วยได้หนึ่งชีวิตก็คือหนึ่งชีวิต”ลั่วยางหยิบธงหนึ่งผืนออกมา สองสามคนมองดู ได้เห็นตัวอักษรคำว่าหุบเขาราชาโอสถสามคำบนนั้น“ข้ารับปากท่านอาจารย์ไว้แล้ว จะต้องหาโอกาสประกาศเรื่องหุบเขาราชาโอสถดีๆบังเอิญจะได้ฉวยโอกาสนี้ประกาศให้ราษฎ
ทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งวิ่งเข้าอย่างรีบร้อนจากด้านนอกประตู พูดออกมาอย่างลนลาน ทำให้เฉิงทั่วตื่นตระหนก“มีอันใด เกิดอันใดขึ้นหรือ?”หรือว่ากลัวสิ่งใดสิ่งนั้นก็มากระนั้น?“ด้านนอกประตู ด้านนอกประตูมีราษฎรป่วยหนักมากมายมาขอรับ ต่อแถวยาวเหยียดอยู่ด้านนอกประตู แถวยาวไปจนถึงประตูเมืองแล้ว”ทหารชั้นผู้น้อยกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ไม่เคยเห็นแถวยาวเช่นนี้มาก่อน“ที่แท้ก็มีคนต่อแถวมากนี่เอง”เฉิงทั่วตบศีรษะทหารชั้นผู้น้อยทีหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “ครั้งหน้าพูดให้เข้าใจหน่อย อย่าหายใจแรง ทำข้าตกใจแทบตาย”ทหารชั้นผู้น้อยลูบศีรษะ บ่นพึมพำเสียงแผ่ว “คำนี้ของท่านแม่ทัพ หรือว่านี่ไม่ทำให้คนตกใจกันเล่า?”ราษฎรมากถึงเพียงนี้ล้อมจวนแม่ทัพไว้ หากเกิดความวุ่นวาย ทำให้คนตายจะทำเยี่ยงไร?“เจ้า นำทหารม้าสองหน่วยไปดูแลรักษาความเรียบร้อยบนถนนให้ดี”เฉิงทั่วชี้ไปยังคนสนิทที่หน้าประตู เห็นว่าถึงเวลาแจกจ่ายยาแล้ว เขาเตรียมไปดูสถานการณ์ที่หน้าประตูจวนแม่ทัพในเวลานี้ หน้าประตูจวนแม่ทัพคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเหล่าราษฎรรอคอยอย่างมีความหวัง หวังว่าจะสามารถได้รับยาเพียงพอเพื่อช่วยตนเองหรือคนในครอบครัว“จะเริ่มแจกจ่าย
เขาครุ่นคิดอยู่สักครู่ พลางแอบมองสีหน้าของซูจิ่งสิง ไม่กล้าอยู่ในเรือนนานเกินไป จึงรีบออกไปพร้อมกับรองแม่ทัพ“ท่านแม่ทัพ สิ่งที่พระชายาพูดเป็นความจริงหรือไม่? คงไม่ได้คุยโวหรอกนะ?”หลังจากที่ทั้งสองออกมาข้างนอกแล้ว รองแม่ทัพก็พูดขึ้น“ประชาชนที่ป่วยในเมืองไม่ใช่แค่คนหรือสองคน ยามากมายขนาดนั้น พระชายาจะหามาได้หรือ?”เขาคิดอยู่เสมอว่าคำพูดของกู้หว่านเยว่นั้นไม่น่าเชื่อถือบางทีอาจเป็นเพราะวันนี้ถูกแม่ทัพชี้หน้าตำหนิ รู้สึกทั้งอายทั้งโกรธ ต้องการทวงศักดิ์ศรีคืนมา จึงได้พลั้งปากคุยโวโอ้อวดออกไป“ไม่รู้สิ”เฉิงทั่วส่ายหัวสติปัญญาบอกเขาว่า กู้หว่านเยว่นั้นไม่สามารถหาสมุนไพรได้มากมายขนาดนั้นภายในระยะเวลาอันสั้นแน่นอนแต่เขาก็นึกถึงตอนที่โจมตีเมืองเหยาขึ้นมาอีก ดินปืนและกระสุนปืนใหญ่เหล่านั้นที่ส่งลงมาจากเมือง รวมถึงธนูที่มีรัศมีการยิงไกลมากสิ่งของเหล่านี้เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนถ้าหากในตอนนี้สิ่งของที่เขาไม่คาดคิด กู้หว่านเยว่บังเอิญมีพอดีล่ะ?“ถ้าอย่างนั้นคำสั่งของพระชายาเมื่อครู่นี้ พวกเรายังต้องปฏิบัติตามหรือไม่?”รองแม่ทัพค่อนข้างเป็นกังวล“เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป อีกสาม
เขามีสีหน้าร้อนใจ ชิงเหลียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ท่านรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปรายงานก่อน”ภายในห้อง กู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงดังเอะอะจากด้านนอกแล้ว จึงรีบพาซูจิ่งสิงออกมาจากมิติในขณะที่ชิงเหลียนเข้ามา นางกำลังเปิดประตูพอดี“พระชายา แม่ทัพเฉิงอยู่ข้างนอก...”“ข้าได้ยินทุกอย่างแล้ว เจ้าให้เขาเข้ามาเถอะ”กู้หว่านเยว่หาวนอน“อ้อ ถือโอกาสรับประทานอาหารเช้าไปด้วย”เมื่อคืนนี้ นางและซูจิ่งสิงยุ่งอยู่ในมิติตลอดทั้งคืน“เพคะ”ชิงเหลียนรีบออกไป เฉิงทั่วก็เข้ามาจากทางด้านนอกอย่างไม่พอใจ“คารวะท่านอ๋องและพระชายา”เขาทำความเคารพแบบขอไปที แล้วเริ่มบ่นว่า“พระชายา เมื่อคืนข้าน้อยเตือนท่านแล้วว่า จะช่วยเหลือผู้คนในเมืองนี้ส่งเดชไม่ได้ อาจก่อให้เกิดความโกลาหลได้”น้ำเสียงของเขาไม่สู้ดีนัก“ดูสิ เมื่อวานท่านนำหญิงผู้นั้นมารักษาในจวนละแวกนี้ ผลปรากฏว่าเรื่องนี้ถูกผู้มีเจตนาเผยแพร่ออกไปเมื่อเช้านี้ เวลานี้ด้านนอกจวนแม่ทัพมีผู้ป่วยเต็มไปหมดท่านก็รู้ เมื่อเกิดความโกลาหลขึ้นมา จะกลายเป็นเรื่องใหญ่”เมื่อเฉิงทั่วพูดถึงความร้อนใจ ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองกู้หว่านเยว่ สายตานั้นเต็มไปด้วยคำถาม“แม่ทั
ยิ่งไปกว่านั้นยังสวมถุงมือและผ้าคลุมหน้าอีกด้วยเห็นได้ชัดว่าหญิงผู้นั้นอับจนหนทางแล้ว พอเข้ามาก็คุกเข่าลงตรงหน้าพวกเขาทันที“ท่านผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย พวกท่านได้โปรดช่วยลูกของข้าด้วย เขาเพิ่งห้าขวบเท่านั้น”หญิงผู้นั้นกอดลูกไว้แน่นในอ้อมแขน“เขาฉลาดมาก และเชื่อฟังมากด้วย มักจะช่วยข้าทำงานอยู่บ่อยครั้ง สามารถอ่านหนังสือและจดจำตัวอักษรได้ตั้งแต่ยังเด็กเช่นนี้ พวกท่านได้โปรดช่วยชีวิตเขาด้วย ต่อให้ต้องเอาชีวิตของข้าก็ตาม”หญิงผู้นั้นร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลกู้หว่านเยว่ให้นางวางลูกลงบนเบาะนุ่ม เพื่อสะดวกในการตรวจวินิจฉัย“แล้วพ่อของเด็กล่ะ เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่คนเดียว?”หญิงผู้นั้นมีอาการป่วยอย่างเห็นได้ชัด แก้มตอบลึก“ตาย ตายแล้ว”หญิงผู้นั้นสะอึกสะอื้นตอบ“เป็นไข้หวัด ไม่มียารักษา ทนได้ไม่ถึงครึ่งเดือนก็ตายแล้ว”กู้หว่านเยว่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ขอโทษนะ”หญิงผู้นั้นส่ายหัว “มันคือโชคชะตา แต่ขอให้หมอช่วยชีวิตลูกของข้าด้วย แม้ว่าต้องการให้ข้าไปตาย ข้าก็เต็มใจ”กู้หว่านเยว่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเจ็บปวด ซูจิ่งสิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็กำหมัดทั้งสองแน่น“ไม่ต้องให้เจ้าไปตายหรอก ให้ข้าดู
“ไป ๆ ๆ”เฉิงทั่วกลอกตาใส่หนานหยางอ๋อง“ท่านไม่จำเป็นต้องออกหน้าพูดแทนข้าที่นี่”“เฮ้ ข้าหวังดีกับเจ้า ทำไมเจ้าถึงไม่รักษาน้ำใจคนอื่นเลย?” หนานหยางอ๋องฮึดฮัดด้วยความโมโห“กาลเวลาพิสูจน์คน ข้าเป็นคนอย่างไร ต่อไปท่านอ๋องและพระชายาก็รู้เอง ไม่จำเป็นต้องให้ท่านพูดอะไรมาก”เฉิงทั่วกังวลว่าหากหนานหยางอ๋องออกหน้าพูดแทนเขา มันจะส่งผลกระทบต่อตัวเขาเองชายชราหัวรั้นสองคนต่างห่วงใยซึ่งกันและกัน แต่ไม่พูดออกมากองทัพเข้ามาในเมืองทันใดนั้นหญิงคนหนึ่งที่กำลังอุ้มลูกอยู่ ได้โผเข้ามาแทบเท้าของกู้หว่านเยว่“ท่านหญิง ช่วยลูกของข้าด้วย ได้โปรดช่วยลูกของข้าด้วย!”หญิงผู้นั้นล้มลงกับพื้น เด็กในอ้อมแขนเกือบจะกลิ้งออกมา นางกอดเด็กไว้แน่น ไม่ปล่อยมือกู้หว่านเยว่เหลือบมองเข้าไปในอ้อมแขนของนาง เห็นว่าเด็กมีสีหน้าเขียวคล้ำ“เกิดอะไรขึ้น?”“พระชายา กลับจวนแล้วค่อยคุยกับท่านแล้วกัน”สีหน้าของเฉิงทั่วดูแย่มาก โบกมือให้รองแม่ทัพพาหญิงผู้นั้นออกไปปลอบโยนก่อนเมื่อมาถึงจวน เขาก็ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า“ปีนี้สภาพอากาศแปลก ๆ การเก็บเกี่ยวของประชาชนก็ไม่ดี ในสิบคนก็มีคนป่วยแปดหรือเก้าคนแล้ว”คิ้วของกู้หว่า
สมองของเจียงม่านวิงเวียน ก่อนจะสูญเสียความรู้สึกตัวอย่างสมบูรณ์ คิดเพียงว่าที่แท้ฮั่วจี๋ก็มีมุมแบบนี้เช่นกัน...คู่บ่าวสาวสนุกสนานกันทั้งคืน ไม่รู้ว่าหมดไปกี่น้ำ สรุปได้ว่าแนบชิดดูดดื่มก่อนหน้านี้เรื่องที่เจียงม่านกังวลว่าในคืนแต่งงาน ฮั่วจี๋จะรังเกียจที่นางไม่ได้บริสุทธิ์ไร้ราคีหรือเปล่านั้น ไม่หลงเหลืออยู่แล้วหลังจากเพิ่งแต่งงานไป กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงได้มอบหมายเมืองเหยาให้ฮั่วจี๋ดูแลจัดการชั่วคราว โดยทิ้งหวังปี้เอาไว้คอยช่วยเหลือพวกเขาพร้อมด้วยกองทัพใหญ่ เดินหน้าไปยังเมืองซุ่ยโจวอย่างองอาจเฉิงทั่วได้ยื่นหนังสือขอยอมจำนนไปนานแล้วพอได้ยินว่ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงกำลังจะมา จึงเปิดประตูเมืองออก แล้วพาทุกคนในเมืองไปต้อนรับที่ประตูเมืองด้วยตัวเอง“คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา”“ลุกขึ้นเถอะ”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงขี่ม้าเข้ามา เมื่อเห็นเฉิงทั่วพาผู้คนมายืนรออยู่ที่ประตูเมือง พวกเขาสองคนก็ลงจากหลังม้า“แม่ทัพเฉิง ไม่นึกว่าเราจะได้พบกันอีกเร็วขนาดนี้”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วขึ้นด้วยรอยยิ้ม สายตาจับจ้องไปที่หัวไหล่ของเฉิงทั่วเฉิงทั่วรู้สึกกระดากอายในทันใด “พระชายามีทักษะด้า
กู้หว่านเยว่พยักหน้า “นำพวกเขาทั้งหมดขังไว้ในเรือนจำใหญ่ รอการลงโทษ อย่าปล่อยออกมาง่าย ๆทหารพวกที่หลบหนีเมื่อใกล้แนวรบ กู้หว่านเยว่เหยียดหยามมาโดยตลอดไม่ได้ลงโทษเนรเทศพวกเขา ก็นับว่าเมตตาแล้วตอนนี้พวกเขายังกล้าหลบหนีก่อนจริงหรือ?เช่นนั้นก็อย่าโทษนางที่ไม่เกรงใจฮั่วจี๋พยักหน้าตาม“เรือนจำของเมืองเหยานั้นกว้างขวางมาก จับพวกเขาทั้งครอบครัวเข้าไปคุมขังก็ยังมีที่เหลือเฟือ”ดูสีท้องฟ้าก็ดึกมากแล้ว ดนตรีประโคมข้างนอกก็จบลงแล้วเช่นกันซูจิ่งสิงเข้ามาหา แล้วมองไปยังฮั่วจี๋“แม่ทัพฮั่วขยันหมั่นเพียรเช่นนี้ อย่าทำให้คืนแต่งงานน่าผิดหวังล่ะ”“ขอรับ”ฮั่วจี๋ลูบศีรษะ ยังคงครุ่นคิดว่า เหตุใดท่านอ๋องถึงอารมณ์ร้อนกับเขามากทันทีที่เข้ามาเมื่อเห็นซูจิ่งสิงดึงกู้หว่านเยว่ออกไป จึงเข้าใจในภายหลังว่า ตัวเองไปเป็นกว้างขวางคอของพวกเขา“แล้วฮูหยินน้อยล่ะ?”ฮั่วจี๋หันกลับไปถามพ่อบ้านเมื่อเห็นซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เป็นคู่กิ่งทองใบหยก เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเจียงม่านที่อยู่ในห้อง“อยู่ในห้องขอรับ นายท่าน บ่าวจะประคองท่านไป”พ่อบ้านยิ้มตาหยี เห็นฮั่วจี๋เป็นฝั่งเป็นฝา เขาเองก็มีความสุขเช
จางเอ้อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“แต่ว่า ข้าทำได้เพียงพูดต่อหน้าพระชายาเท่านั้น”“ทำอย่างสุดความสามารถก็พอ” หวังหรานเอ๋อร์ก็ไม่บีบบังคับเช่นกันหลังจากที่ทั้งสองพูดจบ จางเอ้อร์ก็ไปหากู้หว่านเยว่เพื่อพูดคุยเรื่องนี้กู้หว่านเยว่กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องใช้คนพอดี ย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้วและเมื่อก่อนบนเส้นทางที่ถูกเนรเทศ จางเอ้อร์ก็ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี กู้หว่านเยว่หาโอกาสตอบแทนมาโดยตลอดบัดนี้ได้เวลาตอบแทนน้ำใจพอดี“ชิงเหลียน เจ้าพาจางเอ้อร์และหวังหรานเอ๋อร์ไปหาคุณชายอวิ๋น แล้วบอกว่าข้าให้พวกเขาไป”งานพลาธิการแนวหลังของการสู้รบ ทั้งหมดอวิ๋นมู่เป็นผู้รับผิดชอบอยู่ขอเพียงพาคนไปและบอกกับอวิ๋นมู่เช่นนี้ อวิ๋นมู่ก็เข้าใจแล้วชิงเหลียนยิ้มกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าคุณชายอวิ๋นกำลังดื่มสุราอยู่กับคุณชายไป๋หลี่ ทำไมไม่รอให้งานเลี้ยงเลิก แล้วค่อยพาพวกเขาไปหา”จางเอ้อร์กล่าวอย่างมีไหวพริบ “ไม่รีบ ไม่รีบ จะได้ไม่ทำลายอารมณ์อันสุนทรีย์ของคุณชายอวิ๋น”ฉู่เฟิงเอ่ยด้วยความอิจฉา “ท่านนี่ช่างรักคุณชายอวิ๋นนัก ข้ายืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว ไม่เห็นท่านเรียกข้าไปดื่มสุราสักอึกสองอึกบ้างเลย”ทำให้ชิงเหลีย