กู้หว่านเยว่ พวกเจ้าตามไป อาจจะหาอาหารไม่เจอก็ได้“พวกเจ้าจัดการกระต่ายกับไก่ฟ้าก่อน ข้าจะไปดูข้างในเต็นท์หน่อย”กู้หว่านเยว่เปิดเต็นท์ แล้วเดินเข้าไปข้างในพอเข้าไป ก็เห็นซูจิ่งสิงที่มีสีหน้าร้อนรนซึ่งนั่งพิงอยู่บนก้อนหิน แล้วมองมาทางประตูเป็นระยะ ๆเมื่อเห็นเงาร่างของนาง แววตาของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งขรึม“เจ้าไปไหนมา เหตุใดถึงกลับมาช้าขนาดนี้?”ขณะพูด สายตาของเขาก็มองสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูว่านางบาดเจ็บหรือไม่ทันใดนั้น เขาสังเกตเห็นว่ามีรอยเลือดที่ชายเสื้อของกู้หว่านเยว่จริง ๆ สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันทีคราวนี้แม้อยากจะแกล้งทำเป็นดุก็ทำไม่ได้แล้ว จึงเอ่ยถามขึ้นมาตรง ๆ ด้วยความร้อนใจ“เหตุใดถึงมีเลือด เจ้าบาดเจ็บหรือ บาดเจ็บตรงไหน รีบมาให้ข้าดู”“ไม่มี ๆ”กู้หว่านเยว่รู้ดีว่าข้อแก้ตัวของนางอาจหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกเขาไม่ได้ เขาคงพอจะเดาได้ว่าเหยื่อของนางไม่ได้หามาจากในป่า จึงตัดสินใจพูดความจริง“เลือดนี้ไม่ใช่ของข้า”“แล้วเป็นของใคร?”“ตอนที่ข้าลงจากเขา ข้าเจอนายบ่าวคู่หนึ่ง นายได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าจึงช่วยพวกเขาไว้ จริงสิ พว
ขณะที่ซุนอู่กำลังยื่นเอกสารแสดงตัวให้กับทหารรักษาประตูเมือง กู้หว่านเยว่ก็มองไปรอบๆทุกที่ที่นางมองไป เต็มไปด้วยผู้อพยพที่ไม่มีที่อยู่อาศัยชายหญิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ แต่ละคนสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าซูบผอมไม่ต้องพูดถึงศพที่ลอยอยู่ในแม่น้ำ ริมถนนก็เต็มไปด้วยผู้คนอดอยากล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วนหลังจากภัยพิบัติน้ำท่วมในเมืองตงโจว สถานการณ์ก็เลวร้ายกว่าที่นางคิดไว้มากได้กลิ่นโคลนผสมกับกลิ่นเน่าเหม็นในอากาศ กู้หว่านเยว่ก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่างนางรู้สึกว่าโรคระบาดกำลังแพร่กระจายอย่างเงียบๆ รอวันปะทุออกมา“พี่ใหญ่ซุน พวกเราอย่าอยู่ที่เมืองตงโจวนานนักเลย รีบจัดการเรื่องเอกสารแล้วออกจากที่นี่กันเถอะ”“รีบขนาดนั้นเลยหรือ?” ซุนอู่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจตามความคิดเดิมของเขา ตั้งใจว่าจะอยู่ในเมืองตงโจวนานหน่อย เพื่อเติมเสบียงให้เต็มที่ก่อนออกเดินทางกู้หว่านเยว่ลดเสียงลง “ข้าสงสัยว่าเมืองตงโจวอาจเกิดโรคระบาดหนัก”“อะไรนะ?”ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนภูเขาก็เคยได้ยินกู้หว่านเยว่พูดถึงเรื่องโรคระบาด ทำให้เขารู้สึกกังวลมาหลายวันแล้วหลังจากเห็นว่าทุกอย่างเรี
ทหารชี้ไปยังบุรุษที่สวมชุดขุนนางซึ่งอยู่ไม่ไกลนักกู้หว่านเยว่ก็หันไปมอง เมื่อเห็นใบหน้าของบุรุษคนนั้นชัดเจน นางก็ตกตะลึงอย่างมากฟู่หลานเหิง!เพื่อนเล่นสมัยเด็กของเจ้าของร่างเดิม หลังจากที่เจ้าของร่างเดิมถูกพระราชทานสมรสกับซูจิ่งสิง เขาก็เสียใจมากจนหนีมาเป็นเจ้าเมืองที่เมืองตงโจวคิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอเขาที่นี่ ฟู่หลานเหิงที่หันกลับมาก็เห็นกู้หว่านเยว่เช่นกันทันทีที่เห็นกู้หว่านเยว่ ฟู่หลานเหิงก็จำนางได้ จากนั้นก็รีบเดินเข้ามาหานางด้วยความดีใจ“หว่านเยว่ เป็นเจ้าจริง ๆ หรือ? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”การได้พบเพื่อนเก่าในต่างถิ่น ทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกดีใจ แต่ถึงจะดีใจอย่างไร ตอนนี้นางก็แต่งงานแล้ว จึงต้องรักษาระยะห่างกับฟู่หลานเหิงและตอนนี้ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าสถานการณ์ในเมืองตงโจวเป็นอย่างไรกันแน่“ใต้เท้าฟู่ ได้ยินมาว่าในเมืองตงโจวเกิดโรคระบาด เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”“ถูกต้อง”เมื่อเห็นแววตาที่ห่างเหินของกู้หว่านเยว่ ฟู่หลานเหิงก็นึกขึ้นมาได้ว่านางแต่งงานแล้ว จึงรีบตั้งสติและกล่าวอธิบายว่า “เนื่องจากผลกระทบของภัยน้ำท่วม ช่วงนี้มีคนเสียชีวิตมากเกินไป ทางตะวันตกและตะว
ขณะที่กู้หว่านเยว่พูดคุยกับฟู่หลานเหิง เขาก็ได้ยินเช่นกันในใจพอจะเดาความสัมพันธ์ของฟู่หลานเหิงและกู้หว่านเยว่ได้แต่จากการที่ได้ใช้เวลาอยู่กับกู้หว่านเยว่มาระยะหนึ่ง เขาเชื่อมั่นในตัวของนางมาก และจะไม่ยอมให้ใครพูดจาใส่ร้ายนางเด็ดขาดหลี่ซือซือกล่าวอย่างน้อยใจว่า “พี่ชาย ท่านยังจะปกป้องนางอีกหรือ?”“ไม่ปกป้องพี่สะใภ้ของข้า แล้วจะไปปกป้องเจ้าหรือไง?”ซูจิ่นเอ๋อร์ที่อดทนมาตลอดก็เอามือเท้าสะเอวแล้วตะโกนด่าว่า “พี่สะใภ้ของข้าติดตามพี่ชายมาตลอดทาง ไม่เคยทิ้งกัน ความรักของทั้งสองมั่นคงยิ่งกว่าทองคำเสียอีก!อีกอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สะใภ้ของข้า ทุกคนคงโดนน้ำท่วมตายไปแล้ว อย่าเนรคุณให้มันมากนัก!”ซูจิ่นเอ๋อร์ระเบิดออกมาราวกับประทัด ผู้หญิงคนอื่น ๆ ก็รวบรวมความกล้าพูดเพื่อกู้หว่านเยว่เช่นกันมีเพียงหลี่ซือซือที่ยังคงปากแข็ง ยืนกรานว่ากู้หว่านเยว่และฟู่หลานเหิงมีความสัมพันธ์กัน“ถ้านางและท่านเจ้าเมืองไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน แล้วเหตุใดเขาถึงให้พวกเราเข้ามาพักในศาลาว่าการได้ แน่นอนว่าต้องให้ผลประโยชน์บางอย่างกับท่านเจ้าเมือง อาจจะแอบไปทำเรื่องลับ ๆ ล่อ ๆ ในเชิงชู้สาวกันก็ได้”หลี่ซือซือไ
หลังจากสงบสติอารมณ์ลงแล้ว เขาก็จับใจความของกู้หว่านเยว่ได้อย่างรวดเร็ว“เจ้ามีวิธีหยุดโรคระบาดงั้นหรือ?”“อืม” กู้หว่านเยว่ถือว่าซูจิ่งสิงเป็นคนที่ไว้ใจได้อย่างไม่รู้ตัวและตอนนี้นางก็ขาดคนที่ปรึกษาด้วยจริง ๆ ในใจของซูจิ่งสิงไม่อยากให้ทั้งสองคนเจอกัน แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล เขาแยกแยะได้ว่าเรื่องไหนสำคัญกว่าจากนั้นจึงพยักหน้า “ข้าจะไปกับเจ้า”มีบางอย่างที่เขาอยากจะพูดกับฟู่หลานเหิง“ก็ได้” กู้หว่านเยว่คิดว่าซูจิ่งสิงเป็นห่วงนาง จึงไปยืมรถเข็นมาทันที หลังจากบอกกับซุนอู่แล้ว ก็ออกไปหาฟู่หลานเหิงด้วยกัน“ท่านใส่อันนี้ด้วย”กู้หว่านเยว่หยิบผ้าคลุมหน้าสีขาวสองผืนออกมาจากอก ผืนหนึ่งนางใส่เอง ส่วนอีกผืนหนึ่งก็ส่งให้ซูจิ่งสิงดวงตาของซูจิ่งสิงเป็นประกาย “เจ้ายังมีของแบบนี้อยู่อีกหรือ?”“ท่านรู้หรือว่านี่คืออะไร?”“อืม” ซูจิ่งสิงพยักหน้า “ตอนที่ข้าไปรบที่ชายแดน มีคนเป็นกาฬโรค ตอนนั้นหมอทหารก็เอาผ้าคลุมหน้ามาให้พวกเราปิดหน้าเอาไว้ เพื่อป้องกันการติดโรค”กู้หว่านเยว่ยิ้ม “หมอทหารคนนั้นรู้จักอันนี้ด้วย ถือว่ามีความสามารถอยู่บ้าง”ซูจิ่งสิงเกือบจะกระอักเลือดออกมาถ้าหวงเหล่าเห็น
“หว่านเยว่ ข้าถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ามีวิธีรักษาโรคระบาดจริง ๆ หรือ? เรื่องนี้สำคัญมาก ห้ามล้อเล่น”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นตอบกลับว่า “ข้ามีความมั่นใจว่าจะรักษาโรคระบาดได้ แต่ไม่มีอะไรแน่นอน ข้าต้องเห็นอาการของผู้ติดเชื้อด้วยตาตัวเองก่อน ถึงจะให้คำตอบเจ้าได้”โรคระบาดมีหลายชนิด โรคระบาดที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มเดิม เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่เรียกว่ามาลาเรียแต่ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง กู้หว่านเยว่จะไม่ด่วนสรุปเมื่อได้ฟังคำพูดที่จริงใจเหล่านี้ ฟู่หลานเหิงกลับเชื่อนางขึ้นมา“ได้ ข้าจะพาเจ้าไปดู”ทันใดนั้นก็พากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงไปยังลานบ้านแห่งหนึ่งที่ถูกกักกัน ซึ่งมีคนในครอบครัวสามคนที่ติดโรคระบาดอาศัยอยู่“ข้าเข้าไปคนเดียวก็พอแล้ว”กู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยโรคระบาดสามารถติดต่อได้ ยิ่งคนสัมผัสน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี“ไม่ได้ ข้าจะเข้าไปกับเจ้า”ซูจิ่งสิงและฟู่หลานเหิงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน จากนั้นทั้งสองก็สบตากันอย่างดุเดือด“ข้าเป็นสามีของเจ้า ข้าจะเข้าไปกับเจ้า”ซูจิ่งสิงพูดขึ้นมาก่อนกู้หว่านเยว่กุมขมับ “พวกท่านทั้งสองคนไม่ต้องเข้ามา รออยู่หน้าประตูทั้ง
“ใช้คนอย่าระแวง ถ้าระแวงคนก็อย่าใช้ หลักการง่าย ๆ แค่นี้ท่านเจ้าเมืองไม่รู้หรือ?”“เฮ้อ!”ฟู่หลานเหิงถูกพูดจนเถียงไม่ออกกู้หว่านเยว่มองซูจิ่งสิงด้วยความรู้สึกขอบคุณ ไม่อยากเสียเวลาไปกับการโต้เถียง จึงหันกลับไปพูดกับฟู่หลานเหิง“ใต้เท้า ข้าขอกระดาษ หมึก พู่กัน และแท่นฝนหมึก ข้าจะจะเขียนใบสั่งยาและวิธีต้มยาลงบนกระดาษ ท่านสั่งให้คนไปซื้อยามา หลังจากนั้นให้คนป่วยกินยาตามที่ข้าเขียนไว้ วันละสามครั้ง”“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” คราวนี้ฟู่หลานเหิงไม่พูดมากกู้หว่านเยว่เขียนลงบนกระดาษ “สูตรยารักษาโรคมาลาเรีย ใบชิงเฮาตากแห้งหนึ่งตวง เหอโส่วอูสดสองตวง รากของฉางซานสามตวง เฉ่ากั่วสี่ตวง เซียนเฮ่อเฉ่าแห้งห้าตวง...บดให้ละเอียดเป็นผง ละลายน้ำอุ่นรับประทาน วันละสามครั้ง”นอกจากนี้ กู้หว่านเยว่ยังเขียนสูตรยาป้องกันมาลาเรียอีกสูตรหนึ่ง โดยใช้ปูนขาว ลูกสมอ และกำมะถันแดง เป็นต้นกู้หว่านเยว่ส่งสูตรยาทั้งสองสูตรให้กับฟู่หลานเหิง“สูตรแรกให้คนป่วยกิน สามารถปรับเพิ่มหรือลดปริมาณยาได้ตามความเหมาะสม สูตรที่สองสำหรับคนที่ยังไม่ป่วย กินแล้วสามารถป้องกันโรคระบาดได้”หลายวันมานี้ นางให้คนในกลุ่มนักโทษดื่มยา
หลังจากที่กู้หว่านเยว่มอบสูตรยาให้ฟู่หลานเหิงแล้ว นางก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลยเมื่อเห็นอาจารย์หลิวรีบร้อนขนาดนี้ก็ตกใจ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”ซูจิ่งสิงและคนอื่น ๆ ก็มองมาเช่นกันอาจารย์หลิวปาดน้ำตา พูดเสียงสั่นเครือ “ใต้เท้าของพวกเราติดโรคระบาด ตอนนี้โรคระบาดแพร่กระจายไปทั่วเมือง เดิมทีเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้าไม่ควรจะมารบกวนแม่นางน้อยแต่อาการของใต้เท้าหนักมาก ตั้งแต่เมื่อคืนที่เริ่มมีอาการป่วย ก็มีไข้สูงไม่ลด หนาวสั่นไปทั้งตัว ยาที่ท่านให้เขากินก็ไม่ได้ผล หมอหลายคนก็จนปัญญา ข้าน้อยหมดหนทางแล้ว จึงมาขอรบกวนท่าน”กู้หว่านเยว่รู้สึกแปลกใจมาก สูตรยาของนางไม่มีทางไม่ได้ผล ฟู่หลานเหิงเป็นอะไรกันแน่“แม่นางน้อยกู้ ท่านพอจะไปกับข้า ดูอาการด้วยตัวเองได้หรือไม่?”อาจารย์หลิวขอร้องซูจิ่งสิงเอ่ยขึ้น “เจ้าไปดูเถอะ ฟู่หลานเหิงเป็นขุนนางที่ดี”โรคระบาดในเมืองตงโจวเพิ่งจะเริ่มดีขึ้น หากฟู่หลานเหิงเป็นอะไรไปในช่วงสำคัญแบบนี้ ประชาชนจะต้องเดือดร้อน“ตกลง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า จากนั้นพูดกับซูจิ่นเอ๋อร์ “จิ่นเอ๋อร์ เจ้าไปหยิบกล่องยาของข้ามาแล้วไปกับข้า”ดูเหมือนฟู่หลานเหิงจะป่วยหนัก นางต
“บ่าวไปเดี๋ยวนี้เพคะ!”ชิงเหลียนหมุนกายวิ่งออกไปทันทีวันนี้คนที่เข้าเวรที่สำนักหมอนหลวงคือลั่วยางพอดี เมื่อเห็นชิงเหลียงมาเรียกคน คิดว่ากู้หว่านเยว่เป็นอะไรเสียอีก รีบคว้ากล่องยาตามออกไปทันทีหลังจากตามมาจึงจะรู้เรื่องของโจวเสี้ยนจากปากชิงเหลียน“นายท่านกับฮูหยินกำลังรู้สึกผิด ไม่ว่าจะส่งใครไป ท้ายที่สุดนี่ก็คือจุดจบของเรื่องนี้ ไม่มีใครถ้าคิดว่าองค์ชายหนานเจียงจะบ้าเช่นนี้หมอหญิงลั่ว หลังจากท่านเข้าไป ต้องเกลี้ยกล่อมฮูหยินดีๆ นะ”ลั่วยางพยักหน้า “น่าสงสารโจวฮูหยินมาก”“ก็นั่นน่ะสิ กว่าจะได้อยู่ด้วยกันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”เดิมทีสกุลโจวก็ไม่ชอบนางอยู่แล้ว ในที่สุดโจวเสี้ยนก็ได้แต่งงานกับนาง และมาซื้อบ้านอยู่ในเมืองหลวงวันดีๆ กำลังจะมาอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าเพิ่งแต่งงานได้หนึ่งเดือน ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ระหว่างที่ทั้งสองสนทนา ก็ได้มาถึงตำหนักข้างที่ให้โจวฮูหยินพักชั่วคราวแล้วหลังจากลั่วยางคำนับทั้งสอง ก็เข้าไปตรวจชีพจรให้โจวฮูหยิน“เสียใจมากเกินไป ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หม่อมฉันจ่ายยาก็ดีขึ้นเองเพคะ”ลั่วยางเขียนตำรับยาหนึ่งแผ่น ให้ผู้ช่วยไปเอายาที่สำนักหมอหลวง ผ่านไปครู่หนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้น?” กู้กว่านเยว่ถามชิงเหลียนคนหนักแน่น น้อยครั้งที่จะตื่นตระหนกเช่นนี้“องค์ชายสามของหนานเจียงเพคะ”นางกำหมัดแน่น โมโหจนยากจะควบคุมอารมณ์ “เขาเหิมเกริมเกินไปแล้ว เขา เขาฆ่าแม่ทัพโจวตายแล้ว!”“อะไรนะ?”สีหน้ากู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิงเปลี่ยนฉับพลันโจวเสี้ยนเป็นคนไปต้อนรับทูตหนานเจียงหลังจากโจวเสี้ยนยอมจำนนที่ด่านหานกู่ ก็กลายเป็นขุนนางคนสำคัญของซูจิ่งสิง ทั้งสองคิดไม่ถึงว่าคนหนานเจียงจะใจกล้าถึงขั้นฆ่าเขา“ทำไมถึงฆ่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”สีหน้าซูจิ่งสิงขรึมลงโจวเสี้ยนอายุยังน้อย เพิ่งแต่งงานเดือนที่แล้วชิงเหลียนกล่าวตอบ “ข่าวที่ส่งกลับมาบอกว่าแม่ทัพโจวลวนลามสนมรักขององค์ชายสาม ด้วยความโกรธ องค์ชายสามจึง…ฆ่าเขา”นางหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกจากหน้าอก“ใช่แล้ว นี่คือหนังสือยอมรับผิดขององค์ชายสามหนานเจียง”สีหน้าซูจิ่งสิงดูน่าเกลียดมาก เขารับหนังสือยอมรับผิดมา ยิ่งอ่านสีหน้าก็ยิ่งบูดบึ้ง“เขาเขียนว่าอะไร?”“เจ้าดูสิ”กู้หว่านเยว่รับหนังสือยอมรับผิดมาจากมือซูจิ่งสิง หลังจากอ่านครู่หนึ่ง ไม่น่าแปลกใจที่ซูจิ่งสิงโกรธเช่นนี้ นางก็โมโหเช่นกันองค์ชายสามคนนี้แสร้งเขี
ทว่าท่าทีของซูจิ่งสิงแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เคยเห็นธัญพืชเช่นนี้มาก่อน“มองใบสีเขียวมรกตนี้ หรือว่าจะเป็นผัก?” ซูจิ่งสิงถามตอบด้วยตนเอง ทำเสียจนกู้หว่านเยว่หัวเราะดังลั่น“ของกินนี้เรียกว่ามันฝรั่ง อีกทั้งยังสามารถเรียกว่ามันฝรั่งหม่าหลิงได้อีกด้วย ใบของมันไม่ได้นำมากิน หัวมันฝรั่งโตที่รากต่างหากที่นำมากินเจ้าค่ะ” กู้หว่านเยว่อธิบายซูจิ่งสิงเข้าใจในทันใด “คล้ายมันเทศใช่หรือไม่?”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่ส่งจอบให้อันหนึ่ง“ท่านพี่ ท่านขุดออกมาดูเถอะ”“ได้”ซูจิ่งสิงรับจอบไป เดินมายังตำแหน่งใกล้ที่สุด ขุดดินอย่างระมัดระวัง จากนั้นดึงรากของมันฝรั่งออกมาปริมาณมันฝรั่งภายในมิติชวนให้คนตกใจ ยิ่งไปกว่านั้นรูปร่างอ้วนกลมยังทำให้คนชอบมาก“รสชาติเจ้าสิ่งนี้เป็นเช่นไร?”ซูจิ่งสิงแปลกใจอยู่บ้าง เจ้าสิ่งที่เรียกว่า “มันฝรั่ง” นี้ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน อีกทั้งยังไม่เคยกินมาก่อนด้วยไม่รู้ว่าเทียบกับมันเทศที่คล้ายกันแล้วจะมีรสชาติเช่นไร“ไม่มีวันทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน”กู้หว่านเยว่จูงซูจิ่งสิงมายังพื้นที่กว้างแห่งหนึ่งเพื่อแสดงรสชาติอร่อยที่สุดของมันฝรั่ง กู้หว่านเยว่ไม่ได้ใช้ครัวอ
“หนานเจียงส่งคนมาแล้ว?”ดวงตาเฟิ่งอู๋ชีเผยแววประหลาดใจ “ส่งใครมาหรือ?”“องค์ชายสามหนานเจียง” กู้หว่านเยว่พูดเฟิ่งอู๋ชีเผยสีหน้าเย้ยหยันตนเอง ก้มหน้าเล่นถ้วยชาบนโต๊ะ“เป็นเฟิ่งหวู่โจวนี่เอง”“เขาน่ะ มีความสัมพันธ์อันดีกับเสด็จพี่ใหญ่ของข้ามากที่สุด”ความเสียใจบนใบหน้าเขาสะท้อนออกอย่างชัดเจน กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงล้วนสามารถรับรู้ได้ ทั้งคู่สบตากันแวบหนึ่งจึงเอ่ยถามไล่เรียง“เฟิ่งอู๋ชี พูดเช่นนี้อาจล่วงเกินท่านอยู่บ้าง แต่ตกลงสถานการณ์ที่หนานเจียงของท่านเป็นเช่นไรกันแน่?”เฟิ่งอู๋ชีเบือนหน้าหนี เขาถูกกระตุ้นให้นึกถึกเรื่องที่เสียใจจึงหลีกเลี่ยงคำถามของทั้งคู่“ข้าบอกพวกท่านได้เพียงว่าน้องสามของข้าท่านนี้ไม่มีอันใดน่ากลัว เขาเป็นสุนัขตัวหนึ่งของเฟิ่งหมิงกวง ขอเพียงพวกท่านจับเฟิ่งหมิงกวงไว้ได้อยู่หมัดก็เท่ากับจับเขาไว้ได้แล้ว”แม้ว่ากู้หว่านเยว่อยากสืบข่าวให้มากยิ่งกว่านี้ แต่เห็นว่าเฟิ่งอู๋ชีถูกพูดแทงใจ นางเองก็ไม่ได้ถามต่อ“ได้ ท่านพักผ่อนดีๆ พวกเราจะมาเยี่ยมท่านใหม่วันหลัง”นางลุกขึ้นบอกลา“น้อมส่งฝ่าบาท น้อมส่งฮองเฮา”เฟิ่งอู๋ชีอยากลุกขึ้นทำความเคารพ กลับถูกกู้หว่านเยว่
“คนที่ส่งมาคือใคร?”“องค์ชายสามของหนานเจียงพ่ะย่ะค่ะ”“องค์ชายสาม?”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากันแวบหนึ่ง หนานเจียงไม่ข้องเกี่ยวกับโลกภายนอกมานานหลายปี พวกเขารู้เรื่องหนานเจียงน้อยมาก ย่อมไม่รู้จักองค์ชายสามคนนี้ดังนั้นสองคนจึงตัดสินใจไปสอบถามเฟิ่งอู๋ชีก่อน“ช่วงนี้ร่างกายของเฟิ่งอู๋ชีเป็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่เอ่ยถามชิงเหลียน ช่วงนี้เป็นนางเฝ้าเฟิ่งอู๋ชีอยู่ตลอด“หลังท่านมอบเลือดของเทพเต่าให้เขาแล้ว เขาปรุงสมุนไพรด้วยตนเองจึงดีกว่าแต่ก่อนมากเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่พยักหน้าได้รู้ว่าเลือดเต่าของเฟิ่งอู๋ชีถูกเฟิ่งหมิงกวงขโมยไป กู้หว่านเยว่ก็เข้าไปในมิติปรึกษากับเต่าทะเลยักษ์หนึ่งรอบ หวังว่าจะได้รับเลือดจากตัวมันอีกเล็กน้อยแน่นอน ภายในใจนางนับเต่าทะเลยักษ์เป็นสหายแล้วหากเต่าทะเลยักษ์ไม่ยอม นางย่อมไม่บังคับเต่าทะเลยักษ์ยอมรับกู้หว่านเยว่ในฐานะเจ้านายอย่างมาก ได้รู้ว่ากู้หว่านเยว่ทำเพื่อช่วยสหายของตนก็ยื่นกรงเล็บน้อยๆ ออกไปอย่างไม่ลังเล ให้กู้หว่านเยว่เจาะเลือดหลังกู้หว่านเยว่รับไปแล้วก็รีบไปหาเฟิ่งอู๋ชีและมอบเลือดเต่าทะเลให้เขาหลังจากนั้นเขาก็พักรักษาตัวภายในตำหนักแห่งหน
ตอนหวงจูเข้าวัง ใต้เท้าหวงและหวงฮูหยินคิดว่าลูกสาวจะไปเป็นสนมสรุปคือคนพลิกบทบาทไปในเวลาเพียงชั่วพริบตา กลายเป็นขุนนางคนสนิทของกู้หว่านเยว่เสียแล้วหวงจูสวมชุดแดงใส่หมวกขุนนางกลับบ้าน ทั้งสองคนยังตอบสนองไม่ทัน ตกลงเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่“ลูกสาว เจ้าไม่ได้เข้าวังไปเป็นสนมหรือ เหตุใดเป็นขุนนางแล้วเล่า?”ดูแล้วขุนนางนี้ ตำแหน่งไม่เล็กใต้เท้าหวงขยี้ตา เขายังไม่ตื่นหรือ?“ท่านพ่อ ท่านดูไม่ผิด บัดนี้ลูกรับราชการในราชสำนักเหมือนท่านแล้ว”หวงจูคลี่ยิ้มอย่างฉลาดหลักแหลม“ฮองเฮาแต่งตั้งลูกเป็นรองผู้คุมสอบขุนนางในครั้งนี้เจ้าค่ะ”สองผู้เฒ่าสกุลหวง ‘?’“นี่ตกลงเกิดอันใดขึ้นกันแน่?”ใต้เท้าหวงใกล้หมดสติเต็มที“ท่านพ่อ ฮองเฮาตัดสินใจเปิดการสอบพระราชทานของสตรีในปีนี้ ฮองเฮาถูกใจลูก ทำลายกฎเกณฑ์เป็นพิเศษ จัดการสอบพระราชทานในครั้งนี้ขึ้นเจ้าค่ะ”สีหน้าหวงจูเรียบเฉย กลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากภายในใจ ความหวังและความใฝ่ฝันของนางก็จะเป็นจริงแล้ว“จูเอ๋อร์”แววตาใต้เท้าหวงทอประกาย“เจ้าบอกพ่อ ตั้งแต่เข้าวัง เจ้าก็วางแผนไว้แล้วใช่หรือไม่?”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ”หวงจูยกชาขึ้น พยักหน้าอย่างจริงจั
กู้หว่านเยว่โบกมือ เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายลุกขึ้น“กำลังจะกินมื้อเช้าพอดี”กู้หว่านเยว่ล้างหน้าบ้วนปากแล้วก็วางผ้าเช็ดหน้าไว้ที่ฝั่งหนึ่ง สั่งคนไปยกอาหาร“เจ้าเองก็ยังไม่ได้กินข้าวกระมัง? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็นั่งลงทางด้านข้าง กินไปด้วยพูดไปด้วยเถอะ”ท่าทีเป็นกันเองของนางทำให้หวงจูแปลกใจ แววตายามทอดมองนางเปี่ยมความชื่นชม“บ่าวขอบพระทัยฮองเฮามากเพคะ”ทั้งสองคนนั่งลงพร้อมกัน หวงจูกลับไม่กล้ากินจริง ที่ทำมากที่สุดคือปรนนิบัติกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่เองก็อยากฉวยโอกาสนี้ทดสอบหมิงจู ดูว่าตกลงนางมีความสามารถมากเพียงใด ปราฎว่าทดสอบดูแล้วพบว่าอีกฝ่ายมีความคิดล้ำสมัยอย่างแท้จริง“เจ้าอ่านหนังสือไม่น้อย”“หลังกินเสร็จแล้วเจ้าอย่าเพิ่งไป ข้าจะให้คนทดสอบเจ้า”นางกำลังขาดผู้อยู่ใต้อาณัติไว้ใช้งานดีหวงจูชะงักไป จากนั้นดีใจอย่างบ้าคลั่ง“บ่าวขอบพระทัยฮองเฮามากเพคะ”เรื่องนี้มีหวังแล้ว!“เจ้าไปเชิญใต้เท้าเว่ยเว่ยเฉิงมาสักเที่ยวหนึ่ง”กู้หว่านเยว่สั่งหงเจาหนึ่งประโยค“เพคะ”หงเจาพยักหน้า จากนั้นรีบออกไปตามคนรอจนกระทั่งกู้หว่านเยว่กินข้าวเรียบร้อยแล้ว เว่ยเฉิงก็เดินทางเข้ามาจากนอกวัง กำล
ชิงเหลียนมองออกไป แล้วรีบกราบทูลรายงานว่า “นี่คือคนที่สกุลหวงส่งเข้ามาเมื่อหลายวันก่อน บอกว่าเข้ามาดูแลท่านเป็นพิเศษ ข้าเห็นว่านางเป็นคนว่านอนสอนง่าย จึงพานางมาที่นี่เจ้าค่ะ”หวงจูรีบหมุนตัวกลับมา นางมองกู้หว่านเยว่อย่างชื่นชม ก่อนจะรีบก้มหน้าลง คุกเข่าตรงหน้าของกู้หว่านเยว่“ข้าหวงจู ขอคารวะพระมเหสี ขอให้พระมเหสีทรงมีอายุยืนยาวเป็นพัน ๆ ปี เป็น หมื่น ๆปี”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง“เจ้าคือบุตรสาวของใต้เท้าหวง”นางมีความประทับใจต่อขุนนางอย่างใต้เท้าหวง ทำไมนะหรือ? ไต้เท้าหวงผู้นี้มีตำแหน่งไม่ธรรมดา อีกทั้งยังยังเคยทำงานภายใต้การดูแลของมู่หรงถิงมาก่อนตามหลักแล้ว นางจะต้องสืบค้นอย่างแน่นอนทว่าหลังจากที่สืบค้นแล้ว พบว่าสกุลหวงไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ใต้เท้าหวงไม่ใช่ขุนนางทุจริต ดังนั้นจึงปล่อยผ่านไม่ได้สืบค้นตระกูลของพวกนาง ตอนนี้ใต้เท้าหวงยังคงดำรงตำแหน่งเดิม“พระมเหสีทรงความจำดียิ่งนัก ท่านพ่อของข้าคือจงเฉิงหวงเหรินในตอนนี้”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดใต้เท้าหวงไม่ใช่ขุนนางชั้นผู้น้อยในราชสำนัก บุตรสาวของเขาก็นับว่าสามารถขึ้นเป็นพระชายาของท่านอ๋องได้ เหตุใดถึงส่งนางมา
จงหลี่ไม่ไป ตัดสินใจว่าจะตายไปพร้อมกับพวกเขาทุกคนต่างก็ซาบซึ้งใจและลำบากใจในเวลาเดียวกัน“ฝ่าบาท”ชิงเยี่ยนน้ำตาไหลพราก นัยน์ตาของจงหลี่เลื่อนมาหยุดอยู่ที่เขา ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าและตบบ่าของเขาด้วยความเชื่อมั่น“ชิงเหยียน เจ้าไปเถอะเจ้าคือองครักษ์ของข้า คือคนที่ข้าเห็นการเติบโตและเป็นคนที่ข้าเชื่อใจที่สุดเจ้าจงนำอารยธรรมของเมืองตงโจวไปตามหาหว่านเยว่ที่ต้าฉี”ในใจของเขายังเป็นห่วงน้องสาว“หลังจากที่เจอหว่านเยว่แล้ว จำไว้ บอกนางจงใช้ชีวิตอยู่ในต้าฉีให้ดี ห้ามกลับมาเมืองตงโจวอีก”“ฝ่าบาท!”ชิงเยี่ยนแสดงสีหน้าตื่นตกใจ เขาคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าสุดท้ายแล้วคนที่ต้องจากไปคือตัวเอง“ไม่ ฝ่าบาท ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่กับท่าน”ชิงเยี่ยนแทบจะคุกเข่าร้องไห้ กอดขาของจงหลี่ไว้“ฝ่าบาท ท่านอย่าไล่ข้าเลยเขอรับ ให้ข้าอยู่ที่นี่ ข้าไม่อยากจากไปจริง ๆ”ฝ่าบาทมีพระคุณกับเขามากมายดั่งภูผา เขาจะทิ้งฝ่าบาท แล้วหนีเอาตัวรอดเพียงผู้เดียวได้อย่างไร?เขาทำไม่ได้ชิงเยี่ยนน้องไห้น้ำตานองหน้า ส่ายหัวปฏิเสธท่าเดียวจงหลี่ทอดถอนใจ แล้วประคองเขาขึ้นมา “ชิงเยี่ยน ทำไมข้าถึงต้องให้เจ้าไป? ประการแรกคื