กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วแน่น ไม่แปลกใจเลยที่อาการของฟู่หลานเหิงจะหนักขนาดนี้ คงเป็นเพราะร่างกายสะสมความเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุดแล้ว“ใจเย็น ๆ ก่อน ข้าจะจับชีพจรเขาดูก่อน”ในสถานการณ์แบบนี้ ใช้ยาสมุนไพรคงไม่ได้ผลแล้วกู้หว่านเยว่ให้อาจารย์หลิวออกไปก่อน จากนั้นแอบหยิบยาพิเศษจากมิติออกมาฉีดให้ฟู่หลานเหิงขณะที่ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่ทันสังเกตจากนั้นก็หยิบเข็มเงินออกมา ฝังเข็มให้กับฟู่หลานเหิง“จิ่นเอ๋อร์ เจ้าช่วยข้าเฝ้าประตูไว้ อย่าให้ใครเข้ามารบกวน”“เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่หยิบเข็มเงินออกมา และหาจุดฝังเข็มของฟู่หลานเหิงได้อย่างแม่นยำการฝังเข็มต้องใช้สมาธิอย่างมาก จิตใจต้องจดจ่ออย่างสูง หากมีขั้นตอนใดผิดพลาดเพียงขั้นตอนเดียว ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่าเข็มแรก แทงลงไปที่จุดไป่ฮุ่ย* ของฟู่หลานเหิงก่อนเข็มที่สอง จุดอี้เฟิง*เข็มที่สาม จุดต้าอิ๋ง*...ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว กู้หว่านเยว่เหงื่อท่วมตัว และเข็มสุดท้ายก็แทงเข้าที่จุดเสินถิง* ของฟู่หลานเหิงเห็นได้ชัดว่าสีหน้าของฟู่หลานเหิงดีขึ้นแล้ว ดวงตาที่ปิดสนิทของเขาก็ค่อย ๆ ลืมขึ้น“หว่านเยว่?”ในช่วงสับสน เขาเห็นซูจิ่น
เมื่อเห็นว่าซูจิ่นเอ๋อร์ออกไปแล้ว ซูจิ่งสิงก็พูดขึ้นอย่างลังเล “เจ้ากับฟู่หลานเหิง...”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้ว “ข้ากับฟู่หลานเหิงทำไมหรือ ท่านก็สงสัยว่าเรามีความสัมพันธ์กันงั้นหรือ?”“แน่นอนว่าไม่” ซูจิ่งสิงรีบกล่าวขึ้น “ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า”เขาเชื่ออย่างสนิทใจว่ากู้หว่านเยว่ปฏิบัติต่อฟู่หลานเหิงอย่างเหมาะสม แต่เขาไม่แน่ใจว่านางมีความรู้สึกอื่นหรือไม่ถึงอย่างไรทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนเล่นสมัยเด็ก ฟู่หลานเหิงก็รักกู้หว่านเยว่มากเขาขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ถ้าฟู่หลานเหิงขอให้เจ้าอยู่ต่อ เจ้าจะอยู่หรือไม่?”กู้หว่านเยว่ตกตะลึง ในที่สุดก็รู้ว่าซูจิ่งสิงกำลังคิดอะไรอยู่ นางจึงจงใจพูดว่า “ถ้าข้าอยากอยู่ต่อ ท่านจะให้ข้าอยู่หรือไม่?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นด้วยความอึดอัด“ไม่”“งั้นก็จบแล้วไม่ใช่หรือ?” กู้หว่านเยว่หาวแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงฝังเข็มเหนื่อยเกินไปแล้ว นางต้องพักผ่อนให้เต็มที่ซูจิ่งสิงยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่ก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของนางเมื่อมองใบหน้าที่สงบขณะหลับของนาง ในที่สุดซูจิ่งสิงก็เข้าใจในสิ่งที่นางพูดเมื่อครู่นี้ ในใจของเขาก็พลันเต็มไปด้วยความสุข รู้สึกว
ซูจิ่งสิง!“เจ้าปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!” ท่านี้มันน่าอายเกินไปแล้วกู้หว่านเยว่ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “ก็ท่านบอกให้ข้าพาท่านไปด้วยไม่ใช่หรือ?”“กู้หว่านเยว่!” ซูจิ่งสิงกัดฟัน“เอาละ เลิกเล่นได้แล้ว เดี๋ยวก็ปลุกจิ่นเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ตื่นหรอก”กู้หว่านเยว่ตบก้นของเขาเบา ๆ ไม่อยากจะพูดเลยว่านุ่มมือดีจริง ๆซูจิ่งสิง อยากจะตายแล้วความอับอายของเขาอยู่ได้ไม่นาน ก็รู้สึกตกใจกับการกระทำของกู้หว่านเยว่ เพียงแค่พริบตาเดียวนางก็ออกไปไกลกว่าสิบเมตรแล้วจากนั้นก็เดินตามหลังหมอโจวไปอย่างไม่ใกล้ไม่ไกล จนมาถึงร้านขายยาของสกุลโจวร้านขายยาของสกุลโจวเป็นร้านขายยาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองตงโจว แบ่งออกเป็นสองชั้น ชั้นล่างและชั้นบน ด้านหลังยังมีโกดังเก็บยาหลายโกดัง มีสมุนไพรกองอยู่เต็มไปหมดหมอโจวได้ตำราแพทย์มาแล้ว ก็เหมือนได้สมบัติล้ำค่า จึงขังตัวเองอยู่ในห้องเพื่อศึกษาค้นคว้าแต่ไม่ทันสังเกตเลยว่ามีคนแอบตามเขาเข้ามาในร้านขายยาจากด้านหลัง“เจ้าคิดจะทำอะไร?”หลังจากถูกวางลง ซูจิ่งสิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องอยู่ในท่าทางที่น่าอึดอัดอีกต่อไปเมื่อเงยหน้าขึ้นมองกู้หว่านเยว่ที่
นี่ไม่ใช่ตำราแพทย์อะไรเลย แต่เป็นสมุดภาพที่กู้หว่านเยว่ขีดเขียนเล่น ๆสิ่งที่วาดไว้ข้างใน ไม่ใช่เต่าก็เป็นตะพาบ แถมยังมีคำด่าทอที่เป็นที่นิยมในสมัยใหม่ด้วยหมอโจวยอมทิ้งศักดิ์ศรีไปทำตัวเป็นโจร ศึกษาตำราทั้งคืน สุดท้ายก็ได้แค่ของแบบนี้มาเขาสติแตกแล้วโมโหจนขว้างตำราแพทย์ลงพื้น จากนั้นเดินออกไปด้วยความโกรธ“กู้หว่านเยว่ นางเด็กสารเลว เจ้ากล้าหลอกข้า เจ้าไม่ตายดีแน่...เอ๊ะ สมุนไพรของข้าล่ะ?”เมื่อเห็นร้านขายยาที่ว่างเปล่า เขายังคิดว่าตัวเองตาฝาด จึงรีบขยี้ตาจนกระทั่งขยี้ตาไปหลายสิบรอบแล้วก็ยังเห็นภาพเดิม สุดท้ายก็ตกใจจนทรุดลงไปกองกับพื้น“ร้านของข้า สมุนไพรของข้า สมุนไพรล่ะ!”เสียงร้องไห้ของหมอโจว ทำให้หมอและเด็กในร้านขายยาคนอื่น ๆ ตกใจกันหมดทุกคนต่างตกใจจนหน้าถอดสี รีบไปแจ้งทางการ เนื่องจากสมุนไพรสูญหายไปมากขนาดนี้ ทางการย่อมให้ความสำคัญอย่างยิ่งอย่างไรก็ตาม เมื่อไปตรวจสอบที่ร้านขายยา ก็ไม่พบว่ามีใครบุกรุกเข้าไปในร้าน แต่กลับพบชุดดำภายในห้องของหมอโจวทางการสงสัยว่าหมอโจวจงใจสร้างเรื่องขึ้นมา หมอโจวที่น่าสงสารไม่เพียงแต่ไม่ได้รับการชดใช้ความเสียหาย แต่ยังถูกจับเข้าคุกและถู
จางเอ้อร์กระทืบเท้า “เป็นคนของสกุลซู พวกเขา พวกเขาติดโรคระบาดแล้ว!”“เป็นไปได้อย่างไร?”สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป นางให้ซูจิ่นเอ๋อร์ต้มยาป้องกันโรคระบาดแบ่งให้ทุกคนกินทุกวันถ้าทุกคนดื่มยาแล้ว จะไม่มีทางติดโรคระบาดแน่นอนซูจิ่นเอ๋อร์ที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงก็ออกมา แล้วรีบบอกกู้หว่านเยว่ว่า“พี่สะใภ้ ท่านฟังข้านะ ข้าใช้ห่อยาที่ท่านให้มาต้มตลอด ไม่มีทางเกิดปัญหาแน่นอน”“จิ่นเอ๋อร์ ข้าเชื่อเจ้า”ซูจิ่นเอ๋อร์อาจจะเคยเป็นคุณหนูเอาแต่ใจอยู่บ้าง แต่หลังจากที่นางปรับปรุงตัวแล้ว ตอนนี้ก็ระมัดระวังในการต้มยาเป็นอย่างมากกู้หว่านเยว่เคยดูอยู่ข้าง ๆ หลายครั้ง ก็มั่นใจในเรื่องนี้ได้นางมองไปที่จางเอ้อร์ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มีคนในสกุลซูกี่คนที่ติดโรคระบาด?”“ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดว่ากี่คน แต่ที่รู้ ๆ คือนางจินจากบ้านใหญ่ใกล้จะไม่ไหวแล้ว คนอื่น ๆ ก็อาจจะติดโรคไปด้วยหัวหน้าของเราสั่งให้คนไปล็อกห้องเก็บฟืนแล้ว ไม่ให้คนข้างในออกมา”“ล็อกห้องเก็บฟืน?” กู้หว่านเยว่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ คิ้วขมวดเข้าหากันนอกจากพวกเขาและเหล่านักการแล้ว สกุลเหยียน สกุลหลี่ สกุลเซิ่ง และสกุลซูทั้งหมดก็อยู่ใน
ตามหลักแล้ว ทุกคนดื่มยาป้องกันโรคทุกวัน และไม่ได้สัมผัสกับผู้ป่วย จึงไม่น่าจะติดเชื้อได้เว้นแต่ว่าพวกเขาจะสัมผัสกับสิ่งของที่ผู้ป่วยเคยใช้แต่ของของผู้ป่วยจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?กู้หว่านเยว่เต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนอื่นให้ซูจิ่นเอ๋อร์ไปเตรียมสำลีมาหลายสิบอัน แล้วเขียนชื่อของแต่ละคนลงบนสำลีจากนั้นแจกจ่ายให้คนของบ้านใหญ่และนักการในศาลาว่าการ สั่งให้แต่ละคนใช้สำลีป้ายเบา ๆ ที่ลำคอ แล้วใส่ลงในแก้วที่สะอาดแยกกัน และนำมาส่งให้นางนางก็ค่อยนำสำลีเหล่านี้เข้าไปตรวจสอบที่ตึกการแพทย์ที่อยู่ในมิติของนาง“โชคดีที่คนข้างนอกไม่ได้ติดเชื้อมาลาเรีย”ซุนอู่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกขอบคุณสวรรค์ ส่วนนักการคนอื่น ๆ ก็โล่งใจเช่นกันต่อไปก็ถึงตาของนักโทษเนรเทศที่อยู่ในห้องเก็บฟืนแล้วเมื่อหน้าต่างเปิดออกเล็กน้อย คนที่อยู่ข้างในก็รีบกรูเข้ามาทันที และทุบขอบหน้าต่างด้วยความตื่นเต้น“แม่นางน้อยกู้ ช่วยพวกเราด้วยเถอะ!”“ใช่แล้ว พวกเราหลายคนไม่ได้ป่วย เหตุใดต้องขังพวกเราไว้ด้วยกันข้างในนี้ เราไม่อยากตายนะ”ทุกคนในห้องเก็บฟืนต่างตื่นตระหนก อาจพังหน้าต่างออกมาได้ทุกเมื่อกู้หว่านเยว่สวมผ้าคลุมหน้า “ท
หลังจากผลออกมา กู้หว่านเยว่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโชคดีที่มีเพียงสี่คนที่ติดโรคระบาดฮูหยินผู้เฒ่าซู นางจิน ฮูหยินสกุลหลี่ และลูกชายคนเล็กของสกุลเซิ่ง“คนที่ไม่ได้ป่วยให้ออกมาจากห้องเก็บฟืน ถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่ออกมานำไปเผา แล้วใส่เสื้อผ้าที่สะอาด จากนั้นไปรับยาต้มป้องกันโรคจากจิ่นเอ๋อร์”กู้หว่านเยว่สั่งการอย่างเป็นระเบียบ“คนที่ป่วยทั้งสี่คน ให้อยู่ในห้องเก็บฟืนห้ามออกมา”คนอื่น ๆ ทั้งสามคนเชื่อฟังคำสั่งอย่างว่าง่าย มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าซูที่ทำหน้าบึ้งตึง ใช้ไม้เท้าพยุงตัวพยายามจะออกไปข้างนอก“ท่านออกไปไม่ได้”กู้หว่านเยว่รีบขวางนางไว้ยายแก่คนนี้ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไร ป่วยแล้วยังจะออกไปข้างนอกอีก อยากแพร่เชื้อให้คนอื่นใช่หรือไม่?ฮูหยินผู้เฒ่าซูจ้องมองนางอย่างดุร้าย “ทำไมข้าจะออกไปไม่ได้ ข้าไม่ได้ป่วย ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก กู้หว่านเยว่นางสารเลว เจ้าทำเพื่อแก้แค้นส่วนตัว ต้องการฆ่าข้า!”ดูทั้งสามคนที่เป็นโรคระบาดนั่นสิ คนไหนบ้างที่ร่างกายไม่อ่อนแอ?ข้อหนึ่งนางไม่ไอ ข้อสองไม่ตัวร้อน แล้วทำไมถึงเป็นโรคมาลาเรียได้?เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าซูกำลังจะพุ่งออกมาด้วยความโกรธ
ซูหรานหร่านก้มหน้าลง “ท่านย่าไม่ยอมดูแลท่านแม่ก่อนตอนที่นางป่วย ท่านแม่คอยดูแลนางตลอด ตอนนี้ท่านแม่ป่วยแล้ว นางไม่สนใจเลยสักนิด โดนตีก็สมควรแล้วมิใช่หรือ?”“ซูหรานหร่าน เจ้าพูดแบบนี้ได้อย่างไร ปกติพ่อสอนให้เจ้าเคารพผู้ใหญ่และรักเด็กไปไหนหมด?”ซูหัวหยางแสดงสีหน้าเย็นชาซูหรานหร่านกลับเหมือนถูกกระตุ้น เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา“ข้าพูดผิดตรงไหน พวกเราบ้านใหญ่รับใช้ท่านย่ามาตลอดทางเหมือนวัวเหมือนม้า แต่ท่านย่าเคยเห็นความดีของพวกเราบ้างหรือไม่ในใจของท่านพ่อมีแต่ท่านย่า ไม่สนใจเลยหรือว่าท่านแม่ข้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร?”ซูหัวหยางหน้าแดงก่ำแน่นอนว่าเขาเป็นห่วงนางจิน แต่ความกตัญญูเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก เขาควรจะห่วงใยท่านแม่ของเขามากกว่า เพราะฮูหยินผู้เฒ่าซูคือแม่ของเขานี่นา?“หรานหร่าน เจ้าจะก้าวร้าวเกินไปแล้ว กล้าพูดกับพ่อแบบนี้ได้อย่างไร!”ซูหัวหยางกล่าวพลางยกมือจะตบหน้าซูหรานหร่าน แต่โชคดีที่ซูเช่อเข้ามาขวางไว้ทัน“ท่านพ่อ อย่าทำร้ายน้องสาวเลย น้องสาวก็แค่เป็นห่วงท่านแม่”ซูหรานหร่านฉวยโอกาสหนีไป มองซูหัวหยางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แล้ววิ่งหนีไปไกล ทางด้านนี้ เพื่อ
เดิมทีวิชายุทธ์ของเขาก็ไม่สูง หลังผ่านความตกตะลึง ขาก็ลื่นร่วงหล่นจากคานบ้านปรมาจารย์แพทย์ ‘...เหล่านี้ล้วนคือสมุนไพร ดอกไม้อะไรกัน!’“พูดเช่นนี้หมายความว่าเจ้ามาหาเจียงอวิ๋นจิ่น เจ้าอยากพานางหนีไป?” กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วเอ่ยถามเฉินจื่อวั่งสบสายตาของทั้งคู่ รีบส่ายหน้า “ข้าเปล่า ข้ารู้นางไม่มีวันไปกับข้า แม่ของนางยังอยู่ในเมืองหลวง หากนางไป แม่ของนางก็ต้องตาย ข้าเพียงอยากลอบมาดูนางสักครั้ง”กู้หว่านเยว่รู้สึกเห็นใจคนผู้นี้อยู่บ้าง เขาก็คือคนหลงใหลในความรักคนหนึ่งยิ่งไปกว่านั้นฟังจากคำพูดของอีกฝ่ายแล้ว เจียงอวิ๋นจิ่นไม่ได้ยินดีมาเป็นชายารองที่เจดีย์หนิงกู่เฉินจื่อวั่งขบกรามแน่นพูดว่า “เรื่องคืนนี้ล้วนเป็นความผิดของข้า พวกเจ้าจะฆ่าก็ฆ่า แต่อย่าโทษนางเป็นอันขาด นางน่าสงสารพอแล้ว”เขากำหมัดแน่น “จะโทษก็โทษที่ข้าไร้ประโยชน์ ไม่สามารถปกป้องนางและครอบครัวของนางเอาไว้ได้”เขามองทางซูจิ่งสิง “ท่านอ๋องขอร้องท่านหนึ่งเรื่อง อวิ๋นจิ่นเป็นคนน่าสงสารจริงๆ ต่อให้ท่านไม่รักนาง แต่ฝ่าบาทพระราชทานนางให้ท่านแล้ว ในเมื่อนางเป็นสตรีของท่านแล้ว ขอร้องท่านดีต่อนางด้วย แม้ข้าและนางเป็นคู่รักในวัยเย
เฉินจื่อวั่งสีหน้างุนงง เมื่อครู่เกิดเรื่องใดขึ้นแล้ว เหตุใดเขาไม่รู้?สีหน้ากู้หว่านเยว่สับสน ปรมาจารย์แพทย์ลูบศีรษะอย่างเก้อกระดาก“คือว่า คือว่าเวลาออกฤทธิ์ของยาพูดความจริงนี้สั้นไปบ้างยิ่งไปกว่านั้นยามเอ่ยถามปัญหาสำคัญ เป็นไปได้มากว่าฤทธิ์ยาจะหายไป...ยังไม่ทันได้ปรับปรุง”ยาสิ้นฤทธิ์ตอนถามปัญหาสำคัญ เช่นนั้นยาพูดความจริงมีประโยชน์อะไร?กู้หว่านเยว่ยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่ก็สามารถเข้าใจได้ เพียงยาน้ำขวดเดียว ยากจะทำให้จิตใจของคนสับสน“น้องหญิง ใต้วงแขนเขาคล้ายมีของ” สายตาซูจิ่งสิงคมกริบ ขยับขึ้นไปดึงสิ่งที่อยู่ใต้วงแขนของเฉินจื่อวั่งออกมาเฉินจื่อวั่งคล้ายให้ความสำคัญต่อของสิ่งนี้มากเป็นพิเศษ รีบร้องตะโกน “รีบคืนของให้ข้า!”เขาพยายามกระโจนเข้ามา ถูกฉู่เฟิงจับไว้แน่นๆ แล้ว“ของสิ่งนี้เป็นสิ่งล้ำค่าของข้า ขอร้องพวกท่านรีบคืนมันให้ข้า”กู้หว่านเยว่หันมองทางมือของซูจิ่งสิง พบว่าคือถุงหอมใบหนึ่งนางเมินข้ามคำอ้อนวอนของเฉินจื่อวั่ง หยิบถุงหอมมามองซ้ายมองขวา สรุปคือพบอักษรตัวเล็กๆ หนึ่งบรรทัดที่ด้านล่างถุงหอม“ท่านพี่ ท่านถือเทียนเข้ามาใกล้หน่อย”ตอนนี้ท้องฟ้ามืดมิด อักษ
โชคดีจริงๆเสียด้วย!กู้หว่านเยว่โมโหไม่อยากพูดแล้ว กลับเอ่ยปากอย่างใจอ่อน “ช่างเถอะๆ ข้าช่วยท่านจับชีพจร แต่หากข้าเองก็ไม่สามารถถอนพิษได้ เช่นนั้นท่านก็คงต้องตายจริงๆ แล้ว”นางจงใจทำให้ปรมาจารย์แพทย์ตกใจ ใครจะรู้ปรมาจารย์แพทย์กลับหัวเราะ “ตายเถอะๆ รีบตายรีบหลุดพ้น”“.....”นางแพ้แล้ว“เป็นเช่นไรนังหนู เจ้าสามารถคิดค้นยาถอนพิษนี้ได้หรือไม่?” ปรมาจารย์แพทย์สนใจเพียงสิ่งนี้“สามารถคิดค้นได้ แต่ต้องฝังเข็ม”กู้หว่านเยว่หยิบเข็มเงินออกมา ใช้เวลาครู่หนึ่ง ถึงขับพิษให้ไปอยู่อีกแห่งหนึ่งได้“ข้าค่อยเขียนตำรับยาให้ท่านหนึ่งเทียบ”ช่วยแล้วก็ต้องช่วยจนถึงที่สุด กำจัดพิษที่เหลืออยู่ด้วย นางก้มหน้าเขียนตำรับยา ดวงตาปรมาจารย์แพทย์ทอประกายระยับมองนาง“นังหนู วิชาพิษของเจ้าก็ไม่ธรรมดาเลยนี่”กู้หว่านเยว่หัวเราะ “โชคดีที่ไม่ธรรมดา มิเช่นนั้นท่านจะต้องไปพบยมบาลแล้ว”นางพูดอีกหนึ่งประโยคอย่างอดไม่ได้ “ภายภาคหน้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้ หากครั้งหน้าท่านต้องการทดลองยาพิษ สามารถใช้หนูทดลองได้”“หนูทดลอง คือสิ่งใด?” ปรมาจารย์แพทย์ส่ายหัว ไม่เข้าใจกู้หว่านเยว่เล่าหลักการการใช้หนูทดลองในยุคสมัยใหม่ให้เขา
“ไป พวกเราไปดูกันเถอะ”กู้หว่านเยว่กังวลความปลอดภัยของปรมาจารย์แพทย์ ไม่ใส่ใจความเขินอาย รีบจูงมือซูจิ่งสิงไล่ตามไปสรุปคือทั้งสองคนมาถึงเรือนของปรมาจารย์แพทย์ คนชุดดำก็ล้มอยู่บนพื้นแล้ว“นังหนูๆ ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว เมื่อครู่จู่ๆ ก็มีคนชุดดำคนหนึ่งเขามา ข้าตกใจแทบแย่”ปรมาจารย์แพทย์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ในมือยังถือผงยาถูกเปิดออกหนึ่งขวดเห็นได้ชัดมาก คนชุดดำน่าจะโดนผงยาในมือของเขาแล้ว“ท่านมิได้วางยาพิษเขาจนตายไปแล้วกระมัง?”กู้หว่านเยว่ส่ายหัว มองดูแล้วนางกังวลโดยเสียเปล่า“เปล่าเสียหน่อย ตอนนี้ข้าไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิตแล้ว นี่เป็นเพียงยาสลบธรรมดาๆ เท่านั้น”ปรมาจารย์แพทย์เก็บยาสลบ จากนั้นรีบตบหน้าอก“ข้าตกใจแทบแย่ เมื่อครู่ข้าเพิ่งศึกษาสมุนไพร จู่ๆ เขาก็ร่วงลงมาจากคานบ้าน”กู้หว่านเยว่เดินเข้าไปมองแวบหนึ่ง คนยังไม่ตายจริงๆ“นี่คือศัตรูของท่านหรือ?”“ศัตรูอะไรกันเล่า ข้าไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ”ปรมาจารย์แพทย์ส่ายหน้า ซูจิ่งสิงโบกมือให้องครักษ์จันทราดึงคนชุดดำขึ้นมา“นักฆ่าคนนี้ มองดูแล้วนับว่าหล่อเหลาทีเดียว”กู้หว่านเยว่ประเมินออกมาหนึ่งประโยคอย่างอดไม่ได้ ทำเสียจนซูจิ่งสิงห
“ไม่ใช่ว่าข้าเก่งนะ แต่มีคู่มือการผลิตอยู่ในมิติ ข้าแค่ทำตามคู่มือก็เสร็จแล้ว””นั่นเจ้าก็เก่งเหมือนกัน คนทั่วไปต่อให้ได้คู่มือการผลิตมา ก็อาจจะทำออกมาได้ไม่เหมือนต้นฉบับซูจิ่งสิงไม่ยอมรับการโต้แย้ง กู้หว่านเยว่วกเข้าเรื่องเดิม “ข้าตั้งใจจะผลิตแก้วให้ครบวงจร”นางกล่าวอย่างครุ่นคิด “ความจริงแล้วแก้วไม่ใช่ของหายากอะไร เป็นชาวต่างแดนที่เห็นต้าฉีของเราไม่มี ก็เลยจงใจปั่นราคาให้สูงขึ้น”ที่กู้หว่านเยว่ยืนกรานที่จะผลิตแก้วออกมาให้ได้ เพราะไม่อยากให้ชาวต่างแดนขูดรีดพวกเขา“ท่านพี่รู้หรือไม่? ความจริงแล้วแก้วมีประโยชน์ใช้สอยมากมาย ไม่เพียงแต่สามารถใช้ทำเป็นถ้วยจานชามได้เท่านั้น แต่ยังใช้ผลิตหน้าต่างกระจกได้อีกด้วย ไม่เพียงแต่สามารถกันลมกันฝนได้เท่านั้น แต่ยังทำให้แสงแดดส่องถึงอีกด้วย มากไปถึงขั้นที่สามารถใช้มันผลิตกระจกได้ด้วย กระจกทองแดงที่พวกเราใช้กันอยู่ตอนนี้จะชัดเจนและสว่างไสวมากขึ้น”ดวงตาของกู้หว่านเยว่เปี่ยมไปด้วยประกายแวววาว ในขณะที่นางพรรณนาประโยชน์ของแก้วด้วยเสียงแผ่วเบา“หากสามารถส่งเสริมการใช้แก้วออกไปได้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดีมากที่สร้างความผาสุกให้แก่ประชาชน”นี่คือจุดประส
“ยังไม่กลับเจ้าค่ะ” ชิงเหลียนส่ายหัวกู้หว่านเยว่เหลือบมองสีท้องฟ้า ฟ้ากำลังจะมืดแล้ว ซูจิ่งสิงคงยุ่งมากแน่ ๆนางแทบรอไม่ไหวที่จะแบ่งปันความสุขนี้กับอีกฝ่าย “เดี๋ยวท่านพี่กลับมา รีบไปบอกข้าทันทีนะ”หลังจากยุ่งมาตลอดช่วงบ่าย นางก็เหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัว อาศัยช่วงเวลานี้อาบน้ำได้พอดี“ชิงเหลียน ข้าอยากอาบน้ำ”“เจ้าค่ะ” ชิงเหลียนรีบร้อนลงไป ให้ทางห้องครัวเล็กนำน้ำร้อนมาให้ ไม่นานอ่างอาบน้ำก็เต็มไปด้วยน้ำร้อนกู้หว่านเยว่แค่อยากแช่น้ำ ก็เลยไม่ได้เข้าไปอาบน้ำในมิติหยิบขวดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นกุหลาบออกมา ก่อนหยดลงในอ่างอาบน้ำ กลิ่นหอมแรงทำให้ชิงเหลียนเผยสีหน้าเคลิบเคลิ้มออกมา“ฮูหยิน หอมจัง เมื่อครู่ท่านหยดอะไรลงไปหรือเจ้าคะ? ทำไมถึงหอมเช่นนี้?“นี่คือน้ำมันหอมระเหยกลิ่นกุหลาบ”กู้หว่านเยว่ลงไปนั่งอย่างผ่อนคลาย แช่ในน้ำร้อนอุ่น ๆ หลับตาพริ้ม“ฮูหยินเก่งสุดยอดจริง ๆ “ชิงเหลียนชื่นชมอย่างจริงใจ หลังจากติดตามฮูหยินมานาน ก็ได้รู้ว่าสิ่งของอะไรที่หายาก ฮูหยินสามารถทำออกมาได้ทั้งหมด“เก่งสุดยอดไปเลย”ทำแก้วสำเร็จ กู้หว่านก็เยว่อารมณ์ดีทีเดียว พลางพยักหน้าอย่างหลงระเริงหลังจากแช่น้ำเส
“ตกลง ตกลง” นางจินเช็ดน้ำตา รู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันใดในเวลานี้พ่อบ้านศูนย์พักพิงรีบวิ่งเข้ามา “ท่านทั้งสองเป็นญาติของท่านอ๋องใช่ไหม?”“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ทั้งสองรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่เพิ่งรู้สึกมีความหวังในชีวิต พอหันกลับมาก็ถูกตบหน้าแล้วหรอกนะ?“ท่านทั้งสองอย่าประหม่าไปเลย” พ่อบ้านรีบบอก “ถ้าท่านทั้งสองต้องการความช่วยเหลือใด ๆ ข้าคือพ่อบ้านศูนย์พักพิง บอกกับพวกข้าได้เลย”นี่คือญาติของท่านอ๋อง ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมถึงเร่ร่อนมาถึงศูนย์พักพิงได้ แต่ก็ไม่สามารถล่วงเกินได้อยู่ดี“ข้า พวกข้าต้องการทำงาน” ซูเช่อรวบรวมคว้ากล้า“ได้สิ ถ้าท่านรู้หนังสือล่ะก็ ศูนย์พักพิงของเราขาดนักบัญชีหนึ่งคน”“ข้ารู้หนังสือ!”“งั้นพรุ่งนี้ท่านก็สามารถมาทำงานได้เลย” พ่อบ้านกล่าวอย่างผ่อนคลาย“จริงหรือ ขอบคุณ ยังมีแม่ของข้าด้วย...”“ถ้าแม่เฒ่าไม่รังเกียจ ทางศูนย์พักพิงก็สามารถจัดหางานที่ค่อนข้างสบายให้ได้”“ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจ รบกวนพ่อบ้านด้วย”เมื่อเห็นพ่อบ้านออกไปแล้ว สีหน้าของซูเช่อที่เคยขมขื่น ความเคียดแค้นที่มีต่อซูจิ่งสิงก็หายไปทันที“ท่านแม่ ข้าคิดได้แล้ว ต่อไปข้าจะใช้ช
“น้องหญิง เจียงอวิ๋นจิ่น ไม่ใช่ชายารอง”ซูจิ่งสิงต้องแก้ไขให้ถูกต้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่อยากให้ในอนาคตหากมีคนอื่นพูดถึงเขาอีก แล้วยังคิดว่าเขามีชายารอง“ตกลง ๆ ๆ ข้าคิดว่าเจียงอวิ๋นจิ่นผู้นี้ อาจจะไม่ได้มาโดยสมัครใจ”กู้หว่านเยว่เห็นนางลังเลที่จะพูดอยู่หลายครั้ง คำพูดนี้ทำให้ซูจินเอ๋อร์ถึงกับต้องออกปาก“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านใจดีเกินไปแล้ว นางเป็นศัตรูหัวใจของท่านนะ”“ใช่แล้วหว่านเยว่ ถ้านางไม่เต็มใจมา จะมีใครถือมีดจี้คอบังคับนางอยู่หรือ?”นางหยางเห็นแก่คนที่มาก่อน ไม่ค่อยชอบเจียงอวิ๋นจิ่นสักเท่าใด นางจับมือของกู้หว่านเยว่เอาไว้พลางถอนหายใจ “จิ่นเอ๋อร์พูดถูก เจ้าใจดีเกินไปแล้ว”“อุ๊บ!”กู้หว่านเยว่แสดงออกว่า ใช้ชีวิตอยู่มาสองชั่วอายุคน เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกว่านางใจดี พวกท่านใส่ตัวกรองเข้มงวดเกินไปแล้ว“ยินดีด้วยท่านอ๋อง ยินดีด้วยชายาอ๋อง”ขุนนางที่รีบรุดมาถึงพากันคุกเข่าลง หลี่เฉินอันก็เดินเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้น “อาจารย์หญิง ในที่สุดฟ้าหลังฝนก็มาถึงท่านแล้ว นับจากนี้ไปก็ไม่ได้อยู่ในสถานะนักโทษเนรเทศอีกแล้ว”เขามองกู้หว่านเยว่ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม ไม่มีความ
ซูจิ่งสิงปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่า การเปิดใจของน้องหญิงเป็นเรื่องยากเพียงใดเขาจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องใด ๆ ที่อาจทำร้ายหว่านเยว่เกิดขึ้นเด็ดขาด“แต่งเพียงในนาม ก็ไม่ได้เช่นกัน”“ท่านพี่” ความหวานชื่นผุดขึ้นในหัวใจของกู้หว่านเยว่ เจือด้วยความซาบซึ้งขันทีเริ่มลำบากใจขึ้นเรื่อย ๆ การเลี้ยงดูสตรีในจวนอ๋อง ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรมิใช่หรือ?“ท่านอ๋อง ท่านทำเช่นนี้ ทำให้ข้าลำบากใจ”ก่อนออกเดินทาง พระองค์ท่านตรัสไว้ว่า ต้องให้ซูจิ่งสิงยอมรับเจียงอวิ๋นจิ่นให้ได้ ไม่เช่นนั้นหัวของเขาจะหลุดจากบ่าเมื่อนึกถึงภารกิจที่ที่ได้รับมอบหมาย ขันทีก็ใช้เหตุผลอธิบายให้เข้าใจ ใช้ความรู้สึกโน้มน้าวจิตใจต่อไป“ท่านอ๋อง แค่สตรีเพียงคนเดียว เก็บไว้ข้างกายท่าน จะไม่เป็นอุปสรรคต่อเรื่องใดแน่ราชโองการของฮ่องเต้ได้ประกาศลงมาแล้ว ชายารองเจียงก็เดินทางมาไกลถึงที่นี่แล้ว หากถูกส่งคืนกลับไป จะเอาหน้าที่ไหนไปใช้ชีวิตต่อเล่า?”“ความเป็นความตายของคนอื่น มันเกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วย?”หรือว่าต้องทำให้น้องหญิงเสียใจเพื่อคนที่ไม่สลักสำคัญอะไรเพียงคนเดียวเล่า?“จะใกล้หรือไกล ใกล้ชิดหรือห่างเหิ