ซูจิ่งสิง!“เจ้าปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!” ท่านี้มันน่าอายเกินไปแล้วกู้หว่านเยว่ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “ก็ท่านบอกให้ข้าพาท่านไปด้วยไม่ใช่หรือ?”“กู้หว่านเยว่!” ซูจิ่งสิงกัดฟัน“เอาละ เลิกเล่นได้แล้ว เดี๋ยวก็ปลุกจิ่นเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ตื่นหรอก”กู้หว่านเยว่ตบก้นของเขาเบา ๆ ไม่อยากจะพูดเลยว่านุ่มมือดีจริง ๆซูจิ่งสิง อยากจะตายแล้วความอับอายของเขาอยู่ได้ไม่นาน ก็รู้สึกตกใจกับการกระทำของกู้หว่านเยว่ เพียงแค่พริบตาเดียวนางก็ออกไปไกลกว่าสิบเมตรแล้วจากนั้นก็เดินตามหลังหมอโจวไปอย่างไม่ใกล้ไม่ไกล จนมาถึงร้านขายยาของสกุลโจวร้านขายยาของสกุลโจวเป็นร้านขายยาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองตงโจว แบ่งออกเป็นสองชั้น ชั้นล่างและชั้นบน ด้านหลังยังมีโกดังเก็บยาหลายโกดัง มีสมุนไพรกองอยู่เต็มไปหมดหมอโจวได้ตำราแพทย์มาแล้ว ก็เหมือนได้สมบัติล้ำค่า จึงขังตัวเองอยู่ในห้องเพื่อศึกษาค้นคว้าแต่ไม่ทันสังเกตเลยว่ามีคนแอบตามเขาเข้ามาในร้านขายยาจากด้านหลัง“เจ้าคิดจะทำอะไร?”หลังจากถูกวางลง ซูจิ่งสิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องอยู่ในท่าทางที่น่าอึดอัดอีกต่อไปเมื่อเงยหน้าขึ้นมองกู้หว่านเยว่ที่
นี่ไม่ใช่ตำราแพทย์อะไรเลย แต่เป็นสมุดภาพที่กู้หว่านเยว่ขีดเขียนเล่น ๆสิ่งที่วาดไว้ข้างใน ไม่ใช่เต่าก็เป็นตะพาบ แถมยังมีคำด่าทอที่เป็นที่นิยมในสมัยใหม่ด้วยหมอโจวยอมทิ้งศักดิ์ศรีไปทำตัวเป็นโจร ศึกษาตำราทั้งคืน สุดท้ายก็ได้แค่ของแบบนี้มาเขาสติแตกแล้วโมโหจนขว้างตำราแพทย์ลงพื้น จากนั้นเดินออกไปด้วยความโกรธ“กู้หว่านเยว่ นางเด็กสารเลว เจ้ากล้าหลอกข้า เจ้าไม่ตายดีแน่...เอ๊ะ สมุนไพรของข้าล่ะ?”เมื่อเห็นร้านขายยาที่ว่างเปล่า เขายังคิดว่าตัวเองตาฝาด จึงรีบขยี้ตาจนกระทั่งขยี้ตาไปหลายสิบรอบแล้วก็ยังเห็นภาพเดิม สุดท้ายก็ตกใจจนทรุดลงไปกองกับพื้น“ร้านของข้า สมุนไพรของข้า สมุนไพรล่ะ!”เสียงร้องไห้ของหมอโจว ทำให้หมอและเด็กในร้านขายยาคนอื่น ๆ ตกใจกันหมดทุกคนต่างตกใจจนหน้าถอดสี รีบไปแจ้งทางการ เนื่องจากสมุนไพรสูญหายไปมากขนาดนี้ ทางการย่อมให้ความสำคัญอย่างยิ่งอย่างไรก็ตาม เมื่อไปตรวจสอบที่ร้านขายยา ก็ไม่พบว่ามีใครบุกรุกเข้าไปในร้าน แต่กลับพบชุดดำภายในห้องของหมอโจวทางการสงสัยว่าหมอโจวจงใจสร้างเรื่องขึ้นมา หมอโจวที่น่าสงสารไม่เพียงแต่ไม่ได้รับการชดใช้ความเสียหาย แต่ยังถูกจับเข้าคุกและถู
จางเอ้อร์กระทืบเท้า “เป็นคนของสกุลซู พวกเขา พวกเขาติดโรคระบาดแล้ว!”“เป็นไปได้อย่างไร?”สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป นางให้ซูจิ่นเอ๋อร์ต้มยาป้องกันโรคระบาดแบ่งให้ทุกคนกินทุกวันถ้าทุกคนดื่มยาแล้ว จะไม่มีทางติดโรคระบาดแน่นอนซูจิ่นเอ๋อร์ที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงก็ออกมา แล้วรีบบอกกู้หว่านเยว่ว่า“พี่สะใภ้ ท่านฟังข้านะ ข้าใช้ห่อยาที่ท่านให้มาต้มตลอด ไม่มีทางเกิดปัญหาแน่นอน”“จิ่นเอ๋อร์ ข้าเชื่อเจ้า”ซูจิ่นเอ๋อร์อาจจะเคยเป็นคุณหนูเอาแต่ใจอยู่บ้าง แต่หลังจากที่นางปรับปรุงตัวแล้ว ตอนนี้ก็ระมัดระวังในการต้มยาเป็นอย่างมากกู้หว่านเยว่เคยดูอยู่ข้าง ๆ หลายครั้ง ก็มั่นใจในเรื่องนี้ได้นางมองไปที่จางเอ้อร์ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มีคนในสกุลซูกี่คนที่ติดโรคระบาด?”“ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดว่ากี่คน แต่ที่รู้ ๆ คือนางจินจากบ้านใหญ่ใกล้จะไม่ไหวแล้ว คนอื่น ๆ ก็อาจจะติดโรคไปด้วยหัวหน้าของเราสั่งให้คนไปล็อกห้องเก็บฟืนแล้ว ไม่ให้คนข้างในออกมา”“ล็อกห้องเก็บฟืน?” กู้หว่านเยว่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ คิ้วขมวดเข้าหากันนอกจากพวกเขาและเหล่านักการแล้ว สกุลเหยียน สกุลหลี่ สกุลเซิ่ง และสกุลซูทั้งหมดก็อยู่ใน
ตามหลักแล้ว ทุกคนดื่มยาป้องกันโรคทุกวัน และไม่ได้สัมผัสกับผู้ป่วย จึงไม่น่าจะติดเชื้อได้เว้นแต่ว่าพวกเขาจะสัมผัสกับสิ่งของที่ผู้ป่วยเคยใช้แต่ของของผู้ป่วยจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?กู้หว่านเยว่เต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนอื่นให้ซูจิ่นเอ๋อร์ไปเตรียมสำลีมาหลายสิบอัน แล้วเขียนชื่อของแต่ละคนลงบนสำลีจากนั้นแจกจ่ายให้คนของบ้านใหญ่และนักการในศาลาว่าการ สั่งให้แต่ละคนใช้สำลีป้ายเบา ๆ ที่ลำคอ แล้วใส่ลงในแก้วที่สะอาดแยกกัน และนำมาส่งให้นางนางก็ค่อยนำสำลีเหล่านี้เข้าไปตรวจสอบที่ตึกการแพทย์ที่อยู่ในมิติของนาง“โชคดีที่คนข้างนอกไม่ได้ติดเชื้อมาลาเรีย”ซุนอู่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกขอบคุณสวรรค์ ส่วนนักการคนอื่น ๆ ก็โล่งใจเช่นกันต่อไปก็ถึงตาของนักโทษเนรเทศที่อยู่ในห้องเก็บฟืนแล้วเมื่อหน้าต่างเปิดออกเล็กน้อย คนที่อยู่ข้างในก็รีบกรูเข้ามาทันที และทุบขอบหน้าต่างด้วยความตื่นเต้น“แม่นางน้อยกู้ ช่วยพวกเราด้วยเถอะ!”“ใช่แล้ว พวกเราหลายคนไม่ได้ป่วย เหตุใดต้องขังพวกเราไว้ด้วยกันข้างในนี้ เราไม่อยากตายนะ”ทุกคนในห้องเก็บฟืนต่างตื่นตระหนก อาจพังหน้าต่างออกมาได้ทุกเมื่อกู้หว่านเยว่สวมผ้าคลุมหน้า “ท
หลังจากผลออกมา กู้หว่านเยว่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโชคดีที่มีเพียงสี่คนที่ติดโรคระบาดฮูหยินผู้เฒ่าซู นางจิน ฮูหยินสกุลหลี่ และลูกชายคนเล็กของสกุลเซิ่ง“คนที่ไม่ได้ป่วยให้ออกมาจากห้องเก็บฟืน ถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่ออกมานำไปเผา แล้วใส่เสื้อผ้าที่สะอาด จากนั้นไปรับยาต้มป้องกันโรคจากจิ่นเอ๋อร์”กู้หว่านเยว่สั่งการอย่างเป็นระเบียบ“คนที่ป่วยทั้งสี่คน ให้อยู่ในห้องเก็บฟืนห้ามออกมา”คนอื่น ๆ ทั้งสามคนเชื่อฟังคำสั่งอย่างว่าง่าย มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าซูที่ทำหน้าบึ้งตึง ใช้ไม้เท้าพยุงตัวพยายามจะออกไปข้างนอก“ท่านออกไปไม่ได้”กู้หว่านเยว่รีบขวางนางไว้ยายแก่คนนี้ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไร ป่วยแล้วยังจะออกไปข้างนอกอีก อยากแพร่เชื้อให้คนอื่นใช่หรือไม่?ฮูหยินผู้เฒ่าซูจ้องมองนางอย่างดุร้าย “ทำไมข้าจะออกไปไม่ได้ ข้าไม่ได้ป่วย ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก กู้หว่านเยว่นางสารเลว เจ้าทำเพื่อแก้แค้นส่วนตัว ต้องการฆ่าข้า!”ดูทั้งสามคนที่เป็นโรคระบาดนั่นสิ คนไหนบ้างที่ร่างกายไม่อ่อนแอ?ข้อหนึ่งนางไม่ไอ ข้อสองไม่ตัวร้อน แล้วทำไมถึงเป็นโรคมาลาเรียได้?เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าซูกำลังจะพุ่งออกมาด้วยความโกรธ
ซูหรานหร่านก้มหน้าลง “ท่านย่าไม่ยอมดูแลท่านแม่ก่อนตอนที่นางป่วย ท่านแม่คอยดูแลนางตลอด ตอนนี้ท่านแม่ป่วยแล้ว นางไม่สนใจเลยสักนิด โดนตีก็สมควรแล้วมิใช่หรือ?”“ซูหรานหร่าน เจ้าพูดแบบนี้ได้อย่างไร ปกติพ่อสอนให้เจ้าเคารพผู้ใหญ่และรักเด็กไปไหนหมด?”ซูหัวหยางแสดงสีหน้าเย็นชาซูหรานหร่านกลับเหมือนถูกกระตุ้น เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา“ข้าพูดผิดตรงไหน พวกเราบ้านใหญ่รับใช้ท่านย่ามาตลอดทางเหมือนวัวเหมือนม้า แต่ท่านย่าเคยเห็นความดีของพวกเราบ้างหรือไม่ในใจของท่านพ่อมีแต่ท่านย่า ไม่สนใจเลยหรือว่าท่านแม่ข้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร?”ซูหัวหยางหน้าแดงก่ำแน่นอนว่าเขาเป็นห่วงนางจิน แต่ความกตัญญูเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก เขาควรจะห่วงใยท่านแม่ของเขามากกว่า เพราะฮูหยินผู้เฒ่าซูคือแม่ของเขานี่นา?“หรานหร่าน เจ้าจะก้าวร้าวเกินไปแล้ว กล้าพูดกับพ่อแบบนี้ได้อย่างไร!”ซูหัวหยางกล่าวพลางยกมือจะตบหน้าซูหรานหร่าน แต่โชคดีที่ซูเช่อเข้ามาขวางไว้ทัน“ท่านพ่อ อย่าทำร้ายน้องสาวเลย น้องสาวก็แค่เป็นห่วงท่านแม่”ซูหรานหร่านฉวยโอกาสหนีไป มองซูหัวหยางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แล้ววิ่งหนีไปไกล ทางด้านนี้ เพื่อ
ซูจิ่งสิงส่ายหัวให้นาง“ทุกอย่างต้องมีหลักฐาน เจ้าไม่มีหลักฐาน ตอนนี้ไปหานาง นางก็ไม่ยอมรับหรอก”“แล้วจะทำอย่างไรดี?”จะปล่อยให้นางรอดตัวไปงั้นหรือ? กู้หว่านเยว่ยอมไม่ได้“ข้ามีวิธีให้นางยอมรับเอง” ซูจิ่งสิงกระซิบข้างหูนางสองสามประโยค กู้หว่านเยว่ฟังแล้วตาเป็นประกายสองวันต่อมา ผู้ป่วยในห้องเก็บฟืนก็หายดีเกือบหมดแล้ว แม้แต่นางจินที่หมดสติก็ฟื้นขึ้นมาซูหรานหร่านรู้สึกขอบคุณกู้หว่านเยว่เป็นอย่างยิ่ง มองนางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกู้หว่านเยว่และซุนอู่เสนอว่าจะออกไปซื้อแม่ไก่แก่มาสักสองสามตัว จากนั้นตุ๋นเป็นน้ำแกงหนึ่งหม้อ เพื่อบำรุงร่างกายให้ทุกคนเมื่อทุกคนได้ยินว่ามีน้ำแกงแม่ไก่ให้ดื่ม บรรยากาศหดหู่จากโรคระบาดก็พลันสลายไป ทุกคนต่างถือชามมาต่อแถวรับน้ำแกงไก่ด้วยความกระตือรือร้นหลี่ซือซือก็ไม่ยกเว้นแต่เมื่อนางเห็นหม้อที่กู้หว่านเยว่ใช้ต้มน้ำแกง ชามในมือก็เกือบจะหลุดร่วงลงพื้นด้วยความตกใจ“หม้อมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...” นางตกใจจนหน้าถอดสี หันหลังจะเดินหนีไปกู้หว่านเยว่เรียกนางจากด้านหลัง “หลี่ซือซือ เจ้าจะไปไหน น้ำแกงไก่นี่ไม่ดื่มแล้วหรือ?”หลี่ซือซือส่ายหัว เหมือนถูกก
“ไม่หย่าเจ้าแล้วจะเก็บไว้ฉลองตรุษจีนหรือไร?”ซูอวี่เข้ามาในห้องด้วยท่าทางโมโห หยิบกระดาษมาเขียนหนังสือหย่าอย่างลวก ๆ แล้วปาใส่หน้าหลี่ซือซือ“ท่านพี่ แม้เป็นสามีภรรยากันเพียงคืนเดียวก็ยังผูกพันกันนะ!”หลี่ซือซือน้ำตาไหลพราก กอดขาซูอวี่ไว้แน่น“ไปให้พ้น!” ฮูหยินผู้เฒ่าซูถีบนางออกไปด้วยเท้าข้างหนึ่ง จากนั้นยังเอาพื้นรองเท้าถูกับพื้นหญ้าอย่างแรง ราวกับเหยียบขี้หมาเหม็น ๆ ทุกคนมองดูอย่างเย็นชา ไม่มีใครสงสารหลี่ซือซือเลย“พวกเราซดน้ำแกงจากหม้อใบเล็กไปแล้ว คงไม่ติดโรคมาลาเรียหรอกนะ?”“ไม่หรอก”กู้หว่านเยว่รีบอธิบาย เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก“หม้อใบเล็กนี้ข้าหาใบที่เหมือนกันมาโดยเฉพาะ ใบเก่าถูกเผาทิ้งไปนานแล้ว”ทุกคนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก“กู้หว่านเยว่ เจ้ากล้าหลอกข้า!”หลี่ซือซือรู้สึกว่าตนเองถูกหลอก จึงคว้าชามที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาปาใส่กู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่หลบไปด้านข้าง จากนั้นยกเท้าถีบนางจนกระเด็น“ถ้าเจ้าไม่คิดร้ายกับใคร ก็ไม่มีใครหลอกเจ้าได้หรอก ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าทำเรื่องชั่วอีกเลย”หลี่ซือซือทรุดตัวลงไปตามกำแพง มองกู้หว่านเยว่ด้วยความโกรธแค้น และกำหมัดแน่น นา
ในทันทีที่ถอดหน้ากากออก ใบหน้าสวยหยาดเยิ้มสว่างสดใสก็เข้าสู่สายตาของเฟิ่งอู๋ชีเขาตกตะลึงมากทีเดียว ในขณะที่กำลังใจลอย หน้ากากก็ถูกกู้หว่านเยว่แย่งไปอีกครั้ง“เอาคืนมาให้ข้า”เหตุใดยังขโมยของของคนอื่นอีก?สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไปทันทีนางไม่คิดว่าเฟิ่งอู๋ชีจะกระทำเช่นนี้หลังจากถอดหน้ากากป้องกันพิษออก เข็มเงินอีกเล่มก็พุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายเฟิ่งอู๋ชีไม่กลัวยาพิษจริง ๆ แต่เขากลับเกรงกลัวเข็มเงิน รีบเข้าไปหลบอยู่ทางด้านข้างกู้หว่านเยว่ฉวยโอกาสนี้หลบหนีไป“บัญชีนี้เราค่อยชำระภายหลัง”กู้หว่านเยว่หันกลับไปมองเฟิ่งอู๋ชีแวบหนึ่ง แล้วรีบออกจากคุกใต้ดิน“ช่างเป็นหญิงที่งดงามนัก ช่างเป็นหญิงที่น่าสนใจนัก”เฟิ่งอู๋ชีแย้มยิ้มมุมปากเล็ก ๆ เขาไม่เคยเห็นสตรีที่งดงามและห้าวหาญเช่นนี้มาก่อนเมื่อเห็นกู้หว่านเยว่ออกไป เฟิ่งอู๋ชีก็ไล่ตามไปโดยไม่ลังเลเสียงการต่อสู้ระหว่างทั้งสองไม่ใช่เบา ๆ ในไม่ช้าก็ดึงดูดองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกให้เข้ามา หลังจากองครักษ์เหล่านั้นเห็นกู้หว่านเยว่ ก็ตระหนักทันทีว่ามีคนเข้ามาในคุกใต้ดิน“ไม่ได้การ คุกใต้ดินมีอันตราย รีบห้ามคนผู้นั้นไว้โดยเร็ว”องครักษ์ที
กู้หว่านเยว่เหลือบมองดูคร่าว ๆ ทั้งหมดน่าจะทำมาจากเหล็กสีนิล แต่ละชิ้นกองไว้ตามมุม“ดูเหมือนว่า พวกเขากำลังผลิตนักรบสวรรค์”ความคิดที่หาญกล้าผุดขึ้นมาในหัวของกู้หว่านเยว่นางขับเคลื่อนมิติมาถึงบนโต๊ะ เห็นพิมพ์เขียวขนาดใหญ่มหึมาฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะดังคาดพิมพ์เขียวฉบับนี้เหลืองซีดจนเห็นด้วยตาเปล่า ค่อนข้างนานหลายปีแล้วบนพิมพ์เขียวมีชิ้นส่วนที่ซับซ้อนหลากหลายรูปแบบถูกวาดเอาไว้“ดูเหมือนว่านี่คือพิมพ์เขียวของนักรบสวรรค์”กู้หว่านเยว่ยิ้มเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะได้รับพิมพ์เขียวนี้อย่างราบรื่นดูผู้คนในคุกใต้ดินนี้สิ โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นช่างฝีมือที่ถูกลักพาตัวมาจากข้างนอกช่างฝีมือเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ กู้หว่านเยว่ไม่ต้องการทำร้ายพวกเขานางค้นยาห่อหนึ่งออกมาจากมิติ จากนั้นโปรยมันลงในคุกใต้ดินโดยตรงหลังจากนั้นไม่นาน ช่างฝีมือในคุกใต้ดินก็ล้มลงกับพื้นทีละคน ก่อนจะหมดสติไปกู้หว่านเยว่หยิบหน้ากากป้องกันพิษออกมาจากมิติ สวมใส่ไว้บนใบหน้าแล้วค่อยออกจากมิติ“ไม่รู้ว่าคุกใต้ดินแห่งนี้สร้างขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะเริ่มศึกษาค้นคว้านักรบสวรรค์นี้มาตั้งแต่สมัยองค์หญิงใหญ่
“แม่นางกู้ เป็นท่านที่ช่วยข้าจริง ๆ หรือ?”โจวหุยพยายามลืมตาขึ้น หัวเราะอย่างขมขื่นสองครั้ง“ข้านึกว่าข้าเห็นภาพหลอนไปเสียแล้ว”กู้หว่านเยว่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง“ข้ายังมีธุระสำคัญที่ต้องทำ คงช่วยท่านได้แค่ครั้งเดียว ที่นี่คือโรงเตี๊ยม ท่านพักผ่อนที่นี่อย่างสบายใจ ส่วนเรื่องหลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองแล้ว”ถึงแม้คนผู้นี้จะเป็นคนคลั่งรัก แต่เขาก็ยังคงเป็นคนที่มีใจรักเดียวกู้หว่านเยว่ไม่อยากพูดอะไรให้หนักเกินไป การช่วยเขาก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว“แม่นางกู้ ท่านมาตามหาองค์หญิงใหญ่ใช่หรือไม่?”โจวหุยพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้กู้หว่านเยว่มองเขาอย่างระแวดระวัง“ท่านถามข้าเรื่ององค์หญิงใหญ่หลายครั้งขนาดนั้น แค่คิดง่าย ๆ ก็รู้แล้วว่า ท่านคงจะตามหาองค์หญิงใหญ่”เขาหัวเราะขมขื่น แล้วกล่าวอธิบาย“ท่านอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร ในเมื่อข้าเป็นแบบนี้ไปแล้วญาติผู้น้องทรยศข้า ความเศร้าใดเล่าจะเท่าความสิ้นหวังข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปที่ไหน ท่านเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้าไว้ หากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยท่านได้ ท่านบอกมาได้เลย”“ไม่ต้องหรอก”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า นางไม
เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าบริเวณรอบ ๆ มีไฟลุกโชน ประตูห้องก็ถูกล็อกอย่างแน่นหนา“ช่วยด้วย มีใครอยู่หรือไม่ช่วยข้าที?”โจวหุยสูดดมควันไฟมากเกินไป ทำให้สติเลอะเลือนเขาใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว กำลังจะหมดสติไปเขามันโง่จริง ๆ ถูกญาติผู้น้องหลอกครั้งหนึ่งแล้วแท้ ๆ กลับถูกหลอกเป็นครั้งที่สองอีกความรักในโลกนี้มันคืออะไรกันแน่?เขาหลงรักน้องหญิง แต่สุดท้ายกลับลงเอยเช่นนี้“ถ้าให้โอกาสข้าอีกครั้ง ข้า...”โจวหุยกัดฟันแน่น “ข้าจะไม่ยอมโง่งมเช่นนี้อีกเป็นอันขาด”“คนคลั่งรัก เตือนท่านให้ระวังแล้ว สุดท้ายก็ยังโดนหลอกอีก”ทันใดนั้น น้ำเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นข้างหู จากนั้นเขาก็ถูกใครบางคนดึงขึ้นจากพื้น“ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าท่านยังพอใช้ได้ เคยนำทางให้ข้า ข้าคงไม่ช่วยท่านเป็นครั้งที่สองหรอก”โจวหุยรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายลืมตาขึ้นมา มองกู้หว่านเยว่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับด่าทอเขา“เป็นท่าน?”เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกู้หว่านเยว่ที่นี่ ยังอยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่เรี่ยวแรงในร่างกายของเขาได้หมดลงไปนานแล้ว ขามึนงงและหมดสติไป“ช่างเป็นคนคลั่งรักมากจริง ๆ เคยถูกคนฆ่ามาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ยังถูก
เหลือเพียงองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสี่“ส่วนองค์หญิงใหญ่ในฐานะที่เป็นพระธิดาองค์โตของอดีตฮ่องเต้ ย่อมได้รับความรักมากมาย มิเช่นนั้น อดีตฮ่องเต้คงจะไม่พระราชทานเมืองอู้ตูให้องค์หญิงใหญ่เป็นดินแดนในปกครอง และคงจะไม่สร้างจวนองค์หญิงที่ใหญ่โตเทียบเท่าพระราชวังเช่นนี้”“หลังจากที่องค์หญิงใหญ่อภิเษกสมรส อดีตฮ่องเต้ทรงกังวลว่าองค์หญิงใหญ่จะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงมอบแผนที่ขุมทรัพย์ให้องค์หญิงใหญ่หนึ่งแผ่น”“แผนที่ขุมทรัพย์อะไร?”“ได้ยินมาว่าเป็นภาพวาดที่ใช้สร้างนักรบสวรรค์”เดิมทีอดีตฮ่องเต้เคยได้รับภาพวาดหนึ่งแผ่นจากยอดฝีมือ ภาพวาดนี้สามารถใช้สร้างนักรบสวรรค์ได้ นักรบสวรรค์ที่สร้างขึ้นมามีพลังมหาศาล สามารถโจมตีได้เองโดยอัตโนมัติ ถือเป็นอาวุธสงครามกู้หว่านเยว่รู้สึกตกตะลึง“อดีตฮ่องเต้มอบแผนที่เช่นนี้ให้องค์หญิงใหญ่หรือ?”แสดงให้เห็นว่าเขารักพระธิดาองค์นี้มากจริง ๆ แม่ทัพซ่งพยักหน้า“สาเหตุที่ล้อมจวนองค์หญิงไว้ ก็เพราะกำลังศึกษานักรบสวรรค์อยู่ข้างใน”“นักรบสวรรค์อย่างนั้นหรือ ข้าชักจะสงสัยแล้วว่า นี่มันคืออะไรกันแน่?”กู้หว่านเยว่ยิ้มเล็กน้อย กริชที่อยู่ในมือเปลี่ยนทิศทาง กระแทกแม่
“เจ้าเป็นใคร?”นี่คือสตรีอย่างนั้นหรือ! แม่ทัพซ่งมั่นใจว่าเขาไม่เคยเจอกู้หว่านเยว่มาก่อน“เจ้าต้องการทำอะไร?”สกุลซ่งมีองครักษ์มากมาย สตรีผู้นี้ยังสามารถบุกเข้ามาได้ วรยุทธ์คงไม่ธรรมดาแม่ทัพซ่งกำลังประเมินความสามารถของกู้หว่านเยว่ในใจ“คำพูดนี้ ดูเหมือนว่าแม่ทัพซ่งจะไม่มีสิทธิ์ถาม”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง แล้วจ่อกริชเข้าไปที่คอของเขารอยเลือดปรากฏขึ้น แม่ทัพซ่งสูดลมหายใจด้วยความเจ็บปวด“ข้าขอถามท่าน องค์หญิงใหญ่อยู่ที่ไหน?”เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกคนพบเห็น กู้หว่านเยว่ก็ขี้เกียจพูดจาไร้สาระ เอ่ยถามขึ้นมาตรง ๆ “ข้าไม่รู้”ดวงตาของแม่ทัพซ่งสั่นไหวเล็กน้อย กู้หว่านเยว่ต่อยเข้าที่สันจมูกของเขา“โกหก!”นางกล่าวเตือน “ข้าไม่ชอบคนโกหก ให้โอกาสท่านอีกครั้งหนึ่ง ตอบมาตามตรง มิเช่นนั้น ข้าได้ยินมาว่าท่านมีชายบำเรอคนโปรด”แม้ว่านางจะพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ แต่กลับทำให้สีหน้าของแม่ทัพซ่งบิดเบี้ยว“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”ดูเหมือนเขาจะกลัวเรื่องนี้ถูกเปิดเผยเป็นอย่างมากกู้หว่านเยว่ยิ้มตาหยี “ข้ารู้เรื่องต่าง ๆ มากมาย แม่ทัพซ่ง ท่านไม่เพียงแต่ชอบผู้ชาย แถมยังชอบแอบใส่ชุดสตรีตอนกลางดึกอีกด้วย
ส่วนเยียนอวิ๋นชูที่พบในแคว้นทูเจวี๋ยเมื่อตอนนั้น มีความเย็นชาและเย่อหยิ่งความหล่อเหลาสองแบบนั้นแตกต่างจากองค์ชายหนานเจียงตรงหน้าผู้นี้ ความหล่อเหลาของเขาใกล้เคียงกับปีศาจ ท่าทางรอยยิ้ม ช่างเย้ายวนใจยิ่งกว่าสตรีเสียอีกกู้หว่านเยว่ไม่รีบร้อนออกไป ตั้งใจจะฟังว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกันอยู่ในมิติ เผื่อว่าจะได้ยินเรื่องที่อยู่ขององค์หญิงใหญ่“ไม่ทราบว่าองค์ชายเสด็จมาเมืองอู้ตูครั้งนี้ จะประทับที่เมืองอู้ตูนานเท่าไรพ่ะย่ะค่ะ?”แม่ทัพซ่งพูดด้วยถ้อยคำที่สุภาพ เห็นได้ชัดว่าเกรงกลัวองค์ชายหนานเจียงเป็นอย่างมาก“รีบร้อนอะไร ข้าอยากจะเที่ยวเล่นในเมืองอู้ตูสักพัก”เฟิ่งอู๋ชียิ้มอย่างคลุมเครือ “อีกอย่าง ยังหาตัวคู่หมั้นไม่เจอ ข้าย่อมไม่จากไปแน่นอน”“ท่านหญิงฉางเล่อถูกคนของเจดีย์หนิงกู่ลักพาตัวไป ฮ่องเต้จะต้องช่วยท่านหญิงฉางเล่อกลับมาอย่างแน่นอน” แม่ทัพซ่งฝืนยิ้ม อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค“ว่าแต่ บุตรสาวของข้ากับองค์ชาย...”“บุตรสาวของท่านกับข้าเป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น”เฟิ่งอู๋ชียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พูดจาไร้ยางอาย“หรือว่าแม่ทัพต้องการให้ข้าไม่สนใจการแต่งงาน แล้วอยู่กับบุตรสาวของท
“ดังนั้น ท่านอาจะฆ่าข้า เจ้าก็รู้เห็นด้วยหรือว่า เรื่องนี้เจ้ากับท่านอาร่วมมือกันวางแผน?”ดวงตาของโจวหุยแดงก่ำ เขาไม่อยากเชื่อว่าคนที่เขารักจะเป็นคนแบบนี้“พี่ชาย อย่าบีบบังคับข้า”ในใจของซ่งซีซีเดิมทียังมีความรู้สึกผิด แต่พอถูกเขารัวคำถามเช่นนี้ ก็ทำให้นางรู้สึกราวกับสุนัขจนตรอก“ฐานะของท่านกับข้าต่างกันมาก เดิมทีก็เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ด้วยกัน”นางตัดสินใจ“ข้าอยู่กับคนอื่นแล้ว ท่านผู้นั้นคือองค์ชายหนานเจียง เชิญท่านรีบออกไปคำนึงถึงความสัมพันธ์ในอดีตของเรา ข้าจะไม่ไปฟ้องท่านพ่อเรื่องของท่าน ขอเพียงท่านอย่าได้กลับมาที่เมืองอู้ตูอีก”โจวหุยมองปากของนางที่ขยับพูด ถอยหลังด้วยความไม่อยากจะเชื่อ“เช่นนั้นข้าเป็นอะไร? เราเคยมีสัมพันธ์ทางกาย...”“พอแล้ว”ซ่งซีซีจ้องมองเขาด้วยความร้อนใจ“ข้าแค่รู้สึกเปล่าเปลี่ยว จึงมีความสัมพันธ์กับพี่ชายชั่ววูบขอให้พี่ชายลืมเรื่องนี้ไปเสีย ต่อไปอย่าได้มารบกวนข้าอีก”ซ่งซีซีพูดจบ ดูเหมือนจะไม่อยากเห็นโจวหุยอีก จึงผลักเขาออกไป“ท่านรีบไปเถอะ ถ้าท่านยังไม่ไปอีก ตอนนี้ข้าจะเรียกคนมาแล้วนะ”น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยการข่มขู่“ถ้าท่านพ่อรู้ว่าท่า
“ทะ ท่านเจอท่านหญิงแล้วหรือ?ท่านหญิงสบายดีหรือไม่?”กู้หว่านเยว่มองนาง “ตอนนี้ท่านหญิงฉางเล่อสบายดี แต่เมื่อนางได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่ถูกฮ่องเต้พาตัวไป ก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก จึงขอร้องให้ข้ามาช่วยเหลือ”คราวนี้หญิงชราไม่ดิ้นรนขัดขืนอีก ขอบตาแดงก่ำพลางตบต้นขาตัวเอง“สายไปแล้ว มาสายไปแล้ว องค์หญิงใหญ่ถูกพวกเขาพาตัวไปแล้ว!”ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล “ถูกคนพาตัวไปตั้งแต่สามวันก่อนแล้ว”“ถูกพาไปที่ไหนแล้ว?”กู้หว่านเยว่ถอนหายใจนางเดาไม่ผิด องค์หญิงใหญ่ไม่ได้อยู่ในจวนองค์หญิงจริง ๆ หญิงชราส่ายหน้า“บ่าวไม่ทราบ พวกองครักษ์บุกเข้ามาแล้วก็จับองค์หญิงใหญ่ไปเลยตอนนั้นองค์หญิงใหญ่ยังทรงประชวรอยู่บนเตียง พวกสัตว์เดรัจฉานนั่น ก็ไม่ปรานีเลยแม้แต่น้อย ลากองค์หญิงของพวกเราขึ้นรถม้าไป”นางปวดใจจนสุดจะทน พูดไปพูดมาน้ำตาก็ไหลรินหญิงชราอธิบาย ขณะที่สบตากับสายตาสงสัยของกู้หว่านเยว่“คุณหนูอย่าถือโทษโกรธเคืองเลย บ่าวเป็นแม่นมขององค์หญิงใหญ่ เฝ้ามองพระองค์เติบโตมาตั้งแต่เด็กองค์หญิงของพวกเราได้รับความเคารพนับถือ แต่เคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้ที่ไหนกัน?ท่านผู้นั้น เขาไม่ใช่คน”กู้หว่