จนกระทั่งได้ยินเสียงของกู้หว่านเยว่ดังขึ้นอีกครั้ง เขาจึงรู้สึกโล่งใจ รีบปลดผ้าที่ปิดตาออก แล้วหันหลังวิ่งไปหานาง“นายท่านของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าไปดูเองเถอะ”ไม่ต้องให้กู้หว่านเยว่บอก มู่ชิงก็ก้มลงไปตรวจสอบอาการของชายคนนั้นแล้วเมื่อเห็นไม้ที่ปักอกชายคนนั้นถูกดึงออกมา และลมหายใจก็เริ่มคงที่ เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก“แม่นางน้อย บุญคุณที่ช่วยชีวิตครั้งนี้ ข้าจะไม่มีวันลืม หากมีโอกาส ข้าจะตอบแทนแม่นางน้อยอย่างดีแน่นอน”พูดจบ เขาก็สังเกตเห็นว่ากู้หว่านเยว่มีเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก และใบหน้าของนางดูเหนื่อยล้าอย่างมากจากการช่วยชีวิตนายท่านของเขาในใจก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณ จากนั้นรีบหยิบจี้หยกออกมา“นี่คือสิ่งยืนยันตัวตนของสกุลอวิ๋น ข้าน้อยเป็นคนรับใช้ของสกุลอวิ๋น วันนี้แม่นางน้อยช่วยชีวิตคุณชายของสกุลอวิ๋นเอาไว้ หากแม่นางน้อยต้องการความช่วยเหลือ สามารถไปหาพวกเราได้ที่เมืองตงโจว”“เมืองตงโจว?”นั่นไม่ใช่จุดหมายต่อไปของพวกเขาหรอกหรือ?แต่สกุลอวิ๋นนี้ กลับไม่เคยได้ยินมาก่อนกู้หว่านเยว่เก็บจี้หยกเอาไว้ในอกอย่างเงียบๆ จากนั้นพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข
กู้หว่านเยว่ พวกเจ้าตามไป อาจจะหาอาหารไม่เจอก็ได้“พวกเจ้าจัดการกระต่ายกับไก่ฟ้าก่อน ข้าจะไปดูข้างในเต็นท์หน่อย”กู้หว่านเยว่เปิดเต็นท์ แล้วเดินเข้าไปข้างในพอเข้าไป ก็เห็นซูจิ่งสิงที่มีสีหน้าร้อนรนซึ่งนั่งพิงอยู่บนก้อนหิน แล้วมองมาทางประตูเป็นระยะ ๆเมื่อเห็นเงาร่างของนาง แววตาของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งขรึม“เจ้าไปไหนมา เหตุใดถึงกลับมาช้าขนาดนี้?”ขณะพูด สายตาของเขาก็มองสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูว่านางบาดเจ็บหรือไม่ทันใดนั้น เขาสังเกตเห็นว่ามีรอยเลือดที่ชายเสื้อของกู้หว่านเยว่จริง ๆ สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันทีคราวนี้แม้อยากจะแกล้งทำเป็นดุก็ทำไม่ได้แล้ว จึงเอ่ยถามขึ้นมาตรง ๆ ด้วยความร้อนใจ“เหตุใดถึงมีเลือด เจ้าบาดเจ็บหรือ บาดเจ็บตรงไหน รีบมาให้ข้าดู”“ไม่มี ๆ”กู้หว่านเยว่รู้ดีว่าข้อแก้ตัวของนางอาจหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกเขาไม่ได้ เขาคงพอจะเดาได้ว่าเหยื่อของนางไม่ได้หามาจากในป่า จึงตัดสินใจพูดความจริง“เลือดนี้ไม่ใช่ของข้า”“แล้วเป็นของใคร?”“ตอนที่ข้าลงจากเขา ข้าเจอนายบ่าวคู่หนึ่ง นายได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าจึงช่วยพวกเขาไว้ จริงสิ พว
ขณะที่ซุนอู่กำลังยื่นเอกสารแสดงตัวให้กับทหารรักษาประตูเมือง กู้หว่านเยว่ก็มองไปรอบๆทุกที่ที่นางมองไป เต็มไปด้วยผู้อพยพที่ไม่มีที่อยู่อาศัยชายหญิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ แต่ละคนสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าซูบผอมไม่ต้องพูดถึงศพที่ลอยอยู่ในแม่น้ำ ริมถนนก็เต็มไปด้วยผู้คนอดอยากล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วนหลังจากภัยพิบัติน้ำท่วมในเมืองตงโจว สถานการณ์ก็เลวร้ายกว่าที่นางคิดไว้มากได้กลิ่นโคลนผสมกับกลิ่นเน่าเหม็นในอากาศ กู้หว่านเยว่ก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่างนางรู้สึกว่าโรคระบาดกำลังแพร่กระจายอย่างเงียบๆ รอวันปะทุออกมา“พี่ใหญ่ซุน พวกเราอย่าอยู่ที่เมืองตงโจวนานนักเลย รีบจัดการเรื่องเอกสารแล้วออกจากที่นี่กันเถอะ”“รีบขนาดนั้นเลยหรือ?” ซุนอู่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจตามความคิดเดิมของเขา ตั้งใจว่าจะอยู่ในเมืองตงโจวนานหน่อย เพื่อเติมเสบียงให้เต็มที่ก่อนออกเดินทางกู้หว่านเยว่ลดเสียงลง “ข้าสงสัยว่าเมืองตงโจวอาจเกิดโรคระบาดหนัก”“อะไรนะ?”ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนภูเขาก็เคยได้ยินกู้หว่านเยว่พูดถึงเรื่องโรคระบาด ทำให้เขารู้สึกกังวลมาหลายวันแล้วหลังจากเห็นว่าทุกอย่างเรี
ทหารชี้ไปยังบุรุษที่สวมชุดขุนนางซึ่งอยู่ไม่ไกลนักกู้หว่านเยว่ก็หันไปมอง เมื่อเห็นใบหน้าของบุรุษคนนั้นชัดเจน นางก็ตกตะลึงอย่างมากฟู่หลานเหิง!เพื่อนเล่นสมัยเด็กของเจ้าของร่างเดิม หลังจากที่เจ้าของร่างเดิมถูกพระราชทานสมรสกับซูจิ่งสิง เขาก็เสียใจมากจนหนีมาเป็นเจ้าเมืองที่เมืองตงโจวคิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอเขาที่นี่ ฟู่หลานเหิงที่หันกลับมาก็เห็นกู้หว่านเยว่เช่นกันทันทีที่เห็นกู้หว่านเยว่ ฟู่หลานเหิงก็จำนางได้ จากนั้นก็รีบเดินเข้ามาหานางด้วยความดีใจ“หว่านเยว่ เป็นเจ้าจริง ๆ หรือ? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”การได้พบเพื่อนเก่าในต่างถิ่น ทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกดีใจ แต่ถึงจะดีใจอย่างไร ตอนนี้นางก็แต่งงานแล้ว จึงต้องรักษาระยะห่างกับฟู่หลานเหิงและตอนนี้ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าสถานการณ์ในเมืองตงโจวเป็นอย่างไรกันแน่“ใต้เท้าฟู่ ได้ยินมาว่าในเมืองตงโจวเกิดโรคระบาด เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”“ถูกต้อง”เมื่อเห็นแววตาที่ห่างเหินของกู้หว่านเยว่ ฟู่หลานเหิงก็นึกขึ้นมาได้ว่านางแต่งงานแล้ว จึงรีบตั้งสติและกล่าวอธิบายว่า “เนื่องจากผลกระทบของภัยน้ำท่วม ช่วงนี้มีคนเสียชีวิตมากเกินไป ทางตะวันตกและตะว
ขณะที่กู้หว่านเยว่พูดคุยกับฟู่หลานเหิง เขาก็ได้ยินเช่นกันในใจพอจะเดาความสัมพันธ์ของฟู่หลานเหิงและกู้หว่านเยว่ได้แต่จากการที่ได้ใช้เวลาอยู่กับกู้หว่านเยว่มาระยะหนึ่ง เขาเชื่อมั่นในตัวของนางมาก และจะไม่ยอมให้ใครพูดจาใส่ร้ายนางเด็ดขาดหลี่ซือซือกล่าวอย่างน้อยใจว่า “พี่ชาย ท่านยังจะปกป้องนางอีกหรือ?”“ไม่ปกป้องพี่สะใภ้ของข้า แล้วจะไปปกป้องเจ้าหรือไง?”ซูจิ่นเอ๋อร์ที่อดทนมาตลอดก็เอามือเท้าสะเอวแล้วตะโกนด่าว่า “พี่สะใภ้ของข้าติดตามพี่ชายมาตลอดทาง ไม่เคยทิ้งกัน ความรักของทั้งสองมั่นคงยิ่งกว่าทองคำเสียอีก!อีกอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สะใภ้ของข้า ทุกคนคงโดนน้ำท่วมตายไปแล้ว อย่าเนรคุณให้มันมากนัก!”ซูจิ่นเอ๋อร์ระเบิดออกมาราวกับประทัด ผู้หญิงคนอื่น ๆ ก็รวบรวมความกล้าพูดเพื่อกู้หว่านเยว่เช่นกันมีเพียงหลี่ซือซือที่ยังคงปากแข็ง ยืนกรานว่ากู้หว่านเยว่และฟู่หลานเหิงมีความสัมพันธ์กัน“ถ้านางและท่านเจ้าเมืองไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน แล้วเหตุใดเขาถึงให้พวกเราเข้ามาพักในศาลาว่าการได้ แน่นอนว่าต้องให้ผลประโยชน์บางอย่างกับท่านเจ้าเมือง อาจจะแอบไปทำเรื่องลับ ๆ ล่อ ๆ ในเชิงชู้สาวกันก็ได้”หลี่ซือซือไ
หลังจากสงบสติอารมณ์ลงแล้ว เขาก็จับใจความของกู้หว่านเยว่ได้อย่างรวดเร็ว“เจ้ามีวิธีหยุดโรคระบาดงั้นหรือ?”“อืม” กู้หว่านเยว่ถือว่าซูจิ่งสิงเป็นคนที่ไว้ใจได้อย่างไม่รู้ตัวและตอนนี้นางก็ขาดคนที่ปรึกษาด้วยจริง ๆ ในใจของซูจิ่งสิงไม่อยากให้ทั้งสองคนเจอกัน แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล เขาแยกแยะได้ว่าเรื่องไหนสำคัญกว่าจากนั้นจึงพยักหน้า “ข้าจะไปกับเจ้า”มีบางอย่างที่เขาอยากจะพูดกับฟู่หลานเหิง“ก็ได้” กู้หว่านเยว่คิดว่าซูจิ่งสิงเป็นห่วงนาง จึงไปยืมรถเข็นมาทันที หลังจากบอกกับซุนอู่แล้ว ก็ออกไปหาฟู่หลานเหิงด้วยกัน“ท่านใส่อันนี้ด้วย”กู้หว่านเยว่หยิบผ้าคลุมหน้าสีขาวสองผืนออกมาจากอก ผืนหนึ่งนางใส่เอง ส่วนอีกผืนหนึ่งก็ส่งให้ซูจิ่งสิงดวงตาของซูจิ่งสิงเป็นประกาย “เจ้ายังมีของแบบนี้อยู่อีกหรือ?”“ท่านรู้หรือว่านี่คืออะไร?”“อืม” ซูจิ่งสิงพยักหน้า “ตอนที่ข้าไปรบที่ชายแดน มีคนเป็นกาฬโรค ตอนนั้นหมอทหารก็เอาผ้าคลุมหน้ามาให้พวกเราปิดหน้าเอาไว้ เพื่อป้องกันการติดโรค”กู้หว่านเยว่ยิ้ม “หมอทหารคนนั้นรู้จักอันนี้ด้วย ถือว่ามีความสามารถอยู่บ้าง”ซูจิ่งสิงเกือบจะกระอักเลือดออกมาถ้าหวงเหล่าเห็น
“หว่านเยว่ ข้าถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ามีวิธีรักษาโรคระบาดจริง ๆ หรือ? เรื่องนี้สำคัญมาก ห้ามล้อเล่น”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นตอบกลับว่า “ข้ามีความมั่นใจว่าจะรักษาโรคระบาดได้ แต่ไม่มีอะไรแน่นอน ข้าต้องเห็นอาการของผู้ติดเชื้อด้วยตาตัวเองก่อน ถึงจะให้คำตอบเจ้าได้”โรคระบาดมีหลายชนิด โรคระบาดที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มเดิม เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่เรียกว่ามาลาเรียแต่ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง กู้หว่านเยว่จะไม่ด่วนสรุปเมื่อได้ฟังคำพูดที่จริงใจเหล่านี้ ฟู่หลานเหิงกลับเชื่อนางขึ้นมา“ได้ ข้าจะพาเจ้าไปดู”ทันใดนั้นก็พากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงไปยังลานบ้านแห่งหนึ่งที่ถูกกักกัน ซึ่งมีคนในครอบครัวสามคนที่ติดโรคระบาดอาศัยอยู่“ข้าเข้าไปคนเดียวก็พอแล้ว”กู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยโรคระบาดสามารถติดต่อได้ ยิ่งคนสัมผัสน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี“ไม่ได้ ข้าจะเข้าไปกับเจ้า”ซูจิ่งสิงและฟู่หลานเหิงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน จากนั้นทั้งสองก็สบตากันอย่างดุเดือด“ข้าเป็นสามีของเจ้า ข้าจะเข้าไปกับเจ้า”ซูจิ่งสิงพูดขึ้นมาก่อนกู้หว่านเยว่กุมขมับ “พวกท่านทั้งสองคนไม่ต้องเข้ามา รออยู่หน้าประตูทั้ง
“ใช้คนอย่าระแวง ถ้าระแวงคนก็อย่าใช้ หลักการง่าย ๆ แค่นี้ท่านเจ้าเมืองไม่รู้หรือ?”“เฮ้อ!”ฟู่หลานเหิงถูกพูดจนเถียงไม่ออกกู้หว่านเยว่มองซูจิ่งสิงด้วยความรู้สึกขอบคุณ ไม่อยากเสียเวลาไปกับการโต้เถียง จึงหันกลับไปพูดกับฟู่หลานเหิง“ใต้เท้า ข้าขอกระดาษ หมึก พู่กัน และแท่นฝนหมึก ข้าจะจะเขียนใบสั่งยาและวิธีต้มยาลงบนกระดาษ ท่านสั่งให้คนไปซื้อยามา หลังจากนั้นให้คนป่วยกินยาตามที่ข้าเขียนไว้ วันละสามครั้ง”“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” คราวนี้ฟู่หลานเหิงไม่พูดมากกู้หว่านเยว่เขียนลงบนกระดาษ “สูตรยารักษาโรคมาลาเรีย ใบชิงเฮาตากแห้งหนึ่งตวง เหอโส่วอูสดสองตวง รากของฉางซานสามตวง เฉ่ากั่วสี่ตวง เซียนเฮ่อเฉ่าแห้งห้าตวง...บดให้ละเอียดเป็นผง ละลายน้ำอุ่นรับประทาน วันละสามครั้ง”นอกจากนี้ กู้หว่านเยว่ยังเขียนสูตรยาป้องกันมาลาเรียอีกสูตรหนึ่ง โดยใช้ปูนขาว ลูกสมอ และกำมะถันแดง เป็นต้นกู้หว่านเยว่ส่งสูตรยาทั้งสองสูตรให้กับฟู่หลานเหิง“สูตรแรกให้คนป่วยกิน สามารถปรับเพิ่มหรือลดปริมาณยาได้ตามความเหมาะสม สูตรที่สองสำหรับคนที่ยังไม่ป่วย กินแล้วสามารถป้องกันโรคระบาดได้”หลายวันมานี้ นางให้คนในกลุ่มนักโทษดื่มยา
กู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้ว่าร้านขายเสื้อผ้าและร้านดอกท้ออยู่ทางเดียวกัน ถึงตอนนั้นก็ถือโอกาสไปดูกิจการของร้านดอกท้อด้วยเลย“เยี่ยมไปเลย เราไปกันเถอะ”มู่หรงฉางเล่อจูงมือของกู้หว่านเยว่ออกไปข้างนอกอย่างเบิกบานใจหลังจากที่ทั้งสองคนขึ้นรถม้าแล้ว ไม่นานก็มาถึงร้านเสื้อผ้ามู่หรงฉางเล่อกระตือรือร้นมาก หลังจากที่รถม้าจอดสนิทก็กระโดดลงจากรถม้าทันที จากนั้นก็จูงมือของกู้หว่านเยว่เข้าไปข้างใน“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านจะซื้อเสื้อผ้าอะไรเจ้าคะ?”“ข้าขอดูก่อน” กู้หว่านเยว่กวาดตามองแวบหนึ่ง เสื้อผ้าของนางยังมีอีกมาก ไม่ได้ขาดแคลนเสื้อผ้าแต่อย่างใด“แม่นางอยากดูเสื้อผ้าใช่หรือไม่เจ้าคะ เชิญตามข้ามาดูเนื้อผ้าทางนี้เจ้าค่ะ”เจ้าของร้านออกมาต้อนรับมู่หรงฉางเล่อรีบตามเจ้าของร้านไปอีกด้าน เพื่อเลือกเนื้อผ้าก่อนองค์หญิงใหญ่อายุมากแล้ว เนื้อผ้าที่มู่หรงฉางเล่อเลือกนั้นล้วนเป็นสีที่ค่อนข้างเข้ม ยกตัวอย่างเช่นสีเขียวเข้มหลังจากเลือกเสร็จแล้ว ก็บอกขนาดและน้ำหนักขององค์หญิงใหญ่กับเจ้าของร้าน ลูกน้องในร้านช่วยจด“ใช้เวลาตัดเสื้อผ้านานแค่ไหนเจ้าคะ?”มู่หรงฉางเล่อกล่าวถาม“เร็วสุดก็ประมาณสามถึงห้าวัน ช้าส
เฟิ่งอู๋ชีกล่าวเสริมอีกว่า“เงื่อนไขนี้ไม่ได้หนักหนานักมากหรอก อยู่ภายในขอบเขตความสามารถของพวกเจ้าอย่างแน่นอน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงต่างมองหน้ากัน ทั้งสองคนไม่ได้ตอบตกลงในทันทีกู้หว่านเยว่เริ่มสนใจ“แล้วเจ้าจะขัดขวางพี่หญิงใหญ่ของเจ้าอย่างไร?”“ข้าและพี่หญิงใหญ่ไม่ถูกกันมานานแล้ว”นัยน์ตาของเฟิ่งอู๋ชีฉายแววสังหารอย่างเห็นได้ชัด“พระชายาไม่เคยได้ยินเรื่องของพี่น้องสายเลือดเดียวกันทั้งเก้า วันหนึ่งองค์ชายเก้าเกิดช่วงชิงบัลลังก์ องค์ชายแปดจึงต้องตายหรือ?”หัวใจของกู้หว่านเยว่เต้นระงม เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายในทันทีในเมื่อเฟิ่งอู๋ชีกล่าวถึงขนาดนี้แล้ว กู้หว่านเยว่ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไป“ได้ ข้ารับปากเจ้า”การร่วมมือของทั้งสามคนได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเฟิ่งอู๋ชีกระตุกยิ้ม“ที่นี่คือจวนอ๋องใช่หรือไม่? หลับไปตั้งหลายวัน บัดนี้ข้าชักจะหิวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ในเมื่อเราร่วมมือกันแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าคงไม่มีทางเอาเปรียบหุ้นส่วนอย่างข้าหรอกนะ ยกเหล้าเลิศรสและอาหารอร่อย ๆ มาให้ข้าสักหน่อยเถิด”“ได้”กู้หว่านเยว่ตอบตกลงอย่างสบายอารมณ์เดิมทีนางก็ไม่ได้อยากจะฆ่าเฟิ่งอู๋ชี
กู้หว่านเยว่และซูจิงสิงต่างสบตากัน นัยน์ตาของทั้งสองคนฉายแววประหลาดใจ“ไม่ใช่ความคิดของเจ้า จะเป็นไปได้อย่างไร? หนานเจียงไม่ได้วางแผนโจมตีเจดีย์หนิงกู่เพราะการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ถูกทำลายหรอกหรือ?”“ไม่ใช่แน่นอน”เฟื่งอู๋ชีส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม“หนานเจียงไม่เคยแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเมืองอื่น มันเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น”“แล้วเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร?”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวถาม นางต้องรู้เหตุผลที่แท้จริง ถึงจะหาทางแก้ไขได้“พี่หญิงใหญ่ของข้าเอง”เฟิ่งอู๋ชีมองทั้งสองคน “เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์คือการตัดสินใจของพี่หญิงใหญ่ ความจริงแล้วไม่ว่าท่านหญิงฉางเล่อผู้นั้นจะหนีไปได้หรือไม่ หนานเจียงก็ตัดสินใจจะช่วยฮ่องเต้กดดันพวกเจ้าอยู่แล้ว”เฟิ่งอู๋ชีตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้น หาพื้นที่ที่สบายที่สุดให้ตัวเอง“เรื่องนี้เป็นแผนการของพี่หญิงใหญ่ นางเป็นแก้วตาดวงใจของท่านพ่อ ต่อให้เป็นข้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของนางได้”กู้หว่านเยว่แปลกใจ “เจ้าไม่ใช่องค์ชายหนานเจียงหรอกหรือ?”เท่าที่กู้หว่านเยว่รู้มา เฟิ่งอู๋ชีน่าจะเป็นองค์ชายเพียงคนเดียวของหนานเจียง ทุกคนให้ความสำคัญต่อ
ที่แท้กู้หว่านเยว่ก็จำเรื่องที่เขาพูดได้ “เจ้าเก็บเรื่องที่ข้าพูดไว้ในใจมาตลอด”นัยน์ตาของเฟิ่งอู๋ชีฉายแววตาเย้ายวน จ้องเขม็งไปทางกู้หว่านเยว่“เพราะเจ้าตกหลุมรักข้าระหว่างทางแล้วใช่หรือไม่?”น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยเจตนาที่ไม่ดี แต่การแต่งกายเป็นสตรีของบุรุษผู้นี้กลับทำให้กู้หว่านเยว่หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”กู้หว่านเยว่เกาศีรษะอย่างจนปัญญา ขอร้องล่ะ สามีของนางยืนอยู่ด้านหลัง“ถ้าไม่ลองดู จะรู้ได้อย่างไรว่าข้าเข้าใจผิดหรือไม่?”เฟิ่งอู๋ชีกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ในเมื่อเจ้ารู้สถานะของข้าแล้ว สนใจอยากเป็นราชินีแห่งหนานเจียงหรือไม่ล่ะ?”เขาจ้องเขม็งไปทางกู้หว่านเยว่ โดยมีความคิดที่ไม่ดีปรากฏขึ้นในใจหากกู้หว่านเยว่ตอบตกลงเขาจริง ๆ บางทีเขาอาจจะยอมยกตำแหน่งราชินีแห่งหนานเจียงให้นางจริง ๆ ก็ได้ “ในหอเจิ้นไห่พวกเราเคยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันแล้ว เจ้าลองคิดไตร่ตรองดูเอาเถิด”เฟิ่งอู๋ชีมองนางด้วยความคาดหวัง เดิมทีเขาก็แค่อยากพูดโน้มน้าวไปตามสถานการณ์ แต่บัดนี้เขากลับคิดจริงจึงขึ้นมา“ข้ามีสามีแล้ว”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าปฏิเสธโด
ไม่นานนัก เฟิ่งอู๋ชีก็ตื่นจากการหลับใหลภาพที่ดึงดูดสายตาของเขาเป็นอันดับแรกคือกู้หว่านเยว่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าความทรงจำของเฟิ่งอู๋ชียังอยู่ในหอเจิ้นไห่ หลังจากที่เห็นกู้หว่านเยว่ตรงหน้าอย่างชัดเจน ก็รีบถอยหลังอย่างรวดเร็วเขาจำได้ว่ากู้หว่านเยว่หยิบของที่เหมือนกันชิ้นหนึ่งออกมา แล้วแตะบนตัวของเขา พริบตาเดียวเขาก็รู้สึกชาไปทั้งตัว จากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ภาพตรงหน้าดับวูบและล้มลงไปบนพื้นเฟิ่งอู๋ชียังคงหวาดกลัวกับ “อาวุธ” ชนิดนั้นครั้นกู้หว่านเยว่เห็นดังนั้นก็คลี่ยิ้ม“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”“ที่นี่คือที่ไหน?”เฟิ่งอู๋ชีมองไปรอบ ๆ พบว่าสถานที่ตรงหน้าเป็นสถานที่ที่แปลกตาโดยสิ้นเชิง อีกทั้งกู้หว่านเยว่ที่อยู่ตรงหน้าก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว“ข้าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว?”เขากุมขมับของตัวเอง รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยขึ้นในใจ“ประมาณสี่ถึงห้าวัน” กู้หว่านเยว่ตอบกลับ ก่อนจะโน้มตัวลงมามองเขาด้วยรอยยิ้มเฟิ่งอู๋ชีเพิ่งจะได้สติกลับมา เขาจำได้ว่าก่อนที่เขาจะสลบไปนั้นเขาได้เจอกับเต่าทะเล ดังนั้นจึงรีบกล่าวถามทันที“สี่ถึงห้าวัน แสดงว่าตอนนี้ข้าก็ออกจากหอเจิ้นไห่แล้วน
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว กู้หว่านเยว่ในเวลานี้เหนื่อยล้ามาก หลังจากล้มตัวลงบนเตียงไม่นานก็ผล็อยหลับไป ครั้นนางตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าจ้านจ้านกำลังนอนหลับฝันหวานกับนางอยู่ข้างกายอย่างเงียบ ๆ ซูจิ่งสิงนั่งอยู่หลังโต๊ะตรงข้ามทั้งสองคน กำลังจัดการงานราชการอย่างขะมักเขม้น“เจ้าตื่นแล้วหรือ?”ทันทีที่ซูจิ่งสิงได้ยินการเคลื่อนไหวก็พลันเงยหน้าขึ้น จากนั้นสายตาอันอบอุ่นก็เลื่อนมาหยุดอยู่ที่กู้หว่านเยว่“หิวไหม อยากกินอะไรสักหน่อยหรือไม่?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เวลานี้นางยังไม่หิว นางยังอยากดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่แสนอบอุ่นนี้จ้านจ้านตื่นเพราะเสียงพูดคุยของพวกเขาสองคน ดวงตากลมโตสีดำสนิทจ้องมองทั้งสองคนอย่างไร้เดียงสา“แอ๊ะ!”เขายื่นมืออวบอ้วนไปทางกู้หว่านเยว่ “แอ๊ะ!”ดูเหมือนเขาพยายามจะเรียกนางว่าท่านแม่ แต่เนื่องจากยังเด็กเกินไป จึงยังเอ่ยออกมาไม่ได้กู้หว่านเยว่ใจละลาย คว้ามืออวบอ้วนของเขาไว้“จ้านจ้าน คิดถึงแม่หรือไม่?”“แอ๊ะ!” คิดถึงสิ!จ้านจ้านมองนางอย่างตื่นเต้น ภาษากายกำลังบอกว่า เขาคิดถึงกู้หว่านเยว่มากสองแม่ลูกเล่นอยู่บนเตียงกันอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งเห็นท้องฟ้าม
หลังจากที่เข้ามาในห้อง ในที่สุดซูจิ่งสิงก็ต้านทานความคิดตัวเองไม่ไหว คว้ากู้หว่านเยว่เข้ามาไว้ในอ้อมกอด“น้องหญิง”เขาดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะซุกหน้าลงไปตรงซอกคอของนาง สูดดมกลิ่นหอมของดอกแพร์ที่แผ่ขยายออกมาจากตัวของนาง และกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าที่เต็มไปด้วยความคิดที่ไม่อาจต้านทานได้ “เจ้าก็รู้ว่าข้าคิดถึงเจ้ามากเพียงใด”กู้หว่านเยว่หน้าแดงระเรื่อ นางคิดถึงเขามาก จึงไม่ผลักเขาออกไปแล้วเอ่ยตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้าเองก็คิดถึงท่าน”“ไม่มีตอนไหนที่ไม่คิดถึง”นางกล่าวเสียงเบา ระบายความรู้สึกภายในใจอย่างอ่อนโยน“ระหว่างทางกลับมา ยามมองท้องฟ้าก็เห็นแต่เจ้า มองก้อนเมฆก็เห็นแต่เจ้า มองกองไฟก็คิดถึงแต่เจ้า ลืมตาก็เห็นเป็นหน้าเจ้า หลับตาก็เฝ้าพรรณนาถึงเจ้า....”ซูจิ่งสิงทนไม่ไหวอีกต่อไปริมฝีปากของภรรยาช่างน่าดึงดูดยิ่งนัก เขาโน้มหน้าลงมา ประทับรอยจูบบนปากของนาง ก่อนจะใช้ปลายลิ้นตวัดเปิดปากของนาง ลิ้นของนางตวัดประสานกับลิ้นของเขา ทั้งสองคนใช้ลิ้นสอดประสานกันและกัน จนของเหลวผสมผสาน กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน“ท่านพี่...” กู้หว่านเยว่ตระหนักได้ว่าเขาต้องการอะไรจากสายตา
“กรี๊ด!”นางล้มลงไปบนพื้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะจ้องมองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาเกลียดชังอย่างที่สุด“เจ้าไร้ความปรานีต่อตระกูลมารดา ต่อไปเจ้าจะไร้ที่พึ่ง!”กู้หว่านหรูสาปแช่งอย่างโหดร้าย“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าท่านอ๋องจะรักเจ้าไปตลอดชีวิต? ต่อไปเจ้าจะถูกทอดทิ้ง ข้าจะรอดูวันที่เจ้าไร้ที่พึ่ง” ชิงเหลียนและหงเจามีสีหน้าเปลี่ยนไป คำสาปแช่งที่โหดร้ายเช่นนี้ ทำให้ฮูหยินและนายท่านรับไม่ได้“ปิดปากนางเสีย”มุมปากของซูจิ่งสิงกระตุก ตั้งใจจะหาเรื่องเขาสินะ?กว่าเขาจะทำลายกำแพงจนภรรยาเชื่อใจเขาได้ไม่ได้เรื่องง่าย“น้องหญิง อย่าไปเชื่อคำพูดของนาง ข้าไม่มีวันรังแกเจ้า”จะว่าไปแล้ว ตระกูลของพวกเขาต่างก็เป็นคนที่มีคุณธรรมหากเขารังแกนาง คงถูกไล่ออกจากบ้านแล้ว“ข้าไม่อ่อนไหวเพราะคำพูดของนางหรอก”กู้หว่านเยว่ยิ้มตาหยีพลางมองซูจิ่งสิง นางไม่ได้โง่เขลาเพียงนั้นจวนจงฉินโหวเดิมทีไม่ได้ต้อนรับนางอยู่แล้ว เหตุใดนางจะต้องประจบประแจง ยอมโง่กอดความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ด้วยเล่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางมีตระกูลมารดาใหม่ไปแล้ว“จับนางโยนออกไปจากเจดีย์หนิงกู่”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่งกับฉู่เฟิงด้วยสีหน้าไร้ความร
กู้หว่านเยว่ชอบนิสัยนี้ของมู่หรงฉางเล่อมากเมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้าไปแล้ว นางก็หันกลับมามองกู้หว่านหรู“ปล่อยนางก่อน”กู้หว่านเยว่สั่งชิงเหลียนและหงเจาสั้น ๆ เมื่อทั้งสองคนได้ยินก็รีบปล่อยตัวกู้หว่านหรู แล้วยืนปกป้องผู้เป็นนายอยู่ข้าง ๆ “กู้หว่านเยว่ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องกลับไปกับข้า”กู้หว่านหรูตะโกนเสียงดังโดยไม่สนใจใคร ทำให้กู้หว่านเยว่ยิ้มเยาะ“ทำไมข้าต้องกลับไป?”“เจ้ายังกล้าถามข้าว่าทำไม หากไม่ใช่เพราะเจ้า ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าคงไม่เดือดร้อนถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทก็คงไม่ทรงกริ้วพวกเขา จวนโหวเคยรุ่งเรืองมากเมื่อครั้งอดีต แต่เพราะเจ้า ครอบครัวของเราจึงได้ตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้”กู้หว่านหรูกำหมัดแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว สตรีผู้นี้ยังกล้าถามนางอีกว่าทำไมต้องกลับไป นางไม่มีน้ำใจเลยอย่างนั้นหรือ?“ครอบครัว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า “พวกเจ้าคือครอบครัว แต่ข้าไม่ใช่สินะ”นางกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“เจ้าคงจะลืมไปแล้วใช่หรือไม่ ในตอนที่ถูกเนรเทศช่วงแรก จวนโหวกลัวว่าจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง พวกเขาจึงตัดความสัมพันธ์กับข้าไปแล้ว”แม้ว่าจะไม่มีหนังสือตัดสายเลือด แต่คนที่นี่เ