จนกระทั่งได้ยินเสียงของกู้หว่านเยว่ดังขึ้นอีกครั้ง เขาจึงรู้สึกโล่งใจ รีบปลดผ้าที่ปิดตาออก แล้วหันหลังวิ่งไปหานาง“นายท่านของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าไปดูเองเถอะ”ไม่ต้องให้กู้หว่านเยว่บอก มู่ชิงก็ก้มลงไปตรวจสอบอาการของชายคนนั้นแล้วเมื่อเห็นไม้ที่ปักอกชายคนนั้นถูกดึงออกมา และลมหายใจก็เริ่มคงที่ เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก“แม่นางน้อย บุญคุณที่ช่วยชีวิตครั้งนี้ ข้าจะไม่มีวันลืม หากมีโอกาส ข้าจะตอบแทนแม่นางน้อยอย่างดีแน่นอน”พูดจบ เขาก็สังเกตเห็นว่ากู้หว่านเยว่มีเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก และใบหน้าของนางดูเหนื่อยล้าอย่างมากจากการช่วยชีวิตนายท่านของเขาในใจก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณ จากนั้นรีบหยิบจี้หยกออกมา“นี่คือสิ่งยืนยันตัวตนของสกุลอวิ๋น ข้าน้อยเป็นคนรับใช้ของสกุลอวิ๋น วันนี้แม่นางน้อยช่วยชีวิตคุณชายของสกุลอวิ๋นเอาไว้ หากแม่นางน้อยต้องการความช่วยเหลือ สามารถไปหาพวกเราได้ที่เมืองตงโจว”“เมืองตงโจว?”นั่นไม่ใช่จุดหมายต่อไปของพวกเขาหรอกหรือ?แต่สกุลอวิ๋นนี้ กลับไม่เคยได้ยินมาก่อนกู้หว่านเยว่เก็บจี้หยกเอาไว้ในอกอย่างเงียบๆ จากนั้นพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข
กู้หว่านเยว่ พวกเจ้าตามไป อาจจะหาอาหารไม่เจอก็ได้“พวกเจ้าจัดการกระต่ายกับไก่ฟ้าก่อน ข้าจะไปดูข้างในเต็นท์หน่อย”กู้หว่านเยว่เปิดเต็นท์ แล้วเดินเข้าไปข้างในพอเข้าไป ก็เห็นซูจิ่งสิงที่มีสีหน้าร้อนรนซึ่งนั่งพิงอยู่บนก้อนหิน แล้วมองมาทางประตูเป็นระยะ ๆเมื่อเห็นเงาร่างของนาง แววตาของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งขรึม“เจ้าไปไหนมา เหตุใดถึงกลับมาช้าขนาดนี้?”ขณะพูด สายตาของเขาก็มองสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูว่านางบาดเจ็บหรือไม่ทันใดนั้น เขาสังเกตเห็นว่ามีรอยเลือดที่ชายเสื้อของกู้หว่านเยว่จริง ๆ สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันทีคราวนี้แม้อยากจะแกล้งทำเป็นดุก็ทำไม่ได้แล้ว จึงเอ่ยถามขึ้นมาตรง ๆ ด้วยความร้อนใจ“เหตุใดถึงมีเลือด เจ้าบาดเจ็บหรือ บาดเจ็บตรงไหน รีบมาให้ข้าดู”“ไม่มี ๆ”กู้หว่านเยว่รู้ดีว่าข้อแก้ตัวของนางอาจหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกเขาไม่ได้ เขาคงพอจะเดาได้ว่าเหยื่อของนางไม่ได้หามาจากในป่า จึงตัดสินใจพูดความจริง“เลือดนี้ไม่ใช่ของข้า”“แล้วเป็นของใคร?”“ตอนที่ข้าลงจากเขา ข้าเจอนายบ่าวคู่หนึ่ง นายได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าจึงช่วยพวกเขาไว้ จริงสิ พว
ขณะที่ซุนอู่กำลังยื่นเอกสารแสดงตัวให้กับทหารรักษาประตูเมือง กู้หว่านเยว่ก็มองไปรอบๆทุกที่ที่นางมองไป เต็มไปด้วยผู้อพยพที่ไม่มีที่อยู่อาศัยชายหญิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ แต่ละคนสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าซูบผอมไม่ต้องพูดถึงศพที่ลอยอยู่ในแม่น้ำ ริมถนนก็เต็มไปด้วยผู้คนอดอยากล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วนหลังจากภัยพิบัติน้ำท่วมในเมืองตงโจว สถานการณ์ก็เลวร้ายกว่าที่นางคิดไว้มากได้กลิ่นโคลนผสมกับกลิ่นเน่าเหม็นในอากาศ กู้หว่านเยว่ก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่างนางรู้สึกว่าโรคระบาดกำลังแพร่กระจายอย่างเงียบๆ รอวันปะทุออกมา“พี่ใหญ่ซุน พวกเราอย่าอยู่ที่เมืองตงโจวนานนักเลย รีบจัดการเรื่องเอกสารแล้วออกจากที่นี่กันเถอะ”“รีบขนาดนั้นเลยหรือ?” ซุนอู่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจตามความคิดเดิมของเขา ตั้งใจว่าจะอยู่ในเมืองตงโจวนานหน่อย เพื่อเติมเสบียงให้เต็มที่ก่อนออกเดินทางกู้หว่านเยว่ลดเสียงลง “ข้าสงสัยว่าเมืองตงโจวอาจเกิดโรคระบาดหนัก”“อะไรนะ?”ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนภูเขาก็เคยได้ยินกู้หว่านเยว่พูดถึงเรื่องโรคระบาด ทำให้เขารู้สึกกังวลมาหลายวันแล้วหลังจากเห็นว่าทุกอย่างเรี
ทหารชี้ไปยังบุรุษที่สวมชุดขุนนางซึ่งอยู่ไม่ไกลนักกู้หว่านเยว่ก็หันไปมอง เมื่อเห็นใบหน้าของบุรุษคนนั้นชัดเจน นางก็ตกตะลึงอย่างมากฟู่หลานเหิง!เพื่อนเล่นสมัยเด็กของเจ้าของร่างเดิม หลังจากที่เจ้าของร่างเดิมถูกพระราชทานสมรสกับซูจิ่งสิง เขาก็เสียใจมากจนหนีมาเป็นเจ้าเมืองที่เมืองตงโจวคิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอเขาที่นี่ ฟู่หลานเหิงที่หันกลับมาก็เห็นกู้หว่านเยว่เช่นกันทันทีที่เห็นกู้หว่านเยว่ ฟู่หลานเหิงก็จำนางได้ จากนั้นก็รีบเดินเข้ามาหานางด้วยความดีใจ“หว่านเยว่ เป็นเจ้าจริง ๆ หรือ? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”การได้พบเพื่อนเก่าในต่างถิ่น ทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกดีใจ แต่ถึงจะดีใจอย่างไร ตอนนี้นางก็แต่งงานแล้ว จึงต้องรักษาระยะห่างกับฟู่หลานเหิงและตอนนี้ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าสถานการณ์ในเมืองตงโจวเป็นอย่างไรกันแน่“ใต้เท้าฟู่ ได้ยินมาว่าในเมืองตงโจวเกิดโรคระบาด เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”“ถูกต้อง”เมื่อเห็นแววตาที่ห่างเหินของกู้หว่านเยว่ ฟู่หลานเหิงก็นึกขึ้นมาได้ว่านางแต่งงานแล้ว จึงรีบตั้งสติและกล่าวอธิบายว่า “เนื่องจากผลกระทบของภัยน้ำท่วม ช่วงนี้มีคนเสียชีวิตมากเกินไป ทางตะวันตกและตะว
ขณะที่กู้หว่านเยว่พูดคุยกับฟู่หลานเหิง เขาก็ได้ยินเช่นกันในใจพอจะเดาความสัมพันธ์ของฟู่หลานเหิงและกู้หว่านเยว่ได้แต่จากการที่ได้ใช้เวลาอยู่กับกู้หว่านเยว่มาระยะหนึ่ง เขาเชื่อมั่นในตัวของนางมาก และจะไม่ยอมให้ใครพูดจาใส่ร้ายนางเด็ดขาดหลี่ซือซือกล่าวอย่างน้อยใจว่า “พี่ชาย ท่านยังจะปกป้องนางอีกหรือ?”“ไม่ปกป้องพี่สะใภ้ของข้า แล้วจะไปปกป้องเจ้าหรือไง?”ซูจิ่นเอ๋อร์ที่อดทนมาตลอดก็เอามือเท้าสะเอวแล้วตะโกนด่าว่า “พี่สะใภ้ของข้าติดตามพี่ชายมาตลอดทาง ไม่เคยทิ้งกัน ความรักของทั้งสองมั่นคงยิ่งกว่าทองคำเสียอีก!อีกอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สะใภ้ของข้า ทุกคนคงโดนน้ำท่วมตายไปแล้ว อย่าเนรคุณให้มันมากนัก!”ซูจิ่นเอ๋อร์ระเบิดออกมาราวกับประทัด ผู้หญิงคนอื่น ๆ ก็รวบรวมความกล้าพูดเพื่อกู้หว่านเยว่เช่นกันมีเพียงหลี่ซือซือที่ยังคงปากแข็ง ยืนกรานว่ากู้หว่านเยว่และฟู่หลานเหิงมีความสัมพันธ์กัน“ถ้านางและท่านเจ้าเมืองไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน แล้วเหตุใดเขาถึงให้พวกเราเข้ามาพักในศาลาว่าการได้ แน่นอนว่าต้องให้ผลประโยชน์บางอย่างกับท่านเจ้าเมือง อาจจะแอบไปทำเรื่องลับ ๆ ล่อ ๆ ในเชิงชู้สาวกันก็ได้”หลี่ซือซือไ
หลังจากสงบสติอารมณ์ลงแล้ว เขาก็จับใจความของกู้หว่านเยว่ได้อย่างรวดเร็ว“เจ้ามีวิธีหยุดโรคระบาดงั้นหรือ?”“อืม” กู้หว่านเยว่ถือว่าซูจิ่งสิงเป็นคนที่ไว้ใจได้อย่างไม่รู้ตัวและตอนนี้นางก็ขาดคนที่ปรึกษาด้วยจริง ๆ ในใจของซูจิ่งสิงไม่อยากให้ทั้งสองคนเจอกัน แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล เขาแยกแยะได้ว่าเรื่องไหนสำคัญกว่าจากนั้นจึงพยักหน้า “ข้าจะไปกับเจ้า”มีบางอย่างที่เขาอยากจะพูดกับฟู่หลานเหิง“ก็ได้” กู้หว่านเยว่คิดว่าซูจิ่งสิงเป็นห่วงนาง จึงไปยืมรถเข็นมาทันที หลังจากบอกกับซุนอู่แล้ว ก็ออกไปหาฟู่หลานเหิงด้วยกัน“ท่านใส่อันนี้ด้วย”กู้หว่านเยว่หยิบผ้าคลุมหน้าสีขาวสองผืนออกมาจากอก ผืนหนึ่งนางใส่เอง ส่วนอีกผืนหนึ่งก็ส่งให้ซูจิ่งสิงดวงตาของซูจิ่งสิงเป็นประกาย “เจ้ายังมีของแบบนี้อยู่อีกหรือ?”“ท่านรู้หรือว่านี่คืออะไร?”“อืม” ซูจิ่งสิงพยักหน้า “ตอนที่ข้าไปรบที่ชายแดน มีคนเป็นกาฬโรค ตอนนั้นหมอทหารก็เอาผ้าคลุมหน้ามาให้พวกเราปิดหน้าเอาไว้ เพื่อป้องกันการติดโรค”กู้หว่านเยว่ยิ้ม “หมอทหารคนนั้นรู้จักอันนี้ด้วย ถือว่ามีความสามารถอยู่บ้าง”ซูจิ่งสิงเกือบจะกระอักเลือดออกมาถ้าหวงเหล่าเห็น
“หว่านเยว่ ข้าถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ามีวิธีรักษาโรคระบาดจริง ๆ หรือ? เรื่องนี้สำคัญมาก ห้ามล้อเล่น”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นตอบกลับว่า “ข้ามีความมั่นใจว่าจะรักษาโรคระบาดได้ แต่ไม่มีอะไรแน่นอน ข้าต้องเห็นอาการของผู้ติดเชื้อด้วยตาตัวเองก่อน ถึงจะให้คำตอบเจ้าได้”โรคระบาดมีหลายชนิด โรคระบาดที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มเดิม เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่เรียกว่ามาลาเรียแต่ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง กู้หว่านเยว่จะไม่ด่วนสรุปเมื่อได้ฟังคำพูดที่จริงใจเหล่านี้ ฟู่หลานเหิงกลับเชื่อนางขึ้นมา“ได้ ข้าจะพาเจ้าไปดู”ทันใดนั้นก็พากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงไปยังลานบ้านแห่งหนึ่งที่ถูกกักกัน ซึ่งมีคนในครอบครัวสามคนที่ติดโรคระบาดอาศัยอยู่“ข้าเข้าไปคนเดียวก็พอแล้ว”กู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยโรคระบาดสามารถติดต่อได้ ยิ่งคนสัมผัสน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี“ไม่ได้ ข้าจะเข้าไปกับเจ้า”ซูจิ่งสิงและฟู่หลานเหิงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน จากนั้นทั้งสองก็สบตากันอย่างดุเดือด“ข้าเป็นสามีของเจ้า ข้าจะเข้าไปกับเจ้า”ซูจิ่งสิงพูดขึ้นมาก่อนกู้หว่านเยว่กุมขมับ “พวกท่านทั้งสองคนไม่ต้องเข้ามา รออยู่หน้าประตูทั้ง
“ใช้คนอย่าระแวง ถ้าระแวงคนก็อย่าใช้ หลักการง่าย ๆ แค่นี้ท่านเจ้าเมืองไม่รู้หรือ?”“เฮ้อ!”ฟู่หลานเหิงถูกพูดจนเถียงไม่ออกกู้หว่านเยว่มองซูจิ่งสิงด้วยความรู้สึกขอบคุณ ไม่อยากเสียเวลาไปกับการโต้เถียง จึงหันกลับไปพูดกับฟู่หลานเหิง“ใต้เท้า ข้าขอกระดาษ หมึก พู่กัน และแท่นฝนหมึก ข้าจะจะเขียนใบสั่งยาและวิธีต้มยาลงบนกระดาษ ท่านสั่งให้คนไปซื้อยามา หลังจากนั้นให้คนป่วยกินยาตามที่ข้าเขียนไว้ วันละสามครั้ง”“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” คราวนี้ฟู่หลานเหิงไม่พูดมากกู้หว่านเยว่เขียนลงบนกระดาษ “สูตรยารักษาโรคมาลาเรีย ใบชิงเฮาตากแห้งหนึ่งตวง เหอโส่วอูสดสองตวง รากของฉางซานสามตวง เฉ่ากั่วสี่ตวง เซียนเฮ่อเฉ่าแห้งห้าตวง...บดให้ละเอียดเป็นผง ละลายน้ำอุ่นรับประทาน วันละสามครั้ง”นอกจากนี้ กู้หว่านเยว่ยังเขียนสูตรยาป้องกันมาลาเรียอีกสูตรหนึ่ง โดยใช้ปูนขาว ลูกสมอ และกำมะถันแดง เป็นต้นกู้หว่านเยว่ส่งสูตรยาทั้งสองสูตรให้กับฟู่หลานเหิง“สูตรแรกให้คนป่วยกิน สามารถปรับเพิ่มหรือลดปริมาณยาได้ตามความเหมาะสม สูตรที่สองสำหรับคนที่ยังไม่ป่วย กินแล้วสามารถป้องกันโรคระบาดได้”หลายวันมานี้ นางให้คนในกลุ่มนักโทษดื่มยา
ทางฝั่งของกู้หว่านเยว่ทันทีที่ลงมาจากหอ ก็เจอกับเกาเจี้ยนและลั่วยางที่ยืนอยู่ด้วยกันพอดี อย่าพูดเชียวว่าสองคนนี้ช่างเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย“พระชายา”เกาเจี้ยนพุ่งเข้าไปกล่าวทักทายกู้หว่านเยว่ ร่างกายของเขาฟื้นตัวแทบจะสมบูรณ์แล้ว “อื้อ”กู้หว่านเยว่พยักหน้า ลั่วยางกล่าวอย่างตื่นเต้น “พี่หญิงกู้ ท่านมาพอดี เกาเจี้ยนบอกว่าเจอหญ้าไป๋เซียงปรากฏอยู่บนภูเขาเทียนสุ่ย ข้าอยากไปดูเจ้าค่ะ”หญ้าไป๋เซียงอย่างนั้นหรือ ในห้วงมิติของนางมีเยอะแยะ“เจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่กล่าวเตือนอย่างห่วงใย“หลังจากครึ่งเดือนไปแล้ว ต้องทำการผ่าตัดให้ไป๋หลี่ชิงซี หากเจ้าอยากดู ก็รีบกลับมาก่อน”“พี่หญิงกู้ ท่านช่างแสนดียิ่งนัก”ลั่งยางซาบซึ้งใจมาก จริง ๆ แล้วนางกลัวว่าตัวเองจะพลาดวันที่กู้หว่านเยว่ทำการผ่าตัดให้ไป๋หลี่ชิงซีมาก ถึงอย่างไรนั้นก็เป็นโอกาสจะได้เรียนรู้อันหาได้ยากยิ่ง“วันนี้เราออกเดินทางกันเถอะ”เกาเจี้ยนเป็นฝ่ายกล่าวเอง บอกว่าจะรีบไปรีบกลับ“ได้โปรดพระชายาช่วยพูดกับท่านอ๋องให้ข้าสักหน่อย บอกว่าข้าไปภูเขาเทียนสุ่ยขอรับ”กู้หว่านเยว่คิดไม่ถึงว่าเขาเองก็อยากไป เกาเจี้ยนรีบอธิบาย “ลั่วยางไม่รู
“จะต้องเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน”สวีซวี่รื่อยิ้มเยาะอย่างเยือกเย็น“ท้องของเขาเป็นเช่นนั้นนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ หลายปีมานี้กลับยิ่งอยู่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นก้อนเนื้อประหลาดอะไรสักอย่างก็ได้”สิ่งที่สวีซวี่รื่อคิดก็ถูก ท้องของไป๋หลี่ชิงซีจะต้องมีก้อนเนื้อประหลาดอย่างแน่นอนอีกทั้งหุบเขาราชาโอสถก็ช่วยเขาปกปิด ไม่แน่ว่าอาจต้องการผ่าเอาก้อนเนื้อประหลาดในท้องของเขาออกมาก็ได้ตราบใดที่เขาได้ก้อนเนื้อประหลาดนั้นมาครอบครอง มันจะถูกส่งไปยังสำนัก และเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชนดูสิว่าไป๋หลี่ชิงซีผู้นั้นจะยังยืนอยู่บนสำนักเทียนจีได้อย่างไร “ขอบใจเจ้ามาก” ใบหน้าของไป๋หลี่ชิงซีที่อยู่ในห้องมีสีแดงระเรื่อเล็กน้อย พลางกล่าวขอบคุณกู้หว่านเยว่“ไม่ต้องเกรงใจ ปกป้องความลับของผู้ป่วย เป็นสิ่งที่คนเป็นหมอควรทำ”กู้หว่านเยว่เพียงแต่ทนเห็นหน้าของสวีซวี่รื่อไม่ได้“ดังนั้นที่เจ้าพูดอยู่ด้านนอกเมื่อครู่นี้ เป็นความจริงใช่หรือไม่?”หลี่เหมียนหยางกล่าวถามอย่างร้อนใจ สิ่งที่นางถามเกี่ยวข้องกับไป๋หลี่ชิงซี“เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เรื่องของก้อนเนื้อที่อยู่ในท้องเป็นเรื่อง
“ได้สิ ข้าจะรอเจ้า”กู้หว่านเยว่กำลังกลุ้มใจที่ไม่รู้ผู้ที่หนุนหลังเขา ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง ถ้างั้นอย่าโทษนางที่ตามไปแก้แค้นละเดิมทีคิดว่าสั่งสอนพวกเขาสักยกแล้วจะปล่อยไป ในเมื่อกล้าข่มขู่นาง ถ้างั้นจัดการเสียทั้งหมดเลยดีกว่ากู้หว่านเยว่ลงมือโดยการโปรยผงยาพิษไปบนตัวพวกเขา อีกไม่นาน คนพวกนี้ก็จะตายกะทันหันเมื่อเห็นรอยยิ้มประหลาดของหญิงสาว เถียนจวิ้นรู้สึกเหมือนตัวเองพูดผิดไป สูญเสียบางสิ่งที่สำคัญ จึงรีบพาพวกพ้องหนีไปกู้หว่านเยว่กลับไปในขบวนเนรเทศอีกครั้ง“แม่นางน้อยกู้ ยอดเยี่ยมมาก!”“แม่นางกู้น้อย ผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์ เจ้าช่างร้ายกาจนัก!”หลายคนทยอยยกนิ้วหัวแม่มือขณะนี้ ฟู่เยียนหรานมาถึงตรงหน้านางกะทันหัน ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น“กู้หว่านเยว่ เจ้าเป็นนักโทษเนรเทศยังกำเริบเพียงนี้ ถึงกับทำร้ายเจ้าหน้าที่ทางการ เกิดนำความเดือดร้อนมาให้ทุกคนจะทำอย่างไร?”ไม่แน่อาจทำให้สถานะของนางเปิดเผยไปด้วย“ความหมายของเจ้าคือ ข้าควรถูกเจ้าหน้าที่ทางการพวกนั้นเกี้ยวหรือ?”กู้หว่านเยว่แค่นหัวเราะคนเช่นนี้อยู่รอดไปจนถึงตอนสุดท้ายของหนังสือได้อย่างไรกัน?ฟู่เยียนหรานขมวดคิ้ว “ข้
ทันใดนั้นมีเจ้าหน้าที่ทางการหนุ่มกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกหลังจากฟู่เยียนหรานเห็นเจ้าหน้าที่ทางการ สีหน้าเผยความหวาดกลัว รีบพาฟู่ซานไปหลบหลังบ่อน้ำจนกระทั่งแน่ใจว่าเจ้าหน้าที่ทางการเหล่านี้ไม่ได้มาหานาง จึงโล่งอกกู้หว่านเยว่เองก็สังเกตเห็นเจ้าหน้าที่เหล่านั้น แต่ดูเหมือนพวกเขาจะมาหาครอบครัวชาวนาเจ้าหน้าที่เตะข้าวเปลือกจนหงาย “รีบจ่ายภาษีของเดือนนี้เร็วเข้า”ครอบครัวของชาวนาเฒ่าควักเงินออกมาจ่ายด้วยสีหน้าขมขื่น“แค่หนึ่งตำลึงหรือ?”“เดือนที่แล้วก็หนึ่งตำลึงไม่ใช่หรือ...”ลูกชายชาวนากล่าวขึ้นหนึ่งคำ จากนั้นถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายทันที“เดือนนี้ขึ้นราคาแล้ว เป็นสองตำลึงเงิน เร็วเข้า ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าได้เห็นดีกันแน่!”สองสามีภรรยาเฒ่าขอร้องไปด้วย พลางไปหยิบเงินทั้งหมดในบ้านออกมา เศษเงินพวกนั้นพอจะรวมกันจนครบสองตำลึงเงิน“ต้องอย่างนี้สิ ครั้งหน้ายอมจ่ายแต่โดยดีละ!”เจ้าหน้าที่เอาเงินแล้ว เตรียมหันหลังจากไป แต่กลับถูกกู้หว่านเยว่ที่ยืนอยู่ในโรงเก็บหญ้าดึงดูดผิวขาวดุจหิมะ เรือนร่างอ่อนช้อย ทั่วทั้งอำเภอหลานเจียก็ไม่มีคนงามเช่นนี้เจ้าหน้าที่มองดูจนตะลึง จากนั้นเดินเข้าไ
หากซูหัวจวิ้นกล้าหาเรื่องนาง นางก็คันไม้คันมือพอดี จะได้ระบายออกสักหน่อยซูจิ่นเอ๋อร์ยังคงเป็นห่วง ตั้งแต่หลี่ซือซือตายไป ท่านอาสี่เหมือนกลายเป็นบ้าไปแล้วคนบ้าคนหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าจะก่อเรื่องอะไรได้บ้าง?“พี่สะใภ้ใหญ่ อย่างไรท่านก็ต้องระวังตัว มีเรื่องใดก็ตะโกนได้เลย ข้าจะเข้าไปตีเขาให้ตาย!”“ข้าไม่เป็นไร เจ้าดูแลตัวเองกับท่านแม่ให้ดีก็พอ ข้าจะพาพี่ใหญ่เจ้าไปอาบน้ำ”ระหว่างพูดคุยกัน กู้หว่านเยว่แบกซูจิ่งสิงขึ้นหลัง แล้วพาเดินไปทางห้องครัวพอไปถึงห้องครัว ซูจิ่งสิงรีบลงมาบนพื้นอย่างว่องไว พร้อมสีหน้าเขินอาย“ข้าอาบเองได้”“อ่อ”กู้หว่านเยว่เองก็ไม่คิดจะช่วยเขาอาบ“ข้าจะเข้าไปอาบในมิติ ท่านอาบอยู่ข้างนอก อาบไปด้วยช่วยข้าดูต้นทางไปด้วยนะ”มิติหรือ? มันคือสิ่งใด?ซูจิ่งสิงกำลังสงสัย แล้วเห็นกู้หว่านเยว่ลงกลอนประตูห้องครัรว จากนั้นร่างกายสั่นไหว หายไปกลางอากาศ“กู้หว่านเยว่!”เมื่อหญิงสาวหายไปกะทันหัน ทำให้เขาปวดใจ กระทั่งกลัวว่านางจะไม่กลับมาอีกแล้วกู้หว่านเยว่เพิ่งเข้าไปในมิติ พลันได้ยินเสียงซูจิ่งสิงเรียกชื่อนางเสียงต่ำอยู่ข้างนอก“เรียกข้าทำไม?” นางรีบปรากฏตัวอย่างรวดเ
“ไม่หรอก พวกเราหนีออกมาได้แล้ว ใครก็อย่าคิดจะจับตัวพวกเรากลับไปอีก”ฟู่เยียนหรานขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น“อีกเดี๋ยวข้าจะไปสืบดูฐานะของพวกเขา ไม่น่าจะมาเพราะพวกเรา”“พี่หญิง ข้าก็ยังกลัว...” ฟู่ซานก้มหน้าลง“กลัวอะไรกัน เจ้าลืมไปแล้วหรือตอนข้าเกิดมามวลวิหคน้อมคารวะ นั่นคือการกำเนิดของผู้มีบุญญาธิการ ข้าเชื่อว่าต้องทำได้ แค่ขาดโอกาสเท่านั้น”……กู้หว่านเยว่ที่อยู่ด้านนอกได้ยินดังนั้น แววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ จากนั้นยิ้มนี่ไม่ใช่นางเอกหรือ?ผู้ที่มีปรากฏการณ์จากฟ้ายามตกฟาก คือฟู่เยียนหรานที่เป็นคู่ของมู่หรงอวี้ ฮองเฮาในอนาคตของต้าฉี!นึกไม่ถึงว่าจะได้พบนางที่หมู่บ้านไร้ชื่อแห่งนี้ ฟู่เยียนหรานผู้นี้โหดเหี้ยมไม่น้อย นางคือลูกที่เกิดจากอนุภรรยาของหนานหยางอ๋อง ถูกแม่ใหญ่จับคู่ให้แต่งงานกับรองแม่ทัพคนหนึ่งของบิดานางเห็นรองแม่ทัพผู้นั้นเป็นคนหยาบกระด้าง ในวันแต่งงานจึงพาน้องชายหนีออกมา ระหว่างทางถูกมู่หรงอวี้ช่วยไว้ทั้งสองตกหลุมรักกันอย่างดุเดือด หลังจากฟู่เยียนหรานกลับไปจึงวางยาพิษหนานหยางอ๋องจนตาย แล้วมอบอำนาจทหารให้มู่หรงอวี้วางยาพิษบิดาจนตาย เรื่องเช่นนี้คนทั่วไปทำไม่ได้พอนึก
“เร็ว รีบเดินเร็วเข้า!”กู้หว่านเยว่รีบหันไปเอ่ยกับพวกของเหยียนฮูหยิน “เหยียนฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่ง พวกท่านนำเด็กมาไว้ในรถของข้าเถอะ พวกเราต้องเร่งเดินทาง”กู้หว่านเยว่นำผ้าห่มทิ้ง เพื่อให้พวกเด็กน้อยมีที่ว่าง หลายตระกูลตื้นตันอย่างมาก จึงรีบอุ้มเด็กขึ้นไปทันทีคนทั้งขบวนฝ่าลมพายุฝนกระหน่ำ เดินทางต่อเนื่อง ในที่สุดหลังผ่านไปสองชั่วยามมองเห็นแสงสว่างท่ามกลางความมืด “เป็นหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้าน!”หลังถูกฝนกรดเล่นงานมาทั้งคืน ขณะนี้บนตัวทุกคนเปื้อนของเหลวเหนียวข้น สภาพมอมแมม น่าอนาถยิ่งกว่าขอทาน“มีคนอยู่หรือเปล่า?”ซุนอู่รีบพาคนไปเคาะประตูของครอบครัวหนึ่งทันที คนที่เปิดประตูคือชาวนาเฒ่าคนหนึ่ง“ผู้อาวุโส ให้พวกเราพักค้างคืนที่บ้านพวกท่านสักคืนได้หรือไม่?”“ฝนตกแรงขนาดนี้ พวกเจ้ารีบเข้ามาเถอะ”ชาวนาเฒ่ารีบพยักหน้า แล้วปล่อยทุกคนเข้าไปภายในเรือนที่เรียบง่าย สภาพแวดล้อมแย่ยิ่งกว่าห้องรวมของโรงเตี๊ยมเสียอีก ทว่าขณะนี้มีที่ให้พักพิง ทุกคนก็พอใจมากแล้วในขณะที่ทุกคนเตรียมจะกรูกันเข้าไป ภายในกลับมีเสียงหนึ่งที่ไม่สบอารมณ์ดังขึ้นทันที“ไหนว่าคืนนี้จะให้พวกเราค้างแรมที่บ้านหลังนี้
กู้หว่านเยว่ได้ให้มิตินำแผนที่ของภูเขาในระแวกนี้ออกมาตั้งแต่แรกแล้ว รู้ว่าเดินต่อไปข้างหน้าอีกสองชั่วยาม จะมีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง“หากท่านเชื่อข้า ให้ทุกคนเดินตามข้าไป”“เดินตามเจ้าหรือ?”ซุนอู่ลังเลกู้หว่านเยว่เก่งมาก แต่ก็ไม่ใช่เรดาร์ค้นหาเส้นทางจางเอ้อร์ที่อยู่ข้างกันเอ่ยขึ้น “หัวหน้า ข้าว่าฝนนี่ประหลาดยิ่งนัก หากตากนานไปไม่รู้จะมีโรคใดหรือไม่ ถ้าอย่างไรฟังข้อเสนอแนะจากแม่นางกู้น้อยเถอะ”เขาสำทับ“ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเราก็ฟังแม่นางน้อยกู้มาตลอด ไม่เคยมีสิ่งใดผิดพลาดเลย”“ก็ใช่”ประสบการณ์ของหัวหน้านักว่าการอย่างเขายังไม่เท่ากู้หว่านเยว่“เช่นนั้นก็ได้ เจ้านำทางอยู่ข้างหน้า พวกเราจะตามเจ้าไป”ระหว่างที่พูด ซุนอู่ให้นักการไปปลุกทุกคนให้ตื่น เพื่อให้พวกเขาเร่งออกเดินทางคนอื่น ๆ เองก็รู้สึกถึงความผิดปกติของสายฝน ไม่ต้องให้นักการไปปลุก พวกเขาก็เดินทางอย่างรวดเร็วแต่กลับลำบากคนสกุลซูนางหลิวต้องพาคนบาดเจ็บไปด้วย ทำให้เดินไม่ไหวเมื่อเห็นรถเทียมลาของกู้หว่านเยว่ นางจึงขอร้องเสียงอ่อน“หว่านเยว่ เจ้าดูสิว่าพอจะให้ท่านอาสี่ของเจ้าขึ้นไปนอนบนรถม้าได้หรือไม่?”ต่อสู้ก
ซูหัวจวิ้นชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า“หลี่ซือซือ หลี่ซือซือนางมาหาข้าแล้ว”แม้หลี่ซือซือจะสมควรได้รับโทษ แต่เมื่อได้ยินซูหัวจวิ้นกล่าวเช่นนี้ อีกทั้งรอบด้านมืดสนิท จึงทำให้ทุกคนรู้สึกขนลุกซู่ รีบหันมองรอบด้านทันทีซุนอู่เองก็รู้สึกว่าลมเย็นพัดมาเป็นระลอก จึงหยิบแส้เดินไปตรงหน้าซูหัวจวิ้น พร้อมหวดแส้ใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์“หากกล้าพูดเหลวไหลอีก ข้าจะหวดเจ้าให้ตาย!”“โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย ข้าเปล่าพูดเหลวไหลนะ หลี่ซือซือมาแล้วจริง ๆ นางโกรธข้าที่ไม่ควรเรียกนางมา โกรธข้าที่ไม่ได้ปกป้องนาง...ยังมีท่านแม่ นางโกรธท่านด้วย!”ซูหัวจวิ้นชี้ไปที่ฮูหยินผู้เฒ่าซูกะทันหัน ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซูกรีดร้องเสียงดัง“ว๊าย ว๊าย ว๊าย เจ้าสี่ เจ้าจะตายแล้วหรือไร พูดบ้าอะไรของเจ้า?”ซูจิ่นเอ๋อร์ตัวสั่นงก ๆ แล้วขดตัวอยู่ในอ้อมกอดนางหยาง “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านว่า หลี่ซือซือนาง...”กู้หว่านเยว่เหลือบมองนาง ไม่ตอบกลับย้อนถาม “เจ้าทำเรื่องผิดศีลธรรมหรือ?”“เปล่าเจ้าค่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์ครุ่นคิด นอกจากแรกเริ่มที่นางโง่เขลา นอกนั้นไม่น่าจะเคยทำเรื่องผิดศีลธรรรม“หากไม่ได้ทำเรื่องผิดศีลธรรม เจ้าจะกลัวอะไร”เกรงว่าคำพูดของซูหัวจวิ