ดวงตาหลี่ชิวเตี๋ยทอประกายระยับ หญิงชั่วประจบสอพลอเช่นนี้ จะต้องให้ศาลาว่าการต้อนรับนางดีๆ“ใช่แล้วฮูหยิน ข้าสั่งคนให้ทำชาดตามตำรับที่เจ้ามอบให้ออกมาแล้ว”หลี่ชิวเตี๋ยหยิบชาดที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อไว้อย่างดีจากมือสาวใช้ เปิดออกส่งให้กู้หว่านเยว่“เล็กๆ หนึ่งกล่อง ไม่เพียงสีนุ่มนวล ยังหอมมากนัก”สายตานางยามสบมองกู้หว่านเยว่เปี่ยมความเลื่อมใส “ฮูหยิน เจ้ามีอะไรทำไม่ได้บ้างเล่า?”กู้หว่านเยว่ยิ้มแต่ไม่พูด กลับครุ่นคิดภายในใจก็เพราะนางมีนิ้วทองอย่างไรเล่า!บนแพลตฟอร์มการขายในมิติ ตำรับชาดมีมากนักกู้หว่านเยว่หยิบตำรับโบราณทำง่ายออกมาสองสามแผ่น จะต้องไม่ล้มเหลวอย่างแน่นอน“เพียงชาดนี้ยังไม่พอ ยังขาดอีกหนึ่งสิ่ง”ภายใต้สายตาสงสัยของหลี่ชิวเตี๋ย กู้หว่านเยว่หยิบแปรงแต่งหน้าออกมาอันหนึ่งบังเอิญมีหญิงออกเรือนแล้วยังอ่อนเยาว์หลายท่านเดินเข้ามาจากภายนอกพอดี“ชิวเตี่ย เหตุใดร้านดอกท้อของเจ้าไม่เปิดเล่า?”“อวิ๋นเซียง? เหตุใดพวกเจ้ามาได้”หลี่ชิวเตี๋ยรีบลุกขึ้นแนะนำ “ฮูหยิน นี่คือสวี่ฮูหยิน สองท่านนี้คือโจวฮูหยินและจี้ฮูหยิน”พวกนางล้วนเป็นคนตระกูลขุนนางเมืองอวี้ ก่อนนี้หลี่ชิวเตี๋ยมักไปห
พอดีจะได้แนะนำหลี่ชิวเตี๋ยสักเล็กน้อย แปรงแต่งหน้านี้ใช้งานเยี่ยงไร ถึงตอนนั้นจะได้ประกาศออกไป“รบกวนเจ้าแล้ว” สวี่ฮูหยินพยักหน้าให้กู้หว่านเยว่อย่างมีมารยาทแท้จริงแล้วสวี่ฮูหยินไม่มีความมั่นใจในตนเองมาโดยตลอด เพราะในบรรดาคนกลุ่มนี้ นางหน้าตาแย่ที่สุดดังนั้นทุกครั้งสวมใส่เสื้อผ้าทำได้เพียงเลือกเสื้อผ้าเรียบง่าย ใบหน้าก็ไม่กล้าแต่งมากเกินไปนัก“ใช้ได้จริงหรือ?”เห็นว่ากู้หว่านเยว่หยิบแปรงแต่งหน้าขึ้นมาปัดลงบนใบหน้านาง สวี่ฮูหยินกังวลมากชนิดที่ว่าลมหายใจยังผ่อนให้เบาลง ทว่าเพียงครู่เดียวก็หว่านเยว่ก็ดึงมือกลับไปแล้วหลี่ชิวเตี๋ยวอุทานอย่างตกตะลึง “สวรรค์ อวิ๋นเซียง เจ้างามยิ่งนัก”“เจ้า เจ้ากำลังล้อเล่นกระมัง?”สวี่ฮูหยินลืมตาอย่างกังวล หลี่ชิวเตี๋ยรีบให้สาวใช้หยิบคันฉ่องมาเพียงได้เห็น นางก็เหม่อไปเดิมทีใบหน้าเหลืองซีด ครู่เดียวก็กลายเป็นชุ่มชื้นนวลแดงยิ่งไปกว่านั้น เพราะทางฝั่งเจดีย์หนิงกู่มีลมหิมะแรง ใบหน้านางหยาบกร้านมากมาโดยตลอดทว่าตอนนี้รูขุมขนบนใบหน้ากลับเรียบ ผิวพรรณดีขึ้นไม่ใช่เพียงเล็กน้อยสวี่ฮูหยินตกตะลึงดีใจอย่างอดไม่ได้เดิมทีนางก็แค่ไว้หน้าสหาย คิดไม่ถ
“เมื่อครู่ได้ยินโจวฮูหยินพูดว่า เจ้าถูกคนหลอกแล้ว?”สวี่ฮูหยินเอ่ยถามอย่างห่วงใย“พูดไปแล้วเรื่องยาวมากนัก ครั้งหน้าค่อยบอกเจ้า”หลี่ชิวเตี๋ยอยากให้แผลสมานด้วยตนเอง อย่างไรเสียนางก็ตาบอดเลือกทังต๋า ชายเจ้าชู้คนนี้ทำให้นางอับอายไปทั่วทั้งเมืองอวี้ดังนั้นในระยะนี้ นางจึงมิได้ไปมาหาสู่กับฮูหยินเหล่านั้นส่วนสวี่ฮูหยินในฐานะสหายที่ดีของนาง ก็ไม่รู้เรื่องนี้“รอเจ้าอยากพูด ค่อยพูด”สวี่ฮูหยินเองก็เป็นคนหลักแหลมคนหนึ่ง เห็นหลี่ชิวเตี๋ยไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ นี่ก็ไม่คิดถามต่อนางหันหน้า สายตาตกลงบนตัวกู้หว่านเยว่ รู้สึกเก้อกระดาก“ในเมื่อผงไข่มุกหยกนารีและผงฝูหรงนี้เจ้าเป็นคนทำ เชื่อว่าเจ้าจะต้องมีชุดบำรุงผิวเป็นแน่”“สวี่ฮูหยินมีอันใดก็พูดออกมาโดยตรงเถอะ” กู้หว่านเยว่หยั่งเดาว่านางจะพูดอะไรสวี่ฮูหยินพูดอย่างกังวล “ข้าเห็นเจ้าผิวพรรณดีมาก เมื่อครู่ตอนเจ้าแต่งหน้าให้ข้า เชื่อว่าได้เห็นรอยขรุขระ รูขุมขนกว้างมากของข้าแล้ว”นางรีบเอ่ยถาม “มีวิธีใด สามารถบำรุงผิวข้าได้หรือไม่?”แม้ว่าแต่งหน้าสามารถปกปิดได้ แต่ล้างหน้าแล้วก็ยังกลับมาเหมือนเดิมสวี่ฮูหยินพูดอย่างเก้อกระดาก ตกดึกยามน
หลี่ชิวเตี๋ยเองก็ไม่ปิดบังสวี่ฮูหยินประการแรกสวี่ฮูหยินมีสายสัมพันธ์อันดีต่อนาง ประการที่สองพวกเขาล้วนอยู่ที่เมืองอวี้ ภายภาคหน้ามีโอกาสได้พบหน้ามากนักไม่ช้าก็เร็วสวี่ฮูหยินก็ต้องได้รู้ฐานะที่แท้จริงของกู้หว่านเยว่ มิสู้ตนเองซื้อใจนางสักหน่อย บอกฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่ายออกไปโดยตรงสำคัญคือ เห็นท่าทางของกู้หว่านเยว่ กลับไม่คิดปิดบังฐานะของตนดังนั้นหลี่ชิวเตี๋ยเองก็วางใจและพูดออกมาอย่างผ่าเผย“เจ้ากำลังบอกว่า...” สวี่ฮูหยินตกตะลึงพรึงเพริดดังคาดบัดนี้คนมีหน้าตาในเมืองอวี้ ใครไม่รู้ ภายนอกท่านหลี่โหวควบคุมดูแลเจดีย์หนิงกู่ แต่แท้จริงแล้วคนอยู่เบื้องหลังคือคนอื่น“ข้ายังคิดว่า...คิดไม่ถึงฮูหยินท่านนี้ถึงขั้นเป็นกันเองเพียงนี้เมื่อครู่ พูดกับข้ามากเพียงนั้น ยังจับชีพจรให้ข้าด้วยตนเองอีกด้วย นับเป็นวาสนาของข้าแล้ว”ตอนนี้สวี่ฮูหยินอยากทำเพียงพูดว่าอามิตตาพุทธยังดีนางและหลี่ชิวเตี๋ยเป็นสหายกัน เมื่อครู่ก็มิได้พูดประชดเย็นชาอะไรถึงร้านนี้ หาไม่แล้วคราวนี้น่ากลัวว่าศีรษะก็ไม่รู้จะไปหาจากที่ใดอีก“ฐานะฮูหยินท่านนั้นถึงขั้นสูงศักดิ์เพียงนี้ เหตุใดมาที่ร้านดอกท้อของเจ้า อีกทั้งยัง
“ระวังตัวเถอะ อย่าตกหลุมพรางของกู้หว่านเยว่อีก”น้ำเสียงดูถูกของผู้หญิงคนหนึ่งขัดจังหวะขึ้นมา ทำให้เจียงเต๋อจื้อหลั่งเหงื่อบนหน้าผาก“ข้า คือกุ้ยเฟย”ฟู่เยียนหรานมองดูสตรีที่สวมเสื้อคลุมสีจันทร์เสี้ยวที่อยู่ตรงข้ามตนอย่างไม่มีความสุข เถาเอ๋อร์หัวเราะเยาะคำพูดนาง“ข้า คือราชครูที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งด้วยองค์เอง”ใช่แล้ว คนผู้นี้คือเถาเอ๋อร์ คนที่เคยถูกมู่หรงอวี้เตะลงจากหน้าผามาก่อนหลังจากตกลงมาจากหน้าผา นางก็บังเอิญได้นิ้วทองคำช่วยชีวิตนางเอาไว้“เจ้า……”ฟู่เยียนหรานโกรธมาก ทั้งสองขัดแย้งกันมาก่อนระหว่างทาง เห็นเช่นนี้ เจียงเต๋อจื้อก็รีบก้าวไปข้างหน้า ไกล่เกลี่ยสถานการณ์“พระสนม ท่านราชครู อย่าแตกคอกันเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”สตรีสองคนอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ทว่าเขากลับเป็นผู้โชคร้ายเถาเอ๋อร์นั่งลงดื่มชา “จะโกรธข้าไปไย? หากมีความสามารถ ก็ไปหากู้หว่านเยว่แก้แค้นสิ”ฟู่เยียนหรานขนาดฝันยังอยากฆ่ากู้หว่านเยว่ แต่กู้หว่านเยว่ซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์หนิงกู่ นางจะทำอะไรได้?“เจ้าไม่อยากฆ่ากู้หว่านเยว่ด้วยตัวเองหรือ?” เถาเอ๋อร์มองนางด้วยสายตายั่วยุทันใดนั้น ฟู่เยียนหรานก็ไร้ซึ่งสติ ความคิดที่อยู
“ขอบคุณฮูหยิน” ชิงเหลียนยิ้ม ติดตามฮูหยิน นอกจากจะได้เงินแล้ว ยังได้เครื่องประทินโฉมด้วย“อย่าเพิ่งพูดกันเลยขอรับ ฮูหยิน ท่านไปหาคุณหนูฉิงเถอะขอรับ” ลู่จิงที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย“นางเป็นอะไร?” กู้หว่านเยว่ถาม เพราะทันทีที่นางเดินออกมา นางก็ไม่เห็นกงซุนฉิงเช่นกันลู่จิงรีบอธิบาย “เรียนฮูหยิน เพื่อที่จะเร่งเวลา พวกเราจึงเดินทางมาทางเรือ แต่ว่า...”ความรำคาญเล็กน้อยปรากฏบนใบหน้าของเขา มันเป็นความคิดของเขา“คุณหนูฉิงเติบโตทางตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่เคยขึ้นเรือมาก่อน นางจึงมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนอยู่ตลอดเวลา”ถ้าเขารู้ว่ากงซุนฉิงเมาเรือขนาดนี้ เขาคงไม่แนะนำให้ขึ้นเรือเลย“ข้าไปดูหน่อย”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้ว เมื่อเห็นว่าลู่จิงมีสีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด“ฉิงเอ๋อร์?”เมื่อเปิดม่านรถม้าออก นางก็เห็นกงซุนฉิงกำลังเอนกายอย่างอ่อนแรงบนเบาะ“สวรรค์ เหตุใดเจ้าถึงเมาเรือได้รุนแรงเช่นนี้?”กู้หว่านเยว่ตกใจ ใบหน้าของกงซุนฉิงกลายเป็นสีขาวราวกับกระดาษ ทั้งรถเต็มไปด้วยกลิ่นไม่พึงประสงค์ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งอาเจียนไปอีกครั้ง“ฮู ฮูหยิน” กงซุนฉิงพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง “ข้
“ได้”กงซุนฉิงเองก็รู้สึกอึดอัดเมื่อได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์บนร่างกายตน ต้องการอาบน้ำอย่างรวดเร็วกู้หว่านเยว่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร จึงรีบลุกขึ้นออกไป โดยบอกให้ห้องครัวต้มน้ำร้อนมาให้ด้วย“หงจาว ไปบอกให้ห้องครัวว่าสองสามวันนี้ทำอาหารเบาๆ มา แล้วส่งไปที่ห้องของคุณหนูฉิง”คนที่มีอาการเมาเรือ ไม่ควรรับประทานอาหารที่มันเยิ้มเกินไป“ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!”หงจาวอันตรธานหายไปทันทีกู้หว่านเยว่กลับไปมองหาซูจิ่งสิง ตั้งใจจะไปดูม้าศึกเหล่านั้น แต่ก็บังเอิญพบกับซูจิ่นเอ๋อร์ที่มาจากหมู่บ้านสือหาน“พี่สะใภ้ใหญ่!”ซูจิ่นเอ๋อร์วิ่งเหยาะๆ เข้ามา ในมือยังจับแขนบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งเอาไว้แน่น“นี่คือใคร?”ท่ามกลางสายตาจ้องมองอย่างถี่ถ้วนของกู้หว่านเยว่ ทำให้หญิงสาวที่บอบบางดูไม่เป็นตัวเอง ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังซูจิ่นเอ๋อร์“นางชื่อหร่านเหยียน เป็นเพื่อนใหม่ของข้าเองเจ้าค่ะ!”ซูจิ่นเอ๋อร์ตบหน้าอกของตนแล้วอธิบายว่า “ข้าไปเจอพวกอันธพาลบนถนนมา แต่ได้หร่านเหยียนช่วยเอาไว้”“แม่นางกู้” หร่านเหยียนก้มศีรษะลง ดูขี้อาย“เป็นจิ่นเอ๋อร์ชวนข้ามาเล่น ท่านอย่าโกรธนะเจ้าคะ”กู้หว่านเยว่สับสนเล็กน้อย
นางฝึกฝนในมิติทุกวัน จนจดจำโน้ตเพลงได้ขึ้นใจตั้งนานแล้วในขณะที่ดนตรีบรรเลงขึ้นมา ฉากที่น่าประหลาดใจก็เกิดขึ้นม้าศึกและนักรบหมาป่าในสนามประลองที่กำลังหน้าม่อยคอตก ใบหูได้ตั้งชันขึ้นมาอย่างฉับพลันดวงตาที่ขุ่นมัวก็เปล่งประกายแวววาวหากมองอย่างละเอียด ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเห็นว่าสีหน้าของพวกมันเปี่ยมไปด้วยความสุขมองเห็นความสุขบนใบหน้าของสัตว์ได้จริงหรือ?ซูจิ่งสิงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเกิดภาพหลอนฉากที่ทำให้เขาตื่นตะลึงยังไม่จบลง คลอด้วยการบรรเลงเพลงควบคุมสัตว์นักรบหมาป่านอนลงอย่างสบายใจ พลางสะบัดหางเล่นม้าศึกเดินไปมาด้วยความร่าเริง ส่งเสียงร้องอย่างมีความสุขแม้แต่บรรดานกที่บินอยู่กลางอากาศก็ยังอดใจไม่ไหวหยุดพักที่ชายคา หน้าตาเคลิบเคลิ้ม“มหัศจรรย์” ซูจิ่งสิงอุทานด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่บรรเลงจบเพลงหนึ่งอย่างรวดเร็ว พลางมองไปที่นักรบหมาป่าและม้าศึกที่หยุดอาเจียน รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก“เพลงควบคุมสัตว์นี้ ใช้ได้ผลจริงดังคาด!”เมื่อครู่สัตว์เหล่านี้ยังมีท่าทางเหมือนจะเมาเรือ แต่หลังจากฟังเพลงจนจบแล้ว ก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด“เห็นทีสัตว์เหล่านี้
ข้าเป็นคนไร้ชื่อเสียงย่อมไม่กลัว แต่ต่อไปจวนแม่ทัพของพวกเจ้ายังจะมีหน้าอยู่ในซุ่ยโจวอีกหรือ”ระหว่างที่พูด แม่นางตั่วเดินไปใต้ต้นไม้อีกครั้ง แล้วกอดเฉิงซินที่ถูกมัดแขวนไว้“คุณชายน้อย ท่านหลอกบ่าวให้หลงเชื่อสนิทใจ ท่านบอกว่าจะพาบ่าวไปอยู่อย่างสุขสบาย บ่าวจึงได้ทิ้งผัวที่บ้านตามท่านมา แต่สุดท้าย ทุกคนในบ้านท่านกลับรังแกบ่าว ฮือฮือฮือ...”อย่าเห็นว่าแม่นางตั่วแต่งงานแล้ว กลับหน้าตาเย้ายวน ทั่วทั้งตัวมีจริตจะก้านแผ่ซ่านออกมาสวมกระโปรงเกาะอกรัดเอวตัวยาว ภายนอกมีเสื้อคลุมสีชมพูสวมทับ หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลง ทำให้เฉิงซินมองดูจนไม่อาจละสายตา“เฉิงเหลียน เจ้า เจ้าตะโกนโหวกเหวกใส่คนของข้า หากจะวางอำนาจก็กลับไปที่ค่ายทหารของเจ้า อย่ามาวางอำนาจให้ข้าดู”เฉินซินเห็นแม่นางตั่วถูกรังแกไม่ได้ จึงรีบตะโกนใส่เฉิงเหลียน“เจ้านี่มันกู่ไม่กลับแล้วจริงๆ ท่านแม่หมดสติเพราะโกรธเจ้าเรื่องหญิงคนนี้ แต่เจ้ากลับปกป้องนางหรือ”ทำไมถึงได้มีคนที่โง่ขนาดนี้?เฉิงเหลียนกำหมัดแน่นช่างเป็นลูกชายที่แน่จริง ทำให้พ่อแม่ลำเอียงรักแต่เขา“ก็เพราะท่านแม่โกรธข้าจนหมดสตินะสิ หากข้าไล่ให้นางไป ท่านแม่ไม่หมดสติเส
เมื่อหมอหลายคนได้ยินว่ากู้หว่านเยว่มาตรวจอาการของเฉิงฮูหยิน ทำให้โล่งอกทันทีรีบแจ้งข้อสรุปในการตรวจอาการให้กู้หว่านเยว่ส่วนข้อสรุปนั้นก็คือ...เอ่อ ไม่มีข้อสรุปกู้หว่านเยว่เองก็เป็นหมอเมื่อเห็นท่าทางเหงื่อแตกพลั่กของทุกคน นางก็เข้าใจทันทีพวกเขาไม่มีวิธีแต่ก็กลัวเฉิงทั่วลงโทษดูท่าอาการของเฉิงฮูหยินค่อนข้างอันตรายกู้หว่านเยว่มาถึงข้างเตียง แล้วเริ่มตรวจชีพจรให้เฉิงฮูหยิน ดูจากการเต้นของชีพจร นางวินิจฉัยว่าอาการหมดสติของเฉิงฮูหยินมีสาเหตุมาจากหัวใจแต่ความจริงจะใช่หรือไม่ คงต้องตรวจให้ลึกลงไปอีกขั้นกู้หว่านเยว่ลุกขึ้นแล้วให้เฉิงทั่วกับหมอหลายคนออกไป ส่วนนางอยู่ในห้องแล้วพาเฉิงฮูหยินเข้าไปตรวจในมิติหลังจากตรวจดู กู้หว่านเยว่แน่ใจว่าเฉิงฮูหยินมีปัญหาหัวใจแต่กำเนิดโชคดี ที่เรื่องนี้ยังไม่ถือว่าร้ายแรงมากนักหมอหลายคนสลับกันรักษา แม้จะไม่ทำให้เฉิงฮูหยินฟื้นขึ้นมา แต่อย่างไรก็ทำให้อาการของนางทรงตัวกู้หว่านเยว่พาเฉิงฮูหยินออกมาจากมิติ แล้วให้ซูจิ่งสิงปล่อยพวกเขาเข้ามา“พระชายา ฮูหยินของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”“แม่ข้าจะฟื้นขึ้นมาอีกหรือไม่?”เฉิงทั่วกับเฉิงเหลียนเข้ามาถึ
ไฟแห่งความอยากรู้อยากเห็นในใจของผู้ชมอย่างนาง ลุกโชนโชติช่วงตกลงเจ้าเฉิงซินพาสตรีแบบใดกลับมา ถึงได้ทำให้เฉิงฮูหยินโกรธจนหมดสติไป อีกทั้งแม่ทัพเฉิงยังด่าทอต่อว่าได้น่าเกลียดเช่นนี้หลังจากหันมองดูภายในเรือนหนึ่งรอบ เหมือนจะไม่เห็นสตรีผู้นั้น“ท่านพี่ พวกเขาเอาสตรีนางนั้นไปไว้ที่ใดหรือ?”กู้หว่านเยว่แอบกระซิบข้างหูซูจิ่งสิง อีกฝ่ายส่ายหน้าอย่างระอาเรื่องอย่างนี้ เขาจะสนใจได้อย่างไร?“ไปเถอะ เข้าไปดูข้างในก่อน”ช่วยคนสำคัญกว่า กู้หว่านเยว่ตามเฉิงทั่วเข้าไปในห้องขณะนี้ภายในห้องมีหมออีกสามคนกำลังรักษา หมอคนหนึ่งตรวจชีพจรให้เฉิงฮูหยินอยู่ข้างเตียง ส่วนหมออีกสองคนยืนสีหน้าร้อนใจอยู่ด้านหลัง“เป็นอย่างไร?”หมอคนหนึ่งแอบกระซิบถามหมอที่ตรวจชีพจรส่ายหน้าเบาๆ“นี่จะทำเช่นไรดี หากรักษาเฉิงฮูหยินไม่ได้ ด้วยนิสัยของท่านแม่ทัพ คงได้กุดหัวพวกเราจนหลุดแน่”หนึ่งในหมอเอ่ยถามด้วยสีหน้าร้อนรน ทุกคนรู้ถึงความสำคัญของเฉิงฮูหยินสำหรับเฉิงทั่ว“พวกเจ้าถามข้า ข้าเองก็ไม่รู้”“หมอโจว ที่นี่ทักษะวิชาแพทย์ของท่านสูงกว่าใคร ประสบการณ์โชกโชน ท่านลองดูสิว่าอาการของฮูหยินควรทำอย่างไร?”หมอสองคนมองด
เฉิงทั่วเป็นคนที่เย่อหยิ่งมากพอเจอหน้ากันก็ทำความเคารพอย่างเป็นทางการ พอเห็นได้ว่าเรื่องร้ายแรงเพียงใดกู้หว่านเยว่นึกถึงรองแม่ทัพที่เข้ามาอย่างเร่งรีบ แล้วเชิญเฉิงทั่วออกไปหรือว่าผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว เฉิงฮูหยินยังไม่ฟื้นอีก?“เจ้าลุกขึ้นมาก่อน”“ข้าน้อยไม่ลุก นอกจากพระชายาจะรับปาก”เฉิงทั่วทำหน้าดื้อดึง เมื่อมองให้ละเอียดขอบตาของเขาแดง“เอาละ เจ้านำทางไปเถอะ แล้วบอกมาด้วยว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่”กู้หว่านเยว่ไม่มีทางเลือก ดูท่าคงกลับไปนอนต่อไม่ได้แล้วเฉิงทั่วถึงได้เช็ดน้ำตา แล้วลุกขึ้นจากพื้น อย่าว่าไป ท่าทางเช่นนั้นน่าสงสารเหลือเกินตาเฒ่าผู้นี้คงเป็นห่วงภรรยาของเขาจริงๆ“เมื่อคืนตั้งแต่ฮูหยินหมดสติไป ก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย นอนอยู่บนเตียงไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่ว่าหมอจะใช้วิธีใด ก็ไม่ได้ผลทั้งสิ้น”เฉิงทั่วพูดไปด้วย ขอบตาพลันแดงไปด้วยเขากับเฉิงฮูหยินแต่งงานกันตั้งแต่หนุ่มสาว ประคับประคองกันมาตลอดในอดีตยามออกศึกที่ชายแดน เฉิงฮูหยินติดตามเขาไปด้วย ต่อมาย้ายมารักษาการที่ซุ่ยโจว เฉิงฮูหยินก็ตามมาอีกคลอดบุตธิดาให้เขาสองคน ทั้งสองคนรักใคร่กันมากถ้าเฉิงฮูหยินเกิดเรื่องอะไ
คาดว่าน่าจะเป็นศัตรูของสกุลอวิ๋น เห็นอวิ๋นมู่พ่อลูกไม่กลับมานานจึงสบจังหวะหาช่องว่าง เล่นงานสกุลอวิ๋นในเมื่อเป็นเช่นนี้ อวิ๋นมู่ไม่กลับไปคงไม่ได้แล้วซูจิ่งสิงได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ข้าส่งคนไปคุ้มกันเจ้า”ตอนนี้สกุลอวิ๋นกับพวกเขาเจดีย์หนิงกู่ถือว่าร่วมงานกัน แม้เรื่องนี้จะเป็นความลับ แต่ยากจะรับประกันว่าไม่แพร่งพรายออกไปเกิดคนในราชสำนักรู้เข้า ความปลอดภัยของอวิ๋นมู่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง“ขอบคุณท่านอ๋อง”อวิ๋นมู่มองซูจิ่งสิงอย่างแปลกใจ ทำให้อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเรียบ“อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้เป็นห่วงเจ้า”เพราะกู้หว่านเยว่ บรรยากาศระหว่างทั้งสองมักจะแปลกประหลาด ตั้งแต่พบกันครั้งแรกก็ไม่ถูกกันแล้วอวิ๋นมู่ยิ้มเจื่อน “ท่านอ๋องวางใจได้ ข้าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองแต่ว่า ความหวังดีของท่านอ๋องข้าน้อยขอน้อมรับ และตื้นตันเหลือเกิน”การเดินทางไปเมืองหลวงในครั้งนี้มีอันตราย เขาจึงไม่ปฏิเสธ“เจ้าจะออกเดินทางเมื่อใด?”กู้หว่านเยว่รีบสอบถาม“คืนนี้มากล่าวลาท่านอ๋องและพระชายา พรุ่งนี้เมื่อฟ้าสางจะออกเดินทางทันที”“เวลาเร่งรีบขนาดนี้เชียว”กู้หว่านเยว่รีบถาม“พรุ่งนี้ท่านอย่าเพิ่งรีบไป
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน รองแม่ทัพวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน แล้วหันมองเฉิงทั่วแวบหนึ่ง“ท่านแม่ทัพ แย่แล้ว ฮูหยินหมดสติไปแล้วขอรับ”เฉิงทั่วหน้าถอดสี “อะไรนะ?”เขารีบลุกขึ้นยืนขึ้น ไม่มีเวลาสนใจกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่ยังอยู่ตรงนี้ แล้วรีบสอบถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”“คุณชายน้อยกลับมาแล้ว ไม่เพียงกลับมา ยังพาอีกคน...”รองแม่ทัพกระดากปากที่จะเอ่ย จึงได้แต่ส่งสายตาให้อีกฝ่าย“ท่านแม่ทัพ ท่านกลับไปดูเองเถอะขอรับ”เฉิงทั่วไม่มีแก่ใจจะกินอาหาร จึงลุกขึ้นขอตัว “ท่านอ๋อง พระชายา โปรดให้ข้าไปดูฮูหยินสักครู่ได้หรือไม่”“ไปเถอะ”ซูจิ่งสิงโบกมือ“ขอบคุณท่านอ๋อง” เฉิงทั่วรีบวิ่งออกไปทันทีหนานหยางอ๋องมองแผ่นหลังที่ร้อนใจของเขา แล้วรู้สึกเศร้าเล็กน้อยหากพระชายาของเขายังอยู่คงดีไม่น้อย เขากับเหล่าเฉิงแข่งกันมาค่อนชีวิต มีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว ที่เขาแพ้มาตลอด“เกิดอะไรขึ้น?” กู้หว่านเยว่กระซิบถามชิงเหลียนชิงเหลียนเอ่ยเสียงต่ำ “คุณชายใหญ่สกุลเฉิงพาสตรีคนหนึ่งกลับมาด้วย เหมือนจะเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว”เจ้าหมอนี่กู้หว่านเยว่เกือบสำลักข้าวมิน่าเฉิงฮูหยินถึงได้เป็นลม เจ้าเฉิงซินเม
มิน่าท่านอ๋องถึงยอมสวามิภักดิ์ต่อพวกเขา ทั้งสองคนไม่ธรรมดาจริงๆ มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา“พวกเราเองก็มาถึงเมืองซุ่ยโจว และได้พบท่านอ๋องกับพระชายาแล้ว เดี๋ยวส่งจดหมายไปแจ้งท่านอ๋องหน่อยเถอะ ท่านจะได้วางใจ”จู้หวยกล่าวเตือนอย่างใส่ใจครั้งนี้ก่อนออกเดินทาง ท่านอ๋องกำชับเขาแล้วว่า ต้องดูแลเนี่ยชิงหลานให้ดีในเมื่อเนี่ยชิงหลานเป็นคู่หมั้นของเขา เขาย่อมดูแลเอาใจใส่มาก“รู้แล้ว รู้แล้ว เจ้าอย่าเอาแต่บ่นข้า อีกเดี๋ยวตอนเขียนจดหมายข้าจะเป็นคนพูดส่วนเจ้าเป็นคนเขียน ขี่ม้ามาทั้งวัน เมื่อยมือจะแย่แล้ว”จู้หวยยิ้มพร้อมพยักหน้า“เรื่องนี้ไม่ยาก ขอเพียงเจ้าไม่รังเกียจที่ตัวหนังสือข้าน่าเกลียดก็พอ”เนี่ยชิงหลานขบขันเขาจนหัวเราะเสียงดังทันที“ตัวหนังสือของเจ้าน่าเกลียดมาก แต่ไม่เป็นไร วรยุทธ์ของเจ้าสูงส่ง พวกเจ้าที่เป็นทหารแม้จะไม่ใช่คนเถื่อน แต่ต้องรู้จักเขียนอ่านไว้บ้าง ถึงจะรู้เขารู้เรารบอย่างไรก็ไม่แพ้ ทว่าเรื่องการเขียนหนังสือไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันมากนัก แค่ดูได้ก็พอ”นางพูดอย่างจริงจัง จนจู้หวยเองก็หัวเราะตามนางไปด้วย ในแววตามีแต่ความเอ็นดู“ท่านหญิงพูดถูก”แม้ทั้งสองค
หลังหนังสือยอมจำนนออกมาแล้ว เนี่ยชิงหลานก็นำกองทัพเหอตง มาเสริมทัพกู้หว่านเยว่“เขตเหอตงของข้าไม่มีสิ่งใดเลย มีเพียงถ่านหินและเงินทองมากมาย พี่ใหญ่จึงนำไปแลกเสบียงหนึ่งชุด ส่งข้ามาช่วยเหลือพวกท่าน”กู้หว่านเยว่ไม่ได้พบเนี่ยชิงหลานมาสักพักใหญ่ๆ แล้วตอนนี้เมื่อทั้งสองได้พบกัน นางดีใจมาก“เจ้าตัวสูงขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ลูบหัวเนี่ยชิงหลาน ทำให้อีกฝ่ายยิ้มอย่างเขินอาย“ไม่เพียงตัวสูงขึ้น ข้ายังหมั้นหมายแล้วด้วย”นี่เป็นข่าวที่อยู่เหนือความคาดหมายเมื่อเห็นพวกเขาหลายคนเดินทางเหน็ดเหนื่อย กู้หว่านเยว่รีบเชิญพวกเขาเข้าจวน เมื่อถึงห้องรับแขกจึงจับมือเนี่ยชิงหลานไว้ แล้วสอบถามอย่างละเอียด“เหตุใดจึงรวดเร็วเช่นนี้ เจ้าหมั้นกับผู้ใดหรือ?”“หมั้นกับแม่ทัพในค่ายของท่านพี่ นามว่าจู้หวย”ไม่ใช่เฉิงเซวียนหรอกหรือ ข่าวนี้ทำให้พวกกู้หว่านเยว่ยิ่งแปลกใจแต่เมื่อนึกดูอย่างละเอียด เฉิงเซวียนกับเนี่ยชิงหลานใช่ว่าจะเหมาะสมกันแม้ทั้งสองจะสนิทสนมกันตั้งแต่เด็ก ทว่าทัศนคติไม่ตรงกันบวกกับก่อนหน้านี้เพราะหญิงอื่น เฉิงเซวียนเข้าใจเนี่ยชิงหลานผิดหลายครั้งเนี่ยชิงหลานรู้ว่ากู้หว่านเยว่คิดอะไร จึ
ตกลงปีนั้นรัชทายาทตายเยี่ยงไรกันแน่?เขารู้ดียิ่งกว่าผู้ใดหากไม่ใช่รัชทายาทและพระชายารัชทายาทตายไป ไฉนเลยเขาจะได้นั่งตำแหน่งฮ่องเต้?ทว่าบัดนี้ เขาคิดว่าตำแหน่งฮ่องเต้กำลังตกอยู่ในอันตราย“ไป จับคนสกุลหลี่เข้าคุกใหญ่!”มู่หรงถิงไม่ฟังคำชี้แนะจากนั้นยามทุกคนมายังสกุลหลี่ กลับพบว่าสกุลหลี่มีเพียงความว่างเปล่า เหลือบ่าวรับใช้ที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่สองสามคนกำลังใช้วิธีพรางตา“ภายในหอบรรพบุรุษสกุลหลี่ พบเส้นทางสายหนึ่ง...”องครักษ์ไปจับคนตัวสั่นเทานี่คือเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเดิมทีมู่หรงถิงก็โมโหอยู่แล้ว ต้องการใครสักคนเพื่อบันดาลโทสะ คิดไม่ถึงเลยว่าจะหาตัวคนรองรับอารมณ์ไม่พบ ยังถูกเขาจับได้ว่าคนของสกุลหลี่หนีไปแล้วเขาพลิกโต๊ะ กระทืบองครักษ์ไปจับตัวคนจนตาย“ฝ่าบาท” ตอนฮองเฮามา ภายในตำหนักวุ่นวายไปหมด แม้แต่นางกำลังก็ถูกมู่หรงถิงบีบคอตายไปสองคนฮองเฮาอดทนต่อความขยะแขยง สั่งให้คนลากศพไปจัดการ“เจ้ามาแล้ว”ตอนมู่หรงถิงอยู่เพียงลำพังจะบันดาลโทสะเยี่ยงไรก็ย่อมได้ แต่เขากลัวทำให้ฮองเฮาตกใจ“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินเรื่องของอัครมหาเสนาบดีหลี่แล้ว”ฮองเฮาก้าวเท้าเบาๆ มาหยุดต่อหน้ามู