หลี่ชิวเตี๋ยเองก็ไม่ปิดบังสวี่ฮูหยินประการแรกสวี่ฮูหยินมีสายสัมพันธ์อันดีต่อนาง ประการที่สองพวกเขาล้วนอยู่ที่เมืองอวี้ ภายภาคหน้ามีโอกาสได้พบหน้ามากนักไม่ช้าก็เร็วสวี่ฮูหยินก็ต้องได้รู้ฐานะที่แท้จริงของกู้หว่านเยว่ มิสู้ตนเองซื้อใจนางสักหน่อย บอกฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่ายออกไปโดยตรงสำคัญคือ เห็นท่าทางของกู้หว่านเยว่ กลับไม่คิดปิดบังฐานะของตนดังนั้นหลี่ชิวเตี๋ยเองก็วางใจและพูดออกมาอย่างผ่าเผย“เจ้ากำลังบอกว่า...” สวี่ฮูหยินตกตะลึงพรึงเพริดดังคาดบัดนี้คนมีหน้าตาในเมืองอวี้ ใครไม่รู้ ภายนอกท่านหลี่โหวควบคุมดูแลเจดีย์หนิงกู่ แต่แท้จริงแล้วคนอยู่เบื้องหลังคือคนอื่น“ข้ายังคิดว่า...คิดไม่ถึงฮูหยินท่านนี้ถึงขั้นเป็นกันเองเพียงนี้เมื่อครู่ พูดกับข้ามากเพียงนั้น ยังจับชีพจรให้ข้าด้วยตนเองอีกด้วย นับเป็นวาสนาของข้าแล้ว”ตอนนี้สวี่ฮูหยินอยากทำเพียงพูดว่าอามิตตาพุทธยังดีนางและหลี่ชิวเตี๋ยเป็นสหายกัน เมื่อครู่ก็มิได้พูดประชดเย็นชาอะไรถึงร้านนี้ หาไม่แล้วคราวนี้น่ากลัวว่าศีรษะก็ไม่รู้จะไปหาจากที่ใดอีก“ฐานะฮูหยินท่านนั้นถึงขั้นสูงศักดิ์เพียงนี้ เหตุใดมาที่ร้านดอกท้อของเจ้า อีกทั้งยัง
“ระวังตัวเถอะ อย่าตกหลุมพรางของกู้หว่านเยว่อีก”น้ำเสียงดูถูกของผู้หญิงคนหนึ่งขัดจังหวะขึ้นมา ทำให้เจียงเต๋อจื้อหลั่งเหงื่อบนหน้าผาก“ข้า คือกุ้ยเฟย”ฟู่เยียนหรานมองดูสตรีที่สวมเสื้อคลุมสีจันทร์เสี้ยวที่อยู่ตรงข้ามตนอย่างไม่มีความสุข เถาเอ๋อร์หัวเราะเยาะคำพูดนาง“ข้า คือราชครูที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งด้วยองค์เอง”ใช่แล้ว คนผู้นี้คือเถาเอ๋อร์ คนที่เคยถูกมู่หรงอวี้เตะลงจากหน้าผามาก่อนหลังจากตกลงมาจากหน้าผา นางก็บังเอิญได้นิ้วทองคำช่วยชีวิตนางเอาไว้“เจ้า……”ฟู่เยียนหรานโกรธมาก ทั้งสองขัดแย้งกันมาก่อนระหว่างทาง เห็นเช่นนี้ เจียงเต๋อจื้อก็รีบก้าวไปข้างหน้า ไกล่เกลี่ยสถานการณ์“พระสนม ท่านราชครู อย่าแตกคอกันเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”สตรีสองคนอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ทว่าเขากลับเป็นผู้โชคร้ายเถาเอ๋อร์นั่งลงดื่มชา “จะโกรธข้าไปไย? หากมีความสามารถ ก็ไปหากู้หว่านเยว่แก้แค้นสิ”ฟู่เยียนหรานขนาดฝันยังอยากฆ่ากู้หว่านเยว่ แต่กู้หว่านเยว่ซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์หนิงกู่ นางจะทำอะไรได้?“เจ้าไม่อยากฆ่ากู้หว่านเยว่ด้วยตัวเองหรือ?” เถาเอ๋อร์มองนางด้วยสายตายั่วยุทันใดนั้น ฟู่เยียนหรานก็ไร้ซึ่งสติ ความคิดที่อยู
“ขอบคุณฮูหยิน” ชิงเหลียนยิ้ม ติดตามฮูหยิน นอกจากจะได้เงินแล้ว ยังได้เครื่องประทินโฉมด้วย“อย่าเพิ่งพูดกันเลยขอรับ ฮูหยิน ท่านไปหาคุณหนูฉิงเถอะขอรับ” ลู่จิงที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย“นางเป็นอะไร?” กู้หว่านเยว่ถาม เพราะทันทีที่นางเดินออกมา นางก็ไม่เห็นกงซุนฉิงเช่นกันลู่จิงรีบอธิบาย “เรียนฮูหยิน เพื่อที่จะเร่งเวลา พวกเราจึงเดินทางมาทางเรือ แต่ว่า...”ความรำคาญเล็กน้อยปรากฏบนใบหน้าของเขา มันเป็นความคิดของเขา“คุณหนูฉิงเติบโตทางตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่เคยขึ้นเรือมาก่อน นางจึงมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนอยู่ตลอดเวลา”ถ้าเขารู้ว่ากงซุนฉิงเมาเรือขนาดนี้ เขาคงไม่แนะนำให้ขึ้นเรือเลย“ข้าไปดูหน่อย”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้ว เมื่อเห็นว่าลู่จิงมีสีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด“ฉิงเอ๋อร์?”เมื่อเปิดม่านรถม้าออก นางก็เห็นกงซุนฉิงกำลังเอนกายอย่างอ่อนแรงบนเบาะ“สวรรค์ เหตุใดเจ้าถึงเมาเรือได้รุนแรงเช่นนี้?”กู้หว่านเยว่ตกใจ ใบหน้าของกงซุนฉิงกลายเป็นสีขาวราวกับกระดาษ ทั้งรถเต็มไปด้วยกลิ่นไม่พึงประสงค์ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งอาเจียนไปอีกครั้ง“ฮู ฮูหยิน” กงซุนฉิงพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง “ข้
“ได้”กงซุนฉิงเองก็รู้สึกอึดอัดเมื่อได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์บนร่างกายตน ต้องการอาบน้ำอย่างรวดเร็วกู้หว่านเยว่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร จึงรีบลุกขึ้นออกไป โดยบอกให้ห้องครัวต้มน้ำร้อนมาให้ด้วย“หงจาว ไปบอกให้ห้องครัวว่าสองสามวันนี้ทำอาหารเบาๆ มา แล้วส่งไปที่ห้องของคุณหนูฉิง”คนที่มีอาการเมาเรือ ไม่ควรรับประทานอาหารที่มันเยิ้มเกินไป“ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!”หงจาวอันตรธานหายไปทันทีกู้หว่านเยว่กลับไปมองหาซูจิ่งสิง ตั้งใจจะไปดูม้าศึกเหล่านั้น แต่ก็บังเอิญพบกับซูจิ่นเอ๋อร์ที่มาจากหมู่บ้านสือหาน“พี่สะใภ้ใหญ่!”ซูจิ่นเอ๋อร์วิ่งเหยาะๆ เข้ามา ในมือยังจับแขนบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งเอาไว้แน่น“นี่คือใคร?”ท่ามกลางสายตาจ้องมองอย่างถี่ถ้วนของกู้หว่านเยว่ ทำให้หญิงสาวที่บอบบางดูไม่เป็นตัวเอง ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังซูจิ่นเอ๋อร์“นางชื่อหร่านเหยียน เป็นเพื่อนใหม่ของข้าเองเจ้าค่ะ!”ซูจิ่นเอ๋อร์ตบหน้าอกของตนแล้วอธิบายว่า “ข้าไปเจอพวกอันธพาลบนถนนมา แต่ได้หร่านเหยียนช่วยเอาไว้”“แม่นางกู้” หร่านเหยียนก้มศีรษะลง ดูขี้อาย“เป็นจิ่นเอ๋อร์ชวนข้ามาเล่น ท่านอย่าโกรธนะเจ้าคะ”กู้หว่านเยว่สับสนเล็กน้อย
นางฝึกฝนในมิติทุกวัน จนจดจำโน้ตเพลงได้ขึ้นใจตั้งนานแล้วในขณะที่ดนตรีบรรเลงขึ้นมา ฉากที่น่าประหลาดใจก็เกิดขึ้นม้าศึกและนักรบหมาป่าในสนามประลองที่กำลังหน้าม่อยคอตก ใบหูได้ตั้งชันขึ้นมาอย่างฉับพลันดวงตาที่ขุ่นมัวก็เปล่งประกายแวววาวหากมองอย่างละเอียด ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเห็นว่าสีหน้าของพวกมันเปี่ยมไปด้วยความสุขมองเห็นความสุขบนใบหน้าของสัตว์ได้จริงหรือ?ซูจิ่งสิงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเกิดภาพหลอนฉากที่ทำให้เขาตื่นตะลึงยังไม่จบลง คลอด้วยการบรรเลงเพลงควบคุมสัตว์นักรบหมาป่านอนลงอย่างสบายใจ พลางสะบัดหางเล่นม้าศึกเดินไปมาด้วยความร่าเริง ส่งเสียงร้องอย่างมีความสุขแม้แต่บรรดานกที่บินอยู่กลางอากาศก็ยังอดใจไม่ไหวหยุดพักที่ชายคา หน้าตาเคลิบเคลิ้ม“มหัศจรรย์” ซูจิ่งสิงอุทานด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่บรรเลงจบเพลงหนึ่งอย่างรวดเร็ว พลางมองไปที่นักรบหมาป่าและม้าศึกที่หยุดอาเจียน รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก“เพลงควบคุมสัตว์นี้ ใช้ได้ผลจริงดังคาด!”เมื่อครู่สัตว์เหล่านี้ยังมีท่าทางเหมือนจะเมาเรือ แต่หลังจากฟังเพลงจนจบแล้ว ก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด“เห็นทีสัตว์เหล่านี้
“อาจารย์หญิง อาจารย์ ข้าขอตัวก่อน”หลังจากรายงานจบแล้ว หลี่เฉินอันก็รีบร้อนออกไปเพื่อปกป้องเจดีย์หนิงกู่ และเพื่อผู้คนที่เขาต้องการปกป้อง หลายวันนี้เขาจึงยุ่งมากจนเท้าแทบจะไม่ได้แตะพื้นเลย“หว่านเยว่ เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเพิ่มการป้องกัน”ซูจิ่งสิงยื่นมือออกไปเบา ๆ เพื่อนวดผ่อนคลายความกลัดกลุ้มตรงหว่างคิ้วให้นางหลังจากพักผ่อนได้หนึ่งคืน ในที่สุดกงซุนฉิงก็รู้สึกดีขึ้นมาก และมาหากู้หว่านเยว่อีกครั้งกู้หว่านเยว่คิดว่ากงซุนฉิงเป็นผู้นำม้าศึกและนักรบหมาป่ามาแต่แรก นางก็ต้องรู้วิธีดูแลพวกมันได้ดีกว่า จึงถือโอกาสมอบกุญแจสนามประลองให้กับนางเสียเลย“เจ้าเลือกเรือนที่เจ้าชอบข้างสนามประลองได้เลย จากนี้ไปขอมอบหมายให้เจ้าเป็นคนดูแลจัดการสนามประลอง”กงซุนฉิงยิ้มรับกุญแจมา “ฮูหยินวางใจได้เลย การฝึกฝนสัตว์สำหรับสกุลกงซุนของข้าแล้ว ก็เสมือนปลาได้น้ำ ม้าพยศที่ไม่ยอมรับการฝึกในเจดีย์หนิงกู่ของพวกท่าน ก็สามารถส่งมาให้ข้าฝึกฝนได้เช่นกัน!”กู้หว่านเยว่เอ่ยเตือนเสียงเบา “การสร้างความสัมพันธ์กับสัตว์นั้นเป็นเรื่องง่ายดาย ควรระวังเรื่องเล่ห์เหลี่ยมของมนุษย์มากกว่า”กงซุนฉิงสีหน
ทั้งสองจูงมือกันออกไปได้ไม่นาน ซูจิ่งสิงก็หยิบจดหมายลับมาให้กู้หว่านเยว่ซูจิ่งสิงยื่นรายงานลับให้กู้หว่านเยว่ เขาหาตัวอันธพาลสองสามคนนั้นที่รังแกจิ่นเอ๋อร์พบแล้ว แต่ตอนหาพบ พวกเขาล้วนตายไปแล้ว“ถูกวางยาตาย”อันธพาลสองสามคนนั้น ใครจงใจวางยาพิษฆ่าพวกเขากัน ยิ่งไปกว่านั้นตามหลักแล้วร้านขายยาล้วนไม่ขายยาพิษ มิใช่คนทั่วไปสามารถนำมาใช้ได้เดิมทีกู้หว่านเยว่สงสัยความผิดปกติของหร่านเหยียน นี่จึงยิ่งสงสัย“อย่าให้นางอยู่กับจิ่นเอ๋อร์อีก ประเดี๋ยวจะทำร้ายจิ่นเอ๋อร์ได้”เรียกหงเจาเข้ามา ได้รู้ว่าจิ่นเอ๋อร์พาหร่านเหยียนไปร้านอาหาร นางก้าวเดินไปแล้ว“ท่านพี่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าจะไปตามจิ่นเอ๋อร์กลับมา”กู้หว่านเยว่กลัวจิ่นเอ๋อร์ตกอยู่ในอันตราย ไปที่ร้านอาหารโดยตรงปรากฏว่ามองเห็นคนทั้งสามกำลังนั่งกินข้าวบนชั้นสอง มิหนำซ้ำยังมีชายที่นางไม่รู้จักคนหนึ่ง“พี่สะใภ้ใหญ่!”ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่รอให้กู้หว่านเยว่เอ่ยปาก ก็วิ่งลงมาคล้องแขนนางแล้ว“พี่สะใภ้ใหญ่ เหตุใดท่านมาได้?”“ชายข้างกายคุณหนูหร่านเหยียนเป็นใคร?” กู้หว่านเยว่รู้สึกว่าหร่านเหยียนผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆซูจิ่นเอ๋อร์กลับพูดอย่างไม่
หร่านเหยียนเกือบขบฟันเหล็กแตก เผชิญหน้ากับสายตาหวังดีของซูจิ่นเอ๋อร์ ยิ้มได้น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้ ดึงกำไลข้อมือออกเลือดหยดภายในใจนาง!“ยี่สิบตำลึง กำไลของท่านได้ราคาดีมากจริงๆ” ซูจิ่นเอ๋อร์อุทานอย่างตกตะลึงยิ้มออกมา ไม่ว่ามองอย่างไรก็เจ่าเล่ห์ “คราวนี้ก็ไม่ต้องกลัวพี่ใหญ่เจ้าไม่มีเงินให้ใช้แล้ว”“ใช่ นี่”นี่คือกำไลที่นางหวงแหนที่สุด ไฉนเลยจะไม่ได้ราคา!รอเสร็จเรื่องนี้แล้วค่อยไถ่กลับมาก็แล้วกัน ฝืนส่งเงินให้หร่านถิง“ใต้เท้าท่านดู นั่นคล้ายเป็นคุณหนูจิ่น?”บนถนน รถม้าคันหนึ่งกำลังแล่นเข้ามาอย่างเชื่องช้าเห็นข้างกายซูจิ่นเอ๋อร์มีชายคนหนึ่งอยู่ด้วย บ่าวรับใช้บ่นงึมงำ “แปลกยิ่งนัก ชายคนนี้เป็นใครกัน เหตุใดคุณหนูจิ่นต้องพูดคุยพลางหัวเราะกับเขาด้วย?”ฟู่หลานเหิงมองตามสายตาของบ่าวรับใช้ นี่ถึงพบว่าซูจิ่นเอ๋อร์กำลังยิ้มกว้างให้ชายที่อยู่ข้างกายไม่รู้เพราะเหตุใดหัวใจคล้ายถูกเข็มทิ่ม ราวกับถูกผีอำอยากเดินไปดูให้ได้“ใต้เท้า พวกเรายังต้องไปรายงานนะขอรับ”ถ้อยคำของบ่าวรับใช้ทำให้หัวใจของเขาตึงเครียด ลงท้ายก็สามารถควบคุมสติสัมปชัญญะมิให้ตามไปได้“ไป ไปที่จวนกู้ก่อน”ระยะนี้เ
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก