“เมื่อครู่ได้ยินโจวฮูหยินพูดว่า เจ้าถูกคนหลอกแล้ว?”สวี่ฮูหยินเอ่ยถามอย่างห่วงใย“พูดไปแล้วเรื่องยาวมากนัก ครั้งหน้าค่อยบอกเจ้า”หลี่ชิวเตี๋ยอยากให้แผลสมานด้วยตนเอง อย่างไรเสียนางก็ตาบอดเลือกทังต๋า ชายเจ้าชู้คนนี้ทำให้นางอับอายไปทั่วทั้งเมืองอวี้ดังนั้นในระยะนี้ นางจึงมิได้ไปมาหาสู่กับฮูหยินเหล่านั้นส่วนสวี่ฮูหยินในฐานะสหายที่ดีของนาง ก็ไม่รู้เรื่องนี้“รอเจ้าอยากพูด ค่อยพูด”สวี่ฮูหยินเองก็เป็นคนหลักแหลมคนหนึ่ง เห็นหลี่ชิวเตี๋ยไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ นี่ก็ไม่คิดถามต่อนางหันหน้า สายตาตกลงบนตัวกู้หว่านเยว่ รู้สึกเก้อกระดาก“ในเมื่อผงไข่มุกหยกนารีและผงฝูหรงนี้เจ้าเป็นคนทำ เชื่อว่าเจ้าจะต้องมีชุดบำรุงผิวเป็นแน่”“สวี่ฮูหยินมีอันใดก็พูดออกมาโดยตรงเถอะ” กู้หว่านเยว่หยั่งเดาว่านางจะพูดอะไรสวี่ฮูหยินพูดอย่างกังวล “ข้าเห็นเจ้าผิวพรรณดีมาก เมื่อครู่ตอนเจ้าแต่งหน้าให้ข้า เชื่อว่าได้เห็นรอยขรุขระ รูขุมขนกว้างมากของข้าแล้ว”นางรีบเอ่ยถาม “มีวิธีใด สามารถบำรุงผิวข้าได้หรือไม่?”แม้ว่าแต่งหน้าสามารถปกปิดได้ แต่ล้างหน้าแล้วก็ยังกลับมาเหมือนเดิมสวี่ฮูหยินพูดอย่างเก้อกระดาก ตกดึกยามน
หลี่ชิวเตี๋ยเองก็ไม่ปิดบังสวี่ฮูหยินประการแรกสวี่ฮูหยินมีสายสัมพันธ์อันดีต่อนาง ประการที่สองพวกเขาล้วนอยู่ที่เมืองอวี้ ภายภาคหน้ามีโอกาสได้พบหน้ามากนักไม่ช้าก็เร็วสวี่ฮูหยินก็ต้องได้รู้ฐานะที่แท้จริงของกู้หว่านเยว่ มิสู้ตนเองซื้อใจนางสักหน่อย บอกฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่ายออกไปโดยตรงสำคัญคือ เห็นท่าทางของกู้หว่านเยว่ กลับไม่คิดปิดบังฐานะของตนดังนั้นหลี่ชิวเตี๋ยเองก็วางใจและพูดออกมาอย่างผ่าเผย“เจ้ากำลังบอกว่า...” สวี่ฮูหยินตกตะลึงพรึงเพริดดังคาดบัดนี้คนมีหน้าตาในเมืองอวี้ ใครไม่รู้ ภายนอกท่านหลี่โหวควบคุมดูแลเจดีย์หนิงกู่ แต่แท้จริงแล้วคนอยู่เบื้องหลังคือคนอื่น“ข้ายังคิดว่า...คิดไม่ถึงฮูหยินท่านนี้ถึงขั้นเป็นกันเองเพียงนี้เมื่อครู่ พูดกับข้ามากเพียงนั้น ยังจับชีพจรให้ข้าด้วยตนเองอีกด้วย นับเป็นวาสนาของข้าแล้ว”ตอนนี้สวี่ฮูหยินอยากทำเพียงพูดว่าอามิตตาพุทธยังดีนางและหลี่ชิวเตี๋ยเป็นสหายกัน เมื่อครู่ก็มิได้พูดประชดเย็นชาอะไรถึงร้านนี้ หาไม่แล้วคราวนี้น่ากลัวว่าศีรษะก็ไม่รู้จะไปหาจากที่ใดอีก“ฐานะฮูหยินท่านนั้นถึงขั้นสูงศักดิ์เพียงนี้ เหตุใดมาที่ร้านดอกท้อของเจ้า อีกทั้งยัง
“ระวังตัวเถอะ อย่าตกหลุมพรางของกู้หว่านเยว่อีก”น้ำเสียงดูถูกของผู้หญิงคนหนึ่งขัดจังหวะขึ้นมา ทำให้เจียงเต๋อจื้อหลั่งเหงื่อบนหน้าผาก“ข้า คือกุ้ยเฟย”ฟู่เยียนหรานมองดูสตรีที่สวมเสื้อคลุมสีจันทร์เสี้ยวที่อยู่ตรงข้ามตนอย่างไม่มีความสุข เถาเอ๋อร์หัวเราะเยาะคำพูดนาง“ข้า คือราชครูที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งด้วยองค์เอง”ใช่แล้ว คนผู้นี้คือเถาเอ๋อร์ คนที่เคยถูกมู่หรงอวี้เตะลงจากหน้าผามาก่อนหลังจากตกลงมาจากหน้าผา นางก็บังเอิญได้นิ้วทองคำช่วยชีวิตนางเอาไว้“เจ้า……”ฟู่เยียนหรานโกรธมาก ทั้งสองขัดแย้งกันมาก่อนระหว่างทาง เห็นเช่นนี้ เจียงเต๋อจื้อก็รีบก้าวไปข้างหน้า ไกล่เกลี่ยสถานการณ์“พระสนม ท่านราชครู อย่าแตกคอกันเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”สตรีสองคนอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ทว่าเขากลับเป็นผู้โชคร้ายเถาเอ๋อร์นั่งลงดื่มชา “จะโกรธข้าไปไย? หากมีความสามารถ ก็ไปหากู้หว่านเยว่แก้แค้นสิ”ฟู่เยียนหรานขนาดฝันยังอยากฆ่ากู้หว่านเยว่ แต่กู้หว่านเยว่ซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์หนิงกู่ นางจะทำอะไรได้?“เจ้าไม่อยากฆ่ากู้หว่านเยว่ด้วยตัวเองหรือ?” เถาเอ๋อร์มองนางด้วยสายตายั่วยุทันใดนั้น ฟู่เยียนหรานก็ไร้ซึ่งสติ ความคิดที่อยู
“ขอบคุณฮูหยิน” ชิงเหลียนยิ้ม ติดตามฮูหยิน นอกจากจะได้เงินแล้ว ยังได้เครื่องประทินโฉมด้วย“อย่าเพิ่งพูดกันเลยขอรับ ฮูหยิน ท่านไปหาคุณหนูฉิงเถอะขอรับ” ลู่จิงที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย“นางเป็นอะไร?” กู้หว่านเยว่ถาม เพราะทันทีที่นางเดินออกมา นางก็ไม่เห็นกงซุนฉิงเช่นกันลู่จิงรีบอธิบาย “เรียนฮูหยิน เพื่อที่จะเร่งเวลา พวกเราจึงเดินทางมาทางเรือ แต่ว่า...”ความรำคาญเล็กน้อยปรากฏบนใบหน้าของเขา มันเป็นความคิดของเขา“คุณหนูฉิงเติบโตทางตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่เคยขึ้นเรือมาก่อน นางจึงมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนอยู่ตลอดเวลา”ถ้าเขารู้ว่ากงซุนฉิงเมาเรือขนาดนี้ เขาคงไม่แนะนำให้ขึ้นเรือเลย“ข้าไปดูหน่อย”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้ว เมื่อเห็นว่าลู่จิงมีสีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด“ฉิงเอ๋อร์?”เมื่อเปิดม่านรถม้าออก นางก็เห็นกงซุนฉิงกำลังเอนกายอย่างอ่อนแรงบนเบาะ“สวรรค์ เหตุใดเจ้าถึงเมาเรือได้รุนแรงเช่นนี้?”กู้หว่านเยว่ตกใจ ใบหน้าของกงซุนฉิงกลายเป็นสีขาวราวกับกระดาษ ทั้งรถเต็มไปด้วยกลิ่นไม่พึงประสงค์ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งอาเจียนไปอีกครั้ง“ฮู ฮูหยิน” กงซุนฉิงพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง “ข้
“ได้”กงซุนฉิงเองก็รู้สึกอึดอัดเมื่อได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์บนร่างกายตน ต้องการอาบน้ำอย่างรวดเร็วกู้หว่านเยว่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร จึงรีบลุกขึ้นออกไป โดยบอกให้ห้องครัวต้มน้ำร้อนมาให้ด้วย“หงจาว ไปบอกให้ห้องครัวว่าสองสามวันนี้ทำอาหารเบาๆ มา แล้วส่งไปที่ห้องของคุณหนูฉิง”คนที่มีอาการเมาเรือ ไม่ควรรับประทานอาหารที่มันเยิ้มเกินไป“ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!”หงจาวอันตรธานหายไปทันทีกู้หว่านเยว่กลับไปมองหาซูจิ่งสิง ตั้งใจจะไปดูม้าศึกเหล่านั้น แต่ก็บังเอิญพบกับซูจิ่นเอ๋อร์ที่มาจากหมู่บ้านสือหาน“พี่สะใภ้ใหญ่!”ซูจิ่นเอ๋อร์วิ่งเหยาะๆ เข้ามา ในมือยังจับแขนบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งเอาไว้แน่น“นี่คือใคร?”ท่ามกลางสายตาจ้องมองอย่างถี่ถ้วนของกู้หว่านเยว่ ทำให้หญิงสาวที่บอบบางดูไม่เป็นตัวเอง ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังซูจิ่นเอ๋อร์“นางชื่อหร่านเหยียน เป็นเพื่อนใหม่ของข้าเองเจ้าค่ะ!”ซูจิ่นเอ๋อร์ตบหน้าอกของตนแล้วอธิบายว่า “ข้าไปเจอพวกอันธพาลบนถนนมา แต่ได้หร่านเหยียนช่วยเอาไว้”“แม่นางกู้” หร่านเหยียนก้มศีรษะลง ดูขี้อาย“เป็นจิ่นเอ๋อร์ชวนข้ามาเล่น ท่านอย่าโกรธนะเจ้าคะ”กู้หว่านเยว่สับสนเล็กน้อย
นางฝึกฝนในมิติทุกวัน จนจดจำโน้ตเพลงได้ขึ้นใจตั้งนานแล้วในขณะที่ดนตรีบรรเลงขึ้นมา ฉากที่น่าประหลาดใจก็เกิดขึ้นม้าศึกและนักรบหมาป่าในสนามประลองที่กำลังหน้าม่อยคอตก ใบหูได้ตั้งชันขึ้นมาอย่างฉับพลันดวงตาที่ขุ่นมัวก็เปล่งประกายแวววาวหากมองอย่างละเอียด ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเห็นว่าสีหน้าของพวกมันเปี่ยมไปด้วยความสุขมองเห็นความสุขบนใบหน้าของสัตว์ได้จริงหรือ?ซูจิ่งสิงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเกิดภาพหลอนฉากที่ทำให้เขาตื่นตะลึงยังไม่จบลง คลอด้วยการบรรเลงเพลงควบคุมสัตว์นักรบหมาป่านอนลงอย่างสบายใจ พลางสะบัดหางเล่นม้าศึกเดินไปมาด้วยความร่าเริง ส่งเสียงร้องอย่างมีความสุขแม้แต่บรรดานกที่บินอยู่กลางอากาศก็ยังอดใจไม่ไหวหยุดพักที่ชายคา หน้าตาเคลิบเคลิ้ม“มหัศจรรย์” ซูจิ่งสิงอุทานด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่บรรเลงจบเพลงหนึ่งอย่างรวดเร็ว พลางมองไปที่นักรบหมาป่าและม้าศึกที่หยุดอาเจียน รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก“เพลงควบคุมสัตว์นี้ ใช้ได้ผลจริงดังคาด!”เมื่อครู่สัตว์เหล่านี้ยังมีท่าทางเหมือนจะเมาเรือ แต่หลังจากฟังเพลงจนจบแล้ว ก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด“เห็นทีสัตว์เหล่านี้
“อาจารย์หญิง อาจารย์ ข้าขอตัวก่อน”หลังจากรายงานจบแล้ว หลี่เฉินอันก็รีบร้อนออกไปเพื่อปกป้องเจดีย์หนิงกู่ และเพื่อผู้คนที่เขาต้องการปกป้อง หลายวันนี้เขาจึงยุ่งมากจนเท้าแทบจะไม่ได้แตะพื้นเลย“หว่านเยว่ เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเพิ่มการป้องกัน”ซูจิ่งสิงยื่นมือออกไปเบา ๆ เพื่อนวดผ่อนคลายความกลัดกลุ้มตรงหว่างคิ้วให้นางหลังจากพักผ่อนได้หนึ่งคืน ในที่สุดกงซุนฉิงก็รู้สึกดีขึ้นมาก และมาหากู้หว่านเยว่อีกครั้งกู้หว่านเยว่คิดว่ากงซุนฉิงเป็นผู้นำม้าศึกและนักรบหมาป่ามาแต่แรก นางก็ต้องรู้วิธีดูแลพวกมันได้ดีกว่า จึงถือโอกาสมอบกุญแจสนามประลองให้กับนางเสียเลย“เจ้าเลือกเรือนที่เจ้าชอบข้างสนามประลองได้เลย จากนี้ไปขอมอบหมายให้เจ้าเป็นคนดูแลจัดการสนามประลอง”กงซุนฉิงยิ้มรับกุญแจมา “ฮูหยินวางใจได้เลย การฝึกฝนสัตว์สำหรับสกุลกงซุนของข้าแล้ว ก็เสมือนปลาได้น้ำ ม้าพยศที่ไม่ยอมรับการฝึกในเจดีย์หนิงกู่ของพวกท่าน ก็สามารถส่งมาให้ข้าฝึกฝนได้เช่นกัน!”กู้หว่านเยว่เอ่ยเตือนเสียงเบา “การสร้างความสัมพันธ์กับสัตว์นั้นเป็นเรื่องง่ายดาย ควรระวังเรื่องเล่ห์เหลี่ยมของมนุษย์มากกว่า”กงซุนฉิงสีหน
ทั้งสองจูงมือกันออกไปได้ไม่นาน ซูจิ่งสิงก็หยิบจดหมายลับมาให้กู้หว่านเยว่ซูจิ่งสิงยื่นรายงานลับให้กู้หว่านเยว่ เขาหาตัวอันธพาลสองสามคนนั้นที่รังแกจิ่นเอ๋อร์พบแล้ว แต่ตอนหาพบ พวกเขาล้วนตายไปแล้ว“ถูกวางยาตาย”อันธพาลสองสามคนนั้น ใครจงใจวางยาพิษฆ่าพวกเขากัน ยิ่งไปกว่านั้นตามหลักแล้วร้านขายยาล้วนไม่ขายยาพิษ มิใช่คนทั่วไปสามารถนำมาใช้ได้เดิมทีกู้หว่านเยว่สงสัยความผิดปกติของหร่านเหยียน นี่จึงยิ่งสงสัย“อย่าให้นางอยู่กับจิ่นเอ๋อร์อีก ประเดี๋ยวจะทำร้ายจิ่นเอ๋อร์ได้”เรียกหงเจาเข้ามา ได้รู้ว่าจิ่นเอ๋อร์พาหร่านเหยียนไปร้านอาหาร นางก้าวเดินไปแล้ว“ท่านพี่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าจะไปตามจิ่นเอ๋อร์กลับมา”กู้หว่านเยว่กลัวจิ่นเอ๋อร์ตกอยู่ในอันตราย ไปที่ร้านอาหารโดยตรงปรากฏว่ามองเห็นคนทั้งสามกำลังนั่งกินข้าวบนชั้นสอง มิหนำซ้ำยังมีชายที่นางไม่รู้จักคนหนึ่ง“พี่สะใภ้ใหญ่!”ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่รอให้กู้หว่านเยว่เอ่ยปาก ก็วิ่งลงมาคล้องแขนนางแล้ว“พี่สะใภ้ใหญ่ เหตุใดท่านมาได้?”“ชายข้างกายคุณหนูหร่านเหยียนเป็นใคร?” กู้หว่านเยว่รู้สึกว่าหร่านเหยียนผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆซูจิ่นเอ๋อร์กลับพูดอย่างไม่
“นี่คือเรือใหญ่ของหมู่บ้านเรา สามารถจุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ด้านท้ายเรือยังมีเรือเล็กอีกสองลำ เพื่อความสะดวกในการให้คนลงไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านแนะนำ กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบบันไดขึ้นไปบนเรือใหญ่ทันที“หว่านเยว่!”แววตาของซูจิ่งสิงทั้งเอ็นดูและจนปัญญา“เจ้าห้ามไปที่ทะเลสาบ ตกลงกันแล้ว”“เราเป็นสามีภรรยากัน”กู้หว่านเยว่กะพริบตา กล่าวอย่างซุกซน“หากมีอันตราย ก็จะได้ตายไปพร้อมกัน”ซูจิ่งสิง ...ระหว่างพูด กู้หว่านเยว่ก็ขึ้นไปบนเรือแล้ว พร้อมกับเรียกให้ทุกคนขึ้นมา ซูจิ่งสิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลางเหาะขึ้นไปบนเรือ แล้วโอบเอวนางไว้“ชิงหว่าน”สายตาของเผยเสวียนฉายแววไม่เห็นด้วย ทำให้เมี่ยชิงหว่านโกรธมาก“คนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรคือท่านพ่อของข้า หากท่านรักตัวกลัวตายก็ไม่ต้องไป แต่ข้าต้องไปให้ได้”พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วก้าวขึ้นเรือไปเผยเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นตามไปด้วยสีหน้ามืดมนเนื่องจากมาตรวจสอบหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ซูจิ่งสิงจึงนำองครักษ์ที่พายเรือเป็นมาล่วงหน้า หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือแล้ว ซูจิ่งสิงก็สั่งให้องครักษ์พายเ
“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งชิงโบกมือให้ลุก เขามีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่ต้องมากพิธีเขาเปิดเรื่องถามทันที “ทะเลสาบที่เกิดเรื่องอยู่ไหน?”“ด้านหลังหมู่บ้าน เชิญท่านอ๋องตามข้าน้อยมา”ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีใครสนใจ คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเดินทางมาด้วยตัวเองจากปากทางหมู่บ้านไปถึงทะเลสาบยังห่างไปอีกช่วงหนึ่ง กู้หว่านเยว่จึงถือโอกาสถามทันทีว่า“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังหน่อยเจ้าค่ะ”ผู้ใหญ่บ้านสังเกตเห็นว่าข้างกายของท่านอ๋องนั้นยังมีสตรีหน้าตางดงามอีกหนึ่งคนตั้งแต่ที่ท่านอ๋องจูงมือของนาง แสดงท่าทางปกป้องมากเป็นพิเศษ ผู้ใหญ่บ้านพอจะเดาสถานะของกู้หว่านเยว่ได้ครั้นเห็นนางเอ่ยปากถาม จึงรีบกล่าวทันที“รายงานพระชายา ทะเลสาบแห่งนี้ชื่อว่าทะเลสาบโก่วสยง”เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างตกปลาเลี้ยงชีพจากทะเลสาบแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน กลับเกิดพายุครั้งใหญ่เกิดฟ้าผ่าสายหนึ่งกลางทะเลสาบโก่วสยงแห่งนี้“ยามนั้นเรียกได้ว่าแผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง จนชาวบ้านต้องพากันออกมาดูสถานการณ์ ผลปรากฏว
“ว่ามา”“เช้าตรู่วันนี้ หมู่บ้านชาวประมงมีชาวประมงสูญหายอีกสองคน หนานหยางอ๋องทรงรับสั่งให้รุดหน้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าหลังจากที่มาถึงกลางทะเลสาบ เรือและคนก็ล้วนหายไปพร้อมกันขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป “หนานหยางอ๋องไปที่นั่นได้อย่างไร?”“พระชายาทรงยังไม่ทราบ เดิมทีหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นเป็นที่ตั้งหลักของกองทัพทหารหนานหยางอ๋อง”ฉู่เฟิงกล่าวอธิบาย คิ้วของกู้หว่านเยว่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม“ท่านพี่ เรารีบไปดูกันเถอะ”ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินทาง คาดไม่ถึงว่าหนานหยางอ๋องจะเกิดเรื่องเช่นนี้ก่อน ดังนั้นแผนการเดิมคือการสำรวจหมู่บ้านชาวประมงอย่างช้า ๆ หากหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นอันตรายมากจริง ๆ ก็ต้องล้อมทะเลสาบนั้นไว้ ห้ามใครเข้าไปเด็ดขาดแต่ตอนนี้หนานหยางอ๋องดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เรื่องราวกลับเลวร้ายมากขึ้นทุกที“เราต้องไปดูก่อน ฉู่เฟิงเจ้ามาบังคับม้า เร่งความเร็วกว่านี้”ฉู่เฟิงพยักหน้า ทันทีที่กระโดดขึ้นรถม้าก็เห็นรถม้าอีกคันไล่ตามมา“พี่หญิงหว่านเยว่!”เมี่ยชิงหว่านเปิดม่านหน้าต่างรถม้า ก่อนจะชะโงกหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาออกมา“ท่านพ่อเกิดเรื่องแล้ว
เช้าวันที่สอง ในที่สุดซูจื่อชิงก็ลืมตาหลังจากเมาค้างมาหนึ่งคืนเต็ม อาการปวดหัวของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น วินาทีต่อจากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงฉับพลัน“ชิวจู๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงของเขา อีกทั้งบนตัวของนางก็สวมใส่เพียงเสื้อเอี๊ยมชิ้นเดียวซูจื่อชิงกระโดดลงจากเตียงทันที จากนั้นก็มองไปยังเสื้อผ้าที่ร่วงอยู่บนพื้นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “เมื่อคืนคุณชายรองคิดว่าข้าเป็นผู้อื่น จึงถอดเสื้อผ้าของข้า...”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของซูจื่อชิงซีดเผือดลง เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายพูดเป็นนัยอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เวลานี้อาการปวดหัวของเขาทวีคูณมากขึ้น เขาไม่มีความภาพความประทับใจของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย เขาคิดไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรชิวจู๋หรือไม่“เราสองคนทำอะไรกันแน่?”เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยนึกชอบชิวจู๋“เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายรองยังอยากจะให้ข้าพูดออกมาอีกอย่างนั้นหรือ แล้วข้ายังจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ น้
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่
นางหยางปาดน้ำตา “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลกู้จื่อชิงให้ดี มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว เรื่องในวันนี้คงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเจ้าเอง”ชิวจู๋กัดริมฝีปากพยักหน้าหลังจากที่กู้หว่านเยว่ต้มยาระงับประสาทให้แล้ว ก็ยื่นใบสั่งยาให้คนอื่น เพื่อเตรียมสมุนไพรนางแอบลากซูจิ่งสิงเข้ามาในมุมหนึ่งของลานกว้าง“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงไม่พูดสิ่งใด เรื่องความรู้สึกของซูจื่อชิงเขาเองก็ไม่รู้จะเข้าไปแทรกอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมี่ยชิงหว่านกำลังจะหมั้นกับเผยเสวียนแล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปชิงตัวใครออกมาอย่างแน่นอนครั้นกู้หว่านเยว่เห็นซูจิ่งสิงไม่กล่าวสิ่งใด ก็รู้ทันทีว่าคนที่แข็งกระด้างด้านความรู้สึกอย่างเขาคงไม่มีทางคิดออกแน่นอนดังนั้น นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ท่านไม่รู้สึกว่าการแต่งงานของเมี่ยชิงหว่านและเผยเสวียนกะทันหันเกินไปหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”“ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน มากสุดเพียงครึ่งเดือน อีกทั้งช่วงเวลานี้ ชิงหว่านไม่ได้สนใจเผยเสวียนเลย กลับเป็นเผยเสวียนที่คอยเอาแต่ประกาศอยู่เรื่อย ๆ ทำ
“คุณชายรองเราไปกันเถอะ ในเมื่อคุณหนูฟู่ตัดสินใจจะหมั้นกับคุณชายเผยแล้ว ต่อให้ท่านรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ”ชิวจู๋ประคองซูจื่อชิงลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าซูจื่อชิงจะรับแรงกระตุ้นไม่ไหวกระอีกออกมาเป็นเลือดและสลบไปในที่สุด“คุณชายรอง คุณชายรอง!” ชิวจู๋รีบประคองซูจื่อชิงกู้หว่านเยว่กำลังคุยเรื่องนี้กับซูจิ่งสิงพอดี ครั้นได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าซูจื่อชิงสลบไม่ได้สติและกระอักออกมาเป็นเลือด“เด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกเขาอยู่หยก ๆ ว่าให้ถนอมร่างกายของตัวเอง ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ด่าทอพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนรีบเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง“เกิดอะไรขึ้น?”ทันทีที่เข้าไปก็เห็นซูจื่อชิงสลบอยู่บนเตียง สีหน้าเขียวคล้ำ มุมปากมีคราบเลือดหยดหนึ่งติดอยู่นางหยางและซูจิ้งกลับมาพอดี ครั้นเห็นบุตรชายกลายเป็นเช่นนี้ ก็เจ็บปวดคล้ายกับโดนมีดหรีดหัวใจ“หว่านเยว่ เจ้ารีบดูอาการให้เขาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าเรียกเขาอยู่ครึ่งวัน กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด”“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป น้องชายรองแค่สลบไปเท่านั้น
“ในเมื่อเขามาหาเจ้าแล้วถึงที่แล้ว เจ้าก็ควรออกพบเขาสักหน่อย”เผยเสวียนคลี่ยิ้มหวาน ทำให้เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วแน่น“ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอใคร เจ้าไปบอกเขาเถอะ ข้าเข้านอนแล้ว”เด็กรับใช้ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง เผยเสวียนตั้งใจลูบแก้มของนาง“สาเหตุที่เขาอยากพบเจ้าตอนนี้ คาดว่าคงยังคาใจ อยากฟังคำตอบจากปากของเจ้าเอง ข้าอยากให้เจ้าออกไปบอกเขาด้วยตัวเอง ให้เขาตัดใจเสียเถิด”เมี่ยชิงหว่านตัวสั่นระริก “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เจอเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ไม่ได้”เผยเสวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ชิงหว่าน เด็กดี เชื่อฟังข้าเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จากการโกรธของข้าจะเป็นอย่างไร”เมี่ยชิงหว่านลังเลเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไป“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปบอกเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกเขาเอง ถึงตอนนั้นอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ข้าเกรงว่าคงจะควบคุมปากไว้ไม่ได้”เผยเสวียนกล่าวพลางสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกนัยน์ตาของเมี่ยชิงหว่านฉายแววเกลียดชัง จากนั้นก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ข้าไปเอง ข้าจะออกไปบอกเขาเอง”“แบบนี้สิ ถึงจะเป็นคู่หมั้นที่น่ารักของข้า”เผยเสวียนหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพลางส
หลังจากเกิดความชุลมุนพักใหญ่ ในที่สุดเจ้าตัวก็ฟื้น “ข้า ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”ซูจื่อชิงมองรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา ท่าทางนั้นเหมือนตายทั้งเป็นกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ชิงหว่านกำลังจะหมั้นแล้ว ต่อไปเจ้าสองคนก็ต้องต่างคนต่างอยู่ เจ้าทำตัวแบบนี้ไปให้ใครดูกัน?”ซูจื่อชิงตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมา“ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ต้องโทษปากของข้าที่เอาแต่ขับไสไล่ส่งนางออกไปไกลมากขึ้นทุกที”ตอนนี้ซูจื่อชิงน้ำตาเช็ดหัวเข่า“ทำไมข้าถึงชอบพูดประชดประชัน ทำไมข้าถึงไม่บอกความรู้สึกของข้ากับนางให้เร็วกว่านี้”บัดนี้คงทำได้แค่มองคนที่ตนรักแต่งงานกับคนอื่นไปต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? หลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจอยู่แต่ในร้านอาหาร ดื่มจนเมามาย เพียงแค่อยากให้ตัวเองไร้ความรู้สึกเท่านั้นน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ไม่สามารถลบล้างด้วยการดื่มเหล้าได้ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ทำได้แค่ลืมไปชั่วขณะ หลังจากสร่างเมากลับมาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม“เสียใจ ข้าเสียใจจริง ๆ”ซูจื่อชิงน้ำตาไหลอาบสอง