“พี่ใหญ่ ข้ามักจะติดตามท่านออกไปท่องยุทธภพอยู่บ่อยครั้ง เหตุใดครั้งนี้ท่านถึงต้องโกรธข้าเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ?”เนี่ยชิงหลานค่อนข้างไม่เข้าใจความจริงแล้วการที่นางปลอมตัวออกมาและชอบทำตัวเป็นวีรสตรีไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ครั้งนี้พี่ใหญ่กลับโกรธนางมากเป็นพิเศษอีกทั้งก่อนหน้านั้นนางก็เคยประสบอันตรายมาก่อน หลังจากที่พี่ใหญ่รู้เรื่องนี้เขากลับไม่มีอารมณ์ตำหนินางเนี่ยเติ้งดีดหน้าผากของน้องสาวอย่างไม่สบอารมณ์“ข้าเคยพูดกับเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ บัดนี้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของลั่วอันกำลังเกิดความโกลาหลทุกระแหง เจ้ายังไม่ระวังตัวอีก หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมาข้าจะทำอย่างไร?”เนี่ยชิงหลานแลบลิ้นเล็กน้อย และไม่ได้เก็บคำพูดของพี่ใหญ่มาใส่ใจ ระหว่างนั้นกู้หว่านเยว่ที่อยู่อีกด้านก็กำลังตื่นตกใจ ก่อนหน้านั้นนางและสามีของนางยังคิดอยู่เลยว่าจะกล่าวเตือนอ๋องจินอย่างไรคาดไม่ถึงว่าความอ่อนไหวทางการเมืองของอีกฝ่ายจะรุนแรงเช่นนี้ ถึงขั้นตระหนักได้ว่าสตรีลึกลับผู้นั้นจะลงมือทำร้ายพวกเขา“พี่หว่านเยว่ ท่านช่วยข้าด้วยเถิด อย่าให้พี่ใหญ่เฆี่ยนข้าอีกเลย เพราะเขาลงโทษข้าสถานหนัก ข้าเจ็บจนแทบทนไม่ไ
กู้หว่านเยว่รับถ้วยชาพลางส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ชมเจ้าก็ส่วนชมเจ้า แต่ที่พี่ใหญ่พูดก็ถูกต้อง บัดนี้สถานการณ์กำลังวุ่นวาย ในฐานะที่เจ้าเป็นท่านหญิง ย่อมถูกคนจับจ้องได้โดยง่าย ออกไปข้างนอกทางที่ดีควรพาคนรับใช้ติดตามไปด้วย แล้วอย่าเที่ยวไปท่องยุทธภพเองเด็ดขาด”หลังจากที่ถูกเนี่ยเติ้งสั่งสอนไปเมื่อครู่ เนี่ยชิงหลานก็รู้จักแยกแยะบัดนี้เมื่อถูกกู้หว่านเยว่สั่งสอน นางกลับแลบลิ้นอย่างเชื่อฟัง พยักหน้าเหมือนกระต่ายน้อยสีขาว“พี่หว่านเยว่พูดถูก ต่อไปนี้ข้าจะระวังตัว จะไม่ทำการบุ่มบ่ามเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว”ความจริงแล้วในใจของนางรู้ดีว่าสิ่งที่พี่ใหญ่พูดนั้นก็เพื่อตน พี่ชายคนนี้วิ่งตรงมาจากจวนอย่างกระวนกระวายใจ แน่นอนว่าเขาเป็นห่วงน้องสาวคนเล็กผู้นี้ เป็นห่วงความปลอดภัยของนางนางไม่ใช่คนอกตัญญู คนอื่นปฏิบัติดีกับนาง นางย่อมรู้ดี เพียงแต่ปากมันไม่ตรงกับใจ แต่ในใจนั้นเชื่อฟังอย่างว่าง่าย“พี่ใหญ่ข้ารู้ผิดแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะไม่ทำแบบวันนี้อีก ข้าจะระวังตัวให้มากขึ้น ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่ใหญ่จนพี่ใหญ่ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว”เนี่ยชิงหลานลุกขึ้นยืนอย่างว่าง่าย และขอโทษเนี่ยเติ้ง“ท่านนะท่า
สิ่งที่เขาคิดในใจก็คือ ในเมื่อกู้หว่านเยว่เป็นผู้มีพระคุณของน้องสาวเขา เขาก็ต้องดูแลอย่างดี เพียงแต่น่าเสียดายที่กู้หว่านเยว่อยู่ที่นี่ได้ไม่นาน มิเช่นนั้นเขาคงเชิญอีกฝ่ายกลับจวนในฐานะแขกพิเศษด้วยตัวเองไปแล้วในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงปล่อยให้อีกฝ่ายพักอยู่ในโรงเตี๊ยมของเขาก่อน ถึงตอนนั้นโรงเตี๊ยมคงจะดูแลกู้หว่านเยว่เป็นอย่างดี จะได้ไม่ถือว่าเป็นการล่วงเกินผู้มีพระคุณด้วยกู้หว่านเยว่คิดไม่ถึงว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะเป็นกิจการของในจวนของเขา มิน่าล่ะเมื่อครู่เนี่ยชิงหลานถึงได้เดินเข้านอกออกในราวกับบ้านตัวเอง เจ้าของร้านและเด็กในร้านต่างก็รู้จักนางนางพยักหน้าอย่างเข้าใจ และยังรู้ถึงความคิดของอีกฝ่ายว่าอยากตอบแทนพระคุณของกู้หว่านเยว่ นางจะได้ไม่ต้องโวยวายให้เปลืองแรง“ขอบคุณท่านอ๋องมาก ข้าและสามีมาถึงที่แห่งนี้ ย่อมไม่คุ้นชินผู้คนและสถานที่ จริง ๆ แล้วข้ายังหาที่พักไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าสองคนคงต้องพักอ้างแรมที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้แล้ว”เนี่ยเติ้งมีความประทับใจต่อกู้หว่านเยว่ที่เพิ่งเจอกันผู้นี้ เพียงแต่เมื่อชำเลืองเห็นอีกฝ่าย ก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายแต่งงานแล้วบัดนี้เมื่อได้ยินนางเอ่ย
“พี่ใหญ่และพี่หว่านเยว่พูดมากแล้ว คราวนี้ถึงตาข้าบ้าง”เนี่ยชิงหลานฟังบทสนทนาของทั้งสองคนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ บัดนี้ได้สบโอกาสควงแขนของกู้หว่านเยว่ และกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า“พี่หว่านเยว่ ท่านบอกว่าท่านมาจากเมืองจิน จริง ๆ แล้วข้าอยากไปที่นั่นมาก ที่นั่นสนุกหรือไม่? มีอะไรน่ากินบ้าง ได้ยินว่าเมืองหลวงเจริญรุ่งเรืองมาก รุ่งเรืองกว่าที่นี่เป็นสองเท่า ข้าพยายามหาโอกาสไปเที่ยวที่นั่นมาโดยตลอด”คำกล่าวนี้กลับไม่ได้ดูโกหกแต่อย่างใด ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้สถานที่ที่นางไปได้ไกลที่สุดก็คือเหอตง แม้ว่าพี่ใหญ่จะอนุญาตให้นางออกไปช่วยเหลือผู้อื่นและท่องยุทธภพ แต่โดยส่วนใหญ่ก็อยู่ภายใต้ขอบเขตการดูแลของพี่ใหญ่เรื่องนี้คงโทษเนี่ยเติ้งที่เข้มงวดเช่นนี้ไม่ได้ จริง ๆ แล้วเนี่ยชิงหลานก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดา หากเจอกับอันตรายข้างนอก เกรงว่าคงจะเสียหายไม่น้อยแม้ว่าเขาจะให้เนี่ยชิงหลานออกมาช่วยเหลือผู้อื่น แต่เหอตงก็ยังอยู่ในขอบเขตการดูแลของพวกเขา ต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็ยังง่ายต่อการช่วยเหลือเหมือนวันนี้ ผู้ว่าการอำเภอมาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยเนี่ยชิงหลานออกมาได้ทันท่วงทีหากอยู่นอกเมือง
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็กล่าวลา ส่วนกู้หว่านเยว่ก็พักอยู่ในโรงเตี๊ยมชั่วคราวตกกลางคืน กู้หว่านเยว่กำลังแช่เท้าพลางกล่าวว่า“อ๋องจินคนนี้เป็นคนฉลาดมาก”ซูจิ่งสิงพยักหน้า “เปรียบเทียบระหว่างเนี่ยเติ้งและอ๋องจินแล้ว เนี่ยเติ้งกล้าหาญและระมัดระวังตัวมากกว่า”เขานึกเรื่องหนึ่งได้ “ชาวบ้านลือกันว่าอ๋องจินเป็นโรคเรื้อรัง อายุสามสิบแล้วยังไม่แต่งงาน”กู้หว่านเยว่ประหลาดใจมาก “วันนี้ข้ากลับมองไม่ออก”สองสามีภรรยากำลังนินทากันสนุกปาก ไม่นานก็เปลี่ยนหัวข้อ“น้องหญิง เรามาปรึกษาเรื่องเส้นทางที่กำลังจะเดินทางกันเถิด”ซูจิ่งสิงเช็ดเท้าให้กู้หว่านเยว่ ทั้งสองคนนั่งบนเตียงด้วยกันหลังจากเหตุการณ์ในเหอตงสิ้นสุดลง สองสามีภรรยาก็ตัดสินใจว่าจะพักที่นี่หนึ่งคืน เช้าวันที่สองค่อยเดินทางกลับเจดีย์หนิงกู่“พวกเจ้าจะไปแล้วหรือ?”เนี่ยชิงหลานยังอาลัยอาวรณ์ นัยน์ตาคู่นั้นมองกู้หว่านเยว่ด้วยความคาดหวังกว่านางจะเจอคนที่ถูกใจไม่ใช่เรื่องง่าย ยังไม่ทันได้อยู่ด้วยกันเกินสองวันเลย ใครบ้างจะไม่อาลัยอาวรณ์?“พี่หว่านเยว่ ท่านทิ้งที่อยู่ของท่านให้ข้าได้หรือไม่ ข้าจะไปหาท่านเอง?”กู้หว่านเยว่ไม่
“ใช้คนเท่าไหร่ถึงสร้างถนนเสร็จเร็วเช่นนี้?” พวกเขาจากที่นี่ไปแค่หนึ่งเดือนเอง“วันนี้ใต้เท้าจี้ไปเหมืองแร่แล้ว” ผู้ใหญ่บ้านเฉินชี้เข้าไปยังห้องที่อยู่ทางทิศตะวันตก“หลังจากที่พวกท่านจากไปได้ไม่นาน ก็มีผู้ลี้ภัยหลายกลุ่มหลั่งไหลกันมาที่นี่ ทันทีที่สองกลุ่มแรกมาถึงหมู่บ้านสือหานของเรา พวกเขาก็อาสาเข้ามาช่วยซ่อมถนนจนเสร็จ”มีพละกำลังเหล่านี้ ความเร็วในการซ่อมถนนก็ทวีคูณเป็นไม่รู้กี่เท่าตัวกู้หว่านเยว่เพิ่งเคยเห็นบ้านชั้นเดียวที่สร้างด้วยอิฐหลังนั้น ก่อนออกเดินทางนางได้กำชับกับฟู่หลานเหิงและผู้ว่าการอำเภอหลายท่านแล้วหากมีผู้ลี้ภัยเดินทางมายังเจดีย์หนิงกู่ ห้ามขวางเด็ดขาด สร้างที่พักอาศัยให้กับผู้ลี้ภัยในทุกหมู่บ้าน ให้พวกเขาซ่อมถนน ขุดเหมืองไม่ก็ทำฟาร์มดูท่าทางคนเหล่านี้จะทำตามคำสั่งของนาง กู้หว่านเยว่จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ“ผู้ใหญ่บ้าน พวกเรากลับบ้านกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้เจ้าค่อยเรียกจี้ฮั่นโม่เข้ามารายงานพร้อมกันก็ได้”เพราะถนนปูนซีเมนต์เหล่านี้ยังแห้งไม่สนิท ซูจิ่งสิงจึงต้องอ้อมกลับบ้านอีกทางใครจะรู้ว่าหลังจากที่มาถึงปากทาง จะมีคนพุ่งออกมา“แม่นางกู้!”หลังจากมองอย่างละเอี
“ต่อให้ตรวจได้ก็ไม่ให้เจ้าตรวจเขาหรอก ใครใช้ให้เขาไม่เชื่อเจ้าล่ะ”ซูจิ่งสิงไม่ใช่คนตระหนี่ เพียงแต่เขาไม่ชอบให้ใครมาสงสัยในตัวกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่รู้ว่าซูจิ่งสิงออกหน้าเพื่อตน จึงอดขบขันไม่ได้ กระทั่งปล่อยเขาเลยตามเลย“ขุนพลหวัง เช่นนั้นก็รอทานมื้อค่ำเสร็จก่อน เจ้าค่อยมาเถิด”“...อื้อ ก็ได้”หวังปี้หลบหลีกไปด้านข้างอย่างน้อยเนื้อต่ำใจรถม้าได้เคลื่อนตัวกลับมาถึงบ้านคนแรกที่วิ่งออกมาก็คือนางหยางเมื่อเห็นซูจิ่งสิงบังคับม้าอยู่ด้านหน้า นางก็รีบตะโกนด้วยความดีใจ“กลับมาแล้ว จิ่งสิงและหว่านเยว่กลับมาแล้ว พวกเขากลับมาแล้ว!”สิ้นสุดเสียงนี้ ซูจิ้งและซูจิ่นเอ๋อร์ที่อยู่ด้านในก็พากันวิ่งออกมา“อาป๊า อาป๊า!” ซูจิ้งร้องเรียกด้วยสีหน้าดีใจ“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ข้าคิดถึงพวกท่านจะตายอยู่แล้ว!”ซูจิ่นเอ๋อร์รีบวิ่งมาด้านหน้าของรถม้า จากนั้นก็โผเข้ากอดกู้หว่านเยว่ทันทีส่วนคนอื่นก็ทยอยกันล้อมสองคนนั้นไว้นางหยางปาดน้ำตา “กลับมาก็ดีแล้ว เช้าวันนี้ข้ายังคุยกับพ่อเจ้าอยู่เลย พวกเจ้าจากบ้านไปหนึ่งเดือนแล้วยังไม่ได้รับข่าวคราว วิงวอนขอให้พวกเจ้าอย่าเจออุปสรรคอะไรเลย”ซูจิ่งสิงโบกมือไปมา
ซูจิ่นเอ๋อร์ก้มหน้าด้วยสีหน้างุ่นง่านกู้หว่านเยว่งุนงงเล็กน้อย จริง ๆ แล้วนางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจินโหย่วเฉียนเลย จำได้แค่ว่าเขาไม่มีทางเปิดธุรกิจได้ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนเสนอเงื่อนไขนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นประโยชน์ต่อซูจิ่นเอ๋อร์ ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้แสดงสีหน้างุ่นง่านเช่นนี้?“ไอหยา ข้าไม่รู้จะพูดอย่างไร เอาเป็นว่า...ข้าค่อยบอกรายละเอียดกับพวกเจ้าหลังจากนี้”ซูจิ่นเอ๋อร์แสดงสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะวิ่งตึกตักเข้าไปในห้องครัว เด็กคนนี้มีเรื่องให้หนักอกหนักใจจริง ๆ นางหยางที่ยืนอยู่ข้างกายและซูจิ้งได้สบตากัน ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้รอจนกระทั่งกู้หว่านเยว่เก็บข้าวของเสร็จ และออกมาทานมื้อค่ำ นางพบว่าจินโหย่วเฉียนมาถึงแล้วอีกทั้งยังเห็นว่าท่าทางของอีกฝ่ายไม่เหมือนกับมาที่นี่ครั้งแรกด้วย เขาคุ้นเคยกับในบ้านของนางเป็นอย่างดี หลังจากที่เข้ามาก็ช่วยนางหยางยกอาหารออกมาวาง“ทันทีที่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนกลับมาแล้ว ประจวบเหมาะกับที่ข้านำเหล้ากลับมาจากเมืองหลวงพอดี เหล้าหมักผลไม้ของข้าไม่มีฤทธิ์สุรา คนท้องดื่มได้”จินโหย่วเฉียนแกว่งเหล้าหมักผลไม้ในมือไปมา ท่าทางเชิญชวนมาก“จิ่นเอ๋อร์ก
กู้หว่านเยว่เอ่ยถามด้วยความสงสัย เสี่ยวถ่านยิ้มอย่างขมขื่น“เรื่องนี้ค่อนข้างยาว พวกเราถูกคนใส่ร้าย เสด็จแม่ของข้า...นางถูกฆ่าตาย ข้าหนีรอดออกมาได้อย่างยากลำบาก”เมื่อพูดถึงเสด็จแม่ เสี่ยวถ่านขอบตาแดงก่ำพยายามฝืนเช็ดน้ำตา ไม่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมากู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้ทันที ก่อนหน้านี้นางและซูจิ่งสิงได้ยินจากตอนที่อยู่ในห้องของเหยลวี่หมิงว่า เสด็จแม่ขององค์หญิงเก้าถูกไฟคลอกตายแล้วมีเพียงองค์หญิงเก้าเท่านั้นที่หนีรอดออกมาได้ฟังจากน้ำเสียงขององค์หญิงเก้าแล้ว เสด็จแม่ของนางน่าจะเป็นราชินีของกษัตริย์ทูเจวี๋ย ราชินีผู้สูงศักดิ์กลับถูกไฟคลอกตาย ส่วนองค์หญิงก็ถูกตามล่า พวกเขาทำผิดอะไรกันแน่?ถึงแม้ว่านางจะมีข้อสงสัยมากมายในใจ แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะซักถาม ทหารข้างล่างกำลังจะล้อมพวกเขาขึ้นมาแล้ว“ไว้ค่อยอธิบายให้ข้าฟังทีหลัง ตอนนี้ เราต้องหนีออกไปจากที่นี่ก่อน”กู้หว่านเยว่ใช้สันมือสับไปที่คอของเสี่ยวถ่าน จากนั้นก็โบกมือ เก็บนางเข้าไปในมิติ“ท่านพี่ เราไปหาเหยลวี่หมิงกันเถอะ!”เหยลวี่หมิงอยากจะตามล่าพวกเขามิใช่หรือ เช่นนั้นพวกเขาก็จะสั่งสอนเขาสักหน่อย“ตกลง” ซูจิ่ง
เนื่องจากมีทหารลาดตระเวนอยู่ข้างนอกเป็นจำนวนมาก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ทั้งสามคนจึงรีบกลับไปที่ห้อง“กลางคืนเจ้านอนคนเดียว คงไม่กลัวหรอกนะ?”กู้หว่านเยว่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ เสี่ยวถ่านหน้าแดงก่ำ กำหมัดแน่น“ไม่ต้องห่วง ขะ ข้าเป็นลูกผู้ชาย ข้าไม่กลัวหรอก”“ถ้าเจ้าไม่กลัวก็ดีแล้ว กลางคืนเจ้านอนห้องข้าง ๆ พรุ่งนี้เช้าตอนเราออกเดินทาง ก็จะไปปลุกเจ้า”อาจเป็นเพราะถูกชะตากัน กู้หว่านเยว่มักจะมีความอดทนกับเด็กคนนี้เป็นพิเศษ“ทะ ท่านจะปลุกข้าจริง ๆ หรือ?”ดวงตาของเขาใสซื่อ มองกู้หว่านเยว่ด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความกังวลเล็กน้อยดูเหมือนเด็กคนนี้จะยังคงกังวลว่ากู้หว่านเยว่จะทิ้งเขาไป“ก็ไม่แน่ บางทีตอนดึกข้าอาจจะปลุกเจ้าก็ได้”คืนนี้ นางมีเรื่องใหญ่ที่ต้องลงมือทำ“เช่นนั้นข้าไปนอนก่อนแล้ว” เสี่ยวถ่านเชื่อว่ากู้หว่านเยว่จะไม่หลอกเขาหลังจากมองเสี่ยวถ่านเข้าไปในห้องแล้ว กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง ทั้งสองคนหลับตาทำเป็นงีบหลับ แต่จริง ๆ แล้วกำลังรอให้ฟ้ามืดเมื่อยามค่ำคืนมาเยือน ข้างนอกก็เริ่มเกิดเสียงอึกทึกครึกโครม“ใครก็ได้
เหยลวี่หมิงหัวเราะเสียงดังลั่น กู้หว่านเยว่หน้ามืด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องของตัวเองดังขึ้น จึงรีบพาซูจิ่งสิงกลับไปที่ห้องพัก ทั้งสองคนออกมาจากมิติ ก็ได้ยินเสียงของเสี่ยวถ่านดังมาจากข้างนอก“พี่หญิงกู้ ข้าอาบน้ำเสร็จแล้ว”ที่แท้ก็เป็นเสี่ยวถ่านอาบน้ำเสร็จแล้ว จึงมาหาพวกเขากู้หว่านเยว่เปิดประตู สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือ เสี่ยวถ่านที่อาบน้ำเสร็จแล้ว กลับดูหน้าตาสะอาดสะอ้านและงดงามเกินคาด“เจ้าดูเหมือนเด็กผู้หญิงนะ”กู้หว่านเยว่กล่าวขึ้นมาลอย ๆ สีหน้าของเสี่ยวถ่านก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเขาเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าตัวเอง “จริงหรือ?”เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยความประหม่า “พี่หญิงกู้ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้า ต่อไปข้าจะต้องตอบแทนบุญคุณท่านอย่างแน่นอน”“เจ้าโตก่อนแล้วค่อยว่ากัน เจ้าในตอนนี้ แค่ชายร่างกำยำต่อยหมัดเดียว เจ้าก็ตายได้แล้ว”กู้หว่านเยว่หลุดหัวเราะ เด็กคนนี้รู้จักตอบแทนบุญคุณจริง ๆ เห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว ถึงเวลาอาหารเย็น กู้หว่านเยว่จึงลากเสี่ยวถ่านไปกินข้าวข้างล่างข้างล่างมีคนนั่งอยู่ไม่น้อย ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองสือโม่ ก็
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ ทำให้ท่านเจ้าเมืองสะดุ้งตกใจ อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างรีบร้อน แล้วจากไปพร้อมกับเหงื่อท่วมตัวเห็นได้ชัดว่า เขาหวาดกลัวเหยลวี่หมิงมากและความหวาดกลัวเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะเห็นแก่เหยลวี่เจิง“คุณชาย กระดูกมือของท่านต่อเรียบร้อยแล้วขอรับ”เหยลวี่หมิงลองขยับแขนอีกครั้ง ก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง เจ็บเสียจนเขาต้องกัดฟันกรอด“คุณชาย ถึงแม้ว่ากระดูกแขนของท่านจะต่อติดกันแล้ว แต่ภายในครึ่งเดือนห้ามขยับตัวมากเกินไป ต้องรอจนกว่าเฝือกจะเข้าที่เรียบร้อยแล้วจึงจะถอดออกได้”หมอต่อกระดูกเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก เขาสาบานว่านี่เป็นงานที่ยากที่สุดเท่าที่เขาเคยรับมาทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว เขาก็รู้สึกเจ็บคอขึ้นมาทันที ตามมาด้วยเลือดจำนวนมากที่ไหลทะลักออกมาจนบดบังดวงตาของเขาเหยลวี่หมิงฆ่าเขาโดยตรง!ไม่ใช่แค่หมอต่อกระดูกที่ล้มลงกับพื้น ดวงตาเบิกโพลงแม้แต่กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่อยู่ในมิติก็ยังไม่ทันตั้งตัว“บ้าเอ๊ย เหยลวี่หมิงผู้นี้ไม่เห็นค่าของชีวิตคนเกินไปแล้ว!”กู้หว่านเยว่อดไม่ได้ที่จะร้องเสียงหลง เมื่อครู่นี้นางและซูจิ่งสิงซ่อนตัวอยู่ในมิติ เห็น
ปรากฏว่าทันทีที่ทั้งสองคนมาถึงชั้นสอง ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาของเหยลวี่หมิงดังขยายออกมาจากในห้องทั้งสองคน ‘ยิ่งเกลียดยิ่งเจอจริง ๆ สินะ’ครั้นเสี่ยวเอ้อร์เห็นสองคนมีท่าทีแข็งทื่อ ก็รีบกล่าวขึ้นมา “มิต้องแปลกใจขอรับ คนที่อยู่ห้องตรงข้ามกำลังจัดกระดูก อาจารย์ด้านกระดูกกำลังจัดกระดูกให้เขา เสียงร้องจึงดังไปสักหน่อย หากท่านทั้งสองไม่สบายใจ ข้าเปลี่ยนห้องให้พวกท่านได้ขอรับ”“ไม่ต้อง”อยู่ในโรงเตี๊ยมเดียวกับเหยลวี่หมิง นับว่าโชคร้ายไปสักหน่อยแต่ครั้นกู้หว่านเยว่ได้คิดไตร่ตรองแล้ว พวกเขาสามารถเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของเหยลวี่หมิงได้ตลอดเวลา หากมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล พวกเขาจะได้ไหวตัวทันในทันที นับว่าเป็นเรื่องที่ดีอีกอย่างไม่แน่ว่าทั้งสองคนอาจจะได้ยินข่าวคราวของซูจิ่นเอ๋อร์จากปากของเหยลวี่หมิงก็ได้“ไม่ต้องวุ่นวาย เราพักในห้องนี้ได้”สองสามีภรรยาส่งสายตากันและกันจนเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย ซูจิ่งสิงโบกมือเล็กน้อยส่งให้เด็กในโรงเตี๊ยมออกไปหลังจากที่กู้หว่านเยว่เข้ามาในห้องก็ทำการสำรวจหนึ่งรอบ จึงได้เห็นเสี่ยวถ่านที่เดินตามเข้ามา“ข้าเปิดไว้สองห้อง เจ้าไปพักห้องที่อยู่ถัดไป
“ไม่ต้องร้อนใจ เรายังต้องพักในเมืองชิงซานหนึ่งคืน ยังมีเวลา”หลังจากที่ทหารที่ด้านนอกทยอยกันจากไป กู้หว่านเยว่ก็พาซูจิ่งสิงออกจากห้วงมิติทั้งสองคนลอยตัวไปยังร้านขายเสื้อผ้า เวลานี้เสี่ยวถ่านกำลังเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่พอดี เขารอกู้หว่านเยว่มาจ่ายเงินอย่างกระวนกระวายใจเขากลัวว่ากู้หว่านเยว่จะทิ้งเขาไว้ที่นี่ แล้วจากไปเพราะความกังวลมากเกินไป แม้แต่กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่ปลอมตัวเดินมาถึงหน้าเขา ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง“นี่!”กู้หว่านเยว่ตบศีรษะของเสี่ยวถ่าน “มัวอึ้งอะไร ยังเลือกเสื้อผ้าไม่ได้หรือ?”“พี่หญิงกู้?”เสี่ยวถ่านจำเสียงของนางได้ ครั้นเห็นทั้งสองคนแต่งกายต่างจากก่อนหน้านั้น แม้แต่ใบหน้าก็เปลี่ยนไป จึงอดตื่นตกใจไม่ได้“พวก...พวกท่าน?”“เราสองคนเจอกับปัญหาเล็กน้อย จึงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า”กู้หว่านเยว่ไม่ได้ปิดบัง ต่อไปเสี่ยวถ่านต้องติดตามพวกเขาไป บอกเขาไว้จะสะดวกมากกว่าในขณะเดียวกัน นางก็แอบตัดสินใจอยู่เงียบ ๆ หากเสี่ยวถ่านกล้าหักหลังนาง นางสามารถโยนเขากลับเข้าไปในกลุ่มทาสอีกครั้งได้อย่างไม่ปรานี“เช่นนั้นเรารีบออกไปจากตลาดกันเถอะ”เสี่ยวถ่านไม่ได้มีความค
“อ๊าก เจ็บ เจ็บยิ่งนัก”เหยลวี่หมิงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาคล้ายกับหมูโดนเชือด สีหน้าบิดเบี้ยวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในขณะเดียวกันนัยน์ตาก็ได้ฉายแววตื่นตระหนกอย่างรุนแรง เขาคาดไม่ถึงว่าบุรุษหน้าตาขี้เหร่ผู้นี้จะมีวิทยายุทธ์ อีกทั้งวิทยายุทธ์ยังสูงมากอีกด้วย แม้ว่าเขาจะไม่ได้โดดเด่นเหมือนพี่ใหญ่ แต่ก็เหนือชั้นกว่าคนทั่วไป“พวกเจ้ามัวอึ้งทำไม? รีบเข้ามาช่วยข้าสิ”เหยลวี่หมิงช่างไร้ยางอายยิ่งนัก หลังจากพบว่าตัวเองสู้บุรุษผู้นั้นไม่ได้ จึงรีบออกคำสั่งขอกำลังเสริมทันทีครั้นเห็นทหารม้าทั้งสองฝ่ายกำลังจะต่อสู้กัน กลุ่มคนที่มุงดูเรื่องชาวบ้านก็พากันถอยออก และล้อมเอาไว้เป็นวงกว้าง คอยมุงดูอยู่ไกล ๆ ไม่กล้าเข้ามาใกล้“เจ้ากล้าลงมือกับข้า ตายเสียเถอะ”นัยน์ตาของเหยลวี่หมิงฉายแววโหดร้าย พี่ใหญ่ปวดใจกับเขามาโดยตลอด คนรับใช้ข้างกายของเขาก็คือองครักษ์ลับข้างกายพี่ใหญ่คนเหล่านี้ต่างก็มีฝีมือไม่เป็นสองรองใคร โดยปกติแล้วจะไม่ลงมือง่าย ๆ หากลงมือแล้วพวกเขาจะเล่นกันถึงตายบุรุษผู้นี้จะต้องตายสถานเดียว!นัยน์ตาของเขาฉายแววโหดเหี้ยม วินาทีต่อมาก็ต้องตกตะลึงอย่างมากคนรับใช้เหล่านั้นยังไม่ทันได้เข้
“พวกเจ้าว่าชายหญิงคู่นั้นเป็นใครกัน?”“ไม่รู้สิ”ทุกคนพากันรวมตัว ทยอยกันคาดเดาไปต่าง ๆ นานา ส่วนใหญ่ล้วนแต่ฟังมาจากข่าวลือที่ไม่มีมูลในเวลานี้ เสียงอันภาคภูมิใจเสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้น“ข้ารู้ว่าชายหญิงคู่นั้นเป็นใคร ชายหญิงคู่นั้นคือเจิ้นเป่ยอ๋องและพระชายาเจิ้นเป่ย”ทุกคนมองไปตามเสียง กระทั่งเห็นบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาภายใต้การรายล้อมของคนรับใช้ครั้นเห็นเสื้อผ้าอันหรูหราของอีกฝ่าย คนในฝูงชนก็ตอบสนองในทันที“นี่คงไม่ใช่น้องชายของท่านแม่ทัพเหยลวี่เจิง เหยลวี่หมิงหรอกนะ? คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะเจอเขาที่นี่ ว่าแต่เจิ้นเป่ยอ๋องและพระชายาเจิ้นเป่ยที่เขาเอ่ยถึงเป็นใครกันแน่?”เสียงกระซิบกระซาบในกลุ่มดังขึ้น เนื่องจากเหยลวี่เจิงนั้นมีอำนาจเหนือกว่าทูเจวี๋ย ดังนั้นในตอนที่ทุกคนเห็นเหยลวี่หมิง ทุกคนก็อดแสดงสีหน้าหวาดกลัวไม่ได้“เหอะ ๆ ก็แค่คนน่ารังเกียจสองคนเท่านั้น”สีหน้าของเหยลวี่หมิงฉายแววโหดเหี้ยม เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่อย่างมากไม่แปลกใจเลย เขาเป็นน้องชายของเหยลวี่เจิง จะชอบซูจิ่งสิงได้อย่างไร?“แต่ท่านรู้ได้อย่างไรว่าสองคนนั้นคือเจิ้นเป่ยอ๋องและพระชายาเจิ้น
“คนในครอบครัวของเจ้าตายกันหมดแล้วหรือ?”กู้หว่านเยว่ปวดใจกับเด็กคนนี้มาก จึงยื่นขนมอีกชิ้นให้เขา“ทุกคนตายหมดแล้วขอรับ เหลือเพียงข้าผู้เดียว”ครั้นนึกถึงเรื่องเสียใจ เสี่ยวถ่านก็มักจะก้มหน้าลง จากนั้นหยดน้ำตาก็ได้หลั่งรินออกมาจากดวงตาของเขาเขาคิดถึงท่านแม่“เอาละ หยุดร้องได้แล้ว แม้ว่าคนในครอบครัวของเจ้าจะตายกันหมดแล้ว แต่เจ้าก็ต้องใช้ชีวิตให้ดี”กู้หว่านเยว่ตักน้ำแกงไก่ให้เขา นางมักจะรู้สึกว่าสถานะของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไม่ธรรมดากิริยามารยาของเขาดูไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดา จู่ ๆ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว“ประตูเมืองเปิดแล้ว!”ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทันใดนั้นเสียงตะโกนระลอกหนึ่งก็ดังมาจากด้านนอก จากนั้นความโกลาหลก็เกิดขึ้นขึ้นในฝูงชนที่ล้อมรอบ ทุกคนต่างทยอยกันเข้ามารวมตัวกันหน้าประตูเมือง“น้องหญิง เราเองก็เข้าเมืองกันเถอะ”ซูจิ่งสิงเปิดผ้าม่าน ก่อนจะกล่าวทักทายกู้หว่านเยว่ ไหน ๆก็จะเข้าเมืองแล้ว พวกเขาคงนั่งอยู่บนรถม้าไม่ได้อีก ต้องลงจากรถม้ามาตรวจสอบถึงจะถูก “เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่คว้ามือของเสี่ยวถ่านลงมาจากรถม้า และเดินมาต่อแถวอยู่ด้านหลังของกล