เดินกะโผลกกะเผลกออกไปด้านนอก“ข้าประคองท่านไป” กงซุนซวงถลันขึ้นมา เห็นเจียงหลินต่อต้านเล็กน้อย นางเอ่ยปากอย่างหวังดี“ท่านไม่รู้เรือนของเมิ่งฮูหยินอยู่แห่งใด ข้าพาท่านไปเถอะ”“ขอบคุณมาก” เจียงหลินได้ยินก็พยักหน้าลงทั้งสองรีบเดินทางมาถึงลานบ้านของเมิ่งเหยียน ปรากฏว่าไม่เห็นเมิ่งเหยียน กลับมองเห็นลั่วยางกำลังคัดแยกยาสมุนไพรอยู่ภายนอกนับตั้งแต่ขจัดความลุ่มหลงในความรักไป ลั่วยางก็หันมาให้ความสนใจต่อยาสมุนไพร“นี่พวกเจ้า?”ลั่วยางมองเจียงหลินและกงซุนซวงด้วยสายตาไม่เป็นมิตร หลายวันนี้ได้เห็นเมิ่งเหยียนตาแดงกลับมาหลายหน ภาพประทับใจต่อทั้งคู่จึงไม่ดีขึ้นมาก“ได้ยินมาว่าพวกเจ้าพูดคุยเรื่องแต่งงานกันแล้ว ยังมาที่นี่ทำอันใด? ในเมื่อยุ่งเพียงนี้ ก็อย่าเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเลย”อุปนิสัยของลั่วยางได้ตามปรมาจารย์แพทย์อยู่บ้าง พูดอย่างไม่สบอารมณ์“นางเล่า?” เจียงหลินเปิดปากพูดได้อย่างยากลำบากลั่วยางถลึงตาใส่เขาหลายหน อยากพูดอะไร มองเห็นขอบตาเจียงหลินแดงเรื่อแล้ว ชี้เข้าไปภายในห้อง“หลังกลับมาก็ขังตนเองอยู่ภายในห้อง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมา”“ขอบคุณมาก” เจียงหลินมองลั่วยางอย่างซาบซึ้งใจแว
“น้องหญิง ปวดหัวหรือ?”ซูจิ่งสิงเห็นกู้หว่านเยว่กังวล ช่วยนางนวดขมับอย่างปวดใจ“เรื่องทางฝั่งเมืองหลวงพวกเรายังไม่ต้องรีบ ให้คนจับตาดูดีๆ ก่อน”กู้หว่านเยว่เก็บภาพวาด “ยังจัดการเรื่องซีเป่ยก่อนเถอะ พวกเราต้องรีบกลับเจดีย์หนิงกู่”นางมีลางสังหรณ์ จากนี้ไปเจดีย์หนิงกู่จะไม่สงบสุขอีกต่อไปส่วนเถาเอ๋อร์ แม้กู้หว่านเยว่ปวดหัวอยู่บ้าง กลับไม่กังวลมากนักในเมื่อสามารถทำให้เถาเอ๋อร์พ่ายแพ้ไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็ยังมีครั้งต่อไป“ฮูหยิน ฮูหยินแย่แล้ว!” ทันใดนั้นกงซุนซวงวิ่งพรวดพราดเข้ามาจากภายนอกไม่ใส่ใจสองสามคนที่ยังปรึกษากัน ก็วิ่งเข้ามาหยุดหน้ากู้หว่านเยว่แล้ว“หมอหญิงลั่วให้ข้ามาเชิญท่าน” นางร้องไห้อย่างรู้สึกผิด“เมิ่งเหยียนนาง นางกินยาฆ่าตัวตายแล้ว”หากรู้ตั้งแต่แรก กงซุนซวงไม่มีวันจงใจกระตุ้นเมิ่งเหยียนต่อหน้าเจียงหลินอย่างแน่นอนนางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าอุปนิสัยของเมิ่งเหยียนจะรุนแรงเพียงนี้ นางคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนรู้รุกรู้ถอย“ขออภัย ต้องโทษข้า ข้าควรฟังท่านตั้งแต่แรก”ยามกู้หว่านเยว่เอ่ยเตือนนาง นางมิได้เก็บมาใส่ใจกงซุนซวงเสียใจภายหลังเหลือหลาย“พาข้าไป”กู้หว่านเยว่เองก
“กินยาสัตว์เข้าไป แม้มิใช่ยาพิษ แต่มนุษย์มิอาจทนไหว เมื่อครู่ข้าใช้ยาสมุนไพรฝืนกระตุ้นอาเจียนนางแล้ว แต่ร่างกายนางน่าจะยังมีอยู่”ลั่วยางมอบยาสัตว์ที่เหลืออยู่ให้กู้หว่านเยว่ “ท่านดูเถอะว่านี่คือยาพิษอะไร แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เข้าใจยาสัตว์มากมายนัก ไม่แน่ใจ”กู้หว่านเยว่จับชีพจรของเมิ่งเหยียนก่อน จากนั้นถอนหายใจ “เจ้าทำถูกต้องยิ่งนัก โชคดีเจ้ากระตุ้นอาเจียนได้ทันเวลา หาไม่แล้วต่อให้ข้ามาก็ไร้ความหมาย”ทว่า มองจากอาการตอนนี้ของเมิ่งเหยียน ยังต้องล้างกระเพาะก่อนยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็ต้องนำยาสัตว์นี้เข้าไปทดลองภายในมิติวิเศษ“ต่อจากนี้น่าจะไม่มีอะไรให้ข้าทำแล้ว ข้าออกไปรอท่านข้างนอก” ลั่วยางถอนตัวออกไปอย่างรู้ความ หมอทั่วไปล้วนไม่หวังคนอื่นครูพักลักจำทักษะประจำตัวของตน นางคิดว่ากู้หว่านเยว่ต้องการใช้ทักษะเฉพาะตัวกู้หว่านเยว่เห็นแล้วก็ไม่อธิบาย นางอยากพาเมิ่งเหยียนเข้ามิติจริงนั่นล่ะประตูปิดลง กู้หว่านเยว่โบกมือก็พาเมิ่งเหยียนเข้ามิติส่งนางเข้าหอแห่งโอสถเพื่อล้างกระเพาะก่อน จากนั้นเริ่มวิเคราะห์ยาสัตว์ยังดีนี่มิใช่ยาฆ่าหญ้าฤทธิ์รุนแรงทำนองนั้น ก่อนล้างกระเพาะลั่วยางกระตุ้นอา
กู้หว่านเยว่ยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ครุ่นคิดภายในใจ เจ้าลืมไปแล้วใช่หรือไม่ ในอดีตเจ้าเองก็เป็นพวกคลั่งรักคนหนึ่ง“เมิ่งเหยียน รบกวนเจ้าดูแลแล้ว”กู้หว่านเยว่นวดหน้าผากของตนอย่างอ่อนล้า หลายวันนี้งานที่ต้องทำภายในเจดีย์หนิงกู่มีมากเกินไปแล้ว“วางใจได้ ยกให้ข้าเถอะ”ลั่วยางมองสีหน้ากู้หว่านเยว่อย่างสงสารแวบหนึ่ง ถามอย่างกังวล “เห็นสีหน้าท่านไม่ดี มิสู้ให้ข้าจับชีพจรสักหน่อย?”กู้หว่านเยว่กำลังตั้งครรภ์ ไม่อาจละเลยได้นับตั้งแต่ล่วงรู้วิชาแพทย์ของกู้หว่านเยว่ ลั่วยางเลื่อมใสนางด้วยใจจริง อีกทั้งยังไม่หวังให้นางเป็นอะไร“ก็ได้”กู้หว่านเยว่ตรวจชีพจรของตนยามว่าง แต่นางย่อมเข้าใจว่าหมอไม่รักษาตนเองหลักการนี้วิชาแพทย์ของลั่วยางไม่เลว ให้นางดูอาการก็มั่นใจมากยิ่งขึ้น“ขอมือให้ข้า”ลั่วยางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา นิ้ววางบนข้อมือกู้หว่านเยว่ สีหน้าตกตะลึง“ชีพจรนี้...”“เป็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ยังไม่ทันเปิดปาก ซูจิ่งสิงก็เร่งถามออกไปแล้ว กังวลกู้หว่านเยว่และลูกจะอาการไม่ดีลั่วยางมีเหงื่อผุด ซูจิ่งสิงเป็นฝ่ายพูดกับนางก่อนเป็นคำรบแรกสบสายตาเย็นชาคู่นั้น นางรีบพูด“เด็กแข็งแรงมีชี
“หากฮูหยินพาข้าไป ข้าจะต้องสามารถช่วยฮูหยินได้แน่”กู้หว่านเยว่เพียงแปลกใจอยู่บ้าง กงซุนฉิงถึงขั้นยินดีติดตามนางไปยังเจดีย์หนิงกู่แท้จริงแล้วนอกจากกงซุนฉิง กงซุนจ่างเย่เองก็อยากไปด้วย เพียงแต่เขานึกได้ว่าบัดนี้ตนเองกลายเป็นคนพิการคนหนึ่ง เก้อกระดากเกินกว่าจะเอ่ยปากออกไปหลังดึงสติกลับมาแล้ว นางพยักหน้าอย่างอ่อนโยน “ได้”“แต่เวลากระชั้นชิด พวกเราต้องล่วงหน้าเดินทางไปก่อนหนึ่งก้าว”กงซุนฉิงรีบพูดอย่างรู้ความ “เรื่องนี้ไม่เป็นไร ข้ายังต้องอยู่นับจำนวนนักรบหมาป่าและม้าศึก สามวันให้หลังจะออกเดินทางตามพวกท่านไป”“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้แล้ว”ลงท้ายกงซุนฉิงก็เป็นสมบัติล้ำค่าของสกุลกงซุน กู้หว่านเยว่กังวลนางจะได้รับบาดเจ็บ ตั้งให้ชิงเหลียนและองครักษ์จันทราอยู่ต่อ เพื่อคุ้มครองกงซุนฉิงระหว่างเดินทาง“ฮูหยิน นายท่าน วางใจได้ พวกเราจะดูแลคุณหนูฉิงอย่างดี”“รบกวนพวกเจ้าแล้ว”กงซุนฉิงประกบมือให้องครักษ์จันทราคนเหล่านี้ล้วนเป็นองครักษ์ส่วนตัวของกู้หว่านเยว่ แม้ว่าฐานะเป็นบ่าวรับใช้ แต่ตำแหน่งกลับไม่ต่ำ ย่อมต้องเกรงใจสักหน่อยเจียงเฟิ่งสูงราวหนึ่งเมตรแปดมองความสูงเท่ามันฝรั่งของกงซุนฉิงแวบ
ภายในราชสำนัก เหล่าขุนนางต่างมีสีหน้าฝืดเฝื่อน กล่าวรายงานภัยพิบัติแต่ละแห่ง“ฝ่าบาท บัดนี้ภัยพิบัติทุกแห่งร้ายแรงเพียงนี้ เป็นช่วงเวลาต้องการเงิน มิอาจทนทุกข์ต่อไปได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขุนนางอาวุโสคนหนึ่งกราบบังคมทูลอย่างลังเล เขาอยากเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้อย่าเพิ่งโจมตีเจดีย์หนิงกู่ นำกำลังเงินทั้งหมดมาบรรเทาทุกข์ครุ่นคิด ไม่กล้าเอ่ยปากฮ่องเต้สนใจเพียงความสนุกครึกครื้นมาโดยตลอด นับตั้งแต่เงินในคลังส่วนพระองค์ถูกปล้นไป ก็เริ่มใช้ท้องพระคลังหลวงมาปรับปรุงก่อสร้างวังหลวงขุนนางใหญ่คุ้นชินกับการเอาใจฮ่องเต้เอ่ยว่า “ไม่ว่าท้องพระคลังหลวงกระเบียดกระเสียรเยี่ยงไร ก็ไม่สามารถหยุดปราบกบฏได้”เขาเปล่งเสียงดังขึ้น “ซูจิ่งสิงบังอาจเพียงนี้ ขวัญกล้าก่อกบฏอย่างเป็นความลับที่เจดีย์หนิงกู่ ภายภาคหน้าอาจเกิดปัญหาร้ายแรงตามมาได้พ่ะย่ะค่ะ!”หากกู้หว่านเยว่อยู่ที่นี่ จะต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า คนพูดก็คือขุนนางชั่วเจียงเต๋อจื้อที่พาทหารไปยึดทรัพย์จวนเจิ้นเป่ยอ๋องในตอนนั้นหลังเขาเหยียบย่ำซูจิ่งสิงขึ้นสู่ตำแหน่งได้ บัดนี้ก็เป็นขุนนางระดับสามแล้ว“หากฝ่าบาทสามารถเชื่อพระทัย กระหม่อมยินดีนำทัพไปตัดหัวซูจิ
“ครั้งนี้ไม่สามารถโอนอ่อนผ่อนตามปล่อยให้คนชั่วกำเริบเสิบสานได้อีกแล้ว ในเมื่อเขาปฏิเสธน้ำพระทัยของฝ่าบาท เช่นนั้นฝ่าบาทก็อย่าได้มีเมตตาต่อเขาอีกเลย ส่งคนไปฆ่าเขาโดยเร็วเถอะเพคะ” ฮองเฮาเอ่ยปากเร็วรี่มู่หรงถิงแปลกใจอยู่บ้าง “ปกติแล้วเจ้าไม่เคยถามเรื่องภายในราชสำนัก ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าเราฆ่าใคร เจ้าก็เกลี้ยกล่อมแล้วเกลี้ยกล่อมอีกมิใช่หรือ? เหตุใดครั้งนี้เด็ดขาดเพียงนี้เล่า?”“หม่อมฉันเพียงกังวลฝ่าบาทเพคะ ครั้งก่อนฝ่าบาทปล่อยเขาไปแล้วหนึ่งครั้ง หากยังมีเมตตาต่อเขาอีก น่ากลัวว่าอาจเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นได้”สีหน้าฮองเฮาไม่เป็นธรรมชาติ แต่ถูกนางปกปิดไว้อย่างดี กลับมามีสีหน้าอ่อนโยนอ่อนแออย่างว่องไว“หม่อมฉันกังวลราชอาณาจักรของฝ่าบาทจะถูกคนเช่นนี้ทำลาย ดังนั้นจึงขอให้ฝ่าบาทประหารคนชั่ว จะมีเมตตาต่อเขาอีกครั้งไม่ได้แล้ว”พูดถึงตรงนี้ นางหันหน้า จงใจปล่อยน้ำตารินไหลลงมาหนึ่งหยด พูดอย่างเจ็บปวด“หากรู้ตั้งแต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ครั้งก่อนยามฝ่าบาทต้องการฆ่าเขา หม่อมฉันก็สมควรให้ฝ่าบาททำตามพระประสงค์ของพระองค์เองฝ่าบาท ตอนนี้หม่อมฉันเสียใจภายหลังยิ่งนัก เมื่อแรกยามเหล่าขุนนางขัดขวางพระองค์
“เหลือเพียงที่สุดท้ายเท่านั้น”กู้หว่านเยว่ถือแผนที่ สถานที่สุดท้ายนี้คือเหมืองทองคำ เมื่อหันกลับมา นางก็เห็นว่าสายตาของซูจิ่งสิงดูมืดมน“ท่านพี่?”ซูจิ่งสิงรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว เริ่มอธิบายทันที“น้องหญิง ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเสียสมาธิ เพียงสงสัยว่าเป้าหมายต่อไปของหญิงลึกลับคนนั้น คือจินอ๋องหรือเปล่า”หากเป็นจริงดังที่กงซุนหงพูด หญิงลึกลับคนนั้น คงเป็นทายาทหนานหลี่อ๋องเป้าหมายต่อไปของนาง คงจะเป็นจินอ๋อง คนที่สามที่เข้าร่วมโจมตีหนานหลี่อ๋อง“คลังสมบัติส่วนตัวสุดท้ายของมู่หรงอวี้ ดูเหมือนจะอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ”เหอตงอุดมไปด้วยแร่ มีเหมืองมากมายนับไม่ถ้วน“ไปที่คลังสมบัติส่วนตัวของมู่หรงอวี้ก่อน”ซูจิ่งสิงสงบลง เขาไม่สนิทกับจิ้นอ๋อง แต่กลับพุ่งเข้าไปบอกเรื่องนี้กับอีกฝ่ายต่อหน้า อนาคตอาจเป็นปัญหาได้คาดว่าอีกฝ่ายคงจะไล่เขาออกมา ไม่ก็แจ้งศาลให้มาจับตัว“เอาล่ะ ไปที่เหมืองของมู่หรงอวี้กันก่อนเถอะ”ทั้งสองจอดเฮลิคอปเตอร์ในพื้นที่เปิดโล่งด้านนอกเหมือง จากนั้นกู้หว่านเยว่ก็โบกมือ เก็บเฮลิคอปเตอร์เข้าไปในมิติ และพาซูจิ่งสิงไปที่เหมือง“ข้างหน้ามีหมู่บ้านอยู่ ไปดูกันเถอะ”แม้ว่า
“นี่คือเรือใหญ่ของหมู่บ้านเรา สามารถจุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ด้านท้ายเรือยังมีเรือเล็กอีกสองลำ เพื่อความสะดวกในการให้คนลงไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านแนะนำ กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบบันไดขึ้นไปบนเรือใหญ่ทันที“หว่านเยว่!”แววตาของซูจิ่งสิงทั้งเอ็นดูและจนปัญญา“เจ้าห้ามไปที่ทะเลสาบ ตกลงกันแล้ว”“เราเป็นสามีภรรยากัน”กู้หว่านเยว่กะพริบตา กล่าวอย่างซุกซน“หากมีอันตราย ก็จะได้ตายไปพร้อมกัน”ซูจิ่งสิง ...ระหว่างพูด กู้หว่านเยว่ก็ขึ้นไปบนเรือแล้ว พร้อมกับเรียกให้ทุกคนขึ้นมา ซูจิ่งสิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลางเหาะขึ้นไปบนเรือ แล้วโอบเอวนางไว้“ชิงหว่าน”สายตาของเผยเสวียนฉายแววไม่เห็นด้วย ทำให้เมี่ยชิงหว่านโกรธมาก“คนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรคือท่านพ่อของข้า หากท่านรักตัวกลัวตายก็ไม่ต้องไป แต่ข้าต้องไปให้ได้”พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วก้าวขึ้นเรือไปเผยเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นตามไปด้วยสีหน้ามืดมนเนื่องจากมาตรวจสอบหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ซูจิ่งสิงจึงนำองครักษ์ที่พายเรือเป็นมาล่วงหน้า หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือแล้ว ซูจิ่งสิงก็สั่งให้องครักษ์พายเ
“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งชิงโบกมือให้ลุก เขามีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่ต้องมากพิธีเขาเปิดเรื่องถามทันที “ทะเลสาบที่เกิดเรื่องอยู่ไหน?”“ด้านหลังหมู่บ้าน เชิญท่านอ๋องตามข้าน้อยมา”ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีใครสนใจ คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเดินทางมาด้วยตัวเองจากปากทางหมู่บ้านไปถึงทะเลสาบยังห่างไปอีกช่วงหนึ่ง กู้หว่านเยว่จึงถือโอกาสถามทันทีว่า“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังหน่อยเจ้าค่ะ”ผู้ใหญ่บ้านสังเกตเห็นว่าข้างกายของท่านอ๋องนั้นยังมีสตรีหน้าตางดงามอีกหนึ่งคนตั้งแต่ที่ท่านอ๋องจูงมือของนาง แสดงท่าทางปกป้องมากเป็นพิเศษ ผู้ใหญ่บ้านพอจะเดาสถานะของกู้หว่านเยว่ได้ครั้นเห็นนางเอ่ยปากถาม จึงรีบกล่าวทันที“รายงานพระชายา ทะเลสาบแห่งนี้ชื่อว่าทะเลสาบโก่วสยง”เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างตกปลาเลี้ยงชีพจากทะเลสาบแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน กลับเกิดพายุครั้งใหญ่เกิดฟ้าผ่าสายหนึ่งกลางทะเลสาบโก่วสยงแห่งนี้“ยามนั้นเรียกได้ว่าแผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง จนชาวบ้านต้องพากันออกมาดูสถานการณ์ ผลปรากฏว
“ว่ามา”“เช้าตรู่วันนี้ หมู่บ้านชาวประมงมีชาวประมงสูญหายอีกสองคน หนานหยางอ๋องทรงรับสั่งให้รุดหน้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าหลังจากที่มาถึงกลางทะเลสาบ เรือและคนก็ล้วนหายไปพร้อมกันขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป “หนานหยางอ๋องไปที่นั่นได้อย่างไร?”“พระชายาทรงยังไม่ทราบ เดิมทีหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นเป็นที่ตั้งหลักของกองทัพทหารหนานหยางอ๋อง”ฉู่เฟิงกล่าวอธิบาย คิ้วของกู้หว่านเยว่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม“ท่านพี่ เรารีบไปดูกันเถอะ”ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินทาง คาดไม่ถึงว่าหนานหยางอ๋องจะเกิดเรื่องเช่นนี้ก่อน ดังนั้นแผนการเดิมคือการสำรวจหมู่บ้านชาวประมงอย่างช้า ๆ หากหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นอันตรายมากจริง ๆ ก็ต้องล้อมทะเลสาบนั้นไว้ ห้ามใครเข้าไปเด็ดขาดแต่ตอนนี้หนานหยางอ๋องดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เรื่องราวกลับเลวร้ายมากขึ้นทุกที“เราต้องไปดูก่อน ฉู่เฟิงเจ้ามาบังคับม้า เร่งความเร็วกว่านี้”ฉู่เฟิงพยักหน้า ทันทีที่กระโดดขึ้นรถม้าก็เห็นรถม้าอีกคันไล่ตามมา“พี่หญิงหว่านเยว่!”เมี่ยชิงหว่านเปิดม่านหน้าต่างรถม้า ก่อนจะชะโงกหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาออกมา“ท่านพ่อเกิดเรื่องแล้ว
เช้าวันที่สอง ในที่สุดซูจื่อชิงก็ลืมตาหลังจากเมาค้างมาหนึ่งคืนเต็ม อาการปวดหัวของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น วินาทีต่อจากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงฉับพลัน“ชิวจู๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงของเขา อีกทั้งบนตัวของนางก็สวมใส่เพียงเสื้อเอี๊ยมชิ้นเดียวซูจื่อชิงกระโดดลงจากเตียงทันที จากนั้นก็มองไปยังเสื้อผ้าที่ร่วงอยู่บนพื้นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “เมื่อคืนคุณชายรองคิดว่าข้าเป็นผู้อื่น จึงถอดเสื้อผ้าของข้า...”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของซูจื่อชิงซีดเผือดลง เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายพูดเป็นนัยอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เวลานี้อาการปวดหัวของเขาทวีคูณมากขึ้น เขาไม่มีความภาพความประทับใจของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย เขาคิดไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรชิวจู๋หรือไม่“เราสองคนทำอะไรกันแน่?”เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยนึกชอบชิวจู๋“เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายรองยังอยากจะให้ข้าพูดออกมาอีกอย่างนั้นหรือ แล้วข้ายังจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ น้
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่
นางหยางปาดน้ำตา “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลกู้จื่อชิงให้ดี มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว เรื่องในวันนี้คงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเจ้าเอง”ชิวจู๋กัดริมฝีปากพยักหน้าหลังจากที่กู้หว่านเยว่ต้มยาระงับประสาทให้แล้ว ก็ยื่นใบสั่งยาให้คนอื่น เพื่อเตรียมสมุนไพรนางแอบลากซูจิ่งสิงเข้ามาในมุมหนึ่งของลานกว้าง“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงไม่พูดสิ่งใด เรื่องความรู้สึกของซูจื่อชิงเขาเองก็ไม่รู้จะเข้าไปแทรกอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมี่ยชิงหว่านกำลังจะหมั้นกับเผยเสวียนแล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปชิงตัวใครออกมาอย่างแน่นอนครั้นกู้หว่านเยว่เห็นซูจิ่งสิงไม่กล่าวสิ่งใด ก็รู้ทันทีว่าคนที่แข็งกระด้างด้านความรู้สึกอย่างเขาคงไม่มีทางคิดออกแน่นอนดังนั้น นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ท่านไม่รู้สึกว่าการแต่งงานของเมี่ยชิงหว่านและเผยเสวียนกะทันหันเกินไปหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”“ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน มากสุดเพียงครึ่งเดือน อีกทั้งช่วงเวลานี้ ชิงหว่านไม่ได้สนใจเผยเสวียนเลย กลับเป็นเผยเสวียนที่คอยเอาแต่ประกาศอยู่เรื่อย ๆ ทำ
“คุณชายรองเราไปกันเถอะ ในเมื่อคุณหนูฟู่ตัดสินใจจะหมั้นกับคุณชายเผยแล้ว ต่อให้ท่านรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ”ชิวจู๋ประคองซูจื่อชิงลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าซูจื่อชิงจะรับแรงกระตุ้นไม่ไหวกระอีกออกมาเป็นเลือดและสลบไปในที่สุด“คุณชายรอง คุณชายรอง!” ชิวจู๋รีบประคองซูจื่อชิงกู้หว่านเยว่กำลังคุยเรื่องนี้กับซูจิ่งสิงพอดี ครั้นได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าซูจื่อชิงสลบไม่ได้สติและกระอักออกมาเป็นเลือด“เด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกเขาอยู่หยก ๆ ว่าให้ถนอมร่างกายของตัวเอง ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ด่าทอพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนรีบเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง“เกิดอะไรขึ้น?”ทันทีที่เข้าไปก็เห็นซูจื่อชิงสลบอยู่บนเตียง สีหน้าเขียวคล้ำ มุมปากมีคราบเลือดหยดหนึ่งติดอยู่นางหยางและซูจิ้งกลับมาพอดี ครั้นเห็นบุตรชายกลายเป็นเช่นนี้ ก็เจ็บปวดคล้ายกับโดนมีดหรีดหัวใจ“หว่านเยว่ เจ้ารีบดูอาการให้เขาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าเรียกเขาอยู่ครึ่งวัน กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด”“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป น้องชายรองแค่สลบไปเท่านั้น
“ในเมื่อเขามาหาเจ้าแล้วถึงที่แล้ว เจ้าก็ควรออกพบเขาสักหน่อย”เผยเสวียนคลี่ยิ้มหวาน ทำให้เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วแน่น“ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอใคร เจ้าไปบอกเขาเถอะ ข้าเข้านอนแล้ว”เด็กรับใช้ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง เผยเสวียนตั้งใจลูบแก้มของนาง“สาเหตุที่เขาอยากพบเจ้าตอนนี้ คาดว่าคงยังคาใจ อยากฟังคำตอบจากปากของเจ้าเอง ข้าอยากให้เจ้าออกไปบอกเขาด้วยตัวเอง ให้เขาตัดใจเสียเถิด”เมี่ยชิงหว่านตัวสั่นระริก “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เจอเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ไม่ได้”เผยเสวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ชิงหว่าน เด็กดี เชื่อฟังข้าเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จากการโกรธของข้าจะเป็นอย่างไร”เมี่ยชิงหว่านลังเลเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไป“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปบอกเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกเขาเอง ถึงตอนนั้นอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ข้าเกรงว่าคงจะควบคุมปากไว้ไม่ได้”เผยเสวียนกล่าวพลางสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกนัยน์ตาของเมี่ยชิงหว่านฉายแววเกลียดชัง จากนั้นก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ข้าไปเอง ข้าจะออกไปบอกเขาเอง”“แบบนี้สิ ถึงจะเป็นคู่หมั้นที่น่ารักของข้า”เผยเสวียนหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพลางส
หลังจากเกิดความชุลมุนพักใหญ่ ในที่สุดเจ้าตัวก็ฟื้น “ข้า ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”ซูจื่อชิงมองรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา ท่าทางนั้นเหมือนตายทั้งเป็นกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ชิงหว่านกำลังจะหมั้นแล้ว ต่อไปเจ้าสองคนก็ต้องต่างคนต่างอยู่ เจ้าทำตัวแบบนี้ไปให้ใครดูกัน?”ซูจื่อชิงตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมา“ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ต้องโทษปากของข้าที่เอาแต่ขับไสไล่ส่งนางออกไปไกลมากขึ้นทุกที”ตอนนี้ซูจื่อชิงน้ำตาเช็ดหัวเข่า“ทำไมข้าถึงชอบพูดประชดประชัน ทำไมข้าถึงไม่บอกความรู้สึกของข้ากับนางให้เร็วกว่านี้”บัดนี้คงทำได้แค่มองคนที่ตนรักแต่งงานกับคนอื่นไปต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? หลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจอยู่แต่ในร้านอาหาร ดื่มจนเมามาย เพียงแค่อยากให้ตัวเองไร้ความรู้สึกเท่านั้นน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ไม่สามารถลบล้างด้วยการดื่มเหล้าได้ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ทำได้แค่ลืมไปชั่วขณะ หลังจากสร่างเมากลับมาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม“เสียใจ ข้าเสียใจจริง ๆ”ซูจื่อชิงน้ำตาไหลอาบสอง