ภายในราชสำนัก เหล่าขุนนางต่างมีสีหน้าฝืดเฝื่อน กล่าวรายงานภัยพิบัติแต่ละแห่ง“ฝ่าบาท บัดนี้ภัยพิบัติทุกแห่งร้ายแรงเพียงนี้ เป็นช่วงเวลาต้องการเงิน มิอาจทนทุกข์ต่อไปได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขุนนางอาวุโสคนหนึ่งกราบบังคมทูลอย่างลังเล เขาอยากเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้อย่าเพิ่งโจมตีเจดีย์หนิงกู่ นำกำลังเงินทั้งหมดมาบรรเทาทุกข์ครุ่นคิด ไม่กล้าเอ่ยปากฮ่องเต้สนใจเพียงความสนุกครึกครื้นมาโดยตลอด นับตั้งแต่เงินในคลังส่วนพระองค์ถูกปล้นไป ก็เริ่มใช้ท้องพระคลังหลวงมาปรับปรุงก่อสร้างวังหลวงขุนนางใหญ่คุ้นชินกับการเอาใจฮ่องเต้เอ่ยว่า “ไม่ว่าท้องพระคลังหลวงกระเบียดกระเสียรเยี่ยงไร ก็ไม่สามารถหยุดปราบกบฏได้”เขาเปล่งเสียงดังขึ้น “ซูจิ่งสิงบังอาจเพียงนี้ ขวัญกล้าก่อกบฏอย่างเป็นความลับที่เจดีย์หนิงกู่ ภายภาคหน้าอาจเกิดปัญหาร้ายแรงตามมาได้พ่ะย่ะค่ะ!”หากกู้หว่านเยว่อยู่ที่นี่ จะต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า คนพูดก็คือขุนนางชั่วเจียงเต๋อจื้อที่พาทหารไปยึดทรัพย์จวนเจิ้นเป่ยอ๋องในตอนนั้นหลังเขาเหยียบย่ำซูจิ่งสิงขึ้นสู่ตำแหน่งได้ บัดนี้ก็เป็นขุนนางระดับสามแล้ว“หากฝ่าบาทสามารถเชื่อพระทัย กระหม่อมยินดีนำทัพไปตัดหัวซูจิ
“ครั้งนี้ไม่สามารถโอนอ่อนผ่อนตามปล่อยให้คนชั่วกำเริบเสิบสานได้อีกแล้ว ในเมื่อเขาปฏิเสธน้ำพระทัยของฝ่าบาท เช่นนั้นฝ่าบาทก็อย่าได้มีเมตตาต่อเขาอีกเลย ส่งคนไปฆ่าเขาโดยเร็วเถอะเพคะ” ฮองเฮาเอ่ยปากเร็วรี่มู่หรงถิงแปลกใจอยู่บ้าง “ปกติแล้วเจ้าไม่เคยถามเรื่องภายในราชสำนัก ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าเราฆ่าใคร เจ้าก็เกลี้ยกล่อมแล้วเกลี้ยกล่อมอีกมิใช่หรือ? เหตุใดครั้งนี้เด็ดขาดเพียงนี้เล่า?”“หม่อมฉันเพียงกังวลฝ่าบาทเพคะ ครั้งก่อนฝ่าบาทปล่อยเขาไปแล้วหนึ่งครั้ง หากยังมีเมตตาต่อเขาอีก น่ากลัวว่าอาจเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นได้”สีหน้าฮองเฮาไม่เป็นธรรมชาติ แต่ถูกนางปกปิดไว้อย่างดี กลับมามีสีหน้าอ่อนโยนอ่อนแออย่างว่องไว“หม่อมฉันกังวลราชอาณาจักรของฝ่าบาทจะถูกคนเช่นนี้ทำลาย ดังนั้นจึงขอให้ฝ่าบาทประหารคนชั่ว จะมีเมตตาต่อเขาอีกครั้งไม่ได้แล้ว”พูดถึงตรงนี้ นางหันหน้า จงใจปล่อยน้ำตารินไหลลงมาหนึ่งหยด พูดอย่างเจ็บปวด“หากรู้ตั้งแต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ครั้งก่อนยามฝ่าบาทต้องการฆ่าเขา หม่อมฉันก็สมควรให้ฝ่าบาททำตามพระประสงค์ของพระองค์เองฝ่าบาท ตอนนี้หม่อมฉันเสียใจภายหลังยิ่งนัก เมื่อแรกยามเหล่าขุนนางขัดขวางพระองค์
“เหลือเพียงที่สุดท้ายเท่านั้น”กู้หว่านเยว่ถือแผนที่ สถานที่สุดท้ายนี้คือเหมืองทองคำ เมื่อหันกลับมา นางก็เห็นว่าสายตาของซูจิ่งสิงดูมืดมน“ท่านพี่?”ซูจิ่งสิงรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว เริ่มอธิบายทันที“น้องหญิง ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเสียสมาธิ เพียงสงสัยว่าเป้าหมายต่อไปของหญิงลึกลับคนนั้น คือจินอ๋องหรือเปล่า”หากเป็นจริงดังที่กงซุนหงพูด หญิงลึกลับคนนั้น คงเป็นทายาทหนานหลี่อ๋องเป้าหมายต่อไปของนาง คงจะเป็นจินอ๋อง คนที่สามที่เข้าร่วมโจมตีหนานหลี่อ๋อง“คลังสมบัติส่วนตัวสุดท้ายของมู่หรงอวี้ ดูเหมือนจะอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ”เหอตงอุดมไปด้วยแร่ มีเหมืองมากมายนับไม่ถ้วน“ไปที่คลังสมบัติส่วนตัวของมู่หรงอวี้ก่อน”ซูจิ่งสิงสงบลง เขาไม่สนิทกับจิ้นอ๋อง แต่กลับพุ่งเข้าไปบอกเรื่องนี้กับอีกฝ่ายต่อหน้า อนาคตอาจเป็นปัญหาได้คาดว่าอีกฝ่ายคงจะไล่เขาออกมา ไม่ก็แจ้งศาลให้มาจับตัว“เอาล่ะ ไปที่เหมืองของมู่หรงอวี้กันก่อนเถอะ”ทั้งสองจอดเฮลิคอปเตอร์ในพื้นที่เปิดโล่งด้านนอกเหมือง จากนั้นกู้หว่านเยว่ก็โบกมือ เก็บเฮลิคอปเตอร์เข้าไปในมิติ และพาซูจิ่งสิงไปที่เหมือง“ข้างหน้ามีหมู่บ้านอยู่ ไปดูกันเถอะ”แม้ว่า
“เหมืองอะไรหรือ? ข้าไม่รู้หรอกเจ้าค่ะ”เห็นได้ชัดว่าป้าเก่อกำลังซ่อนอะไรบางอย่างไว้ ทั้งนางยังกลัวมากจนเผลอเทน้ำร้อนหกลงพื้นโชคดีที่ซูจิ่งสิงมือไวตาเร็ว จับอ่างน้ำร้อนเอาไว้ทัน“ข้ากับภรรยาก็แค่สงสัยเลยอยากถาม ไม่ต้องตื่นตระหนกขนาดนั้น”ซูจิ่งสิงเดินเข้าไปในห้องโดยถืออ่างน้ำร้อนไว้ในมือ ส่วนป้าเก่อหันหลังกลับไปด้วยความตื่นตระหนกทั้งสองมองหน้ากัน เข้าใจตรงกันโดยปริยายก่อนจะมองเห็นป้าเก่อเดินไปที่ลานข้างๆ“เป็นอย่างไรบ้าง? สองคนนั้นถูกเจ้าทำให้สลบหรือยัง?”ชายสูบบุหรี่คนหนึ่งกล่าว“ยังเลยเจ้าค่ะๆ หนึ่งในนั้นคือหญิงตั้งครรภ์ พวกเขาระวังตัวกันมาก”ป้าเก่อเล่าเรื่องที่ทั้งสองสืบหาข่าวเหมืองออกมาอย่างลังเล“คงไม่ใช่ว่าเบื้องบนส่งคนมาก่อปัญหาหรอกนะ?”“จะเป็นไปได้อย่างไร? เหมืองของเราถูกซ่อนไว้มิดชิด และทุกครั้งก็เลือกลงมือเฉพาะคนที่เดินผ่านไปมา ไม่มีใครรู้เรื่องนี้แน่นอน”ชายคนนั้นหยิบผงยาออกมาหนึ่งห่อ พูดออกมาอย่างไม่เห็นด้วย“เจ้าใส่ยานี้ในอาหารของพวกเขา ผู้ชายยกให้คนของข้า ส่วนผู้หญิงพาเข้ามาในห้องข้า”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงนอนฟังอยู่บนหลังคา หลังจากที่ชายคนนั้นพูดออกมา
กู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิง ก้าวไปข้างหน้า จัดการอันธพาลที่ขวางประตูไว้จากนั้นก็หยิบกุญแจออกมาจากอันธพาลแล้วเปิดประตูเข้าไปคนที่ถูกขังอยู่ข้างใน คือหญิงงามผู้หนึ่ง ระหว่างคิ้วปรากฏท่าทางอย่างสตรีผู้กล้าอาจเป็นเพราะนางไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามากะทันหัน เสียงก่นด่าจึงชะงักลงหลังจากกลับมามีสติ นางก็เริ่มถากถาง“เจ้าสองคนเป็นใคร? ไปบอกหวังซานนั่นเสีย ว่าข้าจะไม่มีวันเชื่อฟังมัน!”“อยากให้ข้าแต่งงานด้วย ชาติหน้าเถอะ!”นางตื่นตระหนกอย่างยิ่ง เกือบจะทุบถ้วยชาจนแตกด้วยซ้ำกู้หว่านเยว่กลัวว่าเสียงของนางจะเรียกคนอื่นมาเพิ่ม จึงรีบพูดว่า“แม่นาง หวังซานที่ท่านพูดถึง คือผู้ชายที่มีไฝดำขนาดใหญ่บนหน้าหรือ?”“ใช่แล้ว” เนี่ยชิงหลานมองดูกู้หว่านเยว่อย่างระมัดระวังอาจเป็นเพราะเห็นว่านางดูไม่ใช่คนไม่ดี นางจึงสงบลงเล็กน้อย“พวกเจ้าเป็นใคร? ไม่ใช่ลูกน้องของหวังซานหรอกหรือ?”“ข้าท้องป่องเช่นนี้ จะไปเป็นลูกน้องเขาได้อย่างไร? อีกอย่าง เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นนายของเรา”กู้หว่านเยว่กล่าวอย่างหยิ่งผยองท่าทางอย่างผู้พเนจร เมื่ออยู่ภายใต้สายตาของเนี่ยชิงหลาน ไม่เพียงแต่ชื่นชอบเท่านั้น แต่ยังรู้สึก
เมื่อมองดูใบหน้าของทั้งสองคน หวังซานก็นึกถึงสิ่งที่ป้าเก่อพูดขึ้นมาทันที ก่อนจะคาดเดาตัวตนของพวกเขาได้อย่างคลุมเครือ“ดีเลย ข้าไม่เจอปัญหาให้แก้มานานแล้ว ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้จะมาพร้อมกันตั้งสองคน”หวังซานขยับข้อต่อ แต่ทันทีที่ได้สบตา ซูจิ่งสิงก็ล้มเขาลงกับพื้นคนอื่นๆ อยากจะวิ่งหนี แต่เนี่ยชิงหลานก็รีบกระโดดออกไปจัดการกับพวกเขา“มัดพวกมันไว้”พวกเขามัดทุกคนเอาไว้แล้วโยนทั้งหมดไปที่กลางลานกู้หว่านเยว่นำเก้าอี้มา ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่ง“กล้าลักพาตัวข้า รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร กล้าหาญนักนะ!”เนี่ยชิงหลานทนไม่ไหวอีกต่อไป รีบวิ่งไปเตะต่อยหวังซาน ไม่อาจไม่พูด ผู้หญิงคนนี้ อารมณ์รุนแรงไม่น้อยแต่สิ่งนี้ก็โทษนางไม่ได้ นางอัดอั้นมานาน สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าทุกวันนี้ ในที่แห่งนี้นางใช้ชีวิตแบบใด“ยังคิดจะแต่งข้าเป็นภรรยาอีก อยากเข้าหอกับข้า ตอนนี้ฉันจะตัดรากเหง้าเจ้าทิ้งเสีย แล้วจะรอดูว่าเจ้าจะเข้าหออย่างไร?!”เนี่ยชิงหลานก่นด่าเสียงดังหวังซาน ชายแก่นิสัยเสีย เห็นคนงามก็เกิดละโมบ เกิดความคิดอันคดเคี้ยว คิดจะกักขังนางไว้ที่นี่“แม่นางไว้ชีวิตด้วย แต่ข้าก็ไม่ได้ทำร้ายเจ้านี่นา? ดูสิ
จากการตัดสินของเนี่ยชิงหลาน นางรู้สึกว่ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงไม่ใช่คนไม่ดีจึงบอกทุกสิ่งที่รู้มาแก่ทั้งสองไป“ฮูหยิน ท่านอาจจะไม่รู้อะไร ครึ่งเดือนก่อน ข้าช่วยชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ตามที่ผู้หญิงคนนั้นเล่า สามีและพ่อตาของนางมาพักที่หมู่บ้านแห่งนี้ แต่พวกเขาก็ถูกลักพาตัวไป”ที่แท้ ที่แห่งนี้ก็คือเหมืองแร่ ใต้เหมืองมีคนงานจำนวนนับไม่ถ้วน หวังซานเชี่ยวชาญด้านการจับคนที่เดินผ่านไปมา ก่อนจะโยนพวกเขาเข้าไปในเหมืองเพื่อทำงาน“เหลวไหล อย่ามาใส่ร้ายข้านะ!” หวังซานโต้เถียง แต่ดวงตาที่แวววาวของเขากลับทรยศเขาเขาเปิดปากพูดโกหก เพื่อพยายามปกปิดข้อเท็จจริง“ผู้หญิงบ้าคนนี้เป็นลูกสะใภ้ที่ข้าซื้อมา สมองไม่ค่อยดีนัก”หวังซานเทน้ำสกปรกใส่เนี่ยชิงหลาน โดยไม่ลืมที่จะทำความสะอาดตัวเอง“พวกเราทุกคนเป็นเพียงชาวบ้านตาดำๆ ไม่มีเจตนาชั่วร้ายอย่างแน่นอน”“ใช่แล้ว พวกเราทุกคนเป็นชาวบ้านที่ซื่อสัตย์...”คนที่อยู่ริมขอบก็คร่ำครวญเช่นกัน“ยังแก้ตัวอยู่อีก!” เนี่ยชิงหลานโกรธมากนางอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปเตะหวังซานอีกสองสามครั้ง “บอกข้ามาว่าทางเข้าเหมืองอยู่ที่ไหน”ถ้าไม่ใช่เพราะไม่รู้ว่าเหมืองอยู่
แต่เขาไม่คาดคิดว่าคนรอบข้างจะใจง่าย ทรยศเขาด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ“ไอ้สารเลว ข้าเคยทำผิดต่อเจ้าหรือไร?”เจ้าสี่หวาดกลัวและพูดว่า “พี่สามอย่าโทษข้าเลย ข้ากลัวจริงๆ ถ้าสิ่งนั้นถูกสาดใส่ข้า เช่นนั้นข้าคงต้องพิการแน่ ข้าจำเป็นต้องพูด”เขาแค่อยากปกป้องตัวเอง เขาทำอะไรผิด?“ข้าถามเจ้า เหมืองอยู่ที่ไหน?”เมื่อกู้หว่านเยว่ได้ยินสิ่งนี้ นางก็เข้าใจสถานการณ์อย่างคร่าวๆ แล้วที่นี่คือเหมืองของมู่หรงอวี้ แต่เขายุ่งอยู่กับเรื่องต่างๆ ไม่ค่อยมาตรวจสอบลูกน้องเขาขโมยเงิน หลอกผู้คนไปทำเหมืองดูเหมือนว่า ขอเพียงแค่พบเหมืองที่พวกเขากำลังพูดถึง ก็จะสามารถเข้าไปในเหมืองของมู่หรงอวี้ได้“ข้าไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ ขอรับ” เจ้าสี่ร้องไห้ และเมื่อเห็นกู้หว่านเยว่ขมวดคิ้ว เขาก็ตะโกนอย่างรวดเร็ว“ฮูหยินไว้ชีวิตด้วยขอรับ ข้าไม่รู้จริงๆทุกครั้งที่ข้าไปเหมือง จะมีพี่สามนำทาง ส่วนข้าเข็นเกวียนอยู่ด้านหลัง ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้น พวกเราเลยไม่รู้ทางขอรับ”“เจ้าสี่ เจ้าสมควรตาย!”เมื่อเห็นว่าคนของตนกำลังชี้ทางให้ศัตรู หวังซานก็โกรธมาก ดวงตาของซูจิ่งสิงที่มองมาก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว ร่างกายสั่นเทามากยิ่งขึ
“ข้าไปดูดินปืนได้หรือไม่?”ฮั่วจี๋กลืนน้ำลาย เขาอยากรู้อยากเห็นมากจริง ๆ หวังปี้มองไปยังกู้หว่านเยว่ กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ได้ เดี๋ยวข้าจะพาท่านไปดู”“ขอบคุณมาก”อวิ๋นมู่ยิ้มเล็กน้อย กู้หว่านเยว่มองไปที่เขา “เดินทางมาเหนื่อยยากลำบาก เจ้าทานอะไรหรือยัง? ข้าจะพาเจ้าไปทานข้าวนะ”ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี“ได้”อวิ๋นมู่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นก็มีศีรษะโผล่ออกมาจากด้านหลัง ทำให้กู้หว่านเยว่ตกใจ“พี่สะใภ้!”มู่หรงฉางเล่อแต่งกายเป็นบุรุษอีกแล้ว คราวนี้ปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้ ติดตามอยู่ด้านหลังอวิ๋นมู่“เจ้ามาได้อย่างไร?”กู้หว่านเยว่ตกใจ เด็กสาวคนนี้ไม่รออยู่ที่เจดีย์หนิงกู่อย่างสงบ วิ่งมาที่สนามรบทำไมกัน?“ข้ามาช่วย!”มู่หรงฉางเล่อทุบหน้าอกของตนเอง อย่าเห็นว่าเด็กสาวคนนี้อายุน้อย แต่ก็เป็นคนที่รักชาติบ้านเมืองเช่นกัน“แม้ว่าข้าจะเข้าไปในสนามรบไม่ได้ แต่ข้าได้ยินท่านแม่ข้าพูดว่า ฝ่ายสนับสนุนก็มีหลายอย่างที่สามารถช่วยได้”อวิ๋นมู่พยักหน้าเห็นด้วย“ครั้งนี้ต้องขอบคุณนาง ถึงได้ส่งดินปืนมาได้อย่างปลอดภัย”ที่แท้ระหว่างทางพวกเขาเจอกับพวกโจร อาศัยไหวพริบของมู่หรงฉางเล่อ ไ
หลี่เยว่แอบเหลือบมองกู้หว่านเยว่เงียบ ๆ แวบหนึ่งหลี่จินไม่เข้าใจ ยังคงเร่งเร้านาง “น้องเล็ก ท่านหมอหญิงถามเจ้าอยู่นะ เหตุใดเจ้าถึงได้เหม่อลอย?”“เป็นคุณหนูท่านหนึ่งที่ให้ข้ามา”หลี่เยว่ได้สติกลับมา สีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย“นะ นางถามทางข้า พอให้ปิ่นปักผมข้าแล้วก็ออกจากเมืองไป”อาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่โกหก นางจึงพูดตะกุกตะกัก“ข้าก็ไม่รู้ว่านางไปที่ใด”กู้หว่านเยว่ไม่ได้ถามอะไรมากนัก พาชิงเหลียนออกจากร้านขายยาเมื่อขึ้นรถม้า ก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปหาคนมาสองคน แอบตามไปดูที่บ้านสกุลหลี่”ทั้งสองคนกลับไปที่สกุลฮั่ว หนานหยางอ๋องกำลังนำเหล่ารองแม่ทัพมารอนางอยู่“พระชายา” หวังปี้ก้าวเข้ามา เดินเคียงข้างกู้หว่านเยว่ด้วยความกระตือรือร้น “ท่านแม่ทัพและเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชากำลังรอคำชี้แนะจากท่าน แม่ทัพเมืองซุ่ยโจวได้ยินว่าเมืองเหยาถูกพวกเรายึดไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะยกทัพมาโจมตี”กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเมืองเหยาถูกพวกโจรยึดครองนานกว่าครึ่งเดือน ก็ไม่เห็นว่าทางซุ่ยโจวจะมีการเคลื่อนไหวใด ๆ บัดนี้ถูกเจดีย์หนิงกู่ยึดครองไปแล้ว ถึงได้เริ่มร้อนใจหรือ?“แ
“บุตรสาวตระกูลอาวุโสจางเพิ่งจะอายุเพียงสิบห้าปีเอง”หลี่จินทอดถอนใจเพราะอีกฝ่ายมีรูปโฉมงดงามมาก ดังนั้นตระกูลอาวุโสจางจึงรักบุตรสาวคนนี้มาก ไม่อยากให้นางแต่งงานเก็บนางไว้ในบ้านตลอด ตั้งใจว่าจะเก็บนางไว้เพิ่มอีกสักสองสามปีบุตรสาวอันเป็นที่รักที่พวกเขาคอยทะนุถนอมมาอย่างดีราวกับไข่มุกอันเลอค่าก็ดันถูกโจรเหล่านั้นบุกเข้ามาอย่างคาดไม่ถึงกระทั่งเห็นนางในกลุ่มคนจึงลากนางออกมาจากกลุ่มคน แล้วฝืนใจนางกลางถนนตอนกลางวันแสก ๆ เนื่องจากนางเป็นสตรีจากตระกูลผู้ดี ไหนเลยจะรับความอัปยศอดสูนี้ได้?หลังจากที่แม่นางจางกลับไป นางก็เป็นบ้าทันทีในขณะที่คนในบ้านไม่ทันสังเกต นางก็กระโดดบ่อน้ำจบชีวิตลงกว่าจะหามศพขึ้นมาจากน้ำได้ก็อืดแล้วเรื่องนี้สร้างความตื่นตกใจให้เด็ก ๆ ไม่น้อยนางหลินร้องไห้สะอื้นกู้หว่านเยว่ยืนฟังเรื่องนี้อยู่ด้านนอกก็ยังรับไม่ได้ยามศึกสงคราม คนที่โชคร้ายที่สุดก็คงจะเป็นชาวบ้านอาวุโสแต่ก็หวังว่าสงครามระหว่างเจดีย์หนิงกู่และราชสำนักจะสิ้นสุดในเร็ววัน และเข้าช่วยเหลือชาวบ้านนับหมื่นจากภัยพิบัติในครั้งนี้“ข้ามาดูบาดแผลให้ภรรยาของเจ้า”กู้หว่านเยว่เอ่ย ตัดบทสนทนาของเ
นี่มันเวลาไหนกันแล้ว?นางหลินป่วยหนักปางตายขนาดนี้นางจะมัวแต่คิดถึงหลาน ๆ โดยไม่สนใจความเป็นความตายของลูกสะใภ้ได้อย่างไร?แม่หลี่หัวเราะเยาะ“แสดงว่าในสายตาของเจ้า แม่สามีอย่างข้าเป็นคนเช่นนี้”ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย!นางหลินดูหงอยลงทันทีเดิมทีนางขี้กลัวอยู่แล้ว บวกกับที่แม่สามีมักจะมีฝีปากร้ายกาจเช่นนี้เพราะความอคติแบบนี้ จึงคิดว่าตนนั้นคงเข้ากับแม่สามีไม่ได้ “ขอโทษเจ้าค่ะ ท่านแม่...”ไม่ว่านางจะผิดหรือไม่ผิด นางก็มักจะรีบก้มหน้าสำนึกผิดก่อนเสมอแม่หลี่ยิ่งขบขัน “ข้ายังไม่ว่าเจ้าเสียหน่อย เจ้าทำท่าทางหวาดกลัวเช่นนั้นให้ใครดูล่ะ รีบนอนลงเดี๋ยวนี้เลย เกิดแผลปริขึ้นมา สามีของเจ้าคงได้เอาชีวิตข้าแน่”“น้องหญิง เจ้านอนพักก่อนเถอะ”หลี่จินรีบเข้าไปประคองนางหลินให้นอนลงแม้ว่าแม่หลี่จะมีฝีปากร้ายกาจ แต่ก็มักจะโกรธง่ายหายเร็วหลังจากได้ระบายออกมาทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ“ในตอนที่ข้ามาถึง ได้ยินเยว่เอ๋อร์บอกว่า เจ้าต้องพักฟื้นอีกหลายวัน หลายวันนี้เรื่องภายในบ้านก็ยกให้เป็นหน้าที่ของข้าแล้วกัน เจ้ารักษาเนื้อรักษาตัวอยู่ในโรงหมอนี้อย่างสงบเถิด”คำกล่าวของแม่หลี่ทำให้นางหลินน้ำตาเ
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันนั้น เสียงปริศนาเสียงหนึ่งก็ตะโกนดังมาจากด้านล่างที่แท้ก็เป็นน้องสาวจากตระกูลหลี่จินที่มาหาเขานี่เอง บอกว่าท่านแม่หลี่ก็มาเยี่ยมด้วย“พวกเจ้านะพวกเจ้า ชักจะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ยังไม่บอกข้า”ทันทีที่ลงมาถึงชั้นล่างก็ได้ยินเสียงที่ดุดันของสตรีผู้หนึ่งดังมาจากด้านใน“หากไม่ใช่เพราะข้ากลับมาจากทุ่งนา แล้วได้ยินป้าหวังข้างบ้านบอก ข้าก็คงไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาโรงหมอ”หญิงวัยกลางคนด่ากราดเสียงดัง มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าดูไม่สบอารมณ์หลี่จินค่อนข้างลำบากใจ“เสียมารยาทยิ่งนัก แม่ของข้าก็เป็นเช่นนี้แหละ ชอบเอะอะโวยวาย”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วสูง มั่นใจว่าสตรีผู้นี้จะต้องเป็นแม่สามีขี้หงุดหงิดอย่างแน่นอนมิน่าล่ะก่อนหน้านั้นนางหลินถึงได้มีท่าทีหวาดกลัว ไม่กล้าให้หมอผู้ชายตรวจร่างกาย เพราะกลัวว่าหากถูกแม่หลี่รู้เข้า จะถูกไล่ออกจากบ้านอย่างแน่นอนในขณะที่กู้หว่านเยว่กำลังจะกลับนั้น นางได้เข้าไปจับชีพจรให้นางหลินอีกครั้ง“ท่านแม่ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังท่าน”นางหลินยังนอนอยู่บนเตียง ตอนนี้ไม่สามารถลุกขึ้นได้นางมีสีหน้าลำบากใจ หดคอเหมือน
หลังจากลองกดหน้าท้องแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ยิ่งมั่นใจว่าอาการบาดเจ็บของนางหลินจะต้องเกิดจากรังไข่ที่ฉีกขาดอย่างแน่นอน“มีเลือดออกเป็นจำนวนมาก แถมภรรยาของเจ้าก็ยังหน้าซีดราวกับกระดาษ ปวดท้องตลอดเวลาแบบนี้ อาจจะทำให้ช็อกได้ทุกเมื่อ ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน”กู้หว่านเยว่ดึงมือกลับ นางหลินยังคงนอนอยู่บนเตียง เหงื่อไหลพรากราวกับสายฝน นางยังคงสะลึมสะลือหลี่จินจึงกล่าวถามว่า “ผ่าตัดหรือ? อะไรคือผ่าตัด?”“คือการกรีดเปิดหน้าท้องของภรรยาเจ้า จากนั้นก็ซ่อมแซมบาดแผลภายในร่างกาย ห้ามเลือดให้นาง ไม่ให้เลือดไหลออกมาจากบาดแผลของนางอีก”อีกฝ่ายไม่เคยเจอวิธีการนี้ในตำรามาก่อน กู้หว่านเยว่พยายามใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายอธิบายให้เขาฟังหลี่จินเข้าใจแล้ว แต่กลับตกใจไปชั่วขณะ“ต้องกรีดหน้าท้อง? เช่นนั้นภรรยาของข้าก็ยิ่งทรมานนะสิ”เขามีสีหน้าเป็นกังวล แต่เขากลับเป็นคนซื่อตรง ไม่ได้ซักถามกู้หว่านเยว่ต่อเพียงแต่เป็นห่วงกลัวนางหลินจะทนไม่ไหว เจ็บจนปางตาย“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้ามียาระงับความเจ็บปวด หากภรรยาของเจ้ากินยานี้แล้ว จะไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น”กู้หว่านเยว่มองไปยังอีกฝ่ายจะผ่าตัดได้หรือไม
“ท่านผู้นี้คือ?”เมื่อหลี่จินได้ยินเสียงของกู้หว่านเยว่ ก็รีบหันไปมองนางทันทีแต่กู้หว่านเยว่ใส่หมวกม่านอยู่ ดังนั้นทุกคนจึงมองไม่เห็นโฉมหน้าของนาง“อย่าเปิดเผยสถานะของข้า”กู้หว่านเยว่กระซิบบอกข้างหูของเจ้าของร้านเบา ๆ เจ้าของร้านจึงรีบพยักหน้า เขารู้ว่ากู้หว่านเยว่มีทักษะการแพทย์ จึงหาข้ออ้างไปเรื่อย “นี่คือหมอหญิงในร้านขายยาของเรา ในเมื่อภรรยาของเจ้าไม่ยอมให้หมอผู้ชายตรวจร่างกาย มิสู้ให้หมอหญิงท่านนี้ตรวจร่างกายให้ภรรยาของเจ้าล่ะ?”เขาลองหยั่งเชิง“ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะยอมหรือไม่”สาเหตุที่นางหลินไม่ยอมให้หมออาวุโสผู้นั้นตรวจร่างกายของนาง เพราะเหตุผลที่ว่าชายหญิงมิควรใกล้ชิด นางทนต่อคำครหาเหล่านั้นไม่ได้ ทั้งยังกังวลว่าหลังจากที่เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะถูกผู้อื่นตำหนินางไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวจริง ๆ บัดนี้ไหน ๆ ก็มีหมอหญิงแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องปฏิเสธ จึงรีบพยักหน้า“หากหมอหญิงผู้นี้สามารถตรวจร่างกายให้ข้าได้ เช่นนั้นก็ดี”นัยน์ตาของหลี่จินเปล่งประกาย“ได้โปรดท่านหมอช่วยตรวจร่างกายให้ภรรยาของข้าด้วยเถิด”กู้หว่านเยว่เดินเข้ามา เจ้าของร้านรีบยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้นา
“หากเจ้าไม่สบายตรงไหน อย่าฝืนทนเด็ดขาด ต้องตรวจให้แน่ใจ”สายตาของบุรุษฉายแววร้อนใจ มีท่าทีเป็นห่วงอย่างชัดเจนหมอที่อยู่ด้านหลังเห็นทั้งสองคนลังเล จึงอดกล่าวเตือนไม่ได้“หากท่านทั้งสองคนไม่อยากตรวจ ก็ขยับไปด้านข้างก่อนเถิด อย่าทำให้คนที่มาต่อแถวรอตรวจต้องเสียเวลา”“ไปกันเถอะ”สตรีผู้นั้นพยายามลากบุรุษข้างกายออกไป ชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บด้านหลังจึงรีบรุดขึ้นหน้าทันที เพียงแต่ทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าออกไป ภาพตรงหน้าของสตรีผู้นี้ก็ดับวูบ เป็นลมล้มลงไปกองกับพื้น“น้องหญิง ๆ เจ้าเป็นอะไรไป?”หลี่จินกอดนางหลินไว้ จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังอย่างร้อนใจ“ใครก็ได้มาช่วยดูอาการให้น้องหญิงของข้าหน่อย?”คนที่อยู่โดยรอบรีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว กู้หว่านเยว่จึงมองไปทางเจ้าของร้านเจ้าของร้านกลับไม่ได้แปลกใจกับสถานการณ์ตรงหน้าในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้มีชาวบ้านมาหาหมอเป็นจำนวนมาก บางครั้งก็มีชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นลมหมดสติอย่างฉับพลันทันทีที่มาถึงหน้าโรงหมอเขาออกคำสั่งอย่างเป็นระบบระเบียบ“ขอผู้ช่วยสองคน ยกแม่นางผู้นี้ขึ้นเปล แล้วหามเข้าไปตรวจภายในห้อง”ผู้ช่วยที่รอคำสั่งอยู่ด้านหลังก็ร
จากเนื้อหาที่ซูจิ่งสิงเขียนไว้ในจดหมาย บอกไว้ว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่ได้ข้ามแม่น้ำมู่ตันโดยสมบูรณ์แล้ว บัดนี้กำลังมุ่งหน้าสู่ชายฝั่งของกองทัพจากราชสำนักที่อยู่ตรงข้ามกับแม่น้ำมู่ตันกองทัพของทั้งสองฝ่ายต่างก็ร่วมบรรเลงเพลงรบด้วยกัน เพราะฝั่งของเรามีดินปืน ทำให้ศัตรูพ่ายแพ้สงครามถึงสองครั้งสงครามยืดเยื้ออย่างน้อยครึ่งเดือน ในที่สุดกองทัพที่มีทหารนับแสนคนของราชสำนักก็ได้ต้องถอยทัพออกจากแม่น้ำมู่ตันหลังจากที่กู้หว่านเยว่อ่านจบแล้ว มุมปากก็ได้กระตุกยิ้มอย่างชื่นชมนางรายงานสถานการณ์ของเมืองเหยาให้ซูจิ่งสิงรับรู้แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องการบอกอีกฝ่ายว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยดี เขาไม่ต้องเป็นห่วง รับมือกับศึกอย่างสบายใจได้เลยเมืองเหยาเกิดหายนะอย่างรุนแรง นางต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกระยะหนึ่ง เพื่อช่วยฟื้นฟูเหตุการณ์หลังสงครามหลังจากเขียนจดหมายเสร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ก็นำม้วนกระดาษผูกติดกับขาของนกพิราบทองคำ“ไปเถอะ ไปหาเจ้าของของเจ้า”นกพิราบทองคำกางปีกโผบินออกไป“ฮูหยินคิดถึงท่านอ๋องใช่หรือไม่เจ้าคะ?”ชิงเหลียนเห็นกู้หว่านเยว่ที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วปิดปากแอบหัวเราะกู้