“ได้โปรดฮูหยินอย่าลังเลเลย ตอบรับข้าเถิด”ผู้อาวุโสโซว่หวางอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำ “ก็ได้เจ้าค่ะ ข้ารับปากท่านก็ได้” กู้หว่านเยว่เก็บขลุ่ยและตำราโบราณอย่างจนปัญญา นางตอบตกลงได้ แต่หากนกหงส์เพลิงตัวนี้ไม่ใช่นกของนาง ก็อย่ามาโทษนางก็แล้วกัน“ดี ดี เช่นนี้ข้าก็วางใจ”เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสโซว่หวางกำลังจะสิ้นสุดวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว คำสั่งเสียมากมายที่เขาพยายามฝืนลั่นออกมาเมื่อครู่ทำให้สีหน้าของเขาผ่อนคลายลงบัดนี้เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่รับสิ่งเหล่านี้ไป เขาไม่มีห่วงผู้มัดอีกแล้ว ทันใดนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมา และล้มลงไปบนพื้น“ผู้อาวุโสโซว่หวาง!”กู้หว่านเยว่รีบรุดเข้าไปหา จากนั้นก็คว้าข้อมือของเขามาจับชีพจร“ผู้อาวุโสโซว่หวางจากไปแล้ว”อีกฝ่ายไร้ซึ่งลมหายใจ จิ้งจอกสีเทานอนหมอบอยู่ข้างกายของเขาพร้อมกับสะอื้นเบา ๆ มันรู้ว่าผู้เป็นนายจากโลกนี้ไปตลอดกาลกู้หว่านเยว่ทอดถอนใจ จากนั้นก็นำพาซูจิ่งสิงให้ก้มกราบหัวโขกดินคารวะผู้อาวุโสโซว่หวางสามครั้ง“น้องหญิง ไม่ต้องเศร้าไป เจ้าทำดีที่สุดแล้ว”ซูจิ่งสิงกล่าวปลอบใจนางเบา ๆ เขาเป็นห่วงกลัวว่ากู้หว่านเยว่จะโทษตัวเองถึงอย่างไรก็ไม่
กู้หว่านเยว่หลับตาลง พร้อมกับเป่าขลุ่ยอย่างตั้งใจทันทีที่เสียงขลุ่ยบรรเลง พลังแห่งการปลอบประโลมจิตใจก็แผ่ขยายออกมา“น้องหญิง ดูนั้น”ซูจิ่งสิงสูกดลมหายใจเบา ๆ “ดูเหมือนว่านกหงส์เพลิงจะตื่นแล้ว”กู้หว่านเยว่รีบมองไปตามคำบอกกล่าวของซูจิ่งสิง นกหงส์เพลิงหลากสีค่อย ๆ กางปีกอย่างช้า ๆ แสดงท่าทางเหมือนกับตื่นนอน“อย่าหยุดนะ” ซูจิ่งสิงกล่าวเตือน “ดูเหมือนมันจะได้ยินเสียงขลุ่ยของเจ้า ถึงได้ตื่น”“เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่ยังคงเปล่าขลุ่ยในบทเพลงฝึกสัตว์ต่อไป การบรรเลงของนางทำให้นกหงส์เพลิงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นจากนั้นมันก็เริ่มกางปีกสีแดงเพลิง และหันไปมองกู้หว่านเยว่ต้องบอกว่า นกหงส์เพลิงมีรูปลักษณ์ค่อนข้างน่ากลัวดวงตาสีแดงเพลิงคู่หนึ่งเหมือนกับอัญมณี ในยามที่รูม่านตาสีดำนั้นจ้องมองผู้คน มันแฝงไปด้วยความน่าเกรงขามที่รุนแรงไม่น้อยอีกทั้งนกหงส์เพลิงมีรูปร่างขนาดใหญ่ ในตอนที่มันหมอบอยู่ในมุมยังดูไม่ค่อยน่ากลัวนัก แต่พอมันยืนขึ้น ลำตัวของมันกินพื้นที่แทบจะครึ่งหนึ่งของห้วงมิติเลยทีเดียว“ท่านพี่ ระวัง”กู้หว่านเยว่คว้ามือของซูจิ่งสิง แม้ว่าผู้อาวุโสโซว่หวางจะยกนกหงส์เพลิงให้นางแล้ว แต่นกต
ความรู้สึกคุ้ยเคยที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้นางรู้สึกว่าทุกอย่างมันไม่ง่ายอย่างที่นางคิดไว้บางทีสาเหตุที่นางข้ามเวลามาที่นี่ อาจะไม่ใช่ความบังเอิญทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันไกลตัวของทั้งสองคนมาก เวลานี้เบาะแสที่พวกเขามีน้อยเกินไปจริง ๆ ทำได้แค่นำเรื่องนี้วางไว้ก่อน จากนั้นก็แก้ไขปัญหาของผู้อาวุโสโซว่หวางก่อน เมื่อเห็นนกหงส์เพลิงเชื่อใจตนเช่นนี้ กู้หว่านเยว่จึงเอื้อมมือออกไปลูบหัวของมันอย่างวางใจ“โฮก....”นกหงส์เพลิงส่งเสียงคำรามอย่างสบายใจ พร้อมกับใช้หัวคลอเคลียร์ฝ่ามือของนางเบา ๆ “ดูเหมือนมันจะเห็นเจ้าเป็นนายมันแล้ว”กู้หว่านเยว่ดูตื่นตกใจ ไม่รู้ว่านกหงส์เพลิงตัวนี้นิสัยเป็นยังไง มันจะฟังคำสั่งเข้าใจหรือไม่“ลุกขึ้น”นางออกคำสั่ง ในตอนนี้เองนกหงส์เพลิงที่นอดอย่างขี้เกียจอยู่บนพื้น“โฮก!”เมื่อได้ยินคำสั่งของนาง นกหงส์เพลิงก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วโดยการลุกขึ้นอย่างไม่ลังเลและถือโอกาสแปรงขนของตัวเองที่ยุ่งเหยิงให้เรียบงดงาม“ท่านพี่ ท่านเห็นไหมว่ามันเข้าใจภาษาคน”เวลานี้ นัยน์ตาของกู้หว่านเยว่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกนางอยากเลี้ยงสัตว์เป็นของตัวเองมาโดยตลอด เพียงแต่น่าเส
นกหงส์เพลิงเงยหน้าขึ้นฟ้า จากนั้นก็คำรามเสียงทุ้มต่ำ“โฮก!”กู้หว่านเยว่แทบจะหลุดขำออกมา คว้าซูจิ่งสิงขึ้นมา ทั้งสองคนจึงนั่งอยู่บนหลังของนกอย่างสง่าผาเผย ทันทีที่ได้ยินเสียงนกหงส์เพลิงคำราม มันก็พุ่งออกจากห้องลับไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็บินโฉบไปบนฟ้า เวลานี้ เทียนอวี๋กำลังเฝ้ารออย่างร้อนใจหลังจากที่นางส่งผู้อาวุโสโซว่หวางออกไป ไม่นานนางก็พบกับเรื่องไม่คาดฝัน อยู่ ๆ การเชื่อมจิตระหว่างตนกับผู้อาวุโสโซว่หวางก็ถูกตัดขาดจากกันไม่ว่านางจะสั่นกระดิ่งเงินในมืออย่างไร ก็หาการมีอยู่ของผู้อาวุโสโซว่หวางไม่เจอเรื่องนี้ทำให้เทียนอวี๋กระวนกระวายใจคาถาหุ่นเชิดของนางกล้าแกร่งมาก แทบจะไม่มีใครสามารถทำลายคาถาตัวนี้ได้หากผู้อาวุโสโซว่หวางตายไป เช่นนั้นก็ดี แต่หากคาถาหุ่นเชิดบนตัวของผู้อาวุโสโซว่หวางถูกทำลาย นั้นก็หมายความว่าข้างกายซูจิ่งสิงมีใครคนหนึ่งที่มีความสามารถครั้นอยู่ในหอบรรพบุรุษก่อนหน้านั้น เทียนอวี๋มั่นใจว่าเป็นซูจิ่งสิงเพียงแต่คนที่อยู่ข้างกายซูจิ่งสิง นางไม่มั่นใจว่าเป็นใครแต่ก็มั่นใจมากพอว่าเป็นสตรีผู้หนึ่ง“หรือว่าสตรีผู้นั้นคือนคนที่ทำลายคาถาหุ่นเชิดของข้าได้?”
ถึงตอนนี้นางก็ได้เข้าใจแล้ว ก็ว่าอยู่ว่าทำไมช่วงนี้ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดก็ดูไม่ราบรื่นไปเสียหมด ดูจากสถานการณ์ความเป็นจริง ที่แท้ก็เป็นเพราะซูจิ่งสิงนี่เอง“เราดูถูกซูจิ่งสิงเกินไปแล้ว รู้อย่างนี้น่าจะฆ่าเขาให้เสียรู้แล้วรู้รอด”เทียนอวี๋โกรธจนตัวสั่น แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่มองซูจิ่งสิงพากู้หว่านเยว่จากไปเท่านั้นกู้หว่านเยว่นั่งมองผืนโลกจากบนหลังนกหงส์เพลิงด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและสบายใจหลังจากที่ออกจากหมู่บ้านโซว่หวางแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ให้นกหงส์เพลิงโฉบลงไปยังพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน“โฮก!”นกหงส์เพลิงกระเง้ากระงอน หลังจากบินมาได้ช่วงเวลานหนึ่ง มันก็เหนื่อยกู้หว่านเยว่มองออกว่ามันเหนื่อยแล้ว จึงรีบให้นกหงส์เพลิงเข้าไปในห้วงมิติ ให้มันได้พักผ่อนอย่างดีในนั้นถึงอย่างไรนกตัวใหญ่เพียงนี้ หากนางไม่พามันเข้าไปในห้วงมิติ ก็คงไม่สะดวกพามันติดตามข้างกายไปด้วย“เรากลับกันก่อนเถอะ ไปรวมตัวกับทุกคน”ผู้อาวุโสโซว่หวางตายแล้ว จะต้องนำข่าวนี้ไปบอกคนของสกุลกงซุน“ไปกันเถอะ”ซูจิ่งสิงอุ้มกู้หว่านเยว่ จากนั้นก็ลอยตัวไปทางถ้ำภูเขาหลังจากที่ทั้งสองคนจากมาในช่วงเวลา
กงซุนเสว่น้ำตาไหลอาบเต็มสองแก้ม ก่อนจะโผเข้าไปหาผู้อาวุโสโซว่หวาง“ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงทิ้งพวกเราไปเช่นนี้?”“ท่านพ่อจากพวกเราไปแล้วหรือ? ไม่ เป็นไปไม่ได้...”กงซุนฉิงพยายามลุกขึ้นจากเตียง นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยหยดน้ำตา กงซุนจ่างเย่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม“ให้ข้าได้สัมผัสท่านพ่อ....”มือของเขาแทบจะยกไม่ขึ้นแล้วกงซุนจ่างเย่รู้สึกร้อนผ่าวที่จมูก ก่อนจะสะอื้นจนตัวสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด“กงซุน” หมิงจูเข้ามากอดแขนของเขา “ตาของท่านจะร้องไห้ไม่ได้”ดวงตาของเขาเพิ่งเข้ารับการผ่าตัด น้ำตาจะทำให้ดวงตาของเขาอักเสบ“ข้าไร้ความสามารถ ข้าไร้ความสามารถจริง ๆ!”กงซุนจ่างเย่ฟุบอยู่บนรถเข็นเขาคิดมาตลอดว่าครอบครัวของเขาอยู่อย่างสงบสุข มีพ่อและพี่สาวคอยดูแลทุกอย่างหลายปีมานี้เขาแทบจะกลายเป็นลูกผู้ดีมีเงินไปโดยปริยายบัดนี้เขาช่วยอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง“พวกเจ้าอย่าร้องไห้ไปเลย คุณหนูใหญ่และคุณหนูรองโดนคาถาหุ่นเชิด ยังไม่ได้รับการถอนคาถา อาการของคุณหนูห้าก็ยังไม่ดีขึ้น”ก่อนที่กู้หว่านเยว่จะขึ้นรถม้า นางได้พาคนเหล่านั้นออกมาแล้ว“พาคุณหนูใหญ่ คุณหนูรองและคุณหนูห้าขึ้นเตียงก่อนเถอะ”กงซุ
ผู้อาวุโสโซว่หวางเคยกล่าวไว้ เพราะสกุลกงซุนนั้นมีนกหงส์เพลิง จึงสามารถสั่งสัตว์ร้ายได้ดูท่าทางนกหงส์เพลิงตัวนี้จะร้ายการจริง ๆกู้หว่านเยว่เล่นกับนกหงส์เพลิงครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปิดตำราควบคุมสัตว์ร้ายทุกหน้าของตำราควบคุมสัตว์ร้ายมีบทเพลงที่แตกต่างกัน ซึ่งบทเพลงเหล่านี้มีรูปแบบการสั่งสัตว์ที่แตกต่างกันกู้หว่านเยว่เปิดดูบทเพลงหนึ่งในนั้น เป็นบทเพลงที่สามารถควบคุมนักรบหมาป่าได้ จึงเรียนวิธีการเป่าหลังจากเป่าบทเพลงนี้แล้ว ร่างตัวของนางก็หลงใหลอยู่ในม่านบทเพลงนั้นไม่รู้ว่านานแค่ไหน กระทั่งกู้หว่านเยว่สามารถเป่าเพลงนี้ออกมาได้ครบถ้วนสมบูรณ์ นางถึงวางขลุ่ยลง“ท่านพี่” กู้หว่านเยว่ออกมาจาห้วงมิติ แวบแรกที่เห็นซูจิ่งสิงที่หลับตาเก็บแรง นางจึงเข้าไปเรียกเขาเบา ๆ ซูจิ่งสิงรีบลืมตาทันที “มีอะไรหรือ?”“ฝึกได้พอสมควรแล้ว เหลือแต่ทดสอบจริง”กู้หว่านเยว่นึกถึงนักรบหมาป่าที่อยู่ด้านล่างกำแพงเหล่านั้น และกล่าวว่า“วันนี้ข้าเหนื่อยมาก เราพักกันก่อนเถิด ไว้พรุ่งนี้วางแผนเสร็จก็ค่อยลองดู”“ก็ได้” ซูจิ่งสิงมองกู้หว่านเยว่ที่มีดวงตาแดงก่ำด้วยความเจ็บปวด“ตาแดงหมดแล้ว รีบพักผ่อนเถิด”กู้ห
เมิ่งเหยียนสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเอ่ยถามด้วยความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย“แน่นอนอยู่แล้ว”กงซุนซวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่เจียงเป็นคนของท่านพ่อข้า เจอกับพวกเราพี่น้องบ่อย ๆ ”นางเห็นเมิ่งเหยียนเกล้าผมแบบสตรีที่แต่งงานแล้ว จึงเอ่ยขึ้นด้วยความหวังดี “ท่านไปพักผ่อนเถอะ ที่นี่มีข้าอยู่ก็พอแล้ว”“...อืม”เมิ่งเหยียนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอได้ยินคำเรียกขานว่าเมิ่งฮูหยินนั่น ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ“เจ้าดูแลนางให้ดี ๆ ข้าออกไปก่อน”นางแทบจะหนีออกมาจากห้องนั้นเลยทีเดียว“แปลก เมิ่งฮูหยินเป็นอะไรไป?” กงซุนซวงไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเมิ่งเหยียนนักในความคิดของนาง เมิ่งเหยียนก็เหมือนกับลั่วยางและคนอื่น ๆ เป็นคนใจดีที่ช่วยส่งน้องเจ็ดกลับมา“พี่ใหญ่เจียง ท่านว่าท่านช่างโง่เง่าเสียจริง”กงซุนซวงมองเจียงหลินที่อยู่บนเตียง ดวงตาของนางแดงก่ำราวกับจะร้องไห้“วันนั้นท่านหนีไปได้แท้ ๆ แต่สุดท้ายกลับถูกพวกนั้นจับได้เพราะข้า”“พี่ใหญ่เจียง ข้ารู้ว่าในใจของท่านมีข้า ข้าก็...”กงซุนซวงบิดผ้าให้แห้งน้ำ แล้วเช็ดมือให้เจียงหลินต่อด้านนอกประตู เมิ่งเหยียนได้ยินประโยคสุดท้าย น
ปรากฏว่าทันทีที่ทั้งสองคนมาถึงชั้นสอง ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาของเหยลวี่หมิงดังขยายออกมาจากในห้องทั้งสองคน ‘ยิ่งเกลียดยิ่งเจอจริง ๆ สินะ’ครั้นเสี่ยวเอ้อร์เห็นสองคนมีท่าทีแข็งทื่อ ก็รีบกล่าวขึ้นมา “มิต้องแปลกใจขอรับ คนที่อยู่ห้องตรงข้ามกำลังจัดกระดูก อาจารย์ด้านกระดูกกำลังจัดกระดูกให้เขา เสียงร้องจึงดังไปสักหน่อย หากท่านทั้งสองไม่สบายใจ ข้าเปลี่ยนห้องให้พวกท่านได้ขอรับ”“ไม่ต้อง”อยู่ในโรงเตี๊ยมเดียวกับเหยลวี่หมิง นับว่าโชคร้ายไปสักหน่อยแต่ครั้นกู้หว่านเยว่ได้คิดไตร่ตรองแล้ว พวกเขาสามารถเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของเหยลวี่หมิงได้ตลอดเวลา หากมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล พวกเขาจะได้ไหวตัวทันในทันที นับว่าเป็นเรื่องที่ดีอีกอย่างไม่แน่ว่าทั้งสองคนอาจจะได้ยินข่าวคราวของซูจิ่นเอ๋อร์จากปากของเหยลวี่หมิงก็ได้“ไม่ต้องวุ่นวาย เราพักในห้องนี้ได้”สองสามีภรรยาส่งสายตากันและกันจนเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย ซูจิ่งสิงโบกมือเล็กน้อยส่งให้เด็กในโรงเตี๊ยมออกไปหลังจากที่กู้หว่านเยว่เข้ามาในห้องก็ทำการสำรวจหนึ่งรอบ จึงได้เห็นเสี่ยวถ่านที่เดินตามเข้ามา“ข้าเปิดไว้สองห้อง เจ้าไปพักห้องที่อยู่ถัดไป
“ไม่ต้องร้อนใจ เรายังต้องพักในเมืองชิงซานหนึ่งคืน ยังมีเวลา”หลังจากที่ทหารที่ด้านนอกทยอยกันจากไป กู้หว่านเยว่ก็พาซูจิ่งสิงออกจากห้วงมิติทั้งสองคนลอยตัวไปยังร้านขายเสื้อผ้า เวลานี้เสี่ยวถ่านกำลังเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่พอดี เขารอกู้หว่านเยว่มาจ่ายเงินอย่างกระวนกระวายใจเขากลัวว่ากู้หว่านเยว่จะทิ้งเขาไว้ที่นี่ แล้วจากไปเพราะความกังวลมากเกินไป แม้แต่กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่ปลอมตัวเดินมาถึงหน้าเขา ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง“นี่!”กู้หว่านเยว่ตบศีรษะของเสี่ยวถ่าน “มัวอึ้งอะไร ยังเลือกเสื้อผ้าไม่ได้หรือ?”“พี่หญิงกู้?”เสี่ยวถ่านจำเสียงของนางได้ ครั้นเห็นทั้งสองคนแต่งกายต่างจากก่อนหน้านั้น แม้แต่ใบหน้าก็เปลี่ยนไป จึงอดตื่นตกใจไม่ได้“พวก...พวกท่าน?”“เราสองคนเจอกับปัญหาเล็กน้อย จึงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า”กู้หว่านเยว่ไม่ได้ปิดบัง ต่อไปเสี่ยวถ่านต้องติดตามพวกเขาไป บอกเขาไว้จะสะดวกมากกว่าในขณะเดียวกัน นางก็แอบตัดสินใจอยู่เงียบ ๆ หากเสี่ยวถ่านกล้าหักหลังนาง นางสามารถโยนเขากลับเข้าไปในกลุ่มทาสอีกครั้งได้อย่างไม่ปรานี“เช่นนั้นเรารีบออกไปจากตลาดกันเถอะ”เสี่ยวถ่านไม่ได้มีความค
“อ๊าก เจ็บ เจ็บยิ่งนัก”เหยลวี่หมิงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาคล้ายกับหมูโดนเชือด สีหน้าบิดเบี้ยวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในขณะเดียวกันนัยน์ตาก็ได้ฉายแววตื่นตระหนกอย่างรุนแรง เขาคาดไม่ถึงว่าบุรุษหน้าตาขี้เหร่ผู้นี้จะมีวิทยายุทธ์ อีกทั้งวิทยายุทธ์ยังสูงมากอีกด้วย แม้ว่าเขาจะไม่ได้โดดเด่นเหมือนพี่ใหญ่ แต่ก็เหนือชั้นกว่าคนทั่วไป“พวกเจ้ามัวอึ้งทำไม? รีบเข้ามาช่วยข้าสิ”เหยลวี่หมิงช่างไร้ยางอายยิ่งนัก หลังจากพบว่าตัวเองสู้บุรุษผู้นั้นไม่ได้ จึงรีบออกคำสั่งขอกำลังเสริมทันทีครั้นเห็นทหารม้าทั้งสองฝ่ายกำลังจะต่อสู้กัน กลุ่มคนที่มุงดูเรื่องชาวบ้านก็พากันถอยออก และล้อมเอาไว้เป็นวงกว้าง คอยมุงดูอยู่ไกล ๆ ไม่กล้าเข้ามาใกล้“เจ้ากล้าลงมือกับข้า ตายเสียเถอะ”นัยน์ตาของเหยลวี่หมิงฉายแววโหดร้าย พี่ใหญ่ปวดใจกับเขามาโดยตลอด คนรับใช้ข้างกายของเขาก็คือองครักษ์ลับข้างกายพี่ใหญ่คนเหล่านี้ต่างก็มีฝีมือไม่เป็นสองรองใคร โดยปกติแล้วจะไม่ลงมือง่าย ๆ หากลงมือแล้วพวกเขาจะเล่นกันถึงตายบุรุษผู้นี้จะต้องตายสถานเดียว!นัยน์ตาของเขาฉายแววโหดเหี้ยม วินาทีต่อมาก็ต้องตกตะลึงอย่างมากคนรับใช้เหล่านั้นยังไม่ทันได้เข้
“พวกเจ้าว่าชายหญิงคู่นั้นเป็นใครกัน?”“ไม่รู้สิ”ทุกคนพากันรวมตัว ทยอยกันคาดเดาไปต่าง ๆ นานา ส่วนใหญ่ล้วนแต่ฟังมาจากข่าวลือที่ไม่มีมูลในเวลานี้ เสียงอันภาคภูมิใจเสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้น“ข้ารู้ว่าชายหญิงคู่นั้นเป็นใคร ชายหญิงคู่นั้นคือเจิ้นเป่ยอ๋องและพระชายาเจิ้นเป่ย”ทุกคนมองไปตามเสียง กระทั่งเห็นบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาภายใต้การรายล้อมของคนรับใช้ครั้นเห็นเสื้อผ้าอันหรูหราของอีกฝ่าย คนในฝูงชนก็ตอบสนองในทันที“นี่คงไม่ใช่น้องชายของท่านแม่ทัพเหยลวี่เจิง เหยลวี่หมิงหรอกนะ? คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะเจอเขาที่นี่ ว่าแต่เจิ้นเป่ยอ๋องและพระชายาเจิ้นเป่ยที่เขาเอ่ยถึงเป็นใครกันแน่?”เสียงกระซิบกระซาบในกลุ่มดังขึ้น เนื่องจากเหยลวี่เจิงนั้นมีอำนาจเหนือกว่าทูเจวี๋ย ดังนั้นในตอนที่ทุกคนเห็นเหยลวี่หมิง ทุกคนก็อดแสดงสีหน้าหวาดกลัวไม่ได้“เหอะ ๆ ก็แค่คนน่ารังเกียจสองคนเท่านั้น”สีหน้าของเหยลวี่หมิงฉายแววโหดเหี้ยม เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่อย่างมากไม่แปลกใจเลย เขาเป็นน้องชายของเหยลวี่เจิง จะชอบซูจิ่งสิงได้อย่างไร?“แต่ท่านรู้ได้อย่างไรว่าสองคนนั้นคือเจิ้นเป่ยอ๋องและพระชายาเจิ้น
“คนในครอบครัวของเจ้าตายกันหมดแล้วหรือ?”กู้หว่านเยว่ปวดใจกับเด็กคนนี้มาก จึงยื่นขนมอีกชิ้นให้เขา“ทุกคนตายหมดแล้วขอรับ เหลือเพียงข้าผู้เดียว”ครั้นนึกถึงเรื่องเสียใจ เสี่ยวถ่านก็มักจะก้มหน้าลง จากนั้นหยดน้ำตาก็ได้หลั่งรินออกมาจากดวงตาของเขาเขาคิดถึงท่านแม่“เอาละ หยุดร้องได้แล้ว แม้ว่าคนในครอบครัวของเจ้าจะตายกันหมดแล้ว แต่เจ้าก็ต้องใช้ชีวิตให้ดี”กู้หว่านเยว่ตักน้ำแกงไก่ให้เขา นางมักจะรู้สึกว่าสถานะของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไม่ธรรมดากิริยามารยาของเขาดูไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดา จู่ ๆ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว“ประตูเมืองเปิดแล้ว!”ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทันใดนั้นเสียงตะโกนระลอกหนึ่งก็ดังมาจากด้านนอก จากนั้นความโกลาหลก็เกิดขึ้นขึ้นในฝูงชนที่ล้อมรอบ ทุกคนต่างทยอยกันเข้ามารวมตัวกันหน้าประตูเมือง“น้องหญิง เราเองก็เข้าเมืองกันเถอะ”ซูจิ่งสิงเปิดผ้าม่าน ก่อนจะกล่าวทักทายกู้หว่านเยว่ ไหน ๆก็จะเข้าเมืองแล้ว พวกเขาคงนั่งอยู่บนรถม้าไม่ได้อีก ต้องลงจากรถม้ามาตรวจสอบถึงจะถูก “เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่คว้ามือของเสี่ยวถ่านลงมาจากรถม้า และเดินมาต่อแถวอยู่ด้านหลังของกล
ไม่สู้สละตัวปัญหานี้ออกไปโดยเร็ว เขาจึงเริ่มร้อนใจ“เอาอย่างไร ข้าเสนอให้เจ้ายี่สิบตำลึง ตกลงเจ้าจะเอาหรือไม่เอา?”“ข้าเอา”ซูจิ่งสิงรับเงินมาจากมือของกู้หว่านเยว่ หลังจากนับจนครบยี่สิบตำลึงแล้วก็โยนให้บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นรับเงินไปด้วยความดีใจ เขาทำการตรวจสอบครู่หนึ่งจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหาแล้ว ก็ไม่ได้สนใจทาสตัวน้อยนั้นอีก สะบัดก้นเดินจากไปทันที“ขอบคุณพวกท่านมาก” ทาสตัวน้อยมองไปทางซูจิ่งสิงแวบหนึ่ง แต่นัยน์ตายังคงหวาดกลัวลางสังหรณ์กำลังบอกเขาว่าซูจิ่งสิงอันตรายมาก เขาไม่กล้าเข้าใกล้ซูจิ่งสิงเลยแม้แต่น้อย“เจ้าขึ้นรถม้าเถอะ”กู้หว่านเยว่กวักมือเรียกทาสตัวน้อย สองวันมานี้เวลาว่างนางก็มักจะเรียนรู้ภาษาของชาวทูเจวี๋ยจากซูจิ่งสิงอยู่เสมอ แม้ว่าจะยังออกเสียงได้เล็กน้อย แต่พอถูไถได้ไม่มีปัญหาทาสตัวน้อยเกิดความลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ยังปีนขึ้นรถม้า เขามองกู้หว่านเยว่ด้วยความประหลาดใจ“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ใช่คนชั่ว”กู้หว่านเยว่ไม่รู้ว่าตัวเองเข้าไปยุ่งเรื่องของผู้อื่นทำไม บางทีอาจเพราะเห็นสายตาขอความช่วยเหลือจากทาสตัวน้อยผู้นั้น จึงรู้สึกว่าเหมือนตัวเองก่อนหน้านั
นางรีบลืมตา ก็พบว่าพวกเขามาถึงคูเมืองแห่งหนึ่งแล้ว เมืองชิงซานประตูเมืองของเมืองชิงซานจะเปิดในเวลาแปดโมงเช้า ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าตรู่ ดังนั้นซูจิ่งสิงจึงจอดรถม้าอยู่หน้าประตูเมืองชั่วคราวแต่เวลานี้บริเวณประตูเมืองชิงซาน ยังมีคนที่เดินทางมาถึงเช้าตรู่เหมือนกับพวกเขาอีกเป็นจำนวนมาก กำลังพักผ่อนอยู่บนพื้นที่โล่งรอบ ๆ หน้าประตู เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ดังมาจากด้านหลังของรถม้าพวกเขา กู้หว่านเยว่เบนสายตามองตาม กระทั่งเห็นเด็กน้อยหน้าตามอมแมมผมเผ้ายุ่งเหยิงคนหนึ่ง เกาะล้อรถของนางไม่ยอมปล่อย แต่ด้านหลังของเขา มีบุรุษวัยกลางคนฟาดเขาด้วยแส้อย่างโหดเหี้ยม“เกิดอะไรขึ้น?”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากัน เมื่อครู่นางอยู่แต่ในห้วงมิติตลอด จึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นด้านนอก“เด็กหนุ่มผู้นี้วิ่งลงมาจากรถม้าของบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น”ซูจิ่งสิงมองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกระซิบข้างหูของนางเบา ๆ“ท่าทางจะเป็นทาสที่ซื้อตัวมา คงอยากหนี”“ได้โปรดพวกท่าน ช่วยข้าด้วย”ครั้นทาสตัวน้อยเห็นกู้หว่านเยว่ชะโงกหน้าออกมา จึงมองนางด้วยความตกใจ แต่นัยน์ตาแฝงไปด้วยการอ้อนวอนเดิมทีกู้หว่านเยว่ไม่อยากเ
เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของกู้หว่านเยว่ดังก้องไปทั่วท้องฟ้า รูม่านตาของเจ้าเมืองแห่งเมืองสือโม่เบิกกว้าง พลางส่งเสียงกรีดร้องคล้ายกับสตรีชั้นสูงที่กำลังถูกกระทำชำเราอย่างไรอย่างนั้น“รนหาที่ตายแท้ ๆ บุรุษและสตรีคู่นี้เป็นผู้ใดกัน?!”“เจ้าเมือง บัดนี้เราจะทำอย่างไรกันดี?”ทหารที่ดูโง่เขลาบางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว เพียงครู่เดียว จวนของเจ้าเมืองก็ถูกกู้หว่านเยว่ถล่มจนไม่เหลือชิ้นดีทั้งเมืองสือโม่ตกอยู่ในความโกลาหลยิ่งกว่าเดิม!ซึ่งพอจะจินตนาการได้ว่าเรื่องของเมืองสือโม่ที่เกิดขึ้นในคืนนี้จะต้องแพร่กระจายไปทั่วเมืองทูเจวี๋ยอย่างแน่นอน ไม่สิ อาจจะแพร่กระจายไปยังฝั่งของต้าฉีด้วย“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าควรทำอย่างไร รีบจับพวกเขาให้ได้ก่อนเถอะ!”เจ้าเมืองโกรธที่ตัวเองไร้ความสามารถ ส่วนทหารคนอื่นได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น พวกเขาไม่มีปีก ดังนั้นจึงทำได้แค่มองนกหงส์เพลิงบินสูงขึ้นเรื่อย ๆ “จูเชวี่ย เราไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่มองไปยังเสบียงอาหารที่ถูกปล้นมาไว้ในห้วงมิติ ก่อนจะคลี่ยิ้มตาหยี นางลูบหัวของจูเชวี่ยเบา ๆ และออกคำสั่งให้จูเชวี่ยเร่งความเร็ว จากนั้นก็บินออกจากเมืองสือโม่ไปเจ้าเ
“กว่าจะมาถึงที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เราคงจะกลับไปทั้งแบบนี้ไม่ได้ ข้าตั้งใจจะไปคูเมืองของเมืองสือโม่ แล้วกวาดเอาคลังสินค้าของพวกเขากลับไปด้วย”ในใจของกู้หว่านเยว่รู้สึกดีไม่น้อย ทำเรื่องใหญ่ทั้งที นางจะหยุดแค่นี้ไม่ได้สิ่งที่ซูจิ่งสิงคิดไว้ก็คือ หลังจากระเบิดประตูเมืองแล้วพวกเขาสามารถรอดพ้นจากการไล่ล่าได้ แต่ทหารทูเจวี๋ยที่เหลือคงจะรวมตัวและไล่ล่าทาสเหล่านั้นมีเพียงพวกเขาที่สามารถสร้างหายนะให้เมืองสือโม่ต่อไปได้ ทหารทูเจวี๋ยคงจะพุ่งความสนใจไปที่พวกเขา ชาวบ้านในต้าฉีจะได้มีโอกาสหนีออกไป“ก็ดี เช่นนั้นเราไปกวาดคลังสินค้าของพวกเขากันเถอะ”หากพูดถึงความเคร่งครัด นี่ไม่ได้เรียกว่าการปล้นถึงอย่างไรดินแดนของคนทูเจวี๋ยก็แห้งแล้งและไม่มีเสบียงมากนักในเมืองสือโม่มีการกักตุนเสบียงอาหารและเงินทอง โดยพื้นฐานแล้วเป็นสิ่งของที่พวกเขาน่าจะปล้นชิงมาจากชาวบ้านที่อยู่ชายแดนดังนั้นตอนนี้ยิ่งพูดได้เต็มปากว่าเป็นเจ้าของเสบียงอาหาร พวกเขาแค่ต้องนำเสบียงที่เดิมทีเป็นของชาวบ้านชายแดนเหล่านั้นกลับมาก็เท่านั้น“ไป!”กู้หว่านเยว่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กระทั่งมาถึงคลังสินค้าในเมืองสือโม่เป็นอย่างที