ในเวลานี้ มู่หรงอวี้ในรถม้าแสนตระหนก รถม้าลึกเข้าไปในหุบเขา เพื่อเอาชีวิตรอด ที่ใดมีทางถนนพวกเขาก็พุ่งไปที่นั่นเหมือนดั่งแมลงวันไร้หัวที่บินอยู่ในหุบเขาก็มิปาน“ด้านหน้ามีถ้ำอยู่”มู่หรงอวี้บังเอิญวิ่งเข้าไปในถ้ำที่กู้หว่านเยว่เก็บเสบียงเอาไว้หลังจากทำการขนย้ายมาหลายวัน เสบียงอาหารทั้งหมดในถ้ำก็ถูกส่งไปยังเมืองตะวันไม่ตกดินแล้วในเวลานี้ ถ้ำแห่งนี้ว่างเปล่า ยกเว้นเพียงถุงอาหารบางส่วนเท่านั้นมู่หรงอวี้มองไปที่ถุงข้าวเหล่านั้น สงสัยอย่างสุดซึ้ง“นี่เป็นเสบียงที่ซ่อนอยู่ในคลังส่วนตัวของข้าไม่ใช่หรือ?”มันมีตราประทับของเขาอยู่ด้วย ไม่ผิดแน่“เหตุใดเสบียงในคลังส่วนตัวของข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”สิ่งนี้ทำให้มู่หรงอวี้ตกอยู่ในภวังค์เล็กๆ ก่อนหน้านี้เขาก็เดาไว้ว่า ไม่ว่ากู้หว่านเยว่ไปที่ไหน คลังส่วนตัวของเขาก็จะว่างเปล่าตอนนั้น เขาก็สงสัยในตัวกู้หว่านเยว่มานานแล้วแต่สงสัยก็ส่วนสงสัย ตอนนี้จะมีอะไรแน่นอนได้อีก?มู่หรงอวี้โกรธมากจนแทบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือดทว่า อย่างไรเขาก็ยังไม่ไขกระต่าง สองคนนี้มีความสามารถถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?“ออกไปก่อน!”ยังไม่ทันได้โกรธ มู่หรงอวี้ก็ต้อ
ซูจิ่งสิงไม่มีเวลามาโต้เถียงกับเขา พูดอย่างเย็นชา“จะถึงหูฝ่าบาทหรือไม่ ก็ไม่มีผลอะไรกับข้า”“เจ้า หรือเจ้าคิดจะก่อกบฏ?”ทันทีที่มีการคาดเดานี้ผุดขึ้นมา มู่หรงอวี้ก็ตื่นตระหนกแล้วจริงๆหากซูจิ่งสิงคิดกบฏ ราชวงศ์ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ต้องเกรงกลัวในขณะเดียวกัน ฐานะอ๋องเองก็ไม่สามารถเป็นเครื่องรางช่วยชีวิตของเขาได้อีกต่อไปแววตาของเขา ในที่สุดก็เต็มไปด้วยความกลัว “ซูจิ่งสิง มีเรื่องอันใดค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันเถอะ”ซูจิ่งสิงยังคงพูดคำเดิม“คายทุกเรื่องที่เจ้าทำกับตระกูลซูหลายปีนี้ออกมา แล้วข้าจะพิจารณาปล่อยเจ้าไป”“ข้าพูด ข้าพูดแล้ว”เกี่ยวกับปัญหานี้ มู่หรงอวี้ไม่มีอะไรไม่กล้าพูด รีบพูดว่า“ข้าไม่ได้ทำอะไรกับตระกูลซูเลยจริงๆ ข้าเคยพยายามเอาชนะเจ้ามาก่อน เคยไล่ฆ่าพวกเจ้ามาตามทาง แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความประสงค์ของฝ่าบาท ไม่เกี่ยวข้องกับข้า…”ซูจิ่งสิงหรี่ตาลง“ฮ่องเต้ออกคำสั่ง เหตุใดเจ้าถึงไล่ตามข้าไม่ลดละเล่า?”“เป็นเถาเออร์!”“นางบอกข้าว่า โลกนี้เป็นหนังสือนิยายที่นางเขียนขึ้นมาด้วยตนเอง และข้าก็ควรจะได้เป็นฮ่องเต้ตามต้นฉบับเหตุผลที่ข้ามาอยู่ในจุดนี้ ก็เพราะเจ้ากับกู้หว่
“พวกเจ้าคงจะยังไม่รู้สินะว่าในตัวของหนานหยางอ๋องนั้นมียาพิษ”เรื่องที่หนานหยางอ๋องโดนวางยาพิษ กู้หว่านเยว่รู้อยู่ก่อนแล้ว เพราะนางเป็นคนถอนยาพิษนี้เองกับมือ“หากเป็นความลับนี้ ก็ต้องขอโทษด้วย มันไม่ได้มีผลกับข้า” กู้หว่านเยว่โบกมือไปมา“ว่าอย่างไรนะ? ช้าก่อน ข้ายังมีอีกเรื่อง” มู่หรงอวี้เอือมระอากับการรับมือที่ยากเย็นกับกู้หว่านเยว่เต็มทน แต่เพื่อปกป้องตัวเอง เขาจะต้องประกาศเรื่องที่ตนรู้ทั้งหมดออกมาให้จงได้“ยังมีอีกเรื่อง ข้ารู้ว่าฝ่าบาททรงทำลายหมู่บ้านโซว่หวางทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือและอ๋องจินในเหอตง”“อ๋องโซว่ก็คือกงซุนจ่างเย่ เขาคอยดูแลหมู่บ้านโซว่หวางที่ตั้งอยู่ในทุ่งหญ้าทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ส่วนอ๋องจินคอยดูแลเกี่ยวกับถ่านหินที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งพวกเขาไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนสักเท่าไหร่”ซูจิ่งสิงคอยอธิบายอยู่ข้างหูของกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ฮ่องเต้ที่ขึ้นครองราชย์อยู่ในตอนนี้ก็คือบุตรบุญธรรม ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ใช่สายเลือดเชื้อพระวงศ์โดยตรง ดังนั้นเขาจึงเกิดความกังวลมาตลอดว่าบัลลังก์ที่เขากำลังขึ้นครองอยู่นี้จะถูกใครคนอื่นช่วงชิงตลอ
เมื่อเห็นแขนที่ขาดยังคงคาอยู่บนมือของกู้หว่านเยว่ นางรีบทิ้งมันไปด้านข้างทันทีในขณะที่กำลังคิดจะวาบตัวตามไปนั้น นางกลับถูกซูจิ่งสิงที่ไล่ตามมาทันขวางไว้เสียก่อน“น้องหญิง อย่าเข้าไป ในนั้นมันอันตราย!”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วแน่น คว้านางอย่างไม่คิดชีวิตภูเขาหิมะจะถล่มลงมาเมื่อไหร่ก็ได้“หลิวจ้งชางล่ะ?”“ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว”เมื่อรู้ว่าหลิวจ้งชางตายแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ทอดถอนใจ จากนั้นก็จ้องเขม็งไปยังทิศทางที่มู่หรงอวี้หายตัวไปด้วยสีหน้าจนปัญญา“หิมะก้อนนี้เป็นฝีมือของหลิวจ้งชาง มู่หรงอวี้ เจ้าช่างโชคดียิ่งนัก!”ปล่อยให้เขาหนีรอดไปก่อนแต่การตัดมือหนึ่งข้างของอีกฝ่าย นับว่าเป็นกำไรมหาศาลมู่หรงอวี้ที่เสียมือไปแล้วหนึ่งข้าง หากคิดจะกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง คงยาก“เรากลับกันก่อนเถอะ”ทั้งสองคนกลับไปตามเส้นทางเดิม ทันทีที่พวกเขากลับมาถึงถ้ำก็พบว่าศพของหลิวจ้งชางและคนอื่น ๆ ถูกเผาไปจนหมดแล้วจากนั้นก็เร่งเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านสือหานเวลานี้คนของมู่หรงอวี้ยังคงสู้อยู่กับองครักษ์ลับกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงจึงต้องลงมืออีกครั้ง เก็บกวาดทุกคนจนเกลี้ยงสุดท้ายทั้งสองคนก็พานางหยางและ
นางพยักหน้าหงึกหงัก เพราะไม่อยากโต้แย้งกับซูจิ่งสิงอีก “ได้ เช่นนั้นข้าพักผ่อนอยู่ในห้องก็ได้ ท่านจงคิดไตร่ตรองให้ดี หากมีเรื่องอะไรแก้ไขไม่ได้ รีบบอกข้า”กล่าวจบ นางก็แทรกตัวเข้าไปในผ้าห่ม แต่เพียงไม่นานก็ผล็อยหลับไปซูจิ่งสิงมองใบหน้าด้านข้างของกู้หว่านเยว่ ด้วยความสงสารและรู้สึกขบขันไปพร้อมกันเขาโน้มตัวลงมาจุ๊บหน้าผากของสตรีผู้เป็นที่รักเบา ๆ น้องหญิงของข้าดูถูกเขาเกินไปจริง ๆ การเก็บงานเช่นนี้ เขาจะทำออกมาไม่ดีได้อย่างไรแต่ในขณะเดียวกันซูจิ่งสิงก็รู้ว่ากู้หว่านเยว่เป็นห่วงเขาอยู่ลึก ๆ ในใจ ถึงได้กังวลทุกรายละเอียดเช่นนี้เขามีอะไรดีนะ ถึงได้มีภรรยาที่แสนดีถึงเพียงนี้ครั้งนึกถึงคำกล่าวของมู่หรงอวี้ นัยน์ตาของซูจิ่งสิงก็อดฉายแววลึกล้ำไม่ได้ในตัวภรรยาของเขามีความลับมากมายแต่ไม่เป็นไร ต่อให้เขาไม่รู้อะไรเลย เขาก็จะปกป้องนางให้ถึงที่สุดซูจิ่งสิงทอดถอนใจอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็เหาะเหินออกไปหลังจากที่ยุ่งมาตลอดตั้งแต่เช้าจรดเที่ยงคืน บุรุษได้กลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาต้องย่องขึ้นเตียง และแทรกตัวเข้าไปกอดกู้หว่านเยว่เช้าวันรุ่งขึ้น กู้หว่านเยว่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยคว
“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แสงดาบเงากระบี่เหล่านั้น ตอนที่ข้ามาถึงที่นี่ ก็ยังเห็นคราบเลือดที่เจิ่งนองอยู่บนถนน แม่นางน้อยกู้ นายท่านซู พวกเจ้าช่วยบอกความจริงกับข้าเถิด พวกเจ้ามีศัตรูมาแก้แค้นใช่หรือไม่?”ผู้ใหญ่บ้านโจวถึงกับปาดเหงื่อโชคดีที่หมู่บ้านสือหานยังมีอากาศที่หนาวเหน็บ ตกดึกจึงไม่มีชาวบ้านออกมาเพ่นพ่านมิเช่นนั้นสงครามที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็อาจจะพลาดโดนชาวบ้านบาดเจ็บไปแล้วก็ได้หากสองคนนี้ดึงดูดศัตรูเข้ามาจริง ๆ เขาคงต้องโน้มน้าวให้พวกเขาออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า“บัดนี้ข้าเป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านสือหานแล้ว ข้าต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของชาวบ้านก่อนเสมอ เจ้าอย่าโกรธข้าเลย”กู้หว่านเยว่จะโกรธได้อย่างไร?สาเหตุที่แนะนำผู้ใหญ่บ้านโจวให้มาเป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านสือหานนั้นเพราะรู้สึกว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์ มีความจริงใจต่อชาวบ้านบัดนี้เขากล้ากล่าวเรื่องนี้กับกู้หว่านเยว่ นั้นก็แสดงให้เห็นว่านางมองคนไม่ผิดจริง ๆ “เมื่อคืน มีศัตรูบุกเข้ามาแก้แค้นจริง ๆ”กู้หว่านเยว่เห็นว่าผู้ใหญ่บ้านโจวถึงกับสำลักน้ำชา จึงรีบกล่าวเสริมทันทีว่า“แต่ศัตรูเห
“ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงออกมาเร็วเช่นนี้?”โจวลิ่วหลางที่ยืนอยู่หน้าประตูแสดงสีหน้าตื่นตระหนกเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อเดินออกมา เดิมทีตนคิดว่าผู้ใหญ่บ้านโจวจะต้องอยู่ด้านในนานกว่านี้“แม่นางกู้และคุณชายซูไม่เหมือนกับแต่ก่อนแล้ว”ผู้ใหญ่บ้านโจวปาดเหงื่อบนหน้าผาก“ต่อไปหากพวกเขาออกคำสั่ง เราแค่ทำตามก็พอ ไม่ต้องถามเรื่องอื่น”โจวลิ่วหลางอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ข้าอยากถามแม่นางกู้ อวิ๋นเหนียงตั้งครรภ์แล้ว ข้าต้องทำอย่างไร”“เรื่องนี้ยังต้องถามอะไรอีก เจ้าก็พาก็ไปหาหมอที่อำเภอสิ ไอหยา หากไม่ใช่เพราะแม่นางกู้ ภรรยาของเจ้าคงไม่ตั้งครรภ์ ข้าก็คงไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน การที่ครอบครัวของเราได้เจอกับแม่นางกู้ มันคือโชคชะตา....”ผู้ใหญ่บ้านโจวคิดว่ากู้หว่านเยว่คือเจ้าเมืองของเจดีย์หนิงกู่ เขาจึงลากตัวโจวลิ่วหลางจากไปเงียบ ๆ โดยไม่ฟังอะไรทั้งนั้นเมื่อส่งผู้ใหญ่บ้านโจวแล้ว กู้หว่านเยว่ก็กินอาหารเช้า หลังจากกินเสร็จนางตั้งใจว่าจะเรียนวิธีการสร้างถนนปูซีเมนต์ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘อยากมั่งมีก็ต้องสร้างถนนก่อน’มีเพียงพ่อค้าที่สร้างถนนเท่านั้นถึงจะติดต่อสื่อสารได้ ทำการซื้อขายได้ ทำให้กิจกา
พระชายาหนานหยางไม่ใช่คนใจร้อน การให้เมี่ยชิงหว่านรีบมาเชิญนางเช่นนี้ กู้หว่านเยว่รู้สึกไม่ชอบมาพากล“พระชายาไม่สบายตรงไหนใช่หรือไม่เจ้าคะ?”“เล็กน้อย”เดิมทีพระชายาหนานหยางอยากตรัสเบา ๆ แต่นางกลับพยักหน้าแรงเกินไป“รู้สึกไม่สบายตัว ปวดร้าวจนทนไม่ไหว ดื่มโอสถของท่าน ถึงจะคลายความเจ็บปวดได้”นี่คือสิ่งที่กู้หว่านเยว่คาดการณ์ไว้แล้วคราวที่แล้วนางเคยตรวจอาการให้พระชายาหนานหยางแล้ว นางมั่นใจว่าไม่มีปัญหาในช่วงนี้แน่นอน จึงได้จัดยาแก้ปวดให้นาง คิดไม่ถึงว่าเพียงระยะเวลาสั้น ๆ นางจะทรุดหนักเช่นนี้อาการป่วยกำเริบเป็นเรื่องปกติ กู้หว่านเยว่ไม่ได้กังวลเพียงนั้น“พระชายานั่งลงก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะตรวจให้ท่าน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่งเล็กน้อย จากนั้นก็กดท้องของพระชายาหนานหยางเพื่อตรวจอาการ“ปวดมาก”สีหน้าของพระชายาหนานหยางเริ่มเปลี่ยนไป แต่ก็พยายามซ่อนเร้นมันไว้ในระหว่างการตรวจ“หนักหน่วงเล็กน้อย เช่นนี้ละกัน ข้าจะตรวจอาการให้ท่านก่อน”สิ่งที่กู้หว่านเยว่คิดคือ ไหน ๆ นางก็มาแล้วไม่สู้ถือโอกาสนี้แสดงให้พระชายาหนานหยางเห็นว่านางก็ทำการผ่าตัดได้หรือไม่ได้หากทำได้ นางก็จะทำให้ทันทีหากทำไ
“คนในครอบครัวของเจ้าตายกันหมดแล้วหรือ?”กู้หว่านเยว่ปวดใจกับเด็กคนนี้มาก จึงยื่นขนมอีกชิ้นให้เขา“ทุกคนตายหมดแล้วขอรับ เหลือเพียงข้าผู้เดียว”ครั้นนึกถึงเรื่องเสียใจ เสี่ยวถ่านก็มักจะก้มหน้าลง จากนั้นหยดน้ำตาก็ได้หลั่งรินออกมาจากดวงตาของเขาเขาคิดถึงท่านแม่“เอาละ หยุดร้องได้แล้ว แม้ว่าคนในครอบครัวของเจ้าจะตายกันหมดแล้ว แต่เจ้าก็ต้องใช้ชีวิตให้ดี”กู้หว่านเยว่ตักน้ำแกงไก่ให้เขา นางมักจะรู้สึกว่าสถานะของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไม่ธรรมดากิริยามารยาของเขาดูไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดา จู่ ๆ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว“ประตูเมืองเปิดแล้ว!”ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทันใดนั้นเสียงตะโกนระลอกหนึ่งก็ดังมาจากด้านนอก จากนั้นความโกลาหลก็เกิดขึ้นขึ้นในฝูงชนที่ล้อมรอบ ทุกคนต่างทยอยกันเข้ามารวมตัวกันหน้าประตูเมือง“น้องหญิง เราเองก็เข้าเมืองกันเถอะ”ซูจิ่งสิงเปิดผ้าม่าน ก่อนจะกล่าวทักทายกู้หว่านเยว่ ไหน ๆก็จะเข้าเมืองแล้ว พวกเขาคงนั่งอยู่บนรถม้าไม่ได้อีก ต้องลงจากรถม้ามาตรวจสอบถึงจะถูก “เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่คว้ามือของเสี่ยวถ่านลงมาจากรถม้า และเดินมาต่อแถวอยู่ด้านหลังของกล
ไม่สู้สละตัวปัญหานี้ออกไปโดยเร็ว เขาจึงเริ่มร้อนใจ“เอาอย่างไร ข้าเสนอให้เจ้ายี่สิบตำลึง ตกลงเจ้าจะเอาหรือไม่เอา?”“ข้าเอา”ซูจิ่งสิงรับเงินมาจากมือของกู้หว่านเยว่ หลังจากนับจนครบยี่สิบตำลึงแล้วก็โยนให้บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นรับเงินไปด้วยความดีใจ เขาทำการตรวจสอบครู่หนึ่งจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหาแล้ว ก็ไม่ได้สนใจทาสตัวน้อยนั้นอีก สะบัดก้นเดินจากไปทันที“ขอบคุณพวกท่านมาก” ทาสตัวน้อยมองไปทางซูจิ่งสิงแวบหนึ่ง แต่นัยน์ตายังคงหวาดกลัวลางสังหรณ์กำลังบอกเขาว่าซูจิ่งสิงอันตรายมาก เขาไม่กล้าเข้าใกล้ซูจิ่งสิงเลยแม้แต่น้อย“เจ้าขึ้นรถม้าเถอะ”กู้หว่านเยว่กวักมือเรียกทาสตัวน้อย สองวันมานี้เวลาว่างนางก็มักจะเรียนรู้ภาษาของชาวทูเจวี๋ยจากซูจิ่งสิงอยู่เสมอ แม้ว่าจะยังออกเสียงได้เล็กน้อย แต่พอถูไถได้ไม่มีปัญหาทาสตัวน้อยเกิดความลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ยังปีนขึ้นรถม้า เขามองกู้หว่านเยว่ด้วยความประหลาดใจ“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ใช่คนชั่ว”กู้หว่านเยว่ไม่รู้ว่าตัวเองเข้าไปยุ่งเรื่องของผู้อื่นทำไม บางทีอาจเพราะเห็นสายตาขอความช่วยเหลือจากทาสตัวน้อยผู้นั้น จึงรู้สึกว่าเหมือนตัวเองก่อนหน้านั
นางรีบลืมตา ก็พบว่าพวกเขามาถึงคูเมืองแห่งหนึ่งแล้ว เมืองชิงซานประตูเมืองของเมืองชิงซานจะเปิดในเวลาแปดโมงเช้า ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าตรู่ ดังนั้นซูจิ่งสิงจึงจอดรถม้าอยู่หน้าประตูเมืองชั่วคราวแต่เวลานี้บริเวณประตูเมืองชิงซาน ยังมีคนที่เดินทางมาถึงเช้าตรู่เหมือนกับพวกเขาอีกเป็นจำนวนมาก กำลังพักผ่อนอยู่บนพื้นที่โล่งรอบ ๆ หน้าประตู เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ดังมาจากด้านหลังของรถม้าพวกเขา กู้หว่านเยว่เบนสายตามองตาม กระทั่งเห็นเด็กน้อยหน้าตามอมแมมผมเผ้ายุ่งเหยิงคนหนึ่ง เกาะล้อรถของนางไม่ยอมปล่อย แต่ด้านหลังของเขา มีบุรุษวัยกลางคนฟาดเขาด้วยแส้อย่างโหดเหี้ยม“เกิดอะไรขึ้น?”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากัน เมื่อครู่นางอยู่แต่ในห้วงมิติตลอด จึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นด้านนอก“เด็กหนุ่มผู้นี้วิ่งลงมาจากรถม้าของบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น”ซูจิ่งสิงมองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกระซิบข้างหูของนางเบา ๆ“ท่าทางจะเป็นทาสที่ซื้อตัวมา คงอยากหนี”“ได้โปรดพวกท่าน ช่วยข้าด้วย”ครั้นทาสตัวน้อยเห็นกู้หว่านเยว่ชะโงกหน้าออกมา จึงมองนางด้วยความตกใจ แต่นัยน์ตาแฝงไปด้วยการอ้อนวอนเดิมทีกู้หว่านเยว่ไม่อยากเ
เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของกู้หว่านเยว่ดังก้องไปทั่วท้องฟ้า รูม่านตาของเจ้าเมืองแห่งเมืองสือโม่เบิกกว้าง พลางส่งเสียงกรีดร้องคล้ายกับสตรีชั้นสูงที่กำลังถูกกระทำชำเราอย่างไรอย่างนั้น“รนหาที่ตายแท้ ๆ บุรุษและสตรีคู่นี้เป็นผู้ใดกัน?!”“เจ้าเมือง บัดนี้เราจะทำอย่างไรกันดี?”ทหารที่ดูโง่เขลาบางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว เพียงครู่เดียว จวนของเจ้าเมืองก็ถูกกู้หว่านเยว่ถล่มจนไม่เหลือชิ้นดีทั้งเมืองสือโม่ตกอยู่ในความโกลาหลยิ่งกว่าเดิม!ซึ่งพอจะจินตนาการได้ว่าเรื่องของเมืองสือโม่ที่เกิดขึ้นในคืนนี้จะต้องแพร่กระจายไปทั่วเมืองทูเจวี๋ยอย่างแน่นอน ไม่สิ อาจจะแพร่กระจายไปยังฝั่งของต้าฉีด้วย“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าควรทำอย่างไร รีบจับพวกเขาให้ได้ก่อนเถอะ!”เจ้าเมืองโกรธที่ตัวเองไร้ความสามารถ ส่วนทหารคนอื่นได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น พวกเขาไม่มีปีก ดังนั้นจึงทำได้แค่มองนกหงส์เพลิงบินสูงขึ้นเรื่อย ๆ “จูเชวี่ย เราไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่มองไปยังเสบียงอาหารที่ถูกปล้นมาไว้ในห้วงมิติ ก่อนจะคลี่ยิ้มตาหยี นางลูบหัวของจูเชวี่ยเบา ๆ และออกคำสั่งให้จูเชวี่ยเร่งความเร็ว จากนั้นก็บินออกจากเมืองสือโม่ไปเจ้าเ
“กว่าจะมาถึงที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เราคงจะกลับไปทั้งแบบนี้ไม่ได้ ข้าตั้งใจจะไปคูเมืองของเมืองสือโม่ แล้วกวาดเอาคลังสินค้าของพวกเขากลับไปด้วย”ในใจของกู้หว่านเยว่รู้สึกดีไม่น้อย ทำเรื่องใหญ่ทั้งที นางจะหยุดแค่นี้ไม่ได้สิ่งที่ซูจิ่งสิงคิดไว้ก็คือ หลังจากระเบิดประตูเมืองแล้วพวกเขาสามารถรอดพ้นจากการไล่ล่าได้ แต่ทหารทูเจวี๋ยที่เหลือคงจะรวมตัวและไล่ล่าทาสเหล่านั้นมีเพียงพวกเขาที่สามารถสร้างหายนะให้เมืองสือโม่ต่อไปได้ ทหารทูเจวี๋ยคงจะพุ่งความสนใจไปที่พวกเขา ชาวบ้านในต้าฉีจะได้มีโอกาสหนีออกไป“ก็ดี เช่นนั้นเราไปกวาดคลังสินค้าของพวกเขากันเถอะ”หากพูดถึงความเคร่งครัด นี่ไม่ได้เรียกว่าการปล้นถึงอย่างไรดินแดนของคนทูเจวี๋ยก็แห้งแล้งและไม่มีเสบียงมากนักในเมืองสือโม่มีการกักตุนเสบียงอาหารและเงินทอง โดยพื้นฐานแล้วเป็นสิ่งของที่พวกเขาน่าจะปล้นชิงมาจากชาวบ้านที่อยู่ชายแดนดังนั้นตอนนี้ยิ่งพูดได้เต็มปากว่าเป็นเจ้าของเสบียงอาหาร พวกเขาแค่ต้องนำเสบียงที่เดิมทีเป็นของชาวบ้านชายแดนเหล่านั้นกลับมาก็เท่านั้น“ไป!”กู้หว่านเยว่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กระทั่งมาถึงคลังสินค้าในเมืองสือโม่เป็นอย่างที
จากนั้นนางก็ขี่จูเชวี่ยขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์ เนื่องจากการเคลื่อนไหวของกู้หว่านเยว่ค่อนข้างเอิกเกริก ไม่นานนักก็ดึงดูดความสนใจของทหารลาดตระเวน“พวกเจ้าดูนั้น มันคือสิ่งใดกัน?”“ดูเหมือนจะเป็นนกตัวหนึ่ง”“ไม่สิ ๆ ดูเหมือนว่ามีคนนั่งอยู่บนนกตัวนั้นด้วย!”ทหารทูเจวี๋ยพยายามเบิกตากว้าง จนกระทั่งมองเห็นได้ชัดว่าบนนกหงส์เพลิงหลากสีตัวนั้นมีสตรีสวมชุดสีเขียวนางหนึ่งนั่งอยู่ด้วย และกำลังบินถลาตรงมายังหอสังเกตการณ์คนทั่วไปมักจะเข้าออกทางประตูเมืองไหนเลยจะบินเข้าไปโดยตรง?ทหารทูเจวี๋ยตื่นตกใจ กระทั่งสบถคำหยาบคายออกมาจากปาก“รนหาที่ตายชัด ๆ แม่นาง รีบลงมาจากหอสังเกตการณ์เดี๋ยวนี้!”“หากยังไม่ลงมา เราจะเป็นฝ่ายไปหาเจ้าเอง!”“วันนี้ข้าจะไม่ลงไป เพราะข้าต้องการทำลายเมืองสือโม่ให้ราบเป็นหน้ากลอง”เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของกู้หว่านเยว่ดังออกมาจากฟากฟ้า นางตบศีรษะของจูเชวี่ยเบา ๆ จากนั้นจูเชวี่ยก็รีบผงกหัวขึ้น เปลวเพลิงขนาดใหญ่ถูกพ่นออกมาจากปากของมัน กวาดทำลายล้างหอสังเกตการณ์ เผาหอสังเกตการณ์จนวอดวายในเสี้ยววินาทีเปลวเพลิงขนาดใหญ่พุ่งจากหอสังเกตการณ์ทะยานสู่ท้องฟ้า ทหารทูเจวี๋ยต่างตื่
ถูกต้อง น้องหญิงไม่เคยพูดจาคุยโวกู้หว่านเยว่กะพริบตา “พวกเราเข้าเมืองก่อน”ทั้งสองเร่งเดินทางมาตลอด ในไม่ช้าก็มาถึงเมืองโม่สือเนื่องจากพวกเขาทำตัวเป็นสามีภรรยาชาวทูเจวี๋ยทั่วไปแต่แรก หนำซ้ำภาษาทูเจวี๋ยของซูจิ่งสิงก็คล่องแคล่วมากดังนั้นทั้งสองคนจึงผ่านด่านเข้าเมืองมาอย่างง่ายดาย เข้ามาในเมืองสือโม่อย่างราบรื่นเมื่อเข้ามา กู้หว่านเยว่เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมซูจิ่งสิงถึงเรียกที่นี่ว่านรกบนดินสองข้างทางภายในเมืองเต็มไปด้วยชาวต้าฉี ยามนี้กลายเป็นทาส กำลังก่อสร้างหอคอยเมืองพวกเขาเสื้อผ้าขาดวิ่น ท่าทางเชื่องช้า หากชักช้าแม้แต่นิดเดียว แส้ในมือทหารทูเจวี๋ยจะฟาดลงบนตัวพวกเขาทันที แส้พวกนั้นกระทั่งมีหนาม สามารถครูดจนเนื้อหนังหลุดเป็นชั้น มีหลายคนที่ถูกฟาดจนบนตัวไม่มีเนื้อดีแม้แต่นิดเดียวส่วนภายในเมืองน่ากลัวยิ่งกว่า มองเห็นหญิงสาวชาวต้าฉีถูกชายทูเจวี๋ยใช้กำลังบังคับขืนใจได้ตามตรอกทั่วไป บนถนนเต็มไปด้วยเสียงร้องระงม“น้องหญิง อย่าวู่วาม”ซูจิ่งสิงกดมือกู้หว่านเยว่เอาไว้ แม้เขาเองก็โกรธแค้นมาก แต่ขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการลงมือ“พวกเราไปหาโรงเตี๊ยมเข้าพักกันก่อน”“ได้”กู้หว่านเยว
แม่ทัพผู้เฒ่าเกาเอ่ยเสียงเข้มพร้อมทำความเคารพ“พบกันใหม่” ซูจิ่งสิงพากู้หว่านเยว่จากไป“ท่านพี่ เส้นทางที่พวกเราวาดเมื่อคืน วันนี้นำออกมาใช้ได้แล้วสิ?”หลังจากทั้งสองคนออกจากด่านซานไห่ กู้หว่านเยว่นำแผนที่ซึ่งวาดเส้นทางเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานออกมา“ถูกต้อง”ซูจิ่งสิงพยักหน้า แล้วเอ่ยชมเต็มที่ “น้องหญิงช่างมีวิสัยทัศน์กว้างไกล”“แผนที่นี้ท่านเป็นคนวาดนะ”กู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้ เมื่อวานซูจิ่งสิงบอกนาง รอบด้านทูเจวี๋ยเต็มไปด้วยหมาป่า หากอยากไปให้ถึงเมืองอูถ่าน ทางที่ดีต้องเดินทางผ่านตัวเมืองไปตลอดทางในเมื่อต้องเดินทางผ่านเมือง เช่นนั้นคงปล่อยให้คนอื่นรู้ไม่ได้ว่าพวกนางคือชาวต้าฉีกู้หว่านเยว่รีบซื้อเสื้อผ้าของชาวทูเจวี๋ยจากแพลตฟอร์มซื้อขายทันที จากนั้นนำอุปกรณ์แปลงโฉมออกมาเนื่องจากคนของเหยลวี่เจิงเคยเห็นเพียงซูจิ่งสิง ไม่เคยเห็นรูปโฉมกู้หว่านเยว่ดังนั้นกู้หว่านเยว่จึงแปลงโฉมให้ซูจิ่งสิงคนเดียว เมื่อถึงตานาง นางเพียงกลบเกลื่อนเอกลักษณ์ความเป็นต้าฉีเล็กน้อยเท่านั้น แต่งกายให้ตัวเองใกล้เคียงคนทูเจวี๋ยที่สุดเพียงไม่นาน สองสามีภรรยาชาวทูเจวี๋ยแบบดั้งเดิมเดินออกมาจากในป่ากู้หว่า
เนื้อหาบนจดหมายเรียบง่ายมาก แรกเริ่มแจ้งให้รู้ว่าซูจิ่นเอ๋อร์อยู่ในมือพวกเขา ต่อมาบอกว่าหากซูจิ่งสิงอยากช่วยน้องสาวกลับไป ให้มาที่เมืองอูถ่านเพียงลำพังสองคนใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือเหยลวี่เจิง นึกไม่ถึงว่าเขาจะต่ำทรามเพียงนี้ คนในครอบครัวไม่เกี่ยวข้อง แต่เขากลับลงมือกับคนสกุลซูหลายครั้ง “ท่านคิดจะทำอย่างไร?”กู้หว่านเยว่หันมองซูจิ่งสิง ความจริงพอเดาได้ว่าในใจเขาคิดอย่างไร เป็นไปตามคาดหลังจากซูจิ่งสิงเงียบไปสักพัก เอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น“ข้าเป็นพี่ใหญ่ ไม่อาจปล่อยจิ่นเอ๋อร์ให้อยู่ในอันตรายโดยไม่สนใจ ในเมื่อจิ่นเอ๋อร์กับฟู่หลานเหิงอยู่ในมือพวกเขา เช่นนั้นข้าจะเดินทางไปเมืองอูถ่าน ช่วยพวกเขากลับมา”ซูจิ่งสิงจับไหล่ทั้งสองข้างของกู้หว่านเยว่“หว่านเยว่ เจ้ารอข้าอยู่ที่ด่านซานไห่นะ”สิ่งที่เขาคิดคือ การไปเมืองอูถ่านครั้งนี้อันตรายมากในเมื่อเหยลวี่เจิงส่งจดหมายมา แสดงว่าเขาวางกับดักไว้ทั่วเมืองอูถ่านแล้ว เพื่อรอให้เขาไปติดกับเองการไปครั้งนี้ เขาอาจไม่ได้กลับมาดังนั้นเขาไม่อยากทำให้กู้หว่านเยว่ลำบาก จึงคิดจะให้นางรออยู่ที่ด่านซานไห่หากเขาโชคดีได้กล