บุรุษผู้ใส่เสื้อผ้ารัดรูปทั้งตัว ดูแล้วคล้ายกับข้ารับใช้ของขุนนางใหญ่ เคราบนหน้าก็รกรุงรังน่าขยะแขยงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้“เข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ”หลี่เฉินอันกำหมัดแน่น ทุบโต๊ะอย่างโกธเคือง “อาจารย์และอาจารย์หญิงของข้าไม่ใช่พลหทารไร้นาม ท่านเป็นใคร กล้าดียังไงมาพูดแทรกเช่นนี้?”กล้าว่าร้ายอาจารย์ของเขาโดยเฉพาะอาจารย์หญิง? เขาทนไม่ได้เถาเอ๋อร์กลับคิดไม่ถึงว่าหลี่เฉินอันจะกล้าลองดีกับตนเช่นนี้ ในสายตาของนางหลี่เฉินอันเป็นแค่เครื่องมือ “หากไม่ใช่เพราะข้าเขียนถึงเจ้า เดิมทีเจ้าก็ไม่มีตัวตน เจ้ากล้าดีอย่างไรมากล่าวหาว่าข้าเป็นใคร?”นางคือผู้เขียนต้นฉบับ เทียบกับองค์หญิงแล้ว ไม่สิ เทียบกับฮ่องเฮาแล้วยังมีเกียรติมากกว่าเสียอีก ชะตาของทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนแต่อยู่ในการควบคุมของนางทั้งสิ้น!หลี่เฉินอันตกอยู่ในความงุนงง “ท่านแม่ให้กำเนินข้า จะมีตัวตนหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเจ้าไม่ทราบ?”วาจาของคนผู้นี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก หางตาของกู้หว่านเยว่กลับปรากฏเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่แท้เถาเอ๋อร์ก็เป็นผู้เขียนต้นฉบับนี่เองในต้นฉบับกู้หว่านเยว่มักจะพูดแขวะถึงผู้เขียนอยู่หลายครั้ง ทำไมต้องเขียนให้ข
ทางฝั่งของมู่หรงอวี้เมื่อถูกกล่าวเช่นนี้ ก็เริ่มหวั่นไหว สุดท้ายเขาก็ยังตัดสินใจที่จะเลือกจัดการกับซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ก่อนแล้วค่อยว่ากันตราบใดที่สองคนนี้ยังอยู่ เขาก็ยังต้องเจอกับความโชคร้าย จากคำกล่าวของเถาเอ๋อร์ เพียงจัดการกับพวกเขา เหตุใดยังต้องกังวลว่าตนจะหวนกลับมาตั้งตัวเป็นใหญ่อีกครั้งไม่ได้?“บนตัวของข้าเหลือเงินอยู่เพียงเท่านี้”มู่หรงอวี้ล้วงหยิบตั๋วเงินที่มีออกมา โชคดีที่เขายังมีคลังส่วนตัวหลายแห่งในเมืองที่ยังไม่โดนกวาดล้าง รอใช้เงินหมดเมื่อไหร่ ค่อยกลับไปเติมเงินในเมืองก็ย่อมได้กู้หว่านเยว่ชำเลืองมองเงินห้าร้อยเหรียญด้วยสายตารังเกียจเล็กน้อย “น้อยขนาดนี้ มู่หรงอวี้เจ้าช่างยากจนยิ่งนัก”ทันทีที่ได้เงินมา กู้หว่านเยว่ก็ใช้เสียงของตัวเองอย่างไม่ปิดบัง นี่เป็นครั้งแรกที่มู่หรงอวี้เริ่มรู้สึกถึงบางอย่างไม่ชอบมาพากล น้ำเสียงของอีกฝ่ายช่างคุ้นหูยิ่งนัก“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?”มู่หรงอวี้เริ่มครุ่นคิดอย่างตื่นตระหนก ทั้งยังแอบคิดในใจ ‘เขาคงไม่ได้ล่มเรือในหนองน้ำเองหรอกนะ’ซูจิ่งสิงที่อยู่ตรงข้ามก็ไม่อยากปลอมตัวแล้วเช่นกัน รีบกระชากหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าออกทันที
เมื่อเห็นท่าทางของกู้หว่านเยว่เหมือนจะยิ้มแต้ก็ไม่ยิ้ม มู่หรงอวี้ก็ยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ“กู้หว่านเยว่ เจ้ากล้าดูถูกข้า ข้าจะฆ่าเจ้า!” มู่หรงอวี้เคียดแค้นชิงชังกู้หว่านเยว่มาก ยิ่งกว่าซูจิ่งสิงไปแล้ว สตรีที่ทำให้เขาเสียหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าผู้นี้ เขาเกลียดเข้ากระดูกดำจนอยากให้กู้หว่านเยว่ได้ลิ้มลองรสชาติของการโดนล้อบ้าง“เจ้าอยากฆ่าข้าหรือ?”กู้หว่านเยว่นั่งลงอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นยกแก้วชาขึ้นมาแกว่งเล่น“นี่คืออาณาบริเวณของข้า เจ้าอยากฆ่าข้าดูเหมือนจะยากอยู่ไม่น้อย ไม่สู้เป็นห่วงชีวิตของตัวเองก่อนดีหรือไม่?”เพียงแวบเดียว เหล่าผู้คุ้มกันของจวนโหวก็ทยอยกันตวัดมีด ข่มขู่ให้มู่หรงอวี้กลัวจนขาอ่อนดูท่าคนของจวนโหวผู้นี้จะเชื่อฟังกู้หว่านเยว่“ข้าคือท่านอ๋อง เจ้ากล้าฆ่าข้า ไม่กลัวว่าเรื่องนี้จะเข้าหูฝ่าบาทหรอกหรือ?”“หากข้ากราบทูลฮ่องเต้น้อยว่าคลังส่วนตัวของเจ้าแอบซ่อนสมบัติและคลังอาวุธไว้ล่ะ?” กล้าข่มขู่นางนักใช่ไหม ก็คอยดูว่าใครจะข่มขู่ใครกันแน่“เจ้าเก่งนักนะ!”มู่หรงอวี้เกิดรู้สึกกลัวขึ้นมา เขาไม่กล้ากราบทูลให้ฮ่องเต้จัดการซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ทั้งยั้งเป็นกังวลว่าซูจิ่
มู่หรงอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย ใช่ เวลานี้ซูจิ่งสิงอยู่ในเมืองอวี้แล้ว คงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันหมู่บ้านสือหานแต่อย่างใดหากเขาถือโอกาสนี้พากลุ่มคนเข้าไปล้อมโจมตีหมู่บ้านสืนหาน ไม่เพียงแต่จะสามารถจับตัวครอบครัวของซูจิ่งสิงได้แล้ว ยังสามารถยึดของมีค่าอยู่วางอยู่แนวหลังของอีกฝ่ายมาบีบบังคับพวกเขาได้อีกด้วยต้องรู้ว่าหมู่บ้านสือหานไม่ได้มีเพียงสหายและครอบครัวของซูจิ่งสิง แต่ยังมีเสบียงอีกไม่น้อย.......ทางฝั่งกู้หว่านเยว่หลังจากขับไล่มู่หรงอวี้แล้ว จู่ ๆ นางก็นึกถึงเรื่องของสวีหลานขึ้นมาได้ นางจึงหันไปถามหลี่เฉินอันว่า “เรื่องของสวีหลานจัดการเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?”หลี่เฉินอันพยักหน้าอย่างสุภาพ “จากหลักฐานที่ปรากฏ สวีหลานดิ้นไม่หลุดอย่างแน่นอน ผู้อาวุโสที่เดิมทีอยู่ข้างนางก็ถึงกับหมดคำพูด”“ช่วงบ่ายคนของสกุลสวีจะมาที่นี่ แต่ข้าคิดว่า ต่อให้คนของสกุลสวีมาถึงที่นี่ ก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขาทอดทิ้งนาง ไม่มีทางช่วยนางอย่างแน่นอน”สวีหลานในตอนนี้คือคนล้มที่ทุกคนพร้อมจะเหยียบย่ำกู้หว่านเยว่ไม่ได้สนใจชีวิตของสวีหลาน “ชีวิตของนาง เจ้าตัดสินเองเถอะ”หลี่เฉินอันพยักหน้าและกล่าวทันทีว่
เสียงร้องคร่ำครวญจากการถูกทรมานของสวีหลานดังขึ้นอย่างน่าเวทนา แม้แต่กู้หว่านเยว่ที่กำลังพักผ่อนอยู่ในจวนด้านหลังก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน“ท่านพี่ เราไปดูกันเถอะ”เมื่อถูกก่อกวนจนไม่สามารถทำงานได้ กู้หว่านเยว่จึงอยากไปดูให้เห็นกับตา“ไปกันเถอะ”ซูจิ่งสิงรักภรรยามาก เขาอุ้มนางและกระโดดไปบนกำแพงของหอบรรพบุรุษสกุลหลี่สวีหลานถูกขึงมือและเท้าอยู่บนกระดานไม้เหมือนเมื่อวาน ไม่ว่าจะโดนเฆี่ยนกี่ครั้ง นางก็ยังปกป้องจางเยว่อยู่เสมอ“จะฆ่าจะแกงก็มาลงที่ข้า ปล่อยพี่เยว่ไป”ท่าทางที่ดูไร้ค่านั้นยิ่งยั่วโมโหผู้อาวุโสสกุลหลี่มากกว่าเดิม“นังสารเลว ไร้ยางอายยิ่งนัก ต่อหน้าพวกข้าเจ้ายังปกป้องชายชู้ของเจ้า”“น่าขายหน้ายิ่งนัก คุณธรรมประจำตระกูลของสกุลหลี่ถูกเจ้าทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี”ในตระกูลนี้มีผู้อาวุโสที่หน้าบางอยู่หลายคน พวกเขาโกรธจนต้องเมินหน้าไปทางอื่นไม่อยากเห็นสวีหลานและจางเยว่ที่กำลังแสดงฉากรักที่น่าขยะแขยงผู้อาวุโสสำดับสองเห็นว่าทุกคนถูกสอบสวนเสร็จแล้ว จึงรีบกล่าวว่า“เสี่ยวอัน พอได้แล้ว รีบพาสวีหลานไปขังเถอะ”ความจริงแล้วเขาไม่อยากได้ยินวาจาหยาบคายของสวีหลานต่างหาก เขารู้สึกดีอย
ในตอนนั้นเองเหล่าผุ้อาวุโสของหอบรรพบุรุษออกมาพอดี พวกเขามองหลี่เฉินอันและกู้หว่านเยว่ด้วยความเคารพ“ชายหญิงคู่นั้นเป็นใคร?” ผู้อาวุโสลำดับสามกล่าวถามด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง“ได้ยินว่าเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตองค์ชายไว้ องค์ชายเรียกพวกเขาว่าอาจารย์ และเชื่อฟังพวกเขามาก”คนที่อยู่ถัดไปกล่าวไขข้อข้องใจ ผู้อาวุโสลำดับสามสบถด่าอย่างไม่สบอารมณ์“องค์ชายยังเด็กนัก จึงย่อมอ่อนน้อมถ่อมตนต่อคนนอก เขาไม่ได้เห็นพวกเขาเป็นผู้มีพะคุณอะไรหรอก แค่กลัวว่าเจดีย์หนิงกู่แห่งนี้จะกลายเป็นของคนนอกเท่านั้น”“ไม่ใช่หรอก” ผู้อาวุโสสกุลหลี่คนอื่นต่างพากันส่ายหน้าผู้อาวุโสลำดับสามกลับคิดจริงจัง เขาลูบเคราพลางกล่าวว่า “ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ข้าจะไม่ยอมให้คนนอกเข้ามาวุ่นวายเด็ดขาด”กู้หว่านเยว่รู้ว่ามีคนไม่พอใจอย่างแน่นอน แต่ในสายตาของนาง นางต้องทำเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าก่อน“นี่คือแผนที่ของเจดีย์หนิงกู่”กู้หว่านเยว่คลี่แผนที่ที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ“ทิศเหนือคือเมืองตงโจว ทิศใต้คือเมืองหลวงของฮ่องเต้”นางสร้างความโกลาหลใหญ่โตถึงเพียงนี้ แม้จะบอกว่าห่างไกลจากพระเนตรของฮ่องเต้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็ว
“ผู้ว่าการเมืองอวี้ชื่อว่าทังต่า เป็นลูกเขยของผู้อาวุโสลำดับสามสกุลหลี่”ซูจิ่งสิงกล่าวเสียงเบากู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าตรวจสอบมาอย่างชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?”บุรุษผู้นี้กำลังทำอะไรบางอย่างลับหลังนาง!ซูจิ่งสิงคลี่ยิ้มที่น่าเชื่อถือออกมา “ภรรยาของข้าอยากเปิดกิจการขนาดใหญ่ในเจดีย์หนิงกู่ ข้าจึงอยากช่วยอย่างสุดกำลัง”เขากล่าวพร้อมกับยื่นรายชื่อไปให้นางด้วยสายตาเอาใจ“นี่คือรายชื่อของขุนนางของเมืองอวี้ ในนั้นมีประวัติส่วนตัวของทุกคนเขียนไว้อย่างละเอียด”กู้หว่านเยว่เปิดดู หนึ่งในนั้นมีชื่อของผู้ว่าการทังด้วยเมื่อเงยหน้าขึ้นมองซูจิ่งสิง ในใจของนางก็พลันดีใจ “สามีของข้าพึ่งพาได้จริง ๆ”แต่ผู้ว่าการถังผู้นี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ หลังจากปิดรายชื่อลง กู้หว่านเยว่ก็ตัดสินใจไปเจออีกฝ่ายก่อนแล้วค่อยว่ากันเรื่องที่กู้หว่านเยว่อยากเจอผู้ว่าการของเมืองอวี้และเมืองตู้เปียน ได้แพร่กระจายเข้าหูทุกคนแล้ว“กู้หว่านเยว่ผู้นี้เป็นใครกัน องค์ชายหลี่อยากเจอข้า ข้ายังคิดหนักว่าจะไปหรือไม่ไป สตรีอย่างนางอยากเจอข้าอย่างนั้นหรือ?”ผู้ว่าการทังยิ้มเยาะด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก เขาไม่เคยเห็นกู้หว่านเยว่อยู่
ซูจิ่งสิงไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตา แต่เขากลับเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะสร้างความขุ่นเคืองให้ภรรยาของตน“ไม่เป็นไร เกิ่งกวงจะถึงเมื่อไหร่”กู้หว่านเยว่กวาดตามองตำราเรียนอย่างนิ่งสงบ ตั้งใจจะเรียนเกี่ยวกับโครงสร้างสักหน่อย“พรุ่งนี้น่าจะถึงแล้ว”เกิ่งกวงมาพร้อมกับทหารระดับยอดฝีมือหนึ่งพันคน กู้หว่านเยว่กระตุกมุมปาก และกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ“ดูจากเวลาแล้ว ผู้ว่าการหลิวก็น่าจะถึงแล้วเช่นกัน เช่นนั้นหากผู้ว่าการทังไม่มา ก็ให้เกิ่งกวงไปลากตัวเขามาล่ะกัน”ในเมื่อนางได้ครอบครองเจดีย์หนิงกู่และเป็นเจ้าเมืองของเจดีย์หนิงกู่แล้ว ใครจะกล้าคัดค้านนางละ? รนหาที่ตายเสียเปล่า ๆ “ผู้ว่าการทังทำงานได้ดี ไว้ข้าจะคอยดู”กู้หว่านเยว่เปิดตำราอ่านต่อ เช้าวันรุ่งขึ้น เกิ่งกวงพาทหารระดับยอดฝีมือหนึ่งพันคนเข้ามาในเมืองอวี้ จากนั้นก็ตรงมาตั้งถิ่นฐานใกล้กับจวนโหว อำนาจบารมีของเขาสร้างความหวาดกลัวให้ผู้คนไม่น้อย“ยอดเยี่ยม เจดีย์หนิงกู่ของเรามีทหารม้าที่แข็งแกร่งและชุดเกราะอันประณีตงดงามเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”ทหารยอดฝีมือหนึ่งพันคนหน้าประตูจวนโหวสร้างความตื่นกลัวให้กับผู้คนไม่น้อยในความทรงจำของทุกคน เจดีย์ห
“กว่าจะมาถึงที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เราคงจะกลับไปทั้งแบบนี้ไม่ได้ ข้าตั้งใจจะไปคูเมืองของเมืองสือโม่ แล้วกวาดเอาคลังสินค้าของพวกเขากลับไปด้วย”ในใจของกู้หว่านเยว่รู้สึกดีไม่น้อย ทำเรื่องใหญ่ทั้งที นางจะหยุดแค่นี้ไม่ได้สิ่งที่ซูจิ่งสิงคิดไว้ก็คือ หลังจากระเบิดประตูเมืองแล้วพวกเขาสามารถรอดพ้นจากการไล่ล่าได้ แต่ทหารทูเจวี๋ยที่เหลือคงจะรวมตัวและไล่ล่าทาสเหล่านั้นมีเพียงพวกเขาที่สามารถสร้างหายนะให้เมืองสือโม่ต่อไปได้ ทหารทูเจวี๋ยคงจะพุ่งความสนใจไปที่พวกเขา ชาวบ้านในต้าฉีจะได้มีโอกาสหนีออกไป“ก็ดี เช่นนั้นเราไปกวาดคลังสินค้าของพวกเขากันเถอะ”หากพูดถึงความเคร่งครัด นี่ไม่ได้เรียกว่าการปล้นถึงอย่างไรดินแดนของคนทูเจวี๋ยก็แห้งแล้งและไม่มีเสบียงมากนักในเมืองสือโม่มีการกักตุนเสบียงอาหารและเงินทอง โดยพื้นฐานแล้วเป็นสิ่งของที่พวกเขาน่าจะปล้นชิงมาจากชาวบ้านที่อยู่ชายแดนดังนั้นตอนนี้ยิ่งพูดได้เต็มปากว่าเป็นเจ้าของเสบียงอาหาร พวกเขาแค่ต้องนำเสบียงที่เดิมทีเป็นของชาวบ้านชายแดนเหล่านั้นกลับมาก็เท่านั้น“ไป!”กู้หว่านเยว่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กระทั่งมาถึงคลังสินค้าในเมืองสือโม่เป็นอย่างที
จากนั้นนางก็ขี่จูเชวี่ยขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์ เนื่องจากการเคลื่อนไหวของกู้หว่านเยว่ค่อนข้างเอิกเกริก ไม่นานนักก็ดึงดูดความสนใจของทหารลาดตระเวน“พวกเจ้าดูนั้น มันคือสิ่งใดกัน?”“ดูเหมือนจะเป็นนกตัวหนึ่ง”“ไม่สิ ๆ ดูเหมือนว่ามีคนนั่งอยู่บนนกตัวนั้นด้วย!”ทหารทูเจวี๋ยพยายามเบิกตากว้าง จนกระทั่งมองเห็นได้ชัดว่าบนนกหงส์เพลิงหลากสีตัวนั้นมีสตรีสวมชุดสีเขียวนางหนึ่งนั่งอยู่ด้วย และกำลังบินถลาตรงมายังหอสังเกตการณ์คนทั่วไปมักจะเข้าออกทางประตูเมืองไหนเลยจะบินเข้าไปโดยตรง?ทหารทูเจวี๋ยตื่นตกใจ กระทั่งสบถคำหยาบคายออกมาจากปาก“รนหาที่ตายชัด ๆ แม่นาง รีบลงมาจากหอสังเกตการณ์เดี๋ยวนี้!”“หากยังไม่ลงมา เราจะเป็นฝ่ายไปหาเจ้าเอง!”“วันนี้ข้าจะไม่ลงไป เพราะข้าต้องการทำลายเมืองสือโม่ให้ราบเป็นหน้ากลอง”เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของกู้หว่านเยว่ดังออกมาจากฟากฟ้า นางตบศีรษะของจูเชวี่ยเบา ๆ จากนั้นจูเชวี่ยก็รีบผงกหัวขึ้น เปลวเพลิงขนาดใหญ่ถูกพ่นออกมาจากปากของมัน กวาดทำลายล้างหอสังเกตการณ์ เผาหอสังเกตการณ์จนวอดวายในเสี้ยววินาทีเปลวเพลิงขนาดใหญ่พุ่งจากหอสังเกตการณ์ทะยานสู่ท้องฟ้า ทหารทูเจวี๋ยต่างตื่
ถูกต้อง น้องหญิงไม่เคยพูดจาคุยโวกู้หว่านเยว่กะพริบตา “พวกเราเข้าเมืองก่อน”ทั้งสองเร่งเดินทางมาตลอด ในไม่ช้าก็มาถึงเมืองโม่สือเนื่องจากพวกเขาทำตัวเป็นสามีภรรยาชาวทูเจวี๋ยทั่วไปแต่แรก หนำซ้ำภาษาทูเจวี๋ยของซูจิ่งสิงก็คล่องแคล่วมากดังนั้นทั้งสองคนจึงผ่านด่านเข้าเมืองมาอย่างง่ายดาย เข้ามาในเมืองสือโม่อย่างราบรื่นเมื่อเข้ามา กู้หว่านเยว่เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมซูจิ่งสิงถึงเรียกที่นี่ว่านรกบนดินสองข้างทางภายในเมืองเต็มไปด้วยชาวต้าฉี ยามนี้กลายเป็นทาส กำลังก่อสร้างหอคอยเมืองพวกเขาเสื้อผ้าขาดวิ่น ท่าทางเชื่องช้า หากชักช้าแม้แต่นิดเดียว แส้ในมือทหารทูเจวี๋ยจะฟาดลงบนตัวพวกเขาทันที แส้พวกนั้นกระทั่งมีหนาม สามารถครูดจนเนื้อหนังหลุดเป็นชั้น มีหลายคนที่ถูกฟาดจนบนตัวไม่มีเนื้อดีแม้แต่นิดเดียวส่วนภายในเมืองน่ากลัวยิ่งกว่า มองเห็นหญิงสาวชาวต้าฉีถูกชายทูเจวี๋ยใช้กำลังบังคับขืนใจได้ตามตรอกทั่วไป บนถนนเต็มไปด้วยเสียงร้องระงม“น้องหญิง อย่าวู่วาม”ซูจิ่งสิงกดมือกู้หว่านเยว่เอาไว้ แม้เขาเองก็โกรธแค้นมาก แต่ขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการลงมือ“พวกเราไปหาโรงเตี๊ยมเข้าพักกันก่อน”“ได้”กู้หว่านเยว
แม่ทัพผู้เฒ่าเกาเอ่ยเสียงเข้มพร้อมทำความเคารพ“พบกันใหม่” ซูจิ่งสิงพากู้หว่านเยว่จากไป“ท่านพี่ เส้นทางที่พวกเราวาดเมื่อคืน วันนี้นำออกมาใช้ได้แล้วสิ?”หลังจากทั้งสองคนออกจากด่านซานไห่ กู้หว่านเยว่นำแผนที่ซึ่งวาดเส้นทางเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานออกมา“ถูกต้อง”ซูจิ่งสิงพยักหน้า แล้วเอ่ยชมเต็มที่ “น้องหญิงช่างมีวิสัยทัศน์กว้างไกล”“แผนที่นี้ท่านเป็นคนวาดนะ”กู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้ เมื่อวานซูจิ่งสิงบอกนาง รอบด้านทูเจวี๋ยเต็มไปด้วยหมาป่า หากอยากไปให้ถึงเมืองอูถ่าน ทางที่ดีต้องเดินทางผ่านตัวเมืองไปตลอดทางในเมื่อต้องเดินทางผ่านเมือง เช่นนั้นคงปล่อยให้คนอื่นรู้ไม่ได้ว่าพวกนางคือชาวต้าฉีกู้หว่านเยว่รีบซื้อเสื้อผ้าของชาวทูเจวี๋ยจากแพลตฟอร์มซื้อขายทันที จากนั้นนำอุปกรณ์แปลงโฉมออกมาเนื่องจากคนของเหยลวี่เจิงเคยเห็นเพียงซูจิ่งสิง ไม่เคยเห็นรูปโฉมกู้หว่านเยว่ดังนั้นกู้หว่านเยว่จึงแปลงโฉมให้ซูจิ่งสิงคนเดียว เมื่อถึงตานาง นางเพียงกลบเกลื่อนเอกลักษณ์ความเป็นต้าฉีเล็กน้อยเท่านั้น แต่งกายให้ตัวเองใกล้เคียงคนทูเจวี๋ยที่สุดเพียงไม่นาน สองสามีภรรยาชาวทูเจวี๋ยแบบดั้งเดิมเดินออกมาจากในป่ากู้หว่า
เนื้อหาบนจดหมายเรียบง่ายมาก แรกเริ่มแจ้งให้รู้ว่าซูจิ่นเอ๋อร์อยู่ในมือพวกเขา ต่อมาบอกว่าหากซูจิ่งสิงอยากช่วยน้องสาวกลับไป ให้มาที่เมืองอูถ่านเพียงลำพังสองคนใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือเหยลวี่เจิง นึกไม่ถึงว่าเขาจะต่ำทรามเพียงนี้ คนในครอบครัวไม่เกี่ยวข้อง แต่เขากลับลงมือกับคนสกุลซูหลายครั้ง “ท่านคิดจะทำอย่างไร?”กู้หว่านเยว่หันมองซูจิ่งสิง ความจริงพอเดาได้ว่าในใจเขาคิดอย่างไร เป็นไปตามคาดหลังจากซูจิ่งสิงเงียบไปสักพัก เอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น“ข้าเป็นพี่ใหญ่ ไม่อาจปล่อยจิ่นเอ๋อร์ให้อยู่ในอันตรายโดยไม่สนใจ ในเมื่อจิ่นเอ๋อร์กับฟู่หลานเหิงอยู่ในมือพวกเขา เช่นนั้นข้าจะเดินทางไปเมืองอูถ่าน ช่วยพวกเขากลับมา”ซูจิ่งสิงจับไหล่ทั้งสองข้างของกู้หว่านเยว่“หว่านเยว่ เจ้ารอข้าอยู่ที่ด่านซานไห่นะ”สิ่งที่เขาคิดคือ การไปเมืองอูถ่านครั้งนี้อันตรายมากในเมื่อเหยลวี่เจิงส่งจดหมายมา แสดงว่าเขาวางกับดักไว้ทั่วเมืองอูถ่านแล้ว เพื่อรอให้เขาไปติดกับเองการไปครั้งนี้ เขาอาจไม่ได้กลับมาดังนั้นเขาไม่อยากทำให้กู้หว่านเยว่ลำบาก จึงคิดจะให้นางรออยู่ที่ด่านซานไห่หากเขาโชคดีได้กล
“ลำบากเยว่จีแล้ว หากไม่มีเจ้า คงไม่มีทางหลอกให้ซูจิ่นเอ๋อร์ถ่อมาถึงทูเจวี๋ย”ชายที่เอนกายอยู่บนหนังเสือ ก็คือเหยลวี่เจิงที่หนีรอดมาจากมือซูจิ่งสิงเมื่อคราวที่แล้วส่วนหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ด้านล่าง คือเยว่จีเจ้าสำนักหอร้อยบุปผา นางคือผู้นำของหอร้อยบุปผา นอกจากเหยลวี่เจิง หญิงสาวในหอร้อยบุปผาล้วนฟังคำสั่งนางดวงตาเยว่จีเย้ายวน รูปโฉมของนางถือเป็นอันดับหนึ่งในหอร้อยบุปผา“ท่านแม่ทัพชมเกินไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะท่านพบว่าน้องสาวของซูจิ่งสิงกำลังค้นหาดอกน้ำแข็งนิล เยว่จีก็ไม่สามารถใช้ความร้อนใจที่เป็นห่วงสามีของนาง หลอกนางมาถึงนี่”เยว่จีมองร่างกายกำยำของเหยลวี่เจิงอย่างลุ่มหลง ร่างกายนี้เคยพรากพรหมจรรย์ของนางไป ทำให้นางทุรนทุราย นางอยากลองอีกสักครั้ง...“ท่านแม่ทัพ นี่ก็ดึกแล้ว ให้เยว่จีปรนนิบัติท่านเถอะ” เยว่จีจ้องไปที่เข็มขัดของเขา แววตาเหยลวี่เจิงกลับมีความเกลียดชัง แล้วสะบัดมือนางทิ้ง“ไม่ต้อง คืนนี้ข้ายังต้องไปที่อื่น ที่มาครั้งนี้เพื่อแจ้งเจ้า ให้ส่งจดหมายไปหาซูจิ่ง
ซูจิ่งสิงอาบน้ำอยู่ด้านใน กู้หว่านเย่วอยู่ด้านนอกก็ไม่ได้อยู่เฉย นางให้ระบบมอบแผนที่แคว้นทูเจวี๋ยนางหนึ่งชุดจากสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ช้าหรือเร็วพวกนางก็ต้องเดินทางไปทูเจวี๋ยกู้หว่านเยว่ใช้ปากกาขีดๆ เขียนๆ บนแผนที่ เพียงไม่นานซูจิ่งสิงเองก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จบนตัวมีกลิ่นหอมของครีมอาบน้ำติดตัวกลิ่นของทั้งสองหลอมรวมกัน ทำให้บรรยากาศเกิดความละมุนละไมทันที“อาบเสร็จเร็วขนาดนี้เชียว?”กู้หว่านเยว่หันมอง สายตาอยู่บนร่างกายซูจิ่งสิง วินาทีต่อมาถึงกับตาค้างอย่างตะลึงเขาที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ หล่อเกินไปแล้ว!“ท่าน ท่านหล่อเกินไปแล้ว!”กู้หว่านเยว่หน้าแดงพร้อมพูดออกไปหนึ่งคำ นางไม่ค่อยมีแรงต้านทานต่อหนุ่มหล่อ โดยเฉพาะสามีของนางที่หล่อจนแทบอยากตาย อยากลูบกล้ามหน้าท้องจังเลย“ขอบคุณที่ชม”ซูจิ่งสิงถูกนางชมจนหน้าเริ่มแดง สายตาที่จ้องเขม็งยิ่งทำให้เขาหูแดงเถือก แม้จะกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับว้าวุ่นไปหมด“เจ้าทำสิ่งใดอยู่?”เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา หากถูกสายตาราวกับเสือจ้องขย้ำของน้องหญิงมองต่อไป เขาอาจควบคุมตัวเองไม่อยู่กู้หว่านเยว่รีบกางแผนที่วางไว้บน
ทำให้ซวนลู่ดีใจ “พูดเช่นนี้เจ้ายังชอบข้าอยู่หรือ?”“ก็เปล่านะ”เกาเจี้ยนส่ายหน้า ตลอดทาง ซวนลู่หยั่งเชิงเขาทั้งทางอ้อมและทางตรงหลายครั้ง“อีกเดี๋ยว ข้าจะส่งเจ้ากลับไปสกุลซวน แล้วคุยกับท่านลุงซวนให้ชัดเจน ให้ท่านถอนหมั้นพวกเราสองคนซะ”เกาเจี้ยนพูดจบ สีหน้าเผยความสบายใจออกมาความจริงตั้งแต่ตอนอยู่เจดีย์หนิงกู่ เขาก็คิดเอาไว้แล้วเขากับซวนลู่ไม่เหมาะสมกัน ในเมื่อซวนลู่ไม่ชอบเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องบังคับใคร“เจ้าจะถอนหมั้นกับข้าหรือ?”ซวนลู่ชะงักไปเล็กน้อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางอยากให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ทำไมยามนี้เมื่อกลายเป็นจริงแล้ว ในใจจึงรู้สึกเจ็บปวดราวกับมีสิ่งของที่เป็นของนาง กำลังค่อย ๆ จากไป“เจ้าพูดจริงหรือ?”เนื่องจากไม่กล้าเชื่อ ซวนลู่จึงย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่สิ่งที่ได้คือคำตอบที่มั่นใจของเกาเจี้ยน“ใช่”“เพราะอะไร?” ซวนลู่กำหมัดแน่น “เจ้ารังเกียจข้า เจ้ารู้ว่าข้าเสียตัวแล้ว ดังนั้นจึงถอนหมั้นหรือ!”เกาเจี้ยนรู้สึกว่าเหลวไหล“อาลู่ เป็นเพราะเจ้าไม่เคยรักข้าเลย”“เข้าเปล่านะ ข้า” “ตอนนี้เจ้าไม่อยากถอนหมั้น เป็นเพราะเจ้ารู้สึกว่า คนที่เมื่อก่อนเคยเดินตามหล
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแม่ทัพผู้เฒ่า”ซูจิ่งสิงส่ายหน้า ก่อนเขาจะจากชายแดนกลับไปรับคำสั่งที่เมืองหลวง ได้สั่งการพวกแม่ทัพเกาเอาไว้ไม่ว่าในเมืองหลวงจะเกิดเรื่องใดขึ้น ห้ามพวกเขากระทำการบุ่มบ่ามเด็ดขาด ทางที่ดีให้รักษาตัวรอดที่ด่านซานไห่“ตอนนี้ข้าเองก็ปลอดภัยดี อีกอย่าง น้ำใจของแม่ทัพผู้เฒ่าข้าเข้าใจดี”แม่ทัพผู้เฒ่าเกาพยักหน้า สายตาหันไปมองกู้หว่านเยว่“ท่านนี้คงเป็นพระชายาสินะ”“คารวะแม่ทัพผู้เฒ่าเกา” กู้หว่านเยว่ยิ้มอย่างสง่างาม ทำให้แม่ทัพผู้เฒ่าเกาพยักหน้า “พระชายาไม่ใช่หญิงสาวทั่วไป ใจกว้างเปิดเผย!”เกาเจี้ยนที่อยู่ข้างกันประหลาดใจ ต้องรู้ว่าปากของพ่อเขานั้น อยู่ในค่ายมีชื่อด้านปากเสียยิ่งนัก คำพูดสิบประโยคมีสิบเอ็ดประโยคไม่น่าฟังยามนี้เขาเพิ่งเห็นกู้หว่านเยว่เป็นครั้งแรก ก็ประเมินค่าสูงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าแม่ทัพผู้เฒ่าเกาชอบกู้หว่านเยว่จริง ๆทว่า ลองคิดดูก็เป็นเรื่องปกติพระชายาเก่งกล้าสามารถ แม้แต่เขายังยอมแพ้บนโลกนี้ ใครบ้างจะไม่ชอบพระชายา“ท่านพ่อ พวกเราเร่งเดินทางมาตลอดทาง ไม่ได้หยุดพักระหว่างทางเลยอย่ามัวแต่ยืนคุยกันข้างนอก ให้ท่านอ๋องกับพระชายาเข้าไปพักผ่อ