“ข้าแค่เห็นว่าในโพรงต้นไม้มีน้ำผึ้ง อยากจะเอาออกมากินสักหน่อย แต่ไม่คิดเลยว่าน้ำผึ้งนั้นจะมีหมีเฝ้าอยู่...”เห็นทุกคนไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ๆ สายตาก็ยังเย็นชาฟู่เยียนหรานกัดฟัน จากนั้นวิ่งไปชนต้นไม้ทันที“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ถ้าทำให้พวกท่านหายโกรธได้ ข้ายอมตายเพื่อไถ่โทษ ข้าจะไปตายเดี๋ยวนี้”“พี่สาว อย่าทำเรื่องโง่ ๆ!” ฟู่ซานรีบดึงนางเอาไว้“มีคนอยากให้ข้าตาย งั้นข้าไปตายก็ได้” ฟู่เยียนหรานน้ำตาไหลพราก และมองไปที่กู้หว่านเยว่โดยเจตนาสายตาแบบนี้ทำให้กู้หว่านเยว่พูดไม่ออกตั้งใจทำให้นางรู้สึกแย่สินะ?งั้นก็หาคนผิดแล้ว กู้หว่านเยว่มองไปบนพื้นรอบ ๆ ทันใดนั้นก็หยิบมีดที่ตกอยู่บนพื้น แล้วเดินไปหาฟู่เยียนหราน จากนั้นยิ้มอย่างเป็นมิตร กล่าวด้วยน้ำเสียงหวังดี“โธ่ แม่นางฟู่ ชนต้นไม้มันเจ็บนะ เจ้าใช้มีดเล่มนี้เถอะมีดเล่มนี้คมมาก ฟันครั้งเดียวก็สามารถตัดคอเจ้าขาดได้ รับรองว่าเจ้าจะตายโดยไม่เจ็บปวดเลย”ขณะพูดก็เอามีดจ่อไปที่ลำคอของฟู่เยียนหรานแล้วลองทำท่าสองครั้ง“กรี๊ด...เจ้าเอาออกไปไกล ๆ หน่อย!”ฟู่เยียนหรานขาอ่อนยวบ จากนั้นกล่าวด่าทอโดยไม่ทันคิด“กู้หว่านเยว่ เจ้าบ้าไปแล
สีหน้าของนางหลิวและคนอื่น ๆ ก็ไม่ดีเช่นกัน ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าขาของซูจิ่งสิงยังดีอยู่ พวกเขาจะแยกบ้านทำไมกัน?ตอนนี้กู้หว่านเยว่เก่งขนาดนี้ ขาของซูจิ่งสิงก็หายดีแล้ว ต่อไปชีวิตก็จะยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วกลับมามองที่พวกเขา...แค่มีชีวิตรอดก็ดีแค่ไหนแล้วเพราะบ้านรองตายกันหมดแล้วนางหลิวพึมพำ “จิ่งสิง เจ้าทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลย”ซูหัวหยางก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว ขาของเจ้าไม่พิการ แล้วทำไมไม่บอก”สายตาตำหนิของหลาย ๆ คนจับจ้องไปที่ซูจิ่งสิง จนทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกโมโห“พวกท่านคงลืมไปแล้วกระมัง ตอนนั้นพวกท่านรังเกียจที่ข้าบาดเจ็บหนัก กลัวว่าข้าจะเป็นภาระ จึงอยากแยกบ้าน”ซูจิ่งสิงมองพวกเขาด้วยสายตาเยือกเย็นสายตาที่เยือกเย็นนั้น ทำให้สกุลซูทุกคนต้องหุบปากอย่างไม่เต็มใจ“คุณชายซู ขอแสดงความยินดีที่ท่านลุกขึ้นยืนได้แล้ว”ซุนอู่เดินไปหาซูจิ่งสิง ตั้งใจจะตบบ่าเขาสักหน่อยแต่เมื่อเห็นว่าซูจิ่งสิงสูงกว่าตนเองหนึ่งช่วงศีรษะ ก็เลยวางมือลง“แต่ว่า ท่านก็ต้องระวัง ในเมืองหลวงอาจมีคนที่ไม่อยากให้ท่านลุกขึ้นยืนก็ได้”“ข้ารู้ ขอบคุณท่านนักการซุน” ซูจิ่งสิงเหลือบมองไปที่กลุ่มนักก
กู้หว่านเยว่ได้ยินคำพูดของเขา ก็ถือโอกาสหันกลับไปมองเป็นไปอย่างที่คาดไว้ ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการย่างเนื้อรอบกองไฟอย่างสนุกสนานมีเพียงนักการหลี่เท่านั้นที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แอบมองมาทางพวกเขาเป็นระยะ ๆ“คงจะเห็นว่าขาของท่านหายดีแล้ว จึงทนไม่ไหวที่จะรีบไปรายงานนายท่านผู้อยู่เบื้องหลัง”กู้หว่านเยว่ลูบมือ“ว่าอย่างไร จะส่งเขาขึ้นสวรรค์เมื่อไหร่ดี?”ซูจิ่งสิงรู้สึกว่าท่าทางอันธพาลของนางนั้นน่ารักเป็นพิเศษ จึงอดกลั้นรอยยิ้มแล้วพูดเสียงเบา ๆ “ลงมือคืนนี้เลย ดีกว่าปล่อยให้เนิ่นนานแล้วมีปัญหาทีหลัง”“ได้เลย ๆ ” กู้หว่านเยว่ยกยิ้มอย่างมีความสุข เหตุใดนางถึงมีความสุขขนาดนี้เวลาพูดว่าจะกำจัดคนเลว?ระหว่างที่พูดคุยกัน ก็มีคนทยอยมาตักน้ำที่ริมแม่น้ำ ทั้งสองคนจึงปิดปากเงียบอย่างรู้กัน“ข้ามาช่วยเจ้าล้างด้วย”ซูจิ่งสิงถือโอกาสนั่งยอง ๆ ลง หยิบอุ้งเท้าหมีอีกข้างออกมาจากตะกร้า แล้วล้างทำความสะอาดพร้อมกับนางไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุ้งเท้าหมีมีกลิ่นคาวแรงเกินไปหรือไม่ กู้หว่านเยว่ถึงกับอาเจียนออกมา“เจ้าเป็นอะไรไป?”ซูจิ่งสิงรีบถามด้วยความเป็นห่วงกู้หว่านเยว่อยากบอกว่าไม่เป็นไร แต่กลิ่นคาวก
“เขากำลังทำอะไร?”กู้หว่านเยว่ถามด้วยความสงสัย“นกพิราบสื่อสาร” ซูจิ่งสิงอธิบายเบา ๆ ตอนที่พวกเขาออกรบ ก็มักจะใช้วิธีนี้ในการส่งข่าวสารเช่นกันเป็นไปอย่างที่คิดไว้ ไม่นานนักก็มีนกพิราบตัวหนึ่งบินออกมาจากป่า มาเกาะที่แขนที่ยกขึ้นของนักการหลี่นักการหลี่หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอก แล้วผูกมันไว้กับนกพิราบอย่างคล่องแคล่วภายใต้แสงจันทร์ รอยยิ้มของเขาดูพึงพอใจเป็นพิเศษราวกับเห็นภาพวันที่ได้เลื่อนตำแหน่งและร่ำรวย หลังจากที่ทำงานสำเร็จ“ฮ่า ๆ ๆ...”มีความสุขมาก นักการหลี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแต่ในวินาทีต่อมา สีหน้าของเขาก็ทุกข์ระทมนกพิราบที่เพิ่งบินออกจากมือของเขา ยังไม่ทันได้กระพือปีกสองครั้ง ก็ถูกธนูที่พุ่งมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ปักเข้าที่ต้นไม้อย่างจัง“บ้าเอ๊ย!”นักการหลี่ตกตะลึง เมื่อรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็หันหลังกลับเพื่อจะวิ่งหนีแต่เขายังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกไป ซูจิ่งสิงก็พุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ดึงลูกธนูออก เขาก็พลิกฝ่ามือแล้วแทงทะลุหลอดลมของนักการหลี่โดยตรง“ตุบ” เขาไม่ทันได้ร้องขอชีวิต ก็ล้มลงไปกับพื้น“ดูหน่อยว่าในจดหมายเขาเขียนอะไร”กู้หว่านเยว่รีบต
ในขณะเดียวกับที่มุมปากกระตุกยิ้มนั้น ในใจเขากลับรู้สึกจนปัญญา สองสามีภรรยาคู่นี้ยังคงทำตัวเหมือนเขาเป็นคนของตน มั่นใจว่าเขาจะปกป้องพวกเขาได้ต้องพูดว่าพวกเขาอ่านใจของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งเดิมทีเขาอยากสั่งสอนนักการหลี่ให้รู้จักสำนึก ตอนนี้นักการหลี่ได้ถูกพวกเขาจัดการแล้ว เขาจึงไม่ซักไซ้ไล่ถามให้มากความ“เอาเถอะ หามเขาออกไป”ซุนอู่ล้วงหยิบสมุดเล่มเล็กออกมา จากนั้นก็ขีดฆ่าชื่อของนักการอย่างเลือดเย็น ไม่เอ่ยถึงการตายของนักการหลี่แต่อย่างใดทุกคนก็ไม่ได้คัดค้าน การเสียชีวิตระหว่างทางเป็นเรื่องปกติ ทุกคนต่างชินชาไปแล้วหลังจากจัดการกับศพเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมากินอาหารเช้าในค่ายตามเดิมหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ทุกคนก็ออกเดินทางต่อ ถึงแม้ว่าเมื่อวานนี้ฟู่เยียนหรานทำเรื่องน่าอับอายไปแล้ว แต่วันนี้นางยังคงบังคับเกวียนตามหลังพวกเขามาอย่างไร้ยางอายขณะที่กู้หว่านเยว่ไปตักน้ำ ฟู่เยียนหรานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้โอกาสนี้เข้าไปคุยกับซูจิ่งสิงอย่างใกล้ชิดซูจิ่งสิงไม่สนใจนาง แค่รู้สึกว่านางน่ารำคาญเท่านั้น“คุณชายซู ทำไมท่านถึงไม่สนใจข้า?” แววตาของฟู่เยียนหรานฉายแววหดหู่เมื่อเห็น
“เจ้ารู้สึกเช่นนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ คุณชายซูต่างหากที่ต้องรู้สึกเช่นนี้!”เมื่อได้ยินประโยคนั้นฟู่เยียนหรานกลับดีใจไม่ออก นางรู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่ภายใน จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะสู้นักโทษคนหนึ่งไม่ได้ สักวันข้าจะทำให้คุณชายซูหวั่นไหวต่อข้า เขาจะต้องทิ้งกู้หว่านเยว่อย่างไร้เยื่อใย!”นัยน์ตาของฟู่เยียนหรานเปล่งประกายวูบไหว ฟู่ซานถึงกับต้องรีบหดคอด้วยความหวาดกลัวหลังจากที่ฟู่เยียนหรานได้รับบทเรียน ระหว่างเดินทางนางไม่ได้เข้ามายุ่มย่ามกับพวกเขาโดยพลการอีก แต่นางกลับวางแผนอย่างเงียบ ๆ สองวันต่อมา ขบวนนักโทษก็ได้เดินทางเข้าสู่อาณาเขตปิงโจวภาพแรกที่ประจักษ์แก่สายตาคือทรายสีเหลืองอร่ามที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ตลอดเส้นทางที่เดินเข้ามากลับไม่เห็นแอ่งน้ำเลยสักแห่ง เวลานี้ทุกคนต่างกระหายจนปากแห้งไปหมดแล้ว“ถุย ทำไมลมพวกนี้ถึงเต็มไปด้วยทรายเช่นนี้”ซูจิ่นเอ๋อร์ถ่มน้ำลายและทรายที่เข้าปากของนาง“นั่นนะสิ อากาศแบบไหนกันเนี่ย?”ซูจื่อชิงถูกเม็ดทรายที่ฟุ้งกระจายมากับสายลมปะทะหน้าจนปวดแสบไปหมด แม้แต่ดวงตาของเขาก็ลืมไม่ขึ้นลมทะเลทรายที่ฟุ้งกระจายทำให้ซุนอู่ที่นำข
ไม่ต้องให้ซุนอู่ออกคำสั่ง ทุกคนก็พร้อมใจกันวิ่งไปยังทิศตรงข้ามอย่างบ้าคลั่งพายุลูกนั้นได้กวาดเม็ดทรายบนพื้นดินหมุนวนขึ้นมา แบ่งท้องฟ้าเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งสดใสอีกฝั่งกลายเป็นสีแดงฉานพายุใหญ่ลูกนั้นมีลักษณะคล้ายกับกระแสน้ำวน และกำลังเคลื่อนตัวมาทางพวกเขาต้นไป๋หยางเพียงต้นเดียวในทะเลทรายถูกพายุพัดถอดรากถอนโคลนและดูดเข้าไปในวังวนที่น่ากลัว ยิ่งเห็นพายุที่น่ากลัวเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่มีใครกล้าหยุดวิ่ง ทุกคนต่างวิ่งหนีอย่างสุดกำลังแม้แต่ฟู่เยียนหรานก็ยังยกชายกระโปรงและวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้องไปตลอดทางกู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วแน่นขณะบังคับเกวียน ยิ่งเผชิญหน้ากับช่วงเวลาเช่นนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งต้องใจเย็นมากขึ้นเท่านั้น ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับซูจิ่นเอ๋อร์“จิ่นเอ๋อร์ ใช้แส้ฟาดก้นลา จะทำให้มันวิ่งเร็วขึ้น!”“แส้ แส้อยู่ไหน?”ซูจิ่นเอ๋อร์หันกลับไปมองพายุใหญ่มหึมาลูกนั้นแล้วตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวนางคลำหาแส้อยู่นานก็ยังไม่เจอกว่าจะหาแส้เจอ มือไม้ก็อ่อนไปหมด“ถอยไป ข้าเอง!”เวลานี้ เมี่ยชิงหว่านที่เงียบมาตลอดทางได้ผลักนางออก จากนั้นก็กระโดดขึ้นมาบนเกวียน
เมื่อกู้หว่านเยว่เห็นท่าทางของทั้งสองคนแล้วก็หมดคำพูด นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว ไอหยา...แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้ต่อว่าหลี่ฮูหยินแต่อย่างใด คนที่สามารถเสียสละตนเพื่อครอบครัวได้ไม่ใช่ใครก็ทำได้“ให้เด็ก ๆ นั่งบนเกวียนของข้า แล้วให้นายท่านหลี่แบกเจ้าไป”เมื่อสิ้นสุดประโยค กู้หว่านเยว่ก็อุ้มเด็กทั้งสองคนของสกุลหลี่และบินไปบนเกวียนลาของตัวเองซูจิ่งสิงบังคับลาอยู่ด้านหน้า เมื่อเห็นนางกลับขึ้นมาอย่างปลอดภัย เขาก็รีบบังคับเกวียนลาออกไปทันทีหลี่ฮูหยินเกาะอยู่บนหลังของนายท่านหลี่พร้อมเสียงสะอื้น“ท่านพี่ ขอบคุณท่านมาก และก็แม่นางกู้...ไว้มีโอกาสข้าจะตอบแทนพระคุณของนางอย่างแน่นอน”“ไอหยา จะพูดเรื่องนี้ทำไม ข้าไม่มีวันทิ้งเจ้าแน่นอน” นายท่านหลี่ทอดถอนใจ จากนั้นก็ใช้กำลังภายในเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นภาพที่หลี่ฮูหยินกำลังจะตายอย่างสิ้นหวังยังคงฝังรากลึกอยู่ในใจของเขาหากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้น้อยองค์นั้น ครอบครัวของพวกเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อับจนหนทางเช่นนี้ได้อย่างไร!หากภายภาคหน้ายังมีโอกาส เขาจะต้องชำระหนี้แค้นครั้งนี้ให้จงได้แม้ว่าพายุนั้นจะน่ากลัวมาก แต่มันก็มีวงโคจรในการเคลื่อนที่ ขอบเขต
ขณะที่นำกองทหารออกจากเมืองหลวง เขาก็รู้ว่าชีวิตของตัวเอง ช้าเร็วก็ต้องถูกพรากไป“ข้าต้องการให้ท่านเขียนคำสั่งลงโทษตัวเอง”ซูจิ่งสิงพูดทีละคำ เอ่ยปากอย่างตั้งใจตอนแรกทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งกลับมาพร้อมกับชัยชนะ แต่กลับถูกฮ่องเต้ชั่วและขุนนางชั่วกลุ่มนี้เนรเทศไปที่เจดีย์หนิงกู่ในข้อหากบฏแม้ว่าฮ่องเต้ชั่วจะแต่งตั้งเขาให้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องอีกครั้งในเวลาต่อมา แต่ความเข้าใจผิดในอดีตก็ไม่ได้รับการล้างมลทินให้เขาเวลานี้ ในสายตาผู้คนใต้หล้า เขาคืออาชญากรที่สมคบคิดกับข้าศึกและขายชาติเขาต้องการล้างมลทินให้กับตัวเองด้วยมือของเขาเอง“ท่าน”ใบหน้าชราของหลี่กวงถิงทั้งอายและโกรธเคือง“ไม่”เขาส่ายหัวปฏิเสธ ต่อให้ต้องตายในมือของซูจิ่งสิงเช่นนี้ ก็ยังมีชื่อเสียงดี ๆ ฝากไว้แต่เมื่อคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ถูกเขียนขึ้นแล้ว ก็เท่ากับเป็นการยอมรับความผิดอย่างเปิดเผยตอนแรกเขาให้ความร่วมมือกับฮ่องเต้ในการใส่ร้ายซูจิ่งสิงมันต่างอะไรกับขุนนางทุจริต?ผู้คนทั่วหล้าจะถ่มน้ำลายด่าประนามเขาเช่นไร?“จะฆ่าจะแกง ก็สุดแล้วแต่ท่าน ข้ายังคงยืนยันประโยคนั้นเหมือนเดิมสำหรับคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ ข้าไม่มีทางเขียนเด
เห็นเพียงท่ามกลางหมอกหนาทึบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีแสงไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับหิ่งห้อยในค่ำคืนอันมืดมิดเมื่อแสงไฟนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ รองแม่ทัพที่อยู่บนเรือก็เบิกตาทั้งสองกว้าง“ไม่ได้การ ทั้งหมดเป็นลูกศรติดไฟ!”ก้นลูกศรเหล่านี้ถูกมัดด้วยลำกล้องดินปืน ภายในเป็นดินปืนทั้งหมดดินปืนตกลงมาพร้อมกับลูกศรที่ยิงขึ้นมาบนเรือราวกับเม็ดฝนทั่วท้องฟ้า ภายในเวลาชั่วพริบตา เรือก็ติดไฟ“เร็วเข้า รีบถอยกลับ”หลี่กวงถิงสั่งการ เขารู้สึกอย่างเลือนรางว่าตัวเองถูกแผนชั่วของซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เล่นงานเข้าแล้วกองทัพใหญ่ออกเดินทางแล้ว ต้องการจะถอยกลับจะทำได้ง่าย ๆ อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังอยู่บนผิวน้ำ การเดินเรือไปข้างหน้าก็ทำได้ยากลำบากอยู่แล้วคนเหล่านี้ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้บนน้ำ ไม่มีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยังโชคดีเพราะหากพบเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะล่าถอยอย่างเป็นระเบียบเรือติดไฟแล้ว เหล่าทหารร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ในระหว่างการล่าถอยของเรือ ต่างก็ชนกันเอง สถานการณ์วุ่นวายในระดับหนึ่งทว่าลูกศรทั่วฟ้านั้นก็ยังไม่ยอมหยุดเลยหลังจากยิงจบระลอกห
“ข้ามีความคิดดี ๆ อย่างหนึ่ง”ดวงตาของกู้หว่านเยว่กลอกไปมา ทันใดนั้นก็มีความคิดแผลง ๆ ผุดขึ้นมา“หลี่กวงถิงผู้นี้ต้องการว่าจ้างคนจากหอมือสังหารมาฆ่าท่านมิใช่หรือ? เราก็ให้คนของหอมือสังหารมาตอบรับเรื่องนี้”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่สบสายตากันเข้าใจทันทีว่าภรรยากำลังคิดอะไรอยู่“หนามยอกเอาหนามบ่งหรือ?”“ถูกต้อง ถึงตอนนั้นเราก็มาปิดประตูตีแมวกัน”ซูจิ่งสิงเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง นกพิราบสื่อสารก็กลับไปตามทางเดิม เพื่อส่งกลับไปที่หอมือสังหารเป็นสองวันที่สถานการณ์สงบสุขสองวันต่อมา หลี่กวงถิงก็ได้รับข่าวกรอง แจ้งว่าคนจากหอมือสังหารทำสำเร็จแล้ว“ข้าน้อยเห็นว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่สงบเงียบ ดูเหมือนจะไม่มีข่าวการตายของซูจิ่งสิงแพร่ออกมา”รองแม่ทัพหลายคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าใดหลี่กวงถิงยังรู้สึกว่าต้องระมัดระวังด้วยหลังจากรออีกสองวัน ก็มีข่าวกรองออกมาอีกว่า ค่ายของผู้บัญชาการถูกรายล้อมด้วยกองกำลังทหารอากาศแบบนี้ภายนอกกระโจมกำลังตากปลาเค็มอยู่ จนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง“ตากปลาเค็ม อากาศแบบนี้ตากปลาเค็มอะไรกัน?”หลายคนนั่งวิเคราะห์ด้วยกันรองแม่ทัพคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างฉับพล
“ลู่จิง มองไม่ออกเลยว่า เจ้าจะรักหน้าที่การงานมากเช่นนี้”เกาเจี้ยนหัวเราะอย่างชั่วร้ายรักหน้าที่การงาน?ลู่จิงสะดุดเข้าให้ใครจะไปรักหน้าที่การงาน ชัดเจนว่าเขารักและสงสารกงซุนฉิงเขาเหลือบมองกงซุนฉิง ขณะที่คิดจะใช้โอกาสนี้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างสองคน“ถูกต้อง เขารักหน้าที่การงานมาก!”ทันใดนั้นกงซุนฉิงก็เหยียบเท้าของเขา แล้วรีบเอ่ยขึ้นนางละอายใจที่จะให้ฮูหยินรับรู้เรื่องราวของพวกเขาสุดท้าย ก็จ้องเขม็งใส่ลู่จิงอย่างดุดัน พลางกระซิบว่า“หุบปาก”“ก็ได้”ลู่จิงหุบปากอย่างเชื่อฟังคำพูดของคนรักต้องเชื่อฟัง นี่จะไม่ใช่ความองอาจของชายชาตรีอย่างหนึ่งอย่างไร“เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็พูดคุยกันตามสบาย ใครจะเฝ้ายามก็ไม่สำคัญ หรือว่าถ้าไม่ได้จริง ๆ พวกเจ้าสองคนก็เฝ้ายามด้วยกันได้”ด้วยการเสริมทัพของเกาเจี้ยน ใบหน้าของกงซุนฉิงก็ยิ่งแดงขึ้น“เราไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงแขนเสื้อของซูจิ่งสิงเงียบ ๆ พลางยิ้มคลุมเครือมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาคุยกันเรื่องความรักลับ ๆ ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน“ไป”ซูจิ่งสิงจูงมือกู้หว่านเยว่จากไป“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องไปเหมือนกัน”เกาเจี้ยนถูกเตือนสต
ซูจิ่งสิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา ภรรยาเป็นคนบ้าการงาน ตั้งแต่มาถึงค่ายทหาร ก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าเขาเสียอีกเขาชอบท่าทางการวางแผนในกระโจมของกู้หว่านเยว่มาก เพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงกำชับอยู่บ่อยครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะ ลมแรงจริง ๆ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสโยนกล้องโทรทรรศน์เข้าไปในมิติ แล้วลงมาจากหอสังเกตการณ์พร้อมกับซูจิ่งสิงหอสังเกตการณ์แห่งนี้สร้างโดยทหารตามคำสั่งของกู้หว่านเยว่ก่อนหน้านี้ โดยอิงตามพิมพ์เขียวที่นางให้มาหอสังเกตการณ์สูงยี่สิบเมตรพอดี เมื่อยืนอยู่ด้านบนของหอสังเกตการณ์จะสามารถมองเห็นจุดที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน สังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้สะดวกยิ่งขึ้นทั้งสองลงมาจากหอสังเกตการณ์ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในกองทัพกับเกาเจี้ยนก็ได้ยินเสียงโต้เถียงครู่หนึ่งโดยพลัน“ชู่ว์”กู้หว่านเยว่ส่งสัญลักษณ์มือให้ซูจิ่งสิง ดึงเขาให้เดินไปตามทิศทางที่ส่งเสียงมานางรู้สึกอยู่เสมอว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงดังคาด เห็นกงซุนฉิงและลู่จิงกำลังโต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมา
“หลี่กวงถิงต้องการควบคุมข่าวลือในกองทัพ แต่ก็ต้องดูว่านายทหารเหล่านั้นจะเชื่อเขาหรือไม่”ในกระโจมฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำมู่ตัน กู้หว่านเยว่กำลังแกว่งเอกสารราชการในมือเล่น ใบหน้าเผยแววเจ้าเล่ห์ออกมาซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว “เป็นอย่างที่เจ้าคาดไว้ไม่ผิด ทันทีที่หลี่กวงถิงได้ยินข่าวนี้ ก็เรียกประชุมทั้งกองทัพทันทีและบอกว่าข่าวนี้ เป็นเท็จ”“เขามีวิธี และเราก็มีวิธีเช่นกัน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเก็บไพ่ใบสำคัญนี้ไว้ตลอดโดยเปล่าประโยชน์ ย่อมไม่ยอมปล่อยให้หลี่กวงถิงปกปิดเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ“ถึงเวลาที่โจวเหล่าต้องออกหน้าแล้ว”นางเอ่ยเบา ๆหลี่กวงถิงเรียกประชุมทั้งกองทัพ พยายามปลอบขวัญทหารทว่าเขาเพิ่งพูดจบในตอนเช้า ตอนบ่ายก็มีข่าวส่งมาถึงบอกว่าโจวเหล่าออกหน้าด้วยตัวเอง เขียนเอกสารฉบับหนึ่งด้วยมือ“โจวเหล่าได้ยอมรับสถานะบุตรที่เป็นกำพร้าของอดีตรัชทายาทแล้ว”ใบหน้าของรองแม่ทัพอมทุกข์“โจวเหล่าเคยเป็นอาจารย์ของอดีตรัชทายาท เขายังเป็นนักปราชญ์แห่งยุคอีกด้วย มีลูกศิษย์ในมือนับไม่ถ้วน เขาเชี่ยวชาญในการชี้นำการพัฒนาคำวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชนบัดนี้เขาพูดออกมาเช่นนี้ ยังมีใครที่ไม่เชื่ออีก?”
กู้หว่านเยว่ซื้อโล่และชุดเกราะมาอย่างละสองหมื่นชุดนอกจากธนูและหน้าไม้แล้ว กู้หว่านเยว่ยังซื้อลูกปืนใหญ่มาอีกชุดหนึ่งลูกปืนใหญ่เหล่านี้ถือเป็นของสำรอง จะไม่นำออกมาใช้อย่างเด็ดขาด เว้นแต่จะเป็นสถานการณ์พิเศษพลังทำลายล้างของลูกปืนใหญ่นั้นรุนแรงเกินไป หากไม่จำเป็น ก็อย่าเพิ่งนำออกมาใช้หลังจากเตรียมสิ่งของพร้อมแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ดูยอดเงินคงเหลือในบัตรอืม แทบจะไม่ขยับเลยการมีเงินใช้ไม่หมดนี่มันรู้สึกดีจริง ๆ !นอกจากสิ่งเหล่านี้ นางยังซื้อผงห้ามเลือดและยาจินชวงมาจำนวนมาก ล้วนมีประโยชน์สำหรับใช้พันแผลให้ทหารหลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ย้ายสิ่งของทั้งหมดนี้เข้าไปไว้ในคลังเก็บของในเมืองผิงโจวเมืองผิงโจวมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่ต้องกลัวว่าของข้างในจะสูญหายหลังจากนำของเข้าไปไว้ในคลังเก็บของแล้ว ค่อยให้ทหารขนย้ายสิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดไปยังค่ายเวลาผ่านไปรวดเร็วสิบวันต่อมา กองทัพของฮ่องเต้เดินทางมาถึงแม่น้ำมู่ตันหลี่กวงถิงมองไปยังผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของแม่น้ำมู่ตัน ก็รู้สึกมึนงงมิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้เจียงเต๋อจื้อนำกองทัพห้าหมื่นนายมา ผลปรากฏว่าพ่ายแพ้ย่อยยับ
นางสั่งให้คนสร้างคลังเก็บของขนาดใหญ่ขึ้นที่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำมู่ตันในเมืองผิงโจวเมื่อนานมาแล้ว แต่ก่อนเอาไว้ใช้เก็บเสบียงอาหารยังมีคลังเก็บของอีกหลายแห่งที่ยังใช้ไม่หมดกู้หว่านเยว่ตั้งใจจะใช้กักตุนอาวุธทั้งหมดสามวันต่อมา กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงนำกองทัพใหญ่มาถึงแม่น้ำมู่ตันกองทัพใหญ่ตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำกางเต็นท์อย่างเป็นระเบียบ ตามแบบแปลนที่กู้หว่านเยว่มอบให้เต็นท์เล็ก ๆ ถูกกางขึ้นริมแม่น้ำควันไฟค่อย ๆ ลอยขึ้นไปเหล่าทหารไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย แต่ละคนดูเหมือนมาพักผ่อนจะทำอย่างไรได้ ก็เบี้ยหวัดทหารเยอะมากเกินไป!คนอื่นเวลาเดินทัพก็กินแต่อาหารแห้ง ซาลาเปากับหมั่นโถว แต่พวกเขากินกับข้าวสามอย่าง พร้อมน้ำแกงหนึ่งอย่างทุกมื้อ แถมยังมีทั้งเนื้อและผักอีกต่างหาก!แบบนี้จะเรียกว่าออกรบได้อย่างไร?เหมือนกับเทศกาลตรุษจีนชัด ๆ !เมื่อเห็นเหล่าทหารมีขวัญกำลังใจ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ดีใจ ทั้งสองคนปรึกษาแผนการในค่ายทหารซูจิ่งสิงไม่เป็นสองรองใครในเรื่องการรบอยู่แล้ว แต่เขาพบว่ากู้หว่านเยว่ก็มีพรสวรรค์ในด้านการทหารเช่นกันความคิดที่ผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว ทำให้เขา
“ไม่ต้อง ๆ ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้น ยาพิษของพวกนี้ ใช้ให้น้อยจะดีกว่า”แต่จริง ๆ แล้ว เขาก็แค่แสร้งทำเท่านั้น เฟิ่งอู๋ชีไม่ได้กลัวพิษเลยสักนิด เพราะร่างกายเขามีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิด“ไปแล้วนะ”เขาโบกมือ แล้วหันหลังเดินจากไป“รักษาชีวิตของท่านเอาไว้”กู้หว่านเยว่เอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของเฟิ่งอู๋ชี แต่เป็นเพราะคนที่ร่างกายมีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิดนั้นหาได้ยากเผื่อในอนาคตทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน นางก็อาจจะได้ศึกษาดู“ไม่ต้องห่วง สิ่งที่แข็งที่สุดของข้าก็คือชีวิตนี่แหละ”เฟิ่งอู๋ชีนหลังเดินจากไป เดินไปได้สองก้าวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไม่ใช่ ๆ จุดแข็งที่สุดของเขาไม่ใช่ชีวิตเสียหน่อย!“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ นี่เป็นถึงองค์ชายหนานเจียงเชียวนะ จะไม่ฉวยโอกาสจับเขาไว้หรือ จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แบบนี้หรือ?”ซูจื่อชิงรีบเข้ามา เห็นเฟิ่งอู๋ชีกำลังเดินจากไปพอดี ใบหน้าของเขาเผยความเสียดายออกมาเล็กน้อยปล่อยศัตรูไปแบบนี้ ไม่เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่าหรอกหรือ?จากมุมมองของเขา ก็ควรจะจับองค์ชายหนานเจียงไว้ เพื่อใช้ข่มขู่หนานเจียงสิ“ฆ่าองค์ชายหนานเจียงก็ไร้ประโยช