สวี่ซือเหยามานั่งวาดแผนกิจการที่ริมระเบียง อีกไม่นานบุตรชายบุญธรรมก็จะกลับมาจากศาลาศึกษา นางจึงตั้งใจมารอรับเขาด้วยเสียเลย ทว่าเลยบ่ายมาแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา นางนึกแปลกใจ บุตรชายคนโตไม่เคยเถลไถลที่ไหน หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
สวี่ซือเหยาลุกพรวดตั้งใจจะออกไปเดินตามหา แต่พอเดินมาถึงหน้าประตูเรือน ก็พบเด็กชายเดินวนซ้ายวนขวา ลุกลี้ลุกลนไม่กล้าเข้าไปในบ้านตัวเอง "เสี่ยวหราน?" คนถูกเรียกสะดุ้งเฮือก หันมามองหน้าตื่น ๆ เห็นสภาพของบุตรชายบุญธรรมก็รู้แล้วว่าเหตุใดเขาจึงลังเลไม่อยากกลับบ้านเสียที เนื้อตัวมอมแมมเหมือนไปตกน้ำตกท่าที่ไหนมา ทั้งเลอะโคลนเป็นบางจุดเหมือนล้มถลาไปด้านหน้า ผ้าผูกผมหลุดลุ่ย "ท่านแม่คือข้า…" "เสี่ยวหราน มาทางนี้มา" สวี่ซือเหยาอ้าแขนรอ ยังไม่คิดทักท้วงอะไรในตอนนี้ บุตรชายบุญธรรมเดินเข้ามาหาอย่างช้า ๆ หน้างอคอตกน้ำตาซึม นางจูงมือเขาเข้าไปในบ้าน "เกิดอะไรขึ้นหรือ บอกมารดาได้หรือไม่" โจวเจิ้นหรานอึกอัก นางเห็นเช่นนี้ก็คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โตพอสมควร "มีสห"เขาล้มเองจริง ๆ นะ ใครก็เห็น ใช่ไหม" เมื่อแก้ตัวและเริ่มเอาตัวรอดไม่ได้ก็หาพวก แต่ไม่มีใครเข้าข้างเขาสักคน"พ่อแม่เจ้าอยู่ไหน" สวี่ซือเหยาถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่สีหน้าของนางนั้นตั้งใจจะเอาเรื่องอย่างแน่นอน"ไอหยา แม่นางใจเย็น ๆ ก่อน แค่เด็กเล่นกันเท่านั้นเอง" บุรุษที่มาส่งเด็กคนนั้นในตอนเช้ารีบเข้ามาห้าม กลัวเรื่องจะบานปลาย"เจ้าเป็นใคร พ่อบ้าน? พี่เลี้ยง?" กับผู้ใหญ่นางไม่จำเป็นต้องปราณี สวี่ซือเหยามองอีกฝ่ายด้วยหางตา"คุณชายน้อยของเจ้ากล่าวอ้างตนว่าเป็นบุตรเจ้าเมืองรู้หรือไม่""...""แอบเป็นผู้อื่น ใช้อำนาจในทางมิชอบมีความผิดอย่างไร ข้าคิดว่าผู้ใหญ่อย่างเจ้าน่าจะรู้ดี"บุรุษผู้นั้นหน้าซีด ค้อมตัวลงต่ำรีบกล่าวว่า "ขออภัย! ขออภัยด้วยขอรับอย่ารายงานไปถึงทางการเลยนะขอรับ ข้าจะรายงานเรื่องนี้กับนายท่านเอง แม่นางโปรดให้อภัยด้วย!""ไม่มีโอกาสครั้งที่สองสำหรับเรื่องนี้ จำเอาไว้ด้วย"โจวเจิ้นหรานมองมารดาด้วยแววตาชื่นชม เขานึกว่าที่บอกไปเมื่อวานนางจะเพิกเฉยไปเสียอีก แต่กลับออกตัวปกป้องถึงเพีย
กลับมาถึงเรือนนางก็เก็บตัวอยู่ในห้องไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปใต้ม้วนผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่นั้น สวี่ซือเหยาน้ำตาซึมด้วยความเสียใจ เมื่อชาติก่อนที่ภูเขาถล่มครั้งนั้นสามีของนางถูกระบุว่าตายไปแล้ว แต่แท้จริงกลับไม่ใช่ เขาไม่ได้กลับมาหานางทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ หากพระเอกในนิยายเป็นสามีของนาง เป็นโจวเยี่ยนเฉินคนนั้นเช่นนั้นนางควรทำอย่างไรต่อไปล่ะ อาจเพราะกำลังตั้งครรภ์ทำให้นางอารมณ์อ่อนไหวกว่าปกติ ในนิยายบอกเรื่องราวพระเอกกับพระเอก นางเป็นแค่ตัวประกอบไร้ค่าที่ถูกพูดถึงไม่กี่บรรทัดเท่านั้นแต่ชาตินี้นางรักของนาง จะยอมให้นางเอกในนิยายที่ใครก็ไม่รู้กำหนดขึ้นมาแย่งไปได้อย่างไรคนทั้งเรือนต่างพูดถึงเรื่องที่นายหญิงเก็บตัวเงียบ รู้ถึงหูนายท่านที่เพิ่งกลับมาจากทำงาน"พวกเจ้าซุบซิบอะไรกัน""นายหญิงท่าทางแปลก ๆ เจ้าค่ะ"“ฮูหยินรึ?""วันนี้นายหญิงออกไปข้างนอกมา ไม่รู้ว่าไปที่ใด เพราะแค่ฉางเหลียนไปด้วย กลับมาถึงก็เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง ข้าวปลาไม่ยอมกินด้วยเจ้าค่ะ"โจว
แม่มดเสียใจมากที่ลูกหมาไม่กลับมา ออกตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ คิดว่าพวกมันคงตายไปแล้ว แม่มดสร้างสุสานที่ไร้ร่างไว้ที่หลังบ้านตนเอง หลังจากนั้นแม่มดก็ไม่ได้เลี้ยงสิ่งใดอีก ด้วยกลัวว่าจะเสียพวกมันไปเหมือนกับลูกหมาทั้งสามตัวที่นางรัก"นิทานจบแล้ว…"สวี่ซือเหยามองลูกๆ พบว่าบุตรชายคนเล็กหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ หญิงสาวดึงผ้าห่มคลุมตัว ประคองโจวอี้หมินให้ขยับเข้ามากลางเตียงด้วยกลัวว่าจะนอนดิ้นแล้วพลัดตกลงไปที่นอนอีกฝั่งหนึ่งว่างเปล่า ผู้เป็นแม่มองหาบุตรชายบุญธรรมก่อนจะพบแผ่นหลังเล็ก ๆ นั่นนั่งจ๋องอยู่หน้าประตูห้อง"เสี่ยวหราน มีอะไรอยู่ตรงนั้นกันหรือ?""มีคนอยู่ด้านนอกขอรับ"ฟังเช่นนี้แล้วนายหญิงของเรือนก็ใจไม่ดีในทันที นึกว่ามีขโมยที่ไหนปีนรั้วเข้ามา แต่พอลุกไปส่องตรงช่องว่างของประตูกลับพบว่าเป็นสามีของนางนั่งคุกเข่าอยู่หน้าห้อง"เสี่ยวหราน นี่ลูกล้อเล่นอะไร""ขออภัยขอรับ ข้าเห็นท่านแม่อารมณ์ไม่ดีเลยอยากให้ยิ้มได้บ้าง อาจารย์ที่ศาลาศึกษาบอกว่าการมีอารมณ์ขันบางครั้งก็จำเป็น"&ldq
"นั่งไปเถอะคนกำลังท้องกำลังไส้ อย่าให้คนท้องว่างได้นึกเป็นห่วงนักเลย""จะดีหรือเจ้าคะ""ข้าไม่คิดอะไรมากหรอก เห็นอยู่ว่าเจ้าท้องโตถึงเพียงนี้ หากคิดจะกล่าวโทษ คนผู้นั้นก็คงต้องใจแคบมาก ๆ"แม้จะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญแต่นางก็รู้สึกซาบซึ้งใจ สวี่ซือเหยานั่งรถลากชมสวนโดยมีสหายของน้าชายคอยแนะนำพื้นที่ต่าง ๆ ว่ามีอะไรปลูกไว้บ้างสวนผลไม้นี้ปลูกผลไม้ตามฤดูกาลหมุนเวียนได้ทั้งหมด เรื่องที่วัตถุดิบของนางจะขาดตลาดในช่วงฤดูใดฤดูหนึ่งก็เป็นอันหมดปัญหา ภายในวันนั้นสวี่ซือเหยาก็ร่างสัญญาขึ้นมาให้สหายท่านน้าได้อ่านในทันที บอกส่วนแบ่งกำไรชัดเจน เขาชื่นชมนางไม่หยุดว่ามีหัวการค้า น้าชายก็เสริมไปอีกว่านางเหมือนมารดา"ที่คนเขาว่ากันว่าเจ้ามันคนเห่อหลานนี่ก็คงจะจริงสินะ""ข้าไม่เถียงก็ได้ เจ้ารีบลงนามเสียทีเถอะ ซักไซ้ข้าอยู่ได้น่ารำคาญจริง ๆ""ยอมรับง่ายดายเชียวนะ เจ้ามันเกินเยียวยาแล้ว หลานเจ้ารำคาญเจ้าบ้างไหมล่ะเนี่ย""ถึงพวกเขารำคาญข้าก็ไม่ใส่ใจหรอก หลานชายของข้าอีกสองคนที่เป็นบุตรของนางก็น่ารักมากด้วย
"คืนนี้ท่านแม่จะมานอนกับพวกข้าหรือไม่" เด็กชายเห็นว่าบิดาไม่อยู่หลายวัน กลัวว่ามารดาจะเหงา"เอาสิ เดี๋ยวคืนนี้จะเล่านิทานให้ฟังอีก"รับคำบุตรเรียบร้อยพี่เลี้ยงที่ไปพักทานอาหารกลางวันก็มาพอดี นางส่งต่อหน้าที่ให้สาวใช้ผู้นั้น ส่วนตัวเองก็มองดูอยู่ห่าง ๆคืนนั้นนางนอนกับลูก ๆ เล่านิทานให้พวกเขาฟังสองเรื่อง กว่าบุตรบุญธรรมจะหลับก็ต้องรอให้น้องชายหลับก่อน เหมือนเป็นความเคยชินของเขาไปเสียแล้วที่ต้องดูแลน้องช่วยมารดาแม้จะมีพี่เลี้ยงก็ยังไม่ทิ้งหน้าที่นี้ไปอยู่ดี เขาตั้งตารอวันที่น้องโตพอจะเล่นกับเขาได้มากกว่านี้ แม้มีสหายวัยเดียวกันที่ศาลาศึกษา แต่ก็ยังแอบเหงานิดหน่อยอยู่ดีพอสามีไปทำงานต่างเมืองหลายวันนายหญิงก็พูดน้อยลง ขนาดเด็ก ๆ ก็ยังรู้สึกได้ว่านางไม่ค่อยร่าเริง อารมณ์อ่อนไหวน้อยใจง่ายของนางเป็นไปตามประสาคนท้อง ทุกคนเข้าใจดีจึงหาทางให้นางสนใจอย่างอื่น เด็ก ๆ รู้ว่าท่านแม่เงียบลงไปมาก ก็หาเรื่องมาเล่นกับนางบ่อย ๆ"ในนี้มีน้อน น้อนดิ้นหรือไม่" โจวอี้หมินเงยหน้ามองมารดาตาแป๋วหลังจากเอาหูแนบซุกลงบนหน้าท้
สวี่ซือเหยานั่งสะอึกสะอื้นอยู่บนรถม้าไปตลอดทาง ญาติผู้พี่เคยปลอบใจใครเสียที่ไหน เขาเองก็ทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่อยู่เงียบ ๆ เป็นเพื่อนนาง"เจ้าอย่าเพิ่งด่วนคิดไปไกล เขาอาจจะปลอดภัยก็ได้"หญิงสาวใจฝ่อแล้วฝ่ออีก เพราะกลัวจะเหตุการณ์ซ้ำรอย นางพูดไม่เป็นคำจนฟังไม่รู้เรื่องเพราะสะอื้นไปด้วย คนคุมรถก็ไปเร็วกว่านี้ไม่ได้ ด้วยกลัวจะเกิดอุบัติเหตุกระทบกระเทือนถึงครรภ์นางภาพเหตุการณ์เหมือนฝันร้ายในอดีตฉายซ้ำอยู่ในหัว นางเคยผ่านเหตุการณ์สูญเสียนี้มาแล้วครั้งหนึ่งจึงไม่อยากให้เกิดขึ้นซ้ำอีก นางเมื่อตอนนั้นสิ้นสติไปจนแทบบ้า เฝ้าโทษตัวเองก็ส่วนหนึ่งโทษโชคชะตาก็ส่วนหนึ่ง หลังสูญเสียลูกสภาพก็ยิ่งดูไม่เป็นผู้เป็นคน"อาเหยา เจ้าทำให้ข้าลำบากใจ บุรุษรักสันโดษเช่นข้าเคยปลอบใจสตรีเสียที่ไหน เจ้าหยุดสะอื้นก่อนเถิด เขาอาจไม่เป็นไรก็ได้"“ข้ารู้ ฮึก! ข้ารู้อยู่ว่ามันอาจไม่แย่ขนาดนั้น แต่ข้าห้ามน้ำตาตัวเองไม่ได้ ฮือ!" ว่าแล้วนางก็ปล่อยน้ำตาไหลออกมาโฮใหญ่ แม้จะรู้ว่าพระเอกในนิยายจะรอดแต่ว่านางเปลี่ยนเรื่องราวมามากกว่าจะมีทฤษฎีผีเสื้อขยั
ถึงจะวางแผนไว้แล้วว่าปีหน้าจะไปที่เมืองหลวง แต่นางก็ยังไม่ไว้ใจอย่างที่นิยายเขียน จึงส่งคนไปจับตาดูนางเอกของเรื่องเอาไว้พอเข้าเดือนสุดท้ายน้าสะใภ้ก็ไม่อนุญาตให้นางเดินเหินไปไหนไกล ๆ มีสาวรับใช้คอยอยู่ด้วยทุกฝีก้าว สีหน้านางดูสดใสขึ้นมากจากวันที่ได้รู้ข่าวดินถล่ม ทำให้คนในเรือนวางใจได้ว่านางคงคลอดเด็กออกมาได้อย่างแข็งแรงดี...วันหนึ่งสวี่ซือเหยาเจ็บท้องอย่างหนัก ฉางเหลียนรีบไปตามหมอตำแยมาอย่างรู้งาน บ่าวในเรือนวิ่งกันให้วุ่นไปหมด เด็กชายสองคนนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องไม่ไปไหน โจวอี้หมินได้มีประสบการณ์เห็นคนคลอดลูกครั้งแรก ทั้งยังเป็นน้องแท้ ๆ ของตัวเองอีกก็ตื่นเต้นเป็นอันมาก เขาเอาแต่ถามพี่ชายไม่หยุดว่าน้องจะมาหรือยัง"หรานเกอ น้องมาหรือยัง""ยัง""หรานเกอ น้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย""ข้าไม่รู้""หรานเกอๆ …"เสียงร้องไห้จ้าดังขึ้นหยุดทุกอย่าง นัยน์ตาทุกคู่หันไปมองทิศทางเดียวกัน เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่งในที่สุดท่านหมอก็ออกมา คุยกับฮูหยินอาวุโสสองสามคำ จัดยาบำรุงให้หนึ่งชุดแล้วขอตัวกลับ
"รอลูกโตกว่านี้คงดีขึ้น" เฉินเมิ่งหยางทำอะไรไม่ได้นอกจากเอ่ยปลอบ อย่าว่าแต่ช่วยเลี้ยงเลย ขนาดจะแตะตัวหลานสาว นางยังร้องงอแงใส่จนเขาต้องรีบเอาคืนคนเป็นแม่ ดูสภาพแล้วก็เข้าใจถึงความหนักหนาสาหัส แต่เขาช่วยอะไรลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ไม่ได้จริง ๆ นอกจากเรื่องงาน "ไว้เสี่ยวเฟยหยุดงอแงแล้วข้าจะเลี้ยงข้าวเจ้าสักมื้อ" "ท่านเลี้ยงตอนนี้เลยก็ได้" นางตอบด้วยสีหน้าวิญญาณหลุดลอย เขานึกเห็นใจนางอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่เรื่องดินถล่มวันนั้นสวี่ซือเหยาก็เหม่อลอยบ่อยขึ้น จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พอต้องทุ่มเทให้กับบุตรสาวแรกเกิด เลยทำให้นางละความสนใจจากการสูญเสียไปได้ "เสี่ยวเฟยงอแงน้อยลงแล้ว อีกไม่นานเจ้าคงได้พักเต็มที่ ระหว่างต้องบำรุงตัวเองให้มากด้วย" เขาได้สมุนไพรหลายอย่างมาจากพ่อค้าที่เมืองตั้งร้านสาขาสอง ตั้งใจนำมามอบให้นาง หวังว่าคงช่วยได้ไม่มากก็น้อย จากตอนแรกที่ตั้งแง่กับนางจนแสดงอาการต่อต้านชัดเจน ตอนนี้กลับมีความเป็นห่วงมอบให้และปรารถนาดีต่อนางอย่างบริสุทธิ์ใจคุณหนูโจวอี้เฟยเติบโตขึ้นตามวัยจนหยุดงอแง เวลาคนอื่นที่ไม่ใช่มารดาอุ้มนางได้แล้ว สวีซือเหยาก็มีแผนการใหม่ที่จะทำได้อย่างสบายใจ "ข
พระชายาทำสีหน้าประหลาดใจอยู่เพียงครู่เดียว ก็กลับไปทำสีหน้าอ่อนโยนเช่นปกติของนาง หลายปีที่บุตรชายพลัดพรากไปนั้นจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นบ้างก็ไม่แปลกอะไรเลย นางเคยส่งคนไปตามสืบความเป็นอยู่ในอดีตของเขาแต่ก็รู้เพียงว่าเขาเป็นคนของสำนักคุ้มภัยมาเท่านั้น จึงไม่ได้ใส่ใจสืบหาลึกไปกว่านี้ อีกทั้งบุตรชายก็ไม่มีท่าทีอยากจะตามหาอดีตแม้จะดูเหมือนคนใจลอยอยู่ตลอดเวลาก็ตาม นางลืมคิดไปว่าบุตรชายไม่ได้เติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของนางหรือสามี อาจเป็นคนอ่อนโยนหรือหัวอ่อนกว่าที่คิดก็เป็นได้ ใสซื่อเสียจนไม่น่าเชื่อว่ามีภรรยาแล้ว บุตรชายได้ความซื่อบื้อของสามีนางมากไปจริง ๆ ตัวนางก็ผิดเองที่ไม่รอบคอบสืบหาให้จริงจัง "จำได้หมดแล้วจริง ๆ ใช่หรือไม่" คนพึ่งได้ความทรงจำกลับมาพยักหน้าหงึก ๆ "มาคุยกับแม่ก่อน เป็นคุณหนูบ้านไหน สตรีบ้านใดเล่า" โจวเยี่ยนเฉินเล่าให้มารดาฟังตั้งแต่ต้น รวมถึงเรื่องที่ถูกบ้านเดิมภรรยาปฏิบัติไม่ดีด้วยใส่ทั้งเขาและนาง ฮูหยินอาวุโสจำชื่อตระกูลนี้ได้อย่างแม่นยำเพราะพึ่งมีประกาศลงโทษไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง "เจ้าก็พักก่อนเถอะ แม่จะไปคุยกับพ่อให้เอง" นางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังให้เขาวางใจ
สวี่ซือเหยาทำสีหน้าประหลาดใจ ไม่คิดว่าใครจะมีธุระที่ต้องมาหาถึงจวนพี่ชาย นางกับแม่ทัพจ้าวเจี้ยนไม่ได้เปิดเผยออกไปอย่างสาธารณะว่าเป็นพี่น้องกัน แต่ก็ไม่ได้ปิดบังเช่นกัน แต่ว่านางไม่สนิทชิดเชื้อกับคนในเมืองหลวงเลย อีกทั้งนางได้หวนคืนกลับมาความทรงจำบางอย่างก็ลืมเลือนไป ทำให้ไม่ได้สานความสัมพันธ์กับใครไว้ แต่ว่าใครมาหาก็คงไม่สำคัญเพราะอีกไม่นานสวี่ซือเหยาก็ต้องกลับไปดูแลกิจการที่เมืองเกิดมารดา และที่นั่นทำให้นางรู้สึกมีความสุขกว่าเมืองหลวงที่วุ่นวาย และคงมาเยี่ยมพี่ชายได้นาน ๆ ครั้งเท่านั้น จึงไม่ได้ให้สถานที่ติดต่อใครไว้เลย เมื่อนางจะเดินไปแต่พบว่าพี่ชายไม่ได้เดินตามจึงหันมาถาม "ไม่ไปด้วยกันหรือเจ้าคะ?" "ไม่ไปหรอก แขกของเจ้านี่นา" ไม่รู้พี่ชายท่านนี้ตั้งใจกวนประสาทอะไรนางอีก ในเมื่อตั้งใจให้นางไปลำพังนางก็คงต้องไปลำพัง สวี่ซือเหยาเดินมาถึงเรือนกลาง ในห้องรับรองนั้นมีใครบางคนรอนางอยู่ เห็นเพียงแผ่นหลังกว้างและลายปักประณีตบนชุดเนื้อผ้าชั้นดี "คุณชายท่านนี้มีธุระกับข้าหรือเจ้าคะ" นางเอ่ยทักทายอีกฝ่ายไป แขกผู้นั้นหันมาตามเสียงเรียก สวี่ซือเหยาชะงักนิ่งหลังเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร โจวเยี่
ค่ำคืนแห่งงานเลี้ยงจบลง โจวเยี่ยนเฉินกลับถึงจวนก็เข้านอนด้วยความอ่อนเพลียเล็กน้อย เสียงสตรีที่สวมผ้าคลุมหน้าที่ได้ยินวันนี้ แม้สนทนากันไม่กี่ประโยค แต่ก็คุ้นหูนัก เมื่อหนึ่งปีก่อนเขาฟื้นขึ้นมาโดยที่จำอะไรไม่ได้เลย นอกจากชื่อตัวเอง รู้เพียงว่าพลัดพรากจากพ่อแม่แท้ ๆ มานานหลายปี มีคนไปพบเขาหมดสติอยู่ป่า เนื้อตัวเปรอะเปื้อนและบาดเจ็บหนัก เห็นว่าหน้าตามีความคล้ายคลึงผู้เป็นนายจึงช่วยเหลือไว้ก่อน โจวเยี่ยนเฉินใช้เวลาหนึ่งปีหลังจากนั้นด้วยความรู้สึกเหมือนคนที่ไม่ถูกเติมเต็ม ไม่ว่าในหัวของเขาหรือในใจของเขาล้วนมีช่องว่างบางอย่างที่ไม่สามารถกลบได้ คืนนั้นชายหนุ่มเข้าสู่ห้วงฝันด้วยภาพของสตรีที่ได้พบกันในงานแล้วสลัดออกไปจากหัวไม่ได้ เมฆหมอกบริเวณโดยรอบนั้นหนาตา แต่ภาพตรงหน้ากับชัดเจน บ้านหลังใหญ่โตหลังหนึ่งอย่างผู้มีอันจะกินอยู่อาศัยมีส่วนเล็ก ๆ โดยรอบ หรือบางทีอาจใหญ่กว่านั้นแต่ถูกกำแพงหมอกหนากลืนกินเข้ามา สตรีผู้หนึ่งอุ้มเด็กชายคนหนึ่งไว้ยิ้มร่าหัวเราะ ข้าง ๆ กันนั้นมีเด็กชายอีกคนที่ดูโตกว่าวิ่งวนไปรอบ ๆ นาง จวิ้นอ๋องคล้ายว่าสวมบทบาทเป็นคนในภาพความฝันนี้ ตัวเขายิ้มออกมาตัวที่ห้ามไม่ได้ หัว
บิดาของเขายังไม่ได้เร่งรัดหาคู่หมั้นหมายให้ เพราะเห็นว่าบุตรชายคนโตพึ่งได้กลับมาสู่ฐานะที่แท้จริง ยังต้องปรับตัวตามขนบวังหลวงและฐานะใหม่อีกหลายอย่าง ซึ่งสวี่ตงหวนก็ยินดีที่มันเป็นเช่นนั้น เพราะหากน้องเขยเกิดมีสตรีอื่นขึ้นมา เขาคงได้กลายร่างเป็นแม่ทัพมารเป็นแน่ บุรุษร่างกำยำควงดาบเล่นพลางวางแผนอยู่ในหัว น้องสาวตนยังมีเยื่อใยต่อสามี หากทำให้พบกันได้อาจช่วยกระตุ้นความทรงจำให้กลับมา ความประทับใจแรกก็สำคัญ แม้จะเป็นครั้งแรกไม่จริงก็ตาม เอาเถอะ ไม่คณามือข้าหรอก แม่ทัพจ้าวเจี้ยนวิ่งวุ่นอยู่กับการวางแผนจนไม่ได้มาหาน้องสาวกับหลาน ๆ เสียหลายวัน กว่าเขาจะมาพบอีกครั้งได้ เทียบเชิญก็อยู่ในมือสวี่ซือเหยาแล้ว "ตอนนี้ข้าเป็นสามัญชน เข้าไปได้หรือเจ้าคะ" นางเอียงคอถาม มองเทียบเชิญที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ "ไปในฐานะคู่เต้นรำของข้า ไม่เป็นไรหรอก องค์ชายสามยังวิงวอนให้น้องสาวช่วยเป็นคู่ให้เลย" "…ก็พวกเขายังไม่ออกเรือนกันอยู่สองคนนี่เจ้าคะ" นางตอบด้วยสีหน้ามืดมน การหาคู่ควงไปงานเต้นรำหรืองานฉลองในพระราชฐานชั้นนอก หากคู่สามีภรรยาไม่สะดวกไปร่วมงานก็มักพาเครือญาติหรือเพื่อนฝูงไปด้วยแทน ซึ่งส่วนใหญ
"เสี่ยวเหยา?" สวี่ตงหวนเอ่ยเรียก เห็นสีหน้านางไม่สู้ดี "ข้าไม่เป็นไร กินต่อเถอะ" นางปรับสีหน้าเรียบเฉยดังเดิมแม้จะรู้สึกร้อน ๆ ที่กระบอกตา เจิ้นหว่านคิดว่าน้องสาวผู้นี้คงตกใจที่อยู่ ๆ ก็ถูกคนแปลกหน้าเข้ามาทัก จึงอธิบายให้ฟังว่าเขาเหล่านั้นเป็นใคร "แม่นางอย่าได้กังวลไป แม้จวิ้นอ๋องจะพึ่งได้รับพระราชทานตำแหน่งมา ก็ไม่บ้าอำนาจเหมือนใครแถวนี้หรอก" สวี่ตงหวนยื่นขาไปเตะหลังเก้าดังปัง แต่คนนั่งอยู่ก็ไม่สะดุ้งสะเทือน "ท่านอ๋องน้อยอาจมีท่าทีเงอะงะไปบ้าง เพราะพึ่งคืนตระกูลเดิมได้ไม่ถึงสองปี ก่อนหน้านี้ก็ไปรบที่ชายแดนใต้มาด้วย ได้รับความดีความชอบพอ ๆ กับพี่เจ้าเลย" "คืนตระกูลเดิมหรือเจ้าคะ?" "บุตรชายฉินอ๋องพลัดพรากไปตั้งแต่ยังเป็นทารกจากเหตุลอบสังหารเมื่อครั้งนั้น ท่านอ๋องตามหาจนหมดหวังแล้ว แต่อยู่ก็มีคนพากลับมา ทำความดีความชอบไว้ก็ได้เลื่อนขั้นทันทีเลย" "เช่นนี้เอง..." ดวงตาของสวี่ซือเหยาร้อนผ่าน นางคิดถึงเขามากเกินกว่าจะพูดออกมาได้ อยากเข้าไปกอดให้หายคิดถึง แต่ก็อย่างที่ปรารถนาไม่ได้สักอย่างเดียว นางไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมเขาจึงเมยเฉยเช่นนี้ ไม่รู้ตัวว่ามีนางอยู่ที่นี่เลยหรือ ความรู้สึกน
หลายวันต่อมาก็มีประกาศใหญ่โตถึงเรื่องลงโทษขุนนางทำผิดหลายราย ตอนได้ยินพี่ชายพูดว่าเดี๋ยวจัดการเองนางก็สงสัยอยู่ว่าจะทำอย่างไร ตอนนี้ข่าวมาถึงหูนางแล้วว่าฮ่องเต้ทรงริบยศขุนนางของสวี่ซูหยางและขุนนางชั้นผู้น้อยอีกหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เรียกคืนจวนพระราชทาน พบความผิดนำของหลวงไปขาย นำป้ายหยกประจำตำแหน่งไปจำนำ ฉ้อโกงเงินบำนาญข้าราชการชั้นผู้น้อย แค่ที่กล่าวมานี้ก็ต้องโทษประหารได้แล้ว แต่ฝ่าบาทยังมีเมตตาสั่งเนรเทศไปนอกแคว้น จากขุนนางผู้มั่งคั่งถือดี วันนี้ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง หลักฐานทั้งหมดพี่ชายของนางล้วนสืบเสาะหามา ยื่นเรื่องถึงฝ่าบาทด้วยตัวเอง และยังข้อหาเล็กน้อยอีกมากที่ฟังดูไร้สาระ แต่บิดาของนางกับฮูหยินรองก็ได้ละเมิดทำไปจริง ๆ มิน่าเล่า ถึงเป็นตัวร้ายที่ไล่ต้อนพระเอกจนจนมุมเสียหลายครา รุ่งขึ้นพี่ชายก็มาพบนางอีกครั้งในยามสาย โอ้อวดความดีความชอบให้น้องสาวอย่างนางฟัง หากไม่ได้พบกับครอบครัวน้าชาย สวี่ตงหวนก็เหมือนมีน้องสาวเป็นญาติที่เหลือเพียงคนเดียว แต่อยู่ ๆ ครอบครัวก็ใหญ่ขึ้นมาโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว แล้วจะไม่ให้เขาออกหน้าปกป้องได้อย่างไร "มัวแต่ระลึกความหลังกันเรื่อยเปื่อ
แม้แค้นเคืองจนไฟร้อนสุมอก แต่เขาจะผลีผลามเข้าไปโดยไม่วางแผนไม่ได้ สวี่ตงหวนฝากหลานชายทั้งสองไว้กับพ่อบ้านแล้วกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมกับน้องสาวตามลำพัง ป้ายจวนเสนาบดีสวี่ ที่ไม่ได้เห็นมานานปรากฏขึ้นแก่สายตา ชายหนุ่มยิ้มเหยียดกว้างถีบประตูเข้าไปจนบานพับสะเทือน "อะไรน่ะ อะไรกัน!" ฮูหยินรองที่กำลังจะออกไปข้างนอกพอดีมาได้จังหวะเหมาะเจาะนัก "แม่ทัพสวี่" นางเอ่ยพึมพำอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ "แม่ทัพจ้าวเจี้ยนขอรับ" เขาเอ่ยแก้ในยศพระราชทาน มิปรารถนาให้สตรีตรงหน้านี้เอ่ยเรียกด้วยแซ่ "มีธุระอะไรหรือเจ้าคะ" ฮูหยินรองถามอย่างใจเย็น "เปล่าเลย แค่มาทวงความยุติธรรมให้น้องสาวของข้าเท่านั้นเอง"เมื่อเขาพูดประโยคนั้นหลี่หวางอี้จึงเพิ่งเห็นบุคคลอีกบุคคลหนึ่งที่อยู่ตรงนี้ด้วย "สวี่ซือเหยา" นางยิ้มตอบด้วยแววตาหมางเมิน "เรียกกันห่างเหินเสียจริงนะเจ้าคะ คราวก่อนนั้นยังเรียกข้าอาเหยาอยู่เลย" "มะ มีธุระอะไรล่ะ กลับมาทำไมอีก" "ข้าก็ไม่ได้อยากกลับมา แต่พอดีว่าพี่ชายของข้าอยากแสดงออกถึงความไม่พอใจข้าจึงร่วมมาเป็นผู้ชมด้วย" สวี่ซือเหยากล่าวเสียงเนิบนาบ หวังกวนประสาทอยู่ในที นางไม่ได้อยากมาเหยียบจวนหลังนี้อี
"ท่านลุง? เรามีท่านลุงคนอื่นนอกจากท่านลุงหยางด้วยหรือขอรับ?" โจวเจิ้นหรานเงยหน้ามองนางด้วยดวงตากลมโตหลังจากพึ่งบอกไปว่าจะพาไปพบท่านลุงที่ไม่เคยได้พบหน้ากันมาก่อน โจวอี้หมินเห็นพี่ชายทำหน้าประหลาดใจก็เลียนแบบตาม สร้างความขบขันและความน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก "ใช่แล้วล่ะ แต่แม่จะไปดูเสียก่อนว่าท่านลุงหวนพร้อมรับแขกหรือไม่" "ท่านลุงยุ่งมากหรือขอรับ" "อาจจะไม่ยุ่งเท่าไร แต่อย่างไรแม่ก็ต้องไปดูก่อน" นางวางมือบนศีรษะบุตรชายลูบมันด้วยความรักใคร่เอ็นดู ก่อนจะไปพบหน้าด้วยตัวเองสวี่ซือเหยาได้สาวรับใช้คนสนิทของนางไปสืบความเพิ่มเติม ทุกอย่างเป็นความจริง พี่ชายของนางกลับมาแล้ว กลับมาพร้อมชัยชนะจนได้รับยศแม่ทัพจากฝ่าบาท ดูเหมือนว่าเขาจะยังติดต่อกลับบ้านเดิมอยู่บ้าง แต่ก็ห่างเหินเหมือนคนไม่รู้จัก นางไม่รู้ว่าครอบครัวท่านพ่อเป่าหูอะไรพี่ชายไปบ้าง จะกุเรื่องว่านางตายแล้วเหมือนนิยายหรือไม่ แต่เมื่อคิดแล้วก็คงไม่ต่างกัน มีแต่ต้องไปพบด้วยตัวเองเพื่อยืนยันเท่านั้น คืนนั้นนางให้เด็ก ๆ นอนพักแต่หัววัน ให้นมบุตรสาวคนเล็กเรียบร้อยแล้วก็ให้พี่เลี้ยงรับไปดูแลต่อ พรุ่งนี้คงต้องเตรียมตัวกันแต่เช้า นางฝากฉางเห
สวี่ซือเหยาได้แต่ยิ้มแห้ง เห็นพวกท่านรักกันดี ที่มีปากเสียงนี้ก็ไม่ได้ผิดใจกันจริงจังอะไร ชีวิตคู่มีสีสันแบบนี้บ้างก็ไม่เลว กว่าจะถึงเมืองหลวงพวกเขาก็ต้องแวะพักอีกเมืองหนึ่งระหว่างทาง สวี่ซือเหยาเปิดโรงเตี๊ยมให้ตนและผู้ติดตามพัก ของในรถม้าก็จ้างเวรยามเฝ้าเอาไว้ให้ ชั้นล่างของโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีที่นั่งจัดเอาไว้ให้แขกที่มาเข้าพักได้รับประทานอาหาร นางคิดจะเดินทางต่อแต่เช้า ทว่าญาติผู้พี่ก็ขอให้ทานอาหารให้อิ่มท้องเสียก่อนก็ออกเดินทาง "เมื่อคืนหลับสบายหรือไม่" "แปลกที่ จึงหลับยากนิดหน่อยเจ้าค่ะ" ลูก ๆ ของนางนอนอยู่อีกห้องหนึ่งกับพี่เลี้ยงและฉางเหลียน พอได้ออกนอกเมืองเป็นครั้งแรกเด็ก ๆ ก็ตื่นเต้นกันใหญ่ แต่ก็หลับไปตอนช่วงหัวค่ำเพราะความอ่อนเพลีย พี่เลี้ยงจึงสบายขึ้นเล็กน้อยที่ไม่ต้องวิ่งตามจับเจ้าทะโมนพวกนี้ช่วงกลางดึก เด็ก ๆ นั้นทานอาหารไม่มาก เดี๋ยวเดียวก็อิ่มแล้ว พี่เลี้ยงที่นางจ้างมาจึงพาพวกเขาไปผลัดเปลี่ยนชุดด้านบน เพราะกินกันเสียเลอะเทอะไปหมด ฉางเหลียนรับคุณหนูน้อยไปอุ้มและตามเหล่าพี่ชายคุณหนูขึ้นไป หวังให้นายหญิงทานอาหารได้สะดวกขึ้น อาหารพร่องไปหลายจานสวี่ซือเหยาก็อิ่ม ประตูโรงเ