"เสี่ยวเหยา?" สวี่ตงหวนเอ่ยเรียก เห็นสีหน้านางไม่สู้ดี "ข้าไม่เป็นไร กินต่อเถอะ" นางปรับสีหน้าเรียบเฉยดังเดิมแม้จะรู้สึกร้อน ๆ ที่กระบอกตา เจิ้นหว่านคิดว่าน้องสาวผู้นี้คงตกใจที่อยู่ ๆ ก็ถูกคนแปลกหน้าเข้ามาทัก จึงอธิบายให้ฟังว่าเขาเหล่านั้นเป็นใคร "แม่นางอย่าได้กังวลไป แม้จวิ้นอ๋องจะพึ่งได้รับพระราชทานตำแหน่งมา ก็ไม่บ้าอำนาจเหมือนใครแถวนี้หรอก" สวี่ตงหวนยื่นขาไปเตะหลังเก้าดังปัง แต่คนนั่งอยู่ก็ไม่สะดุ้งสะเทือน "ท่านอ๋องน้อยอาจมีท่าทีเงอะงะไปบ้าง เพราะพึ่งคืนตระกูลเดิมได้ไม่ถึงสองปี ก่อนหน้านี้ก็ไปรบที่ชายแดนใต้มาด้วย ได้รับความดีความชอบพอ ๆ กับพี่เจ้าเลย" "คืนตระกูลเดิมหรือเจ้าคะ?" "บุตรชายฉินอ๋องพลัดพรากไปตั้งแต่ยังเป็นทารกจากเหตุลอบสังหารเมื่อครั้งนั้น ท่านอ๋องตามหาจนหมดหวังแล้ว แต่อยู่ก็มีคนพากลับมา ทำความดีความชอบไว้ก็ได้เลื่อนขั้นทันทีเลย" "เช่นนี้เอง..." ดวงตาของสวี่ซือเหยาร้อนผ่าน นางคิดถึงเขามากเกินกว่าจะพูดออกมาได้ อยากเข้าไปกอดให้หายคิดถึง แต่ก็อย่างที่ปรารถนาไม่ได้สักอย่างเดียว นางไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมเขาจึงเมยเฉยเช่นนี้ ไม่รู้ตัวว่ามีนางอยู่ที่นี่เลยหรือ ความรู้สึกน
บิดาของเขายังไม่ได้เร่งรัดหาคู่หมั้นหมายให้ เพราะเห็นว่าบุตรชายคนโตพึ่งได้กลับมาสู่ฐานะที่แท้จริง ยังต้องปรับตัวตามขนบวังหลวงและฐานะใหม่อีกหลายอย่าง ซึ่งสวี่ตงหวนก็ยินดีที่มันเป็นเช่นนั้น เพราะหากน้องเขยเกิดมีสตรีอื่นขึ้นมา เขาคงได้กลายร่างเป็นแม่ทัพมารเป็นแน่ บุรุษร่างกำยำควงดาบเล่นพลางวางแผนอยู่ในหัว น้องสาวตนยังมีเยื่อใยต่อสามี หากทำให้พบกันได้อาจช่วยกระตุ้นความทรงจำให้กลับมา ความประทับใจแรกก็สำคัญ แม้จะเป็นครั้งแรกไม่จริงก็ตาม เอาเถอะ ไม่คณามือข้าหรอก แม่ทัพจ้าวเจี้ยนวิ่งวุ่นอยู่กับการวางแผนจนไม่ได้มาหาน้องสาวกับหลาน ๆ เสียหลายวัน กว่าเขาจะมาพบอีกครั้งได้ เทียบเชิญก็อยู่ในมือสวี่ซือเหยาแล้ว "ตอนนี้ข้าเป็นสามัญชน เข้าไปได้หรือเจ้าคะ" นางเอียงคอถาม มองเทียบเชิญที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ "ไปในฐานะคู่เต้นรำของข้า ไม่เป็นไรหรอก องค์ชายสามยังวิงวอนให้น้องสาวช่วยเป็นคู่ให้เลย" "…ก็พวกเขายังไม่ออกเรือนกันอยู่สองคนนี่เจ้าคะ" นางตอบด้วยสีหน้ามืดมน การหาคู่ควงไปงานเต้นรำหรืองานฉลองในพระราชฐานชั้นนอก หากคู่สามีภรรยาไม่สะดวกไปร่วมงานก็มักพาเครือญาติหรือเพื่อนฝูงไปด้วยแทน ซึ่งส่วนใหญ
ค่ำคืนแห่งงานเลี้ยงจบลง โจวเยี่ยนเฉินกลับถึงจวนก็เข้านอนด้วยความอ่อนเพลียเล็กน้อย เสียงสตรีที่สวมผ้าคลุมหน้าที่ได้ยินวันนี้ แม้สนทนากันไม่กี่ประโยค แต่ก็คุ้นหูนัก เมื่อหนึ่งปีก่อนเขาฟื้นขึ้นมาโดยที่จำอะไรไม่ได้เลย นอกจากชื่อตัวเอง รู้เพียงว่าพลัดพรากจากพ่อแม่แท้ ๆ มานานหลายปี มีคนไปพบเขาหมดสติอยู่ป่า เนื้อตัวเปรอะเปื้อนและบาดเจ็บหนัก เห็นว่าหน้าตามีความคล้ายคลึงผู้เป็นนายจึงช่วยเหลือไว้ก่อน โจวเยี่ยนเฉินใช้เวลาหนึ่งปีหลังจากนั้นด้วยความรู้สึกเหมือนคนที่ไม่ถูกเติมเต็ม ไม่ว่าในหัวของเขาหรือในใจของเขาล้วนมีช่องว่างบางอย่างที่ไม่สามารถกลบได้ คืนนั้นชายหนุ่มเข้าสู่ห้วงฝันด้วยภาพของสตรีที่ได้พบกันในงานแล้วสลัดออกไปจากหัวไม่ได้ เมฆหมอกบริเวณโดยรอบนั้นหนาตา แต่ภาพตรงหน้ากับชัดเจน บ้านหลังใหญ่โตหลังหนึ่งอย่างผู้มีอันจะกินอยู่อาศัยมีส่วนเล็ก ๆ โดยรอบ หรือบางทีอาจใหญ่กว่านั้นแต่ถูกกำแพงหมอกหนากลืนกินเข้ามา สตรีผู้หนึ่งอุ้มเด็กชายคนหนึ่งไว้ยิ้มร่าหัวเราะ ข้าง ๆ กันนั้นมีเด็กชายอีกคนที่ดูโตกว่าวิ่งวนไปรอบ ๆ นาง จวิ้นอ๋องคล้ายว่าสวมบทบาทเป็นคนในภาพความฝันนี้ ตัวเขายิ้มออกมาตัวที่ห้ามไม่ได้ หัว
สวี่ซือเหยาทำสีหน้าประหลาดใจ ไม่คิดว่าใครจะมีธุระที่ต้องมาหาถึงจวนพี่ชาย นางกับแม่ทัพจ้าวเจี้ยนไม่ได้เปิดเผยออกไปอย่างสาธารณะว่าเป็นพี่น้องกัน แต่ก็ไม่ได้ปิดบังเช่นกัน แต่ว่านางไม่สนิทชิดเชื้อกับคนในเมืองหลวงเลย อีกทั้งนางได้หวนคืนกลับมาความทรงจำบางอย่างก็ลืมเลือนไป ทำให้ไม่ได้สานความสัมพันธ์กับใครไว้ แต่ว่าใครมาหาก็คงไม่สำคัญเพราะอีกไม่นานสวี่ซือเหยาก็ต้องกลับไปดูแลกิจการที่เมืองเกิดมารดา และที่นั่นทำให้นางรู้สึกมีความสุขกว่าเมืองหลวงที่วุ่นวาย และคงมาเยี่ยมพี่ชายได้นาน ๆ ครั้งเท่านั้น จึงไม่ได้ให้สถานที่ติดต่อใครไว้เลย เมื่อนางจะเดินไปแต่พบว่าพี่ชายไม่ได้เดินตามจึงหันมาถาม "ไม่ไปด้วยกันหรือเจ้าคะ?" "ไม่ไปหรอก แขกของเจ้านี่นา" ไม่รู้พี่ชายท่านนี้ตั้งใจกวนประสาทอะไรนางอีก ในเมื่อตั้งใจให้นางไปลำพังนางก็คงต้องไปลำพัง สวี่ซือเหยาเดินมาถึงเรือนกลาง ในห้องรับรองนั้นมีใครบางคนรอนางอยู่ เห็นเพียงแผ่นหลังกว้างและลายปักประณีตบนชุดเนื้อผ้าชั้นดี "คุณชายท่านนี้มีธุระกับข้าหรือเจ้าคะ" นางเอ่ยทักทายอีกฝ่ายไป แขกผู้นั้นหันมาตามเสียงเรียก สวี่ซือเหยาชะงักนิ่งหลังเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร โจวเยี่
พระชายาทำสีหน้าประหลาดใจอยู่เพียงครู่เดียว ก็กลับไปทำสีหน้าอ่อนโยนเช่นปกติของนาง หลายปีที่บุตรชายพลัดพรากไปนั้นจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นบ้างก็ไม่แปลกอะไรเลย นางเคยส่งคนไปตามสืบความเป็นอยู่ในอดีตของเขาแต่ก็รู้เพียงว่าเขาเป็นคนของสำนักคุ้มภัยมาเท่านั้น จึงไม่ได้ใส่ใจสืบหาลึกไปกว่านี้ อีกทั้งบุตรชายก็ไม่มีท่าทีอยากจะตามหาอดีตแม้จะดูเหมือนคนใจลอยอยู่ตลอดเวลาก็ตาม นางลืมคิดไปว่าบุตรชายไม่ได้เติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของนางหรือสามี อาจเป็นคนอ่อนโยนหรือหัวอ่อนกว่าที่คิดก็เป็นได้ ใสซื่อเสียจนไม่น่าเชื่อว่ามีภรรยาแล้ว บุตรชายได้ความซื่อบื้อของสามีนางมากไปจริง ๆ ตัวนางก็ผิดเองที่ไม่รอบคอบสืบหาให้จริงจัง "จำได้หมดแล้วจริง ๆ ใช่หรือไม่" คนพึ่งได้ความทรงจำกลับมาพยักหน้าหงึก ๆ "มาคุยกับแม่ก่อน เป็นคุณหนูบ้านไหน สตรีบ้านใดเล่า" โจวเยี่ยนเฉินเล่าให้มารดาฟังตั้งแต่ต้น รวมถึงเรื่องที่ถูกบ้านเดิมภรรยาปฏิบัติไม่ดีด้วยใส่ทั้งเขาและนาง ฮูหยินอาวุโสจำชื่อตระกูลนี้ได้อย่างแม่นยำเพราะพึ่งมีประกาศลงโทษไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง "เจ้าก็พักก่อนเถอะ แม่จะไปคุยกับพ่อให้เอง" นางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังให้เขาวางใจ
สองข้างทางเวลานี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ถนนทุกเส้นในเมืองหลวงถูกประดับประดาเพื่อฉลองชัย โคมไฟสีแดงติดเรียงรายเป็นทิวแถว ประกาศผลงานอันยิ่งใหญ่ที่จวิ้นอ๋องนำกลับมา กระถางดอกไม้ถูกนำมาตั้งเรียงตั้งแต่หน้าประตูวังกระจายออกไป เสมือนเกียรติยศที่กำลังเบ่งบานชูช่อ เสียงชื่นชมยินดีและสรรเสริญดังแซ่ซ้องไปทุกหัวมุมเมือง ช่างแตกต่างจากตัวนางในตอนนี้เสียจริง… สตรีร่างผอมแห้งแทบเหลือแต่หนังติดกระดูก เดินโซเซเจียนล้มทุกย่างก้าว ดวงตาว่างเปล่าเหมือนปลาตาย สวี่ซือเหยาเป็นถึงคุณหนูสกุลสวี่ บิดาเสนาบดีมีจวนใหญ่โตโอ่อ่า มีเบี้ยเลี้ยงให้ใช้จ่ายได้อย่างฟุ่มเฟือยทุกวัน แต่ตอนนี้นางมีสภาพไม่ต่างจากขอทานคนหนึ่ง หรือบางทีขอทานอาจมีสภาพดูดีกว่านางด้วยซ้ำ ผิวที่เคยเนียนนุ่มแห้งแตกด้วยไม่ได้รับการดูแลอย่างเก่า ริมฝีปากแห้งผากคล้ายเอาทรายมาทาเคลือบ สีหน้าเศร้าหมองเกินทนดูได้ ตอนนี้นางเป็นเพียงหญิงบ้าเสียสติที่ได้แต่เดินเตร่ไปมาด้วยหัวใจล่องลอย และสวี่ซือเหยาหวังว่ามันจะหลุดลอยไปจริง ๆ ในสักวัน ดวงใจของนางแตกสลายไม่มีชิ้นดี หากแหลกลาญเป็นผุยผงเสียวันนี้เลยคงดีกว่า ชีวิตคุณหนูสกุลสวี่เคยดีกว่านี้มาก นางเคยมีเสื
"ตายแน่หรือเปล่า!?" "นั่นหญิงบ้าคนนั้นใช่ไหม!" "คุณพระช่วย!" ผู้ที่ตกอกตกใจและแสดงความเห็นใจออกมา ส่วนใหญ่เป็นผู้ชราที่ผ่านโลกมามาก ชายคนนั้นที่ผลักขอทานสปรกถูกประณามทางสายตาในทันทีจนต้องรีบเดินหนีหลบไป แต่การทำให้ขบวนเสด็จหยุดชะงักเป็นคนละเรื่องกัน หากสวี่ซือเหยาเป็นผู้ไม่หวังดีที่ตั้งใจก่อกวนขึ้นมา คงถูกบั่นคอในทันที แต่เห็นสภาพของหญิงสาววิปลาสผู้นี้แล้วพวกเขาก็ปัดตกความคิดที่ว่านั่นไป สวี่ซือเหยาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตนเองมาอยู่ตรงนี้ รู้เพียงว่าสติเริ่มเลือนรางลงเต็มที ทั้งมึนหัวและวิงเวียนจนแรงจะพยุงตัวให้ลุกขึ้นยังไม่มี เสียงเอะอะโวยวายดังอยู่พักหนึ่ง ก็มีพลทหารมาลากร่างนั้นออกไปไม่ให้เป็นที่ระคายสายตา สวี่ซือเหยาถูกดึงขึ้นจากพื้นอย่างไม่สนว่าจะเป็นหรือตาย ร่างกายที่ทรุดโทรมจากอาการป่วยสะสมทำให้นางกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ เปรอะเปื้อนจนย้อมชุดมอมแมมให้กลายเป็นสีชาด หญิงวิปลาสที่พวกชาวบ้านพากันเรียกหมดลมหายใจไปในทันที กลายเป็นเพียงร่างติดกระดูกที่ถูกหิ้วไปมาอย่างน่าเวทนาเกินจะทนดู "อะไรเนี่ย น่าขยะแขยงจริง" พลทหารนายหนึ่งเอ่ยออกมาทั้งแสดงสีหน้ารั
ส่วนคนที่ได้เจอก่อนตายและมอบความเมตตาจัดพิธีส่งวิญญาณให้เป็นครั้งสุดท้าย คือพระเอกของนิยายเรื่องนั้นที่กลับมาจากสนามรบหลังเสร็จศึกสงคราม และไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นอดีตสามีที่ความจำเสื่อมจำเธอไม่ได้และเริ่มต้นใหม่กับนางเอกอย่างมีความสุข "เฮ่อ…" สวี่ซือเหยาถอนหายใจ เหยียดขาออกบนที่นอนหนานุ่ม ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรกับอดีตสามีที่สูญเสียความทรงจำลืมเธอกับลูกไปหมดสิ้น ขณะที่เธอจดจำได้ทุกอย่างและตายอย่างน่าสังเวท แต่นั่นเป็นเรื่องอดีตเพราะเธอตายแล้วคงกลับไปแก้ไขหรือแก้ตัวใหม่ไม่ได้ แม้อยากจะกล่าวขอบคุณพี่ชาย แต่ตะโกนให้ตายเขาก็คงไม่ได้ยิน มีหรือไม่นะ วิธีที่จะส่งความในใจกลับไปหา... สิ่งที่ติดค้างในใจเธอมากที่สุดตอนนี้ คือการที่เธอเข้าใจผิดพี่ชาย ตั้งแต่เขาจากไปจวบจนเธอตายก็ไม่มีโอกาสได้พบหน้าอีกเลย สวี่ซือเหยาดำเนินชีวิตปกติต่อไป แต่เนื้อหาของนิยายเรื่องนั้นยังติดค้างอยู่ในใจจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต... กลิ่นเหม็นอับที่โชยคลุ้งจมูกเหมือนอยู่ในโรงเตี๊ยมราคาถูก ทำให้สวี่ซือเหยาข่มตานอนต่อไม่ไหว อีกทั้งเสียงโวยวายหลาย ๆ เสียงที่เอ่ยโต้คารมกันอยู่นี้ก็หนวกหูเกินจะหลับลง "ลากนางออกมา ทำงามห
พระชายาทำสีหน้าประหลาดใจอยู่เพียงครู่เดียว ก็กลับไปทำสีหน้าอ่อนโยนเช่นปกติของนาง หลายปีที่บุตรชายพลัดพรากไปนั้นจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นบ้างก็ไม่แปลกอะไรเลย นางเคยส่งคนไปตามสืบความเป็นอยู่ในอดีตของเขาแต่ก็รู้เพียงว่าเขาเป็นคนของสำนักคุ้มภัยมาเท่านั้น จึงไม่ได้ใส่ใจสืบหาลึกไปกว่านี้ อีกทั้งบุตรชายก็ไม่มีท่าทีอยากจะตามหาอดีตแม้จะดูเหมือนคนใจลอยอยู่ตลอดเวลาก็ตาม นางลืมคิดไปว่าบุตรชายไม่ได้เติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของนางหรือสามี อาจเป็นคนอ่อนโยนหรือหัวอ่อนกว่าที่คิดก็เป็นได้ ใสซื่อเสียจนไม่น่าเชื่อว่ามีภรรยาแล้ว บุตรชายได้ความซื่อบื้อของสามีนางมากไปจริง ๆ ตัวนางก็ผิดเองที่ไม่รอบคอบสืบหาให้จริงจัง "จำได้หมดแล้วจริง ๆ ใช่หรือไม่" คนพึ่งได้ความทรงจำกลับมาพยักหน้าหงึก ๆ "มาคุยกับแม่ก่อน เป็นคุณหนูบ้านไหน สตรีบ้านใดเล่า" โจวเยี่ยนเฉินเล่าให้มารดาฟังตั้งแต่ต้น รวมถึงเรื่องที่ถูกบ้านเดิมภรรยาปฏิบัติไม่ดีด้วยใส่ทั้งเขาและนาง ฮูหยินอาวุโสจำชื่อตระกูลนี้ได้อย่างแม่นยำเพราะพึ่งมีประกาศลงโทษไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง "เจ้าก็พักก่อนเถอะ แม่จะไปคุยกับพ่อให้เอง" นางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังให้เขาวางใจ
สวี่ซือเหยาทำสีหน้าประหลาดใจ ไม่คิดว่าใครจะมีธุระที่ต้องมาหาถึงจวนพี่ชาย นางกับแม่ทัพจ้าวเจี้ยนไม่ได้เปิดเผยออกไปอย่างสาธารณะว่าเป็นพี่น้องกัน แต่ก็ไม่ได้ปิดบังเช่นกัน แต่ว่านางไม่สนิทชิดเชื้อกับคนในเมืองหลวงเลย อีกทั้งนางได้หวนคืนกลับมาความทรงจำบางอย่างก็ลืมเลือนไป ทำให้ไม่ได้สานความสัมพันธ์กับใครไว้ แต่ว่าใครมาหาก็คงไม่สำคัญเพราะอีกไม่นานสวี่ซือเหยาก็ต้องกลับไปดูแลกิจการที่เมืองเกิดมารดา และที่นั่นทำให้นางรู้สึกมีความสุขกว่าเมืองหลวงที่วุ่นวาย และคงมาเยี่ยมพี่ชายได้นาน ๆ ครั้งเท่านั้น จึงไม่ได้ให้สถานที่ติดต่อใครไว้เลย เมื่อนางจะเดินไปแต่พบว่าพี่ชายไม่ได้เดินตามจึงหันมาถาม "ไม่ไปด้วยกันหรือเจ้าคะ?" "ไม่ไปหรอก แขกของเจ้านี่นา" ไม่รู้พี่ชายท่านนี้ตั้งใจกวนประสาทอะไรนางอีก ในเมื่อตั้งใจให้นางไปลำพังนางก็คงต้องไปลำพัง สวี่ซือเหยาเดินมาถึงเรือนกลาง ในห้องรับรองนั้นมีใครบางคนรอนางอยู่ เห็นเพียงแผ่นหลังกว้างและลายปักประณีตบนชุดเนื้อผ้าชั้นดี "คุณชายท่านนี้มีธุระกับข้าหรือเจ้าคะ" นางเอ่ยทักทายอีกฝ่ายไป แขกผู้นั้นหันมาตามเสียงเรียก สวี่ซือเหยาชะงักนิ่งหลังเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร โจวเยี่
ค่ำคืนแห่งงานเลี้ยงจบลง โจวเยี่ยนเฉินกลับถึงจวนก็เข้านอนด้วยความอ่อนเพลียเล็กน้อย เสียงสตรีที่สวมผ้าคลุมหน้าที่ได้ยินวันนี้ แม้สนทนากันไม่กี่ประโยค แต่ก็คุ้นหูนัก เมื่อหนึ่งปีก่อนเขาฟื้นขึ้นมาโดยที่จำอะไรไม่ได้เลย นอกจากชื่อตัวเอง รู้เพียงว่าพลัดพรากจากพ่อแม่แท้ ๆ มานานหลายปี มีคนไปพบเขาหมดสติอยู่ป่า เนื้อตัวเปรอะเปื้อนและบาดเจ็บหนัก เห็นว่าหน้าตามีความคล้ายคลึงผู้เป็นนายจึงช่วยเหลือไว้ก่อน โจวเยี่ยนเฉินใช้เวลาหนึ่งปีหลังจากนั้นด้วยความรู้สึกเหมือนคนที่ไม่ถูกเติมเต็ม ไม่ว่าในหัวของเขาหรือในใจของเขาล้วนมีช่องว่างบางอย่างที่ไม่สามารถกลบได้ คืนนั้นชายหนุ่มเข้าสู่ห้วงฝันด้วยภาพของสตรีที่ได้พบกันในงานแล้วสลัดออกไปจากหัวไม่ได้ เมฆหมอกบริเวณโดยรอบนั้นหนาตา แต่ภาพตรงหน้ากับชัดเจน บ้านหลังใหญ่โตหลังหนึ่งอย่างผู้มีอันจะกินอยู่อาศัยมีส่วนเล็ก ๆ โดยรอบ หรือบางทีอาจใหญ่กว่านั้นแต่ถูกกำแพงหมอกหนากลืนกินเข้ามา สตรีผู้หนึ่งอุ้มเด็กชายคนหนึ่งไว้ยิ้มร่าหัวเราะ ข้าง ๆ กันนั้นมีเด็กชายอีกคนที่ดูโตกว่าวิ่งวนไปรอบ ๆ นาง จวิ้นอ๋องคล้ายว่าสวมบทบาทเป็นคนในภาพความฝันนี้ ตัวเขายิ้มออกมาตัวที่ห้ามไม่ได้ หัว
บิดาของเขายังไม่ได้เร่งรัดหาคู่หมั้นหมายให้ เพราะเห็นว่าบุตรชายคนโตพึ่งได้กลับมาสู่ฐานะที่แท้จริง ยังต้องปรับตัวตามขนบวังหลวงและฐานะใหม่อีกหลายอย่าง ซึ่งสวี่ตงหวนก็ยินดีที่มันเป็นเช่นนั้น เพราะหากน้องเขยเกิดมีสตรีอื่นขึ้นมา เขาคงได้กลายร่างเป็นแม่ทัพมารเป็นแน่ บุรุษร่างกำยำควงดาบเล่นพลางวางแผนอยู่ในหัว น้องสาวตนยังมีเยื่อใยต่อสามี หากทำให้พบกันได้อาจช่วยกระตุ้นความทรงจำให้กลับมา ความประทับใจแรกก็สำคัญ แม้จะเป็นครั้งแรกไม่จริงก็ตาม เอาเถอะ ไม่คณามือข้าหรอก แม่ทัพจ้าวเจี้ยนวิ่งวุ่นอยู่กับการวางแผนจนไม่ได้มาหาน้องสาวกับหลาน ๆ เสียหลายวัน กว่าเขาจะมาพบอีกครั้งได้ เทียบเชิญก็อยู่ในมือสวี่ซือเหยาแล้ว "ตอนนี้ข้าเป็นสามัญชน เข้าไปได้หรือเจ้าคะ" นางเอียงคอถาม มองเทียบเชิญที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ "ไปในฐานะคู่เต้นรำของข้า ไม่เป็นไรหรอก องค์ชายสามยังวิงวอนให้น้องสาวช่วยเป็นคู่ให้เลย" "…ก็พวกเขายังไม่ออกเรือนกันอยู่สองคนนี่เจ้าคะ" นางตอบด้วยสีหน้ามืดมน การหาคู่ควงไปงานเต้นรำหรืองานฉลองในพระราชฐานชั้นนอก หากคู่สามีภรรยาไม่สะดวกไปร่วมงานก็มักพาเครือญาติหรือเพื่อนฝูงไปด้วยแทน ซึ่งส่วนใหญ
"เสี่ยวเหยา?" สวี่ตงหวนเอ่ยเรียก เห็นสีหน้านางไม่สู้ดี "ข้าไม่เป็นไร กินต่อเถอะ" นางปรับสีหน้าเรียบเฉยดังเดิมแม้จะรู้สึกร้อน ๆ ที่กระบอกตา เจิ้นหว่านคิดว่าน้องสาวผู้นี้คงตกใจที่อยู่ ๆ ก็ถูกคนแปลกหน้าเข้ามาทัก จึงอธิบายให้ฟังว่าเขาเหล่านั้นเป็นใคร "แม่นางอย่าได้กังวลไป แม้จวิ้นอ๋องจะพึ่งได้รับพระราชทานตำแหน่งมา ก็ไม่บ้าอำนาจเหมือนใครแถวนี้หรอก" สวี่ตงหวนยื่นขาไปเตะหลังเก้าดังปัง แต่คนนั่งอยู่ก็ไม่สะดุ้งสะเทือน "ท่านอ๋องน้อยอาจมีท่าทีเงอะงะไปบ้าง เพราะพึ่งคืนตระกูลเดิมได้ไม่ถึงสองปี ก่อนหน้านี้ก็ไปรบที่ชายแดนใต้มาด้วย ได้รับความดีความชอบพอ ๆ กับพี่เจ้าเลย" "คืนตระกูลเดิมหรือเจ้าคะ?" "บุตรชายฉินอ๋องพลัดพรากไปตั้งแต่ยังเป็นทารกจากเหตุลอบสังหารเมื่อครั้งนั้น ท่านอ๋องตามหาจนหมดหวังแล้ว แต่อยู่ก็มีคนพากลับมา ทำความดีความชอบไว้ก็ได้เลื่อนขั้นทันทีเลย" "เช่นนี้เอง..." ดวงตาของสวี่ซือเหยาร้อนผ่าน นางคิดถึงเขามากเกินกว่าจะพูดออกมาได้ อยากเข้าไปกอดให้หายคิดถึง แต่ก็อย่างที่ปรารถนาไม่ได้สักอย่างเดียว นางไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมเขาจึงเมยเฉยเช่นนี้ ไม่รู้ตัวว่ามีนางอยู่ที่นี่เลยหรือ ความรู้สึกน
หลายวันต่อมาก็มีประกาศใหญ่โตถึงเรื่องลงโทษขุนนางทำผิดหลายราย ตอนได้ยินพี่ชายพูดว่าเดี๋ยวจัดการเองนางก็สงสัยอยู่ว่าจะทำอย่างไร ตอนนี้ข่าวมาถึงหูนางแล้วว่าฮ่องเต้ทรงริบยศขุนนางของสวี่ซูหยางและขุนนางชั้นผู้น้อยอีกหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เรียกคืนจวนพระราชทาน พบความผิดนำของหลวงไปขาย นำป้ายหยกประจำตำแหน่งไปจำนำ ฉ้อโกงเงินบำนาญข้าราชการชั้นผู้น้อย แค่ที่กล่าวมานี้ก็ต้องโทษประหารได้แล้ว แต่ฝ่าบาทยังมีเมตตาสั่งเนรเทศไปนอกแคว้น จากขุนนางผู้มั่งคั่งถือดี วันนี้ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง หลักฐานทั้งหมดพี่ชายของนางล้วนสืบเสาะหามา ยื่นเรื่องถึงฝ่าบาทด้วยตัวเอง และยังข้อหาเล็กน้อยอีกมากที่ฟังดูไร้สาระ แต่บิดาของนางกับฮูหยินรองก็ได้ละเมิดทำไปจริง ๆ มิน่าเล่า ถึงเป็นตัวร้ายที่ไล่ต้อนพระเอกจนจนมุมเสียหลายครา รุ่งขึ้นพี่ชายก็มาพบนางอีกครั้งในยามสาย โอ้อวดความดีความชอบให้น้องสาวอย่างนางฟัง หากไม่ได้พบกับครอบครัวน้าชาย สวี่ตงหวนก็เหมือนมีน้องสาวเป็นญาติที่เหลือเพียงคนเดียว แต่อยู่ ๆ ครอบครัวก็ใหญ่ขึ้นมาโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว แล้วจะไม่ให้เขาออกหน้าปกป้องได้อย่างไร "มัวแต่ระลึกความหลังกันเรื่อยเปื่อ
แม้แค้นเคืองจนไฟร้อนสุมอก แต่เขาจะผลีผลามเข้าไปโดยไม่วางแผนไม่ได้ สวี่ตงหวนฝากหลานชายทั้งสองไว้กับพ่อบ้านแล้วกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมกับน้องสาวตามลำพัง ป้ายจวนเสนาบดีสวี่ ที่ไม่ได้เห็นมานานปรากฏขึ้นแก่สายตา ชายหนุ่มยิ้มเหยียดกว้างถีบประตูเข้าไปจนบานพับสะเทือน "อะไรน่ะ อะไรกัน!" ฮูหยินรองที่กำลังจะออกไปข้างนอกพอดีมาได้จังหวะเหมาะเจาะนัก "แม่ทัพสวี่" นางเอ่ยพึมพำอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ "แม่ทัพจ้าวเจี้ยนขอรับ" เขาเอ่ยแก้ในยศพระราชทาน มิปรารถนาให้สตรีตรงหน้านี้เอ่ยเรียกด้วยแซ่ "มีธุระอะไรหรือเจ้าคะ" ฮูหยินรองถามอย่างใจเย็น "เปล่าเลย แค่มาทวงความยุติธรรมให้น้องสาวของข้าเท่านั้นเอง"เมื่อเขาพูดประโยคนั้นหลี่หวางอี้จึงเพิ่งเห็นบุคคลอีกบุคคลหนึ่งที่อยู่ตรงนี้ด้วย "สวี่ซือเหยา" นางยิ้มตอบด้วยแววตาหมางเมิน "เรียกกันห่างเหินเสียจริงนะเจ้าคะ คราวก่อนนั้นยังเรียกข้าอาเหยาอยู่เลย" "มะ มีธุระอะไรล่ะ กลับมาทำไมอีก" "ข้าก็ไม่ได้อยากกลับมา แต่พอดีว่าพี่ชายของข้าอยากแสดงออกถึงความไม่พอใจข้าจึงร่วมมาเป็นผู้ชมด้วย" สวี่ซือเหยากล่าวเสียงเนิบนาบ หวังกวนประสาทอยู่ในที นางไม่ได้อยากมาเหยียบจวนหลังนี้อี
"ท่านลุง? เรามีท่านลุงคนอื่นนอกจากท่านลุงหยางด้วยหรือขอรับ?" โจวเจิ้นหรานเงยหน้ามองนางด้วยดวงตากลมโตหลังจากพึ่งบอกไปว่าจะพาไปพบท่านลุงที่ไม่เคยได้พบหน้ากันมาก่อน โจวอี้หมินเห็นพี่ชายทำหน้าประหลาดใจก็เลียนแบบตาม สร้างความขบขันและความน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก "ใช่แล้วล่ะ แต่แม่จะไปดูเสียก่อนว่าท่านลุงหวนพร้อมรับแขกหรือไม่" "ท่านลุงยุ่งมากหรือขอรับ" "อาจจะไม่ยุ่งเท่าไร แต่อย่างไรแม่ก็ต้องไปดูก่อน" นางวางมือบนศีรษะบุตรชายลูบมันด้วยความรักใคร่เอ็นดู ก่อนจะไปพบหน้าด้วยตัวเองสวี่ซือเหยาได้สาวรับใช้คนสนิทของนางไปสืบความเพิ่มเติม ทุกอย่างเป็นความจริง พี่ชายของนางกลับมาแล้ว กลับมาพร้อมชัยชนะจนได้รับยศแม่ทัพจากฝ่าบาท ดูเหมือนว่าเขาจะยังติดต่อกลับบ้านเดิมอยู่บ้าง แต่ก็ห่างเหินเหมือนคนไม่รู้จัก นางไม่รู้ว่าครอบครัวท่านพ่อเป่าหูอะไรพี่ชายไปบ้าง จะกุเรื่องว่านางตายแล้วเหมือนนิยายหรือไม่ แต่เมื่อคิดแล้วก็คงไม่ต่างกัน มีแต่ต้องไปพบด้วยตัวเองเพื่อยืนยันเท่านั้น คืนนั้นนางให้เด็ก ๆ นอนพักแต่หัววัน ให้นมบุตรสาวคนเล็กเรียบร้อยแล้วก็ให้พี่เลี้ยงรับไปดูแลต่อ พรุ่งนี้คงต้องเตรียมตัวกันแต่เช้า นางฝากฉางเห
สวี่ซือเหยาได้แต่ยิ้มแห้ง เห็นพวกท่านรักกันดี ที่มีปากเสียงนี้ก็ไม่ได้ผิดใจกันจริงจังอะไร ชีวิตคู่มีสีสันแบบนี้บ้างก็ไม่เลว กว่าจะถึงเมืองหลวงพวกเขาก็ต้องแวะพักอีกเมืองหนึ่งระหว่างทาง สวี่ซือเหยาเปิดโรงเตี๊ยมให้ตนและผู้ติดตามพัก ของในรถม้าก็จ้างเวรยามเฝ้าเอาไว้ให้ ชั้นล่างของโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีที่นั่งจัดเอาไว้ให้แขกที่มาเข้าพักได้รับประทานอาหาร นางคิดจะเดินทางต่อแต่เช้า ทว่าญาติผู้พี่ก็ขอให้ทานอาหารให้อิ่มท้องเสียก่อนก็ออกเดินทาง "เมื่อคืนหลับสบายหรือไม่" "แปลกที่ จึงหลับยากนิดหน่อยเจ้าค่ะ" ลูก ๆ ของนางนอนอยู่อีกห้องหนึ่งกับพี่เลี้ยงและฉางเหลียน พอได้ออกนอกเมืองเป็นครั้งแรกเด็ก ๆ ก็ตื่นเต้นกันใหญ่ แต่ก็หลับไปตอนช่วงหัวค่ำเพราะความอ่อนเพลีย พี่เลี้ยงจึงสบายขึ้นเล็กน้อยที่ไม่ต้องวิ่งตามจับเจ้าทะโมนพวกนี้ช่วงกลางดึก เด็ก ๆ นั้นทานอาหารไม่มาก เดี๋ยวเดียวก็อิ่มแล้ว พี่เลี้ยงที่นางจ้างมาจึงพาพวกเขาไปผลัดเปลี่ยนชุดด้านบน เพราะกินกันเสียเลอะเทอะไปหมด ฉางเหลียนรับคุณหนูน้อยไปอุ้มและตามเหล่าพี่ชายคุณหนูขึ้นไป หวังให้นายหญิงทานอาหารได้สะดวกขึ้น อาหารพร่องไปหลายจานสวี่ซือเหยาก็อิ่ม ประตูโรงเ