สวี่ซือเหยานั่งสะอึกสะอื้นอยู่บนรถม้าไปตลอดทาง ญาติผู้พี่เคยปลอบใจใครเสียที่ไหน เขาเองก็ทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่อยู่เงียบ ๆ เป็นเพื่อนนาง
"เจ้าอย่าเพิ่งด่วนคิดไปไกล เขาอาจจะปลอดภัยก็ได้" หญิงสาวใจฝ่อแล้วฝ่ออีก เพราะกลัวจะเหตุการณ์ซ้ำรอย นางพูดไม่เป็นคำจนฟังไม่รู้เรื่องเพราะสะอื้นไปด้วย คนคุมรถก็ไปเร็วกว่านี้ไม่ได้ ด้วยกลัวจะเกิดอุบัติเหตุกระทบกระเทือนถึงครรภ์นาง ภาพเหตุการณ์เหมือนฝันร้ายในอดีตฉายซ้ำอยู่ในหัว นางเคยผ่านเหตุการณ์สูญเสียนี้มาแล้วครั้งหนึ่งจึงไม่อยากให้เกิดขึ้นซ้ำอีก นางเมื่อตอนนั้นสิ้นสติไปจนแทบบ้า เฝ้าโทษตัวเองก็ส่วนหนึ่งโทษโชคชะตาก็ส่วนหนึ่ง หลังสูญเสียลูกสภาพก็ยิ่งดูไม่เป็นผู้เป็นคน "อาเหยา เจ้าทำให้ข้าลำบากใจ บุรุษรักสันโดษเช่นข้าเคยปลอบใจสตรีเสียที่ไหน เจ้าหยุดสะอื้นก่อนเถิด เขาอาจไม่เป็นไรก็ได้" “ข้ารู้ ฮึก! ข้ารู้อยู่ว่ามันอาจไม่แย่ขนาดนั้น แต่ข้าห้ามน้ำตาตัวเองไม่ได้ ฮือ!" ว่าแล้วนางก็ปล่อยน้ำตาไหลออกมาโฮใหญ่ แม้จะรู้ว่าพระเอกในนิยายจะรอดแต่ว่านางเปลี่ยนเรื่องราวมามากกว่าจะมีทฤษฎีผีเสื้อขยัถึงจะวางแผนไว้แล้วว่าปีหน้าจะไปที่เมืองหลวง แต่นางก็ยังไม่ไว้ใจอย่างที่นิยายเขียน จึงส่งคนไปจับตาดูนางเอกของเรื่องเอาไว้พอเข้าเดือนสุดท้ายน้าสะใภ้ก็ไม่อนุญาตให้นางเดินเหินไปไหนไกล ๆ มีสาวรับใช้คอยอยู่ด้วยทุกฝีก้าว สีหน้านางดูสดใสขึ้นมากจากวันที่ได้รู้ข่าวดินถล่ม ทำให้คนในเรือนวางใจได้ว่านางคงคลอดเด็กออกมาได้อย่างแข็งแรงดี...วันหนึ่งสวี่ซือเหยาเจ็บท้องอย่างหนัก ฉางเหลียนรีบไปตามหมอตำแยมาอย่างรู้งาน บ่าวในเรือนวิ่งกันให้วุ่นไปหมด เด็กชายสองคนนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องไม่ไปไหน โจวอี้หมินได้มีประสบการณ์เห็นคนคลอดลูกครั้งแรก ทั้งยังเป็นน้องแท้ ๆ ของตัวเองอีกก็ตื่นเต้นเป็นอันมาก เขาเอาแต่ถามพี่ชายไม่หยุดว่าน้องจะมาหรือยัง"หรานเกอ น้องมาหรือยัง""ยัง""หรานเกอ น้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย""ข้าไม่รู้""หรานเกอๆ …"เสียงร้องไห้จ้าดังขึ้นหยุดทุกอย่าง นัยน์ตาทุกคู่หันไปมองทิศทางเดียวกัน เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่งในที่สุดท่านหมอก็ออกมา คุยกับฮูหยินอาวุโสสองสามคำ จัดยาบำรุงให้หนึ่งชุดแล้วขอตัวกลับ
สองข้างทางเวลานี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ถนนทุกเส้นในเมืองหลวงถูกประดับประดาเพื่อฉลองชัย โคมไฟสีแดงติดเรียงรายเป็นทิวแถว ประกาศผลงานอันยิ่งใหญ่ที่จวิ้นอ๋องนำกลับมา กระถางดอกไม้ถูกนำมาตั้งเรียงตั้งแต่หน้าประตูวังกระจายออกไป เสมือนเกียรติยศที่กำลังเบ่งบานชูช่อ เสียงชื่นชมยินดีและสรรเสริญดังแซ่ซ้องไปทุกหัวมุมเมือง ช่างแตกต่างจากตัวนางในตอนนี้เสียจริง… สตรีร่างผอมแห้งแทบเหลือแต่หนังติดกระดูก เดินโซเซเจียนล้มทุกย่างก้าว ดวงตาว่างเปล่าเหมือนปลาตาย สวี่ซือเหยาเป็นถึงคุณหนูสกุลสวี่ บิดาเสนาบดีมีจวนใหญ่โตโอ่อ่า มีเบี้ยเลี้ยงให้ใช้จ่ายได้อย่างฟุ่มเฟือยทุกวัน แต่ตอนนี้นางมีสภาพไม่ต่างจากขอทานคนหนึ่ง หรือบางทีขอทานอาจมีสภาพดูดีกว่านางด้วยซ้ำ ผิวที่เคยเนียนนุ่มแห้งแตกด้วยไม่ได้รับการดูแลอย่างเก่า ริมฝีปากแห้งผากคล้ายเอาทรายมาทาเคลือบ สีหน้าเศร้าหมองเกินทนดูได้ ตอนนี้นางเป็นเพียงหญิงบ้าเสียสติที่ได้แต่เดินเตร่ไปมาด้วยหัวใจล่องลอย และสวี่ซือเหยาหวังว่ามันจะหลุดลอยไปจริง ๆ ในสักวัน ดวงใจของนางแตกสลายไม่มีชิ้นดี หากแหลกลาญเป็นผุยผงเสียวันนี้เลยคงดีกว่า ชีวิตคุณหนูสกุลสวี่เคยดีกว่านี้มาก นางเคยมีเสื
"ตายแน่หรือเปล่า!?" "นั่นหญิงบ้าคนนั้นใช่ไหม!" "คุณพระช่วย!" ผู้ที่ตกอกตกใจและแสดงความเห็นใจออกมา ส่วนใหญ่เป็นผู้ชราที่ผ่านโลกมามาก ชายคนนั้นที่ผลักขอทานสปรกถูกประณามทางสายตาในทันทีจนต้องรีบเดินหนีหลบไป แต่การทำให้ขบวนเสด็จหยุดชะงักเป็นคนละเรื่องกัน หากสวี่ซือเหยาเป็นผู้ไม่หวังดีที่ตั้งใจก่อกวนขึ้นมา คงถูกบั่นคอในทันที แต่เห็นสภาพของหญิงสาววิปลาสผู้นี้แล้วพวกเขาก็ปัดตกความคิดที่ว่านั่นไป สวี่ซือเหยาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตนเองมาอยู่ตรงนี้ รู้เพียงว่าสติเริ่มเลือนรางลงเต็มที ทั้งมึนหัวและวิงเวียนจนแรงจะพยุงตัวให้ลุกขึ้นยังไม่มี เสียงเอะอะโวยวายดังอยู่พักหนึ่ง ก็มีพลทหารมาลากร่างนั้นออกไปไม่ให้เป็นที่ระคายสายตา สวี่ซือเหยาถูกดึงขึ้นจากพื้นอย่างไม่สนว่าจะเป็นหรือตาย ร่างกายที่ทรุดโทรมจากอาการป่วยสะสมทำให้นางกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ เปรอะเปื้อนจนย้อมชุดมอมแมมให้กลายเป็นสีชาด หญิงวิปลาสที่พวกชาวบ้านพากันเรียกหมดลมหายใจไปในทันที กลายเป็นเพียงร่างติดกระดูกที่ถูกหิ้วไปมาอย่างน่าเวทนาเกินจะทนดู "อะไรเนี่ย น่าขยะแขยงจริง" พลทหารนายหนึ่งเอ่ยออกมาทั้งแสดงสีหน้ารั
ส่วนคนที่ได้เจอก่อนตายและมอบความเมตตาจัดพิธีส่งวิญญาณให้เป็นครั้งสุดท้าย คือพระเอกของนิยายเรื่องนั้นที่กลับมาจากสนามรบหลังเสร็จศึกสงคราม และไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นอดีตสามีที่ความจำเสื่อมจำเธอไม่ได้และเริ่มต้นใหม่กับนางเอกอย่างมีความสุข "เฮ่อ…" สวี่ซือเหยาถอนหายใจ เหยียดขาออกบนที่นอนหนานุ่ม ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรกับอดีตสามีที่สูญเสียความทรงจำลืมเธอกับลูกไปหมดสิ้น ขณะที่เธอจดจำได้ทุกอย่างและตายอย่างน่าสังเวท แต่นั่นเป็นเรื่องอดีตเพราะเธอตายแล้วคงกลับไปแก้ไขหรือแก้ตัวใหม่ไม่ได้ แม้อยากจะกล่าวขอบคุณพี่ชาย แต่ตะโกนให้ตายเขาก็คงไม่ได้ยิน มีหรือไม่นะ วิธีที่จะส่งความในใจกลับไปหา... สิ่งที่ติดค้างในใจเธอมากที่สุดตอนนี้ คือการที่เธอเข้าใจผิดพี่ชาย ตั้งแต่เขาจากไปจวบจนเธอตายก็ไม่มีโอกาสได้พบหน้าอีกเลย สวี่ซือเหยาดำเนินชีวิตปกติต่อไป แต่เนื้อหาของนิยายเรื่องนั้นยังติดค้างอยู่ในใจจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต... กลิ่นเหม็นอับที่โชยคลุ้งจมูกเหมือนอยู่ในโรงเตี๊ยมราคาถูก ทำให้สวี่ซือเหยาข่มตานอนต่อไม่ไหว อีกทั้งเสียงโวยวายหลาย ๆ เสียงที่เอ่ยโต้คารมกันอยู่นี้ก็หนวกหูเกินจะหลับลง "ลากนางออกมา ทำงามห
ต้องขอบคุณหนังสือเล่มนั้นที่ทำให้สวี่ซือเหยาได้พบความจริง ไม่อย่างนั้นการกลับมาครั้งนี้อาจเดินหมากพลาดอีกครั้ง ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้นางได้ย้อนกลับมาในโลกใบนี้ แต่ต่อไปนี้นางจะไม่ได้เดินตามเส้นเรื่องของหนังสือเรื่องนั้นอีกเด็ดขาด ใครจะเป็นตัวประกอบก็เป็นไปแต่นางจะใช้ชีวิตในชาตินี้ให้ดี นางลูบท้องของนางอย่างเฝ้าหวังว่าลูกน้อยของนางจะกลับมาเกิดกับนางอีกครั้ง "เทียบเวลาและเหตุการณ์ ตอนนี้พี่ชายน่าจะกำลังเดินทางไปที่ชายแดน ถ้าข้าไม่เป็นอะไร เขาก็ไม่จำเป็นต้องแก้แค้น" สวี่ซือเหยาคำนวนเวลาพร้อมหมายมั่นในใจว่าจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม หากไม่แล้วคงตกต่ำไม่ต่างจากชาติก่อนที่เลวร้ายบัดซบสิ้นดี "พู่กัน ๆ" นางเอ่ยพึมพำพลางมองหาสิ่งที่ต้องการ ในหอบรรพชนมีพู่กัน หมึก และม้วนกระดาษเตรียมเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว แต่ถูกเก็บไว้ในหีบใบไหนนางก็ไม่มั่นใจ สตรีร่างระหงเดินวนดูตามจุดต่าง ๆ ในหอบรรพชนจนพบกับตู้เก็บสองหลัง เปิดเข้าไปก็พบว่าฝั่งหนึ่งใช้เก็บอุปกรณ์กราบไหว้ อีกฝั่งเป็นม้วนกระดาษและแท่นหมึก "อยู่นี่เอง" คุณหนูของจวนไอค่อกแค่กหลังเผลอสูดฝุ่นเข้าไป หอบรรพชนไม่ได้มีคนมาทำความสะอาดนานขนาดไหนกันจึงทำใ
สวี่ซือเหยายิ้มค้าง ครั้งก่อนนางก็กล่าวเช่นนี้ไม่มีผิดเพี้ยน แต่สุดท้ายก็ยึดเอาทรัพย์สินของนางที่เป็นสินเดิมมารดาไปเป็นของส่วนตัว "จริงสิ เจ้าฝากสินเดิมไว้ที่ข้าเป็นอย่างไร หากเอาของไปด้วยหมดนายท่านอาจสงสัยได้ หากเขาเลิกจับตาดูคนในจวนแล้ว ข้าค่อยแอบส่งให้เจ้าทีละชิ้นสองชิ้นเป็นอย่างไร" หลี่หวางอี้มอบรอยยิ้มที่เป็นดั่งยาพิษเคลือบน้ำตาลให้เด็กสาวผู้นี้มาหลายปี จนตอนนี้เติบใหญ่เป็นหญิงสาวเต็มตัว สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจปลอม ๆ มาหลายปี ป่านนี้คงเชื่อฟังไปหมดทุกคำเป็นแน่ อย่างไรนางก็จะถูกไล่ออกไปอยู่แล้ว ทรัพย์สินราคาแพงไม่จำเป็นสำหรับหญิงสาวสามัญชนหรอก เก็บไว้นางยังมีประโยชน์กว่า บุตรสาวของนางก็อยู่ในวัยกำลังแต่งเนื้อแต่งตัว หากไปเข้าตาคุณชายสักคนนางก็พลอยสบายไปด้วย ดังนั้นต้องทำให้บุตรสาวของนางโดดเด่นขึ้นมา และเงินก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างช่วยไม่ได้ "นั่นเป็นความคิดที่ดีมากเจ้าค่ะ" สวี่ซือเหยายิ้มกว้างตอบ หลังสตรีผู้นั้นกลับไปก็มีบ่าวผู้หนึ่งนำของที่ต้องการมาให้ สตรีผู้นี้เคยเป็นผู้ดีตกยาก ตระกูลล้มละลาย และกลายเป็นสาวใช้ในจวน เป็นเพียงไม่กี่คนที่พอจะปฏิบัติต่อนางอย่างไม่ลำเอียงอยู่บ้าง
สตรีผู้ได้ข้ามภพชาติมาหนึ่งครั้ง นำเครื่องประดับส่วนตัวบางชิ้นยัดใส่อกเสื้อเท่าที่นำไปด้วยได้ ช่วงแรกของการตั้งตัวอย่างไรก็ต้องใช้เงิน ต่อให้นางจะกลับมาทวงคืนภายหลังก็อีกพักใหญ่ หลังดึงผ้าคลุมหน้าลงแล้วเปิดประตูออกมา ก็เห็นบ่าวสองคนรออยู่เพื่อนำทาง บ่าวในเรือนยังทำงานไปตามเดิมเสมือนวันนี้ไม่ได้มีพิธีสำคัญอะไร น่าแปลกที่ชาติก่อนนางโง่เง่าถึงขนาดไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ไปได้ ราวกับว่าถูกสวรรค์ปิดตาให้หน้ามืดตามัวเดินในเส้นทางที่ผิด มาถึงลานกว้างของสวนด้านหน้าเรือนหลัก ก็ถูกสาวใช้ที่ไม่เห็นหัวดันไหล่ให้นั่งลงที่พื้นอย่างเคย ตั้งแต่มารดาเสียไป ตัวนางก็ไม่มีสาวใช้ส่วนตัวค่อยปรนนิบัติด้วยบิดาบอกว่าไม่จำเป็นตามคำยุยงของแม่เลี้ยง บ่าวไพร่ในเรือนจึงไม่มีความยำเกรงให้นาง ปลายปากกาของนักเขียนช่างน่ากลัวเหลือเกิน แต่ไม่เป็นไรชาตินี้นางรู้ตื่นและรู้แจ้งหมดแล้ว ไม่มีใครมาขีดเขียนชีวิตนางได้อีกแล้ว สวี่ซูหยางก้มมองบุตรสาวที่ไม่เคยได้ดั่งใจด้วยสายตาดูแคลน ตรงหน้านางคือแท่นกราบไหว้เทพพระเจ้า ข้างกายคือบุรุษที่นางเคยร่วมเตียง ไม่มีญาติฝ่ายเจ้าบ่าว เช่นนี้เป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าสาวอย่างมาก บิด
"พวกเราแต่งงานแล้ว เรียกแม่นางได้อย่างไรล่ะ" สวี่ซือเหยาหันมายิ้มให้อย่างอ่อนหวานพร้อมเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "เอ่อ…" โจวเยี่ยนเฉินอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่ง ใบหน้าเขาแดงระเรื่อเมื่อเห็นสายตาภรรยามองมาก่อนเรียกชื่อนางออกมาดี “ซือเหยา...” “เรียกข้าเหยาเอ๋อร์ ข้าจะเรียกท่านว่าท่านพี่ ตกลงหรือไม่” สวี่ซือเหยาจับมือหนาเอาไว้แล้วเอ่ยถามเสียงหวาน ซึ่งทำให้อีกคนหน้าแดงระเรื่ออย่างเก้อเขินก่อนจะเอ่ยเรียกนางเสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน นางหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ถือสาที่เขาเขินอาย และต่อไปนี้นางจะทำให้เขาคุ้นเคยกับนางจนกระทั่งรู้สึกว่าชีวิตนี้ขาดนางไม่ได้ “เรามาทำอะไรที่นี่” โจวเยี่ยนเฉินเอ่ยถามอย่างสงสัย เมื่อครู่นี้ถูกโยนออกจากประตูหน้าบ้านแต่ภรรยากลับพามาที่หลังจวนแทน ทำให้เขาอดที่จะสงสัยว่านางย้อนกลับมาทำไมเพราะอย่างไรเวลานี้คนตระกูลสวี่ก็ไม่ต้อนรับพวกเขาแล้ว "จะจากไปทั้งแบบนี้ก็กระไรอยู่ ท่านยกตัวข้าขึ้นพอให้ข้ามกำแพงได้หรือไม่" สวี่ซือเหยาหันไปบอกสามีด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมจากไปตัวเปล่าแน่ ๆ แม้จะแบ่งสมบัติออกไปบ้างแล้วแต่หากไม่ได้เอาไปจนหมดนางคงรู้สึกไม่สบายใจที่ปล่อยให
ถึงจะวางแผนไว้แล้วว่าปีหน้าจะไปที่เมืองหลวง แต่นางก็ยังไม่ไว้ใจอย่างที่นิยายเขียน จึงส่งคนไปจับตาดูนางเอกของเรื่องเอาไว้พอเข้าเดือนสุดท้ายน้าสะใภ้ก็ไม่อนุญาตให้นางเดินเหินไปไหนไกล ๆ มีสาวรับใช้คอยอยู่ด้วยทุกฝีก้าว สีหน้านางดูสดใสขึ้นมากจากวันที่ได้รู้ข่าวดินถล่ม ทำให้คนในเรือนวางใจได้ว่านางคงคลอดเด็กออกมาได้อย่างแข็งแรงดี...วันหนึ่งสวี่ซือเหยาเจ็บท้องอย่างหนัก ฉางเหลียนรีบไปตามหมอตำแยมาอย่างรู้งาน บ่าวในเรือนวิ่งกันให้วุ่นไปหมด เด็กชายสองคนนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องไม่ไปไหน โจวอี้หมินได้มีประสบการณ์เห็นคนคลอดลูกครั้งแรก ทั้งยังเป็นน้องแท้ ๆ ของตัวเองอีกก็ตื่นเต้นเป็นอันมาก เขาเอาแต่ถามพี่ชายไม่หยุดว่าน้องจะมาหรือยัง"หรานเกอ น้องมาหรือยัง""ยัง""หรานเกอ น้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย""ข้าไม่รู้""หรานเกอๆ …"เสียงร้องไห้จ้าดังขึ้นหยุดทุกอย่าง นัยน์ตาทุกคู่หันไปมองทิศทางเดียวกัน เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่งในที่สุดท่านหมอก็ออกมา คุยกับฮูหยินอาวุโสสองสามคำ จัดยาบำรุงให้หนึ่งชุดแล้วขอตัวกลับ
สวี่ซือเหยานั่งสะอึกสะอื้นอยู่บนรถม้าไปตลอดทาง ญาติผู้พี่เคยปลอบใจใครเสียที่ไหน เขาเองก็ทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่อยู่เงียบ ๆ เป็นเพื่อนนาง"เจ้าอย่าเพิ่งด่วนคิดไปไกล เขาอาจจะปลอดภัยก็ได้"หญิงสาวใจฝ่อแล้วฝ่ออีก เพราะกลัวจะเหตุการณ์ซ้ำรอย นางพูดไม่เป็นคำจนฟังไม่รู้เรื่องเพราะสะอื้นไปด้วย คนคุมรถก็ไปเร็วกว่านี้ไม่ได้ ด้วยกลัวจะเกิดอุบัติเหตุกระทบกระเทือนถึงครรภ์นางภาพเหตุการณ์เหมือนฝันร้ายในอดีตฉายซ้ำอยู่ในหัว นางเคยผ่านเหตุการณ์สูญเสียนี้มาแล้วครั้งหนึ่งจึงไม่อยากให้เกิดขึ้นซ้ำอีก นางเมื่อตอนนั้นสิ้นสติไปจนแทบบ้า เฝ้าโทษตัวเองก็ส่วนหนึ่งโทษโชคชะตาก็ส่วนหนึ่ง หลังสูญเสียลูกสภาพก็ยิ่งดูไม่เป็นผู้เป็นคน"อาเหยา เจ้าทำให้ข้าลำบากใจ บุรุษรักสันโดษเช่นข้าเคยปลอบใจสตรีเสียที่ไหน เจ้าหยุดสะอื้นก่อนเถิด เขาอาจไม่เป็นไรก็ได้"“ข้ารู้ ฮึก! ข้ารู้อยู่ว่ามันอาจไม่แย่ขนาดนั้น แต่ข้าห้ามน้ำตาตัวเองไม่ได้ ฮือ!" ว่าแล้วนางก็ปล่อยน้ำตาไหลออกมาโฮใหญ่ แม้จะรู้ว่าพระเอกในนิยายจะรอดแต่ว่านางเปลี่ยนเรื่องราวมามากกว่าจะมีทฤษฎีผีเสื้อขยั
"คืนนี้ท่านแม่จะมานอนกับพวกข้าหรือไม่" เด็กชายเห็นว่าบิดาไม่อยู่หลายวัน กลัวว่ามารดาจะเหงา"เอาสิ เดี๋ยวคืนนี้จะเล่านิทานให้ฟังอีก"รับคำบุตรเรียบร้อยพี่เลี้ยงที่ไปพักทานอาหารกลางวันก็มาพอดี นางส่งต่อหน้าที่ให้สาวใช้ผู้นั้น ส่วนตัวเองก็มองดูอยู่ห่าง ๆคืนนั้นนางนอนกับลูก ๆ เล่านิทานให้พวกเขาฟังสองเรื่อง กว่าบุตรบุญธรรมจะหลับก็ต้องรอให้น้องชายหลับก่อน เหมือนเป็นความเคยชินของเขาไปเสียแล้วที่ต้องดูแลน้องช่วยมารดาแม้จะมีพี่เลี้ยงก็ยังไม่ทิ้งหน้าที่นี้ไปอยู่ดี เขาตั้งตารอวันที่น้องโตพอจะเล่นกับเขาได้มากกว่านี้ แม้มีสหายวัยเดียวกันที่ศาลาศึกษา แต่ก็ยังแอบเหงานิดหน่อยอยู่ดีพอสามีไปทำงานต่างเมืองหลายวันนายหญิงก็พูดน้อยลง ขนาดเด็ก ๆ ก็ยังรู้สึกได้ว่านางไม่ค่อยร่าเริง อารมณ์อ่อนไหวน้อยใจง่ายของนางเป็นไปตามประสาคนท้อง ทุกคนเข้าใจดีจึงหาทางให้นางสนใจอย่างอื่น เด็ก ๆ รู้ว่าท่านแม่เงียบลงไปมาก ก็หาเรื่องมาเล่นกับนางบ่อย ๆ"ในนี้มีน้อน น้อนดิ้นหรือไม่" โจวอี้หมินเงยหน้ามองมารดาตาแป๋วหลังจากเอาหูแนบซุกลงบนหน้าท้
"นั่งไปเถอะคนกำลังท้องกำลังไส้ อย่าให้คนท้องว่างได้นึกเป็นห่วงนักเลย""จะดีหรือเจ้าคะ""ข้าไม่คิดอะไรมากหรอก เห็นอยู่ว่าเจ้าท้องโตถึงเพียงนี้ หากคิดจะกล่าวโทษ คนผู้นั้นก็คงต้องใจแคบมาก ๆ"แม้จะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญแต่นางก็รู้สึกซาบซึ้งใจ สวี่ซือเหยานั่งรถลากชมสวนโดยมีสหายของน้าชายคอยแนะนำพื้นที่ต่าง ๆ ว่ามีอะไรปลูกไว้บ้างสวนผลไม้นี้ปลูกผลไม้ตามฤดูกาลหมุนเวียนได้ทั้งหมด เรื่องที่วัตถุดิบของนางจะขาดตลาดในช่วงฤดูใดฤดูหนึ่งก็เป็นอันหมดปัญหา ภายในวันนั้นสวี่ซือเหยาก็ร่างสัญญาขึ้นมาให้สหายท่านน้าได้อ่านในทันที บอกส่วนแบ่งกำไรชัดเจน เขาชื่นชมนางไม่หยุดว่ามีหัวการค้า น้าชายก็เสริมไปอีกว่านางเหมือนมารดา"ที่คนเขาว่ากันว่าเจ้ามันคนเห่อหลานนี่ก็คงจะจริงสินะ""ข้าไม่เถียงก็ได้ เจ้ารีบลงนามเสียทีเถอะ ซักไซ้ข้าอยู่ได้น่ารำคาญจริง ๆ""ยอมรับง่ายดายเชียวนะ เจ้ามันเกินเยียวยาแล้ว หลานเจ้ารำคาญเจ้าบ้างไหมล่ะเนี่ย""ถึงพวกเขารำคาญข้าก็ไม่ใส่ใจหรอก หลานชายของข้าอีกสองคนที่เป็นบุตรของนางก็น่ารักมากด้วย
แม่มดเสียใจมากที่ลูกหมาไม่กลับมา ออกตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ คิดว่าพวกมันคงตายไปแล้ว แม่มดสร้างสุสานที่ไร้ร่างไว้ที่หลังบ้านตนเอง หลังจากนั้นแม่มดก็ไม่ได้เลี้ยงสิ่งใดอีก ด้วยกลัวว่าจะเสียพวกมันไปเหมือนกับลูกหมาทั้งสามตัวที่นางรัก"นิทานจบแล้ว…"สวี่ซือเหยามองลูกๆ พบว่าบุตรชายคนเล็กหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ หญิงสาวดึงผ้าห่มคลุมตัว ประคองโจวอี้หมินให้ขยับเข้ามากลางเตียงด้วยกลัวว่าจะนอนดิ้นแล้วพลัดตกลงไปที่นอนอีกฝั่งหนึ่งว่างเปล่า ผู้เป็นแม่มองหาบุตรชายบุญธรรมก่อนจะพบแผ่นหลังเล็ก ๆ นั่นนั่งจ๋องอยู่หน้าประตูห้อง"เสี่ยวหราน มีอะไรอยู่ตรงนั้นกันหรือ?""มีคนอยู่ด้านนอกขอรับ"ฟังเช่นนี้แล้วนายหญิงของเรือนก็ใจไม่ดีในทันที นึกว่ามีขโมยที่ไหนปีนรั้วเข้ามา แต่พอลุกไปส่องตรงช่องว่างของประตูกลับพบว่าเป็นสามีของนางนั่งคุกเข่าอยู่หน้าห้อง"เสี่ยวหราน นี่ลูกล้อเล่นอะไร""ขออภัยขอรับ ข้าเห็นท่านแม่อารมณ์ไม่ดีเลยอยากให้ยิ้มได้บ้าง อาจารย์ที่ศาลาศึกษาบอกว่าการมีอารมณ์ขันบางครั้งก็จำเป็น"&ldq
กลับมาถึงเรือนนางก็เก็บตัวอยู่ในห้องไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปใต้ม้วนผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่นั้น สวี่ซือเหยาน้ำตาซึมด้วยความเสียใจ เมื่อชาติก่อนที่ภูเขาถล่มครั้งนั้นสามีของนางถูกระบุว่าตายไปแล้ว แต่แท้จริงกลับไม่ใช่ เขาไม่ได้กลับมาหานางทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ หากพระเอกในนิยายเป็นสามีของนาง เป็นโจวเยี่ยนเฉินคนนั้นเช่นนั้นนางควรทำอย่างไรต่อไปล่ะ อาจเพราะกำลังตั้งครรภ์ทำให้นางอารมณ์อ่อนไหวกว่าปกติ ในนิยายบอกเรื่องราวพระเอกกับพระเอก นางเป็นแค่ตัวประกอบไร้ค่าที่ถูกพูดถึงไม่กี่บรรทัดเท่านั้นแต่ชาตินี้นางรักของนาง จะยอมให้นางเอกในนิยายที่ใครก็ไม่รู้กำหนดขึ้นมาแย่งไปได้อย่างไรคนทั้งเรือนต่างพูดถึงเรื่องที่นายหญิงเก็บตัวเงียบ รู้ถึงหูนายท่านที่เพิ่งกลับมาจากทำงาน"พวกเจ้าซุบซิบอะไรกัน""นายหญิงท่าทางแปลก ๆ เจ้าค่ะ"“ฮูหยินรึ?""วันนี้นายหญิงออกไปข้างนอกมา ไม่รู้ว่าไปที่ใด เพราะแค่ฉางเหลียนไปด้วย กลับมาถึงก็เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง ข้าวปลาไม่ยอมกินด้วยเจ้าค่ะ"โจว
"เขาล้มเองจริง ๆ นะ ใครก็เห็น ใช่ไหม" เมื่อแก้ตัวและเริ่มเอาตัวรอดไม่ได้ก็หาพวก แต่ไม่มีใครเข้าข้างเขาสักคน"พ่อแม่เจ้าอยู่ไหน" สวี่ซือเหยาถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่สีหน้าของนางนั้นตั้งใจจะเอาเรื่องอย่างแน่นอน"ไอหยา แม่นางใจเย็น ๆ ก่อน แค่เด็กเล่นกันเท่านั้นเอง" บุรุษที่มาส่งเด็กคนนั้นในตอนเช้ารีบเข้ามาห้าม กลัวเรื่องจะบานปลาย"เจ้าเป็นใคร พ่อบ้าน? พี่เลี้ยง?" กับผู้ใหญ่นางไม่จำเป็นต้องปราณี สวี่ซือเหยามองอีกฝ่ายด้วยหางตา"คุณชายน้อยของเจ้ากล่าวอ้างตนว่าเป็นบุตรเจ้าเมืองรู้หรือไม่""...""แอบเป็นผู้อื่น ใช้อำนาจในทางมิชอบมีความผิดอย่างไร ข้าคิดว่าผู้ใหญ่อย่างเจ้าน่าจะรู้ดี"บุรุษผู้นั้นหน้าซีด ค้อมตัวลงต่ำรีบกล่าวว่า "ขออภัย! ขออภัยด้วยขอรับอย่ารายงานไปถึงทางการเลยนะขอรับ ข้าจะรายงานเรื่องนี้กับนายท่านเอง แม่นางโปรดให้อภัยด้วย!""ไม่มีโอกาสครั้งที่สองสำหรับเรื่องนี้ จำเอาไว้ด้วย"โจวเจิ้นหรานมองมารดาด้วยแววตาชื่นชม เขานึกว่าที่บอกไปเมื่อวานนางจะเพิกเฉยไปเสียอีก แต่กลับออกตัวปกป้องถึงเพีย
สวี่ซือเหยามานั่งวาดแผนกิจการที่ริมระเบียง อีกไม่นานบุตรชายบุญธรรมก็จะกลับมาจากศาลาศึกษา นางจึงตั้งใจมารอรับเขาด้วยเสียเลย ทว่าเลยบ่ายมาแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา นางนึกแปลกใจ บุตรชายคนโตไม่เคยเถลไถลที่ไหน หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นสวี่ซือเหยาลุกพรวดตั้งใจจะออกไปเดินตามหา แต่พอเดินมาถึงหน้าประตูเรือน ก็พบเด็กชายเดินวนซ้ายวนขวา ลุกลี้ลุกลนไม่กล้าเข้าไปในบ้านตัวเอง"เสี่ยวหราน?" คนถูกเรียกสะดุ้งเฮือก หันมามองหน้าตื่น ๆ เห็นสภาพของบุตรชายบุญธรรมก็รู้แล้วว่าเหตุใดเขาจึงลังเลไม่อยากกลับบ้านเสียทีเนื้อตัวมอมแมมเหมือนไปตกน้ำตกท่าที่ไหนมา ทั้งเลอะโคลนเป็นบางจุดเหมือนล้มถลาไปด้านหน้า ผ้าผูกผมหลุดลุ่ย"ท่านแม่คือข้า…""เสี่ยวหราน มาทางนี้มา"สวี่ซือเหยาอ้าแขนรอ ยังไม่คิดทักท้วงอะไรในตอนนี้ บุตรชายบุญธรรมเดินเข้ามาหาอย่างช้า ๆ หน้างอคอตกน้ำตาซึม นางจูงมือเขาเข้าไปในบ้าน"เกิดอะไรขึ้นหรือ บอกมารดาได้หรือไม่"โจวเจิ้นหรานอึกอัก นางเห็นเช่นนี้ก็คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โตพอสมควร"มีสห
โจวเยี่ยนเฉินเดินหามุมปูผ้ารองใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาแผ่กว้าง ประคองผู้เป็นภรรยาให้นั่งลงอย่างช้าๆ อากาศด้านนอกแจ่มใสจนสัมผัสลมธรรมชาติได้เป็นเต็ม ๆ ดีกว่าอุดอู้อยู่ในเรือนสามีนำหมอนมารองด้านหลังให้นางได้พิงและเหยียดขาออกได้ง่าย จัดแจงนำอาหารออกมาวางไว้ ทุกอย่างที่สวี่ซือเหยาเคยทำให้ดูก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขาทำมันเองทั้งหมด"เป็นอย่างไรบ้าง""อากาศดีมากเจ้าค่ะ""คราวหน้าจะพาเจ้ามาบ่อย ๆ ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกว่าตนเองทำหน้าที่สามีและพ่อไม่ได้ดีเท่าไหร่""ใครพูดหรือเจ้าคะ" นางถามเสียงดุขึ้นมาทันที ใครช่างกล้ามาว่าสามีของนางได้"ไม่มีหรอก ข้าคิดของข้าเองเพราะข้ารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ"การที่นางเอ่ยออกมาว่าไม่ได้มานานแล้วนั้น ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดในใจของเขาเข้าไปใหญ่ เพราะคิดไปแต่เพียงว่าภรรยามีบ่าวรับใช้ เงินทองก็เหลือล้น ทรัพย์สมบัติก็มีมากมาย เขาจึงได้มองข้ามหลายสิ่งหลายอย่างไปเพียงเพราะคิดว่านางมีพร้อมทุกอย่างแล้ว"ท่านพี่ทำหน้าที่พ่อและสามีได้ดีอยู่แล้วเจ้าค่ะ" นางยิ้มให้เขาเพื่อยืนยันคำพูดตัวเอง