“เจ้าคิดจะมีลูกกี่คนกัน?” องค์รัชทายาทเหลียงซินเผงอดถามสหายตนเองไม่ได้ เพราะหลังจากที่เซียวเหม่ยอิงคลอดบุตรคนแรกไปไม่ทันไร ตอนนี้สหายตัวดีของเขากำลังมีบุตรคนที่สองแล้ว “กระหม่อมเองก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ เพราะเรื่องนี้กระหม่อมไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ กระหม่อมเพียงทำตามความต้องการฮูหยินตนเองเท่านั้น” คำตอบยียวนชวนโมโหทำเอาเหลียงซินเผิงมุมปากกระตุก มองดูคนที่กำลังทำสีหน้าภูมิใจอยู่ในตอนนี้ มุมปากของเขายิ่งกระตุกกว่าเดิม ความจริงเหลียงซินเผิงเองก็กำลังจะมีบุตรเป็นของตนเองเช่นกัน หลังจากที่ได้เข้าอภิเษกสมรสกับองค์หญิงถังซูลี่ไปเมื่อตอนปีที่แล้ว ซึ่งเดือนหน้าก็ครบกำหนดคลอดแล้ว เขาแค่รู้สึกหมั่นไส้คนตรงหน้าเท่านั้น ทั้งสองอ่านรายงานจากกองทัพต่าง ๆ ที่ส่งรายงานถึงความสงบเรียบร้อยตามที่ได้รับมอบหมาย เหลียงซินเผิงที่กำลังอ่านรายงานก็นึกอะไรบางอย่างออก“ไม่กี่วันก่อนข้าได้รับรายงาน ว่าน้องสาวของฮูหยินเจ้ามีชีวิตไม่สู้ดีเท่าใดนัก นางเย่อหยิ่งในตนเอง อีกทั้งไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งน้องสะใภ้ จึงถูกไล่ไปอยู่ท้ายตำหนัก เลวร้ายถึงขนาดแอบถูกวางยาขับเลือดทำให้นางต้องแท้งบุตรตนเอง”“แล้วท่านอ๋องเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
กองทัพขนาดใหญ่เคลื่อนพลกลับมายังเมืองหลวง หลังจากที่พวกเขาได้ออกรบปกป้องบ้านเมืองเป็นเวลาช้านาน หลังจากที่ถูกแคว้นจ้าวรุกรานทำศึกประชิดแคว้น ทำให้ชินอ๋องอย่าง ‘เหลียงซินเผิง’ ทูลขออนุญาตฮ่องเต้ยกกองทัพไปทำศึกด้วยตนเองโดยมีสหายคู่ใจอย่าง ‘หวงหยางหมิง’ ที่มีตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพประจำกองทัพออกไปรบด้วย ศึกนี้กินเวลายาวนานถึงหกปีเพราะนอกจากจะต้องป้องกันชายแดนของตัวเองแล้ว ชัยชนะครั้งนี้ยังทำให้แคว้นจ้าวและชนเผ่าตี๋ที่ยกทัพมาทำศึกกับแคว้นฉินพร้อมกันนั้นยอมศิโรราบแต่โดยดี แคว้นฉินจึงมีชื่อเสียงในการรบและกองทัพที่แข็งแกร่งสะท้านไปทั่วทุกสารทิศ แคว้นหรือชนเผ่าต่าง ๆ ที่ทีแรกตั้งใจจะทำศึกกับแคว้นฉิน ต้องพากันยกทัพกลับถิ่นฐานตัวเองโดยเร็วหลังจากที่รับรู้ว่าแคว้นจ้าวและชนเผ่าตี๋พ่ายแพ้ให้กับแคว้นฉินอย่างย่อยยับ อีกทั้งข่าวลือเรื่องความโหดเหี้ยมของแม่ทัพของชินอ๋อง แต่ผู้ที่มีชื่อเสียงที่โหดเหี้ยมกว่าจนศัตรูขนานนามว่า ‘ปีศาจหน้ากากเหล็ก’ รองแม่ทัพหวงหยางหมิง บุรุษที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ คอยระวังความปลอดภัยให้ชินอ๋องและฆ่าฟันศัตรูไม่เลือกหน้า ไม่มีคำว่าปรานีให้กับเหล่าศัตร
เป็นประจำทุกปีที่เซียวเหม่ยอิงจะขึ้นวัดไปจำศีลภาวนาเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเพื่อระลึกถึงฮูหยินผู้เฒ่าประจำตระกูลเซียวที่ได้เสียไป สมัยที่ฮูหยินผู้เฒ่ายังมีชีวิต เซียวเหม่ยอิงจะสนิทสนมกับท่านย่าของตัวเองเป็นอย่างมาก จนบ่อยครั้งที่เซียวลี่หงออกอาการแง่งอนท่านย่าของตัวเองเพราะคิดว่าท่านย่านั้นลำเอียง รักพี่สาวมากกว่าตน เป็นเหตุให้มารดาต้องคอยเอาอกเอาใจเพื่อไม่ให้บุตรสาวคนเล็กนั้นน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะสมัยที่เซียวลี่หงยังเป็นเด็กเล็กนั้น นางมีร่างกายอ่อนแอและล้มป่วยบ่อย เซียวฟู่จินและฟางเหนียงจึงเอาใจใส่เซียวลี่หงเป็นพิเศษ ทำให้เซียวเย่หรือฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนดูแลเซียวเหม่ยอิงมาโดยตลอด เซียวเหม่ยอิงเลยสนิทกับฮูหยินผู้เฒ่ามากกว่าบิดามารดาของตัวเอง พอเซียวเหม่ยอิงไปถึงวัดแล้ว ก็สวดมนต์ภาวนาและทำความสะอาดตามปกติอย่างที่เคยทำ จนถึงยามดึกเป็นเวลาเข้านอน เซียวเหม่ยอิงมองดูพระจันทร์ที่กำลังส่องแสงยามค่ำคืน ใบหน้าเรียวงาม จมูกงามเข้ากับใบหน้า ผมดำยาวสลวยที่ปล่อยให้ยาวเต็มแผ่นหลังเพื่อให้ลี่จินหวีผมได้อย่างสะดวก ขณะที่กำลังมองดูพระจันทร์อย่างเหม่อลอยอยู่นั้น กลับได้ยินเสียงบางอย่างดังไม่ไ
ณ พระราชวัง รถม้าตระกูลเซียวสองคันที่ตามกันมาติด ๆ เซียวฟู่ซินกับฟางเหนียงนั่งรถม้าไปด้วยกัน ส่วนอีกคันก็จะเป็นเซียวเหม่ยอิงและเซียวลี่หงนั่งคู่กันมา ทันทีที่รถม้าทั้งสองคันจอด สายตาหลายคู่ก็จับจ้องมองดูบุคคลที่กำลังจะก้าวลงมาจากรถม้าของตระกูลเซียว คันแรกเป็นเซียวฟู่ซินและฮูหยินของตัวเองที่ลงมาก่อน หลายสายตาจึงจ้องมองดูคันที่สองทันที เพราะเป็นคันที่ได้ขึ้นชื่อว่าสตรีงดงามที่สุดในเมืองหลวงนั่งมา คนแรกก้าวลงมาโดยมีสาวใช้ประคองรอรับอยู่ด้านนอก สายตาบุรุษหลายคนก็พร่ามัวด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มเขินอาย ทำให้ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องน่าทะนุถนอม ยิ่งใส่ชุดสีชมพูอ่อนยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของนางดูใสซื่อยิ่งขึ้นไปอีก เซียวลี่หงหลบสายตาหลายคนที่มองมาด้วยใบหน้าที่เขินอายแล้วค่อย ๆ เดินไปหาบิดามารดาที่ยืนรอนางอยู่ แต่สายตาในงานที่จ้องมองดูเซียวลี่หงกลับต้องพากันเปลี่ยนจุดมองเมื่อมีอีกคนกำลังก้าวลงมาจากรถม้าของตระกูลเซียว ทำเอาเหล่าบุรุษแทบพากันหยุดหายใจ หากเซียวลี่หงงดงามดั่งบุปผาที่น่าทะนุถนอมแล้ว แต่คนที่กำลังก้าวลงมานั้นงดงามอย่างหาได้ยากยิ่ง ดรุณีที่อยู่ในชุดสีขาวปักด้วยด้วยดอกไม้สีน้ำเงินยิ
จวนท่านแม่ทัพหวงหยางหมิง หลังจากที่หวงหยางหมิงกลับมาถึงจวนของตัวเอง เขาก็ให้คนไปเตรียมของเพื่อที่จะอาบน้ำชำระร่างกายทันที จวนหลังนี้เป็นจวนพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้ ตอนที่เขาได้ขึ้นเป็นแม่ทัพพอได้จวนนี้มา หวงหยางหมิงก็ย้ายออกมาจากจวนหลักทันที เพราะเดิมทีหวงหยางหมิงเองก็ไม่ต้องการที่จะอยู่จวนเดิมอยู่แล้วตั้งแต่ที่มารดาของตัวเองเสียชีวิตไป จวนที่มากไปด้วยเล่ห์อุบายของผู้คนในนั้น หวงหยางหมิงสะอิดสะเอียดเกินทน หากให้เขาทนอยู่ในนั้น หวงหยางหมิงเกรงว่าคงได้ฆ่าคนในจวนนั้นหมดอย่างแน่นอน จวนที่ได้รับพระราชทานนี้ค่อนข้างใหญ่ มีเรือนใหญ่และเรือนเล็กแบ่งเป็นสัดส่วน เรือนที่หวงหยางหมิงพักนั้นมีชื่อว่าเรือนจันทรา เป็นเรือนใหญ่ที่สุดและเขาเองก็ชื่นชอบที่สุดด้วย เพราะด้านหลังเรือนนั้นมีสระน้ำขนาดใหญ่ที่เอาไว้ให้เขาได้อาบน้ำชำระร่างกาย สระน้ำนี้ล้อมรอบไปด้วยต้นไผ่เขียวและดอกไม้นานาพรรณ ทำให้สระนี้งดงามเป็นอย่างมาก ที่เด่นชัดเลยในยามค่ำคืน พระจันทร์จะสาดส่องลงมากระทบเป็นเงากับสระน้ำนี้พอดี ทำให้คนที่พบเห็นนั้นเกิดความสบายใจ หวงหยางหมิงเลยตั้งชื่อเรือนจันทรานี้ด้วยตนเอง ร่างกำยำค่อย ๆ ปลดเสื้อผ
กงกงท่านหนึ่งเดินมาพร้อมกับพานที่มีพระราชโองการมาด้วย กงกงกางราชโองการนั้นออกมาพร้อมกับอ่านด้วยน้ำเสียงดังกังวาน"ตระกูลเซียวรับพระราชโองการ...เซียวฟู่ซินนั้นดำรงตำแหน่งด้วยความชอบธรรม ทั้งยังสั่งสอนบุตรสาวทั้งสองคนให้รู้จักทำความดี มีคุณธรรม เมตตาต่อผู้อื่น มีคุณสมบัติครบถ้วนในสิ่งที่สตรีพึงมี ข้าขอมอบสมรสพระราชทานแก่บุตรสาวของตระกูลเซียวกับแม่ทัพหวงหยางหมิงนับจากนี้อีกสามเดือน จบราชโองการ" หลังจากที่กงกงอ่านพระราชโองการจบแล้ว เซียวฟู่ซินก็ยื่นมือไปรับพระราชโองการด้วยใบหน้าที่แข็งค้างกับเนื้อหาในพระราชโองการที่องค์ฮ่องเต้มอบให้ตน “ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอพระองค์อายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี” หลังจากที่กงกงมอบราชโองการให้แล้วเสร็จก็เดินขึ้นรถม้ากลับวังหลวงทันที เพราะภารกิจที่เขาได้รับมอบหมายมาได้บรรลุเรียบร้อยแล้ว คล้อยหลังกงกงจากไป เซียวลี่หงทรุดลงกับพื้นทันที ดวงตางามเก็บน้ำตาไม่อยู่เมื่อได้ยินราชโองการ นางเอื้อมมือไปจับแขนมารดาตัวเองที่ยืนอยู่ข้างๆ“ท่าน.... ทะ ท่านแม่” น้ำเสียงสั่นปนสะอื้นฟางเหนียงรีบโอบกอดบุตรสาวทันที บุตรสาวที่น่ารักของนางเหตุใดถึงน่าสงสารถึงเพียงนี้“โถ่...ห
“หงเอ๋อร์เจ้าอย่าทำตัวเป็นเด็ก นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำตามอำเภอใจได้! เจ้าเตรียมตัวเตรียมใจออกเรือนในอีกสามเดือนเสีย!” เซียวฟู่ซินเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ เซียวลี่หงถูกตามใจจนเคยตัวถึงได้มีกิริยาเช่นนี้ แต่ครั้งนี้เขาไม่อาจจะตามใจบุตรสาวอย่างที่เคยทำ เพราะหากขัดก็ถือว่าเป็นกบฏแผ่นดิน ถึงแม้ว่าในพระราชโองการไม่ได้ระบุว่าเป็นเซียวเหม่ยอิงหรือเซียวลี่หง แต่ผู้ใดต่างก็รู้ดีว่าคนที่ต้องแต่งงานกับแม่ทัพหวงหยางหมิงคือเซียวลี่หง เพราะเซียวเหม่ยอิงนั้นมีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว“ท่านพ่อ ท่านยอมให้ข้าแต่งกับชายผู้นั้นจริงหรือเจ้าคะ หน้าตาที่แท้จริงของเขาเป็นเช่นไรก็ไม่มีผู้ใดรู้ หากอัปลักษณ์อย่างที่ผู้อื่นบอก ข้า...ข้า” เซียวลี่หงเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา น้ำเสียงของนางตัดพ้ออย่างน่าสงสารเหตุการณ์ที่เหมือนจะสงบลง แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ ๆ เซียวลี่หงดึงปิ่นปักผมที่ปักอยู่มวยผมมาจี้คอตัวเองด้วยท่าทางที่น่าหวาดกลัว“หากท่านพ่อท่านแม่ให้ข้าไปแต่งงานกับแม่ทัพปีศาจอัปลักษณ์นั่น ข้าขอฆ่าตัวตายตอนนี้เสียดีกว่า!”เซียวลี่หงตัดสินใจแล้ว หากให้นางออกเรือนกับชายที่สวมหน้ากากตลอดเวลา ไม่รู้ว่าภายใต้หน้ากากจ
หลังจากเกิดความวุ่นวายมาหลายวัน ความสงบสุขก็กลับมาสู่จวนตระกูลเซียวอีกครั้ง “อิงเอ๋อร์ ขอบใจเจ้ามากที่เจ้าเห็นแก่ตระกูลและน้องของเจ้า หาไม่แล้ว” ทุกครั้งยามหลับตา เซียวเหม่ยอิงยังได้ยินคำพูดในวันนั้นซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ กลับมาถึงเรือนลี่จินเองร้องไห้ไม่หยุด เพราะสงสารคุณหนูตัวเอง เซียวเหม่ยอิงนั้นได้แต่ปลอบสาวใช้ตนพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “เป็นแบบนี้ดีแล้วลี่จิน...” ใช่... แบบนี้น่ะดีแล้ว นางคิดแล้วว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ไม่ต้องมานั่งทุกข์ใจ ครอบครัวไม่ต้องโทษข้อหาเป็นกบฏ อีกอย่างแต่งงานกับแม่ทัพหวงหยางหมิงก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ความโหดเหี้ยมที่ผู้คนเล่าลือก็มาจากสนามรบทั้งนั้น ที่หวงหยางหมิงทำไปทั้งหมดเพราะต้องปกป้องบ้านเมือง เซียวเหม่ยอิงนั่งหลับตาคิดถึงเรื่องราวตอนที่นางเอ่ยปากขอบิดามารดาแต่งงานด้วยตนเอง “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอแต่งงานกับแม่ทัพหวงหยางหมิงเองเจ้าค่ะ” สองสามีภรรยาได้ยินเช่นนั้นก็พากันตกตะลึงและตกใจไปตาม ๆ กัน เซียวเหม่ยอิงจึงได้อธิบายถึงเหตุผลที่นางตัดสินใจในครั้งนี้ เพราะว่าหลี่ซื่อหมินได้มาถอนหมั้นกับนางแล้ว ในเมื่อเ
“เจ้าคิดจะมีลูกกี่คนกัน?” องค์รัชทายาทเหลียงซินเผงอดถามสหายตนเองไม่ได้ เพราะหลังจากที่เซียวเหม่ยอิงคลอดบุตรคนแรกไปไม่ทันไร ตอนนี้สหายตัวดีของเขากำลังมีบุตรคนที่สองแล้ว “กระหม่อมเองก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ เพราะเรื่องนี้กระหม่อมไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ กระหม่อมเพียงทำตามความต้องการฮูหยินตนเองเท่านั้น” คำตอบยียวนชวนโมโหทำเอาเหลียงซินเผิงมุมปากกระตุก มองดูคนที่กำลังทำสีหน้าภูมิใจอยู่ในตอนนี้ มุมปากของเขายิ่งกระตุกกว่าเดิม ความจริงเหลียงซินเผิงเองก็กำลังจะมีบุตรเป็นของตนเองเช่นกัน หลังจากที่ได้เข้าอภิเษกสมรสกับองค์หญิงถังซูลี่ไปเมื่อตอนปีที่แล้ว ซึ่งเดือนหน้าก็ครบกำหนดคลอดแล้ว เขาแค่รู้สึกหมั่นไส้คนตรงหน้าเท่านั้น ทั้งสองอ่านรายงานจากกองทัพต่าง ๆ ที่ส่งรายงานถึงความสงบเรียบร้อยตามที่ได้รับมอบหมาย เหลียงซินเผิงที่กำลังอ่านรายงานก็นึกอะไรบางอย่างออก“ไม่กี่วันก่อนข้าได้รับรายงาน ว่าน้องสาวของฮูหยินเจ้ามีชีวิตไม่สู้ดีเท่าใดนัก นางเย่อหยิ่งในตนเอง อีกทั้งไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งน้องสะใภ้ จึงถูกไล่ไปอยู่ท้ายตำหนัก เลวร้ายถึงขนาดแอบถูกวางยาขับเลือดทำให้นางต้องแท้งบุตรตนเอง”“แล้วท่านอ๋องเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากเหตุการณ์ในตอนนั้นเซียวลี่หงได้แต่งเข้าไปในฐานะอนุภรรยาของท่านอ๋องสาม เพราะนางใช้แผนสกปรก อีกทั้งชื่อเสียงของนางไม่มีดีเลยแม้แต่น้อย ชาวบ้านต่างพูดเรื่องนี้ราวกับว่าเป็นนิทานเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ พระชายาจึงให้นางเข้ามาในฐานะอนุภรรยาเท่านั้น และหลังจากที่จัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ท่านอ๋องสามและพระชายาก็ได้ออกเดินทางไปยังเมืองอู่ตามพระบัญชาขององค์ฮ่องเต้ รวมทั้งเซียวลี่หงเองก็ต้องเดินทางไปด้วยเช่นกัน เพราะการไปเมืองอู่ในครั้งนี้เป็นการไปแบบถาวรไม่มีวันกลับมา จวนแม่ทัพหวงหยางหมิง เซียวฟู่ซินและฟางเหนียงเดินทางมาหาบุตรสาวของตนเองอีกครั้ง เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้าพวกเขาก็จะไปจากเมืองหลวงแล้ว ฟางเหนียงได้ยื่นสมุดหลายเล่มให้บุตรสาวตนเอง“นี่คือร้านค้าที่เหลืออยู่ แม่ฝากเจ้าดูแลต่อด้วยนะอิงเอ๋อร์” ตอนนี้เซียวลี่หงแต่งออกไป สินเดิมของนางมีแค่พวกสิ่งของและเงินทอง ฟางเหนียงไม่ได้ใส่ร้านค้าพวกนี้ไปเป็นสินเดิมให้นางด้วย เพราะอย่างไรเซียวลี่หงก็ไม่สามารถดูแลพวกนี้ได้ เซียวฟู่ซินและฟางเหนียงนั้นตัดสินใจกันแล้วว่ากิจการเหล่านี้ควรมอบให้เซียวเหม่ยอิง บุตรสาวที่พวกเขาไว้ใจว่านางจ
“เกิดเหตุอันใดรึ?” เซียวฟู่ซินเพิ่งมาถึงจวนของหวงหยางหมิง เนื่องจากตนต้องไปรายงานงานราชการกับฮ่องเต้ทำให้ไม่ได้มาร่วมงานด้วยตั้งแต่แรก แต่พอเดินทางมาถึงจวน ก็ได้พบเจอกับเหตุการณ์วุ่นวายจึงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย“จะอะไรอีก ก็บุตรสาวคนรองของท่านพลอดรักกับท่านอ๋องสามที่เรือนรับรองแขกน่ะสิ”เซียวฟู่ซินได้ยินแบบนั้นถึงกับแข็งค้างไปต่อไม่ถูก เพราะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน“ท่าน...ท่านว่าอะไร!” เซียวฟู่ซินถามย้ำอีกครั้ง บุตรสาวคนรองของเขาหมายถึงเซียวลี่หงน่ะรึ แต่คนอย่างเซียวลี่หงนั้นหรือจะไปคลุกคลีหรือชอบพอกับอ๋องสาม ผู้ใดบ้างที่ไม่รู้จักนิสัยใจคอของอ๋องคนนี้ว่าเป็นอย่างไร อีกทั้งพระชายาของท่านอ๋องสามเองก็ปากคอเราะรายยิ่งนัก วาจาของนางนั้นไม่เคยไว้หน้าผู้ใดและนิสัยใจคอของนางเองก็ร้ายกาจไม่ต่างกัน “ไปดูให้เห็นกับตาเถิด แต่ข้าว่าท่านรีบไปจะดีกว่าตอนนี้พระชายาของอ๋องสามก็อยู่ด้วยเช่นกัน” เซียวฟู่ซินได้ยินอย่างนั้นก็ไม่รอช้า เขารีบวิ่งตามคนในงานไปยังจุดเกิดเหตุทันที พอไปถึงก็พบกันผู้คนมากมายที่ยืนเรียงรายเต็มเรือนเพี้ยะ!“เลว! กล้าใช้วิธีนี้กับท่านอ๋อง เจ้าเป็นสตรีนิสัยต่ำทรามยิ่งนัก!”
เหลียงซินเผิงมองคนที่กำลังทำสีหน้าที่น่ากลัวถึงกับต้องเอ่ยปากถาม“เหตุใดเจ้าถึงได้ยิ้มได้น่ากลัวเช่นนี้ แล้วกำลังมองอะไรอยู่รึ?” เหลียงซินเผิงมองตามหวงหยางหมิง ก็เห็นเป็นบุรุษคนหนึ่งที่กำลังมึนเมา“อ๋องสาม? อ๋องสามทำอะไรเจ้างั้นรึ” เหลียงซินเผิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจ “กระหม่อมน่ะรึจะกล้าไปขัดใจเชื้อพระวงศ์ พระองค์กล่าวหนักเกินไปแล้ว” ใบหน้าเหลียงซินเผิงไม่มีความเชื่อในคำพูดของหวงหยางหมิงเลยแม้แต่น้อย คนอย่างเจ้านี่น่ะรึจะเกรงกลัวผู้ใด ต่อให้คนนั้นเป็นอ๋อง หากทำผิดกฎแล้ว เจ้ารายงานเสด็จพ่ออย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ครั้งหนึ่งเคยมีน้องร่วมบิดาของเขาไปอาละวาดที่โรงเตี้ยมแล้วใช้อำนาจข่มคนในนั้น หวงหยางหมิงกำลังนั่งดื่มน้ำชาซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ ก็จัดการตามกฎทันที จนทำให้น้องของเขาวิ่งมาฟ้องเสด็จพ่อว่าถูกรังแก เสด็จพ่อก็ได้ให้คนไปเรียกหวงหยางหมิงเพื่อสอบถามความจริงที่เกิดขึ้น เหมือนหวงหยางหมิงจะรู้ว่าถูกเรียกมาพบเพราะสาเหตุอะไร ก็ได้พาพยานที่โรงเตี้ยมมาด้วย เมื่อเสด็จพ่อได้รู้ความจริงจากปากหวงหยางหมิงแล้ว ก็ได้สั่งโบยพระโอรสของตนเองที่ทำเรื่องน่าอับอายอีกทั้งยังใช้อำนาจข่มขู่ประชาชนใ
จวนแม่ทัพหวงหยางหมิง“พวกนั้นกำลังเคลื่อนไหวขอรับ” จางชิงรายงานถึงความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ให้นายของตนได้ฟัง หลังจากที่ทุกจวนได้รับเทียบเชิญร่วมแสดงความยินดีจากจวนแม่ทัพหวงหยางหมิง แล้วก็เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ นิ้วชี้หวงหยางหมิงเคาะโต๊ะอย่างใช้ความคิด สายตาของเขาจ้องไปทางหน้าต่าง เพราะข้างนอกนั้นเซียวเหม่ยอิงกำลังดื่มของบำรุงร่างกายกับองค์หญิงถังซูลี่อย่างมีความสุข“ข้าคงต้องกำจัดขยะให้หมดเสียตอนนี้ จะได้ไม่มีใครกล้ามาทำอะไรกับเมียและลูกของข้า” หวงหยางหมิงพูดขึ้นแต่นิ้วยังเคาะโต๊ะทำงานอยู่เช่นเดิม“แต่ข้าไม่ต้องการให้จวนข้าเปื้อนเลือด ลูกข้าที่กำลังจะเกิดมาต้องมีแต่สิ่งบริสุทธิ์รอบตัว...จางชินเข้าใจที่ข้าพูดใช่หรือไม่?” แม้ว่าใบหน้าจะเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่ส่งให้กับฮูหยิน ทว่าน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร จางชินได้แต่ก้มหน้าน้อมรับคำสั่งจากนายตนเองอย่างเชื่อฟัง ภายในใจเขานั้นได้แต่ไว้อาลัยให้คนเหล่านั้นที่รนหาเรื่องใส่ตนเอง ทางด้านผิงอัน อนุของแม่ทัพหวงหยางหมิงกำลังอ่านจดหมายที่นางได้รับการตอบกลับมา“อี๋เหนียงเจ้าคะ อี๋เหนียงจะยอมร่วมมือกับคุณหนูเซียวจริงหรือเจ้าคะ” สา
หวงหยางหมิงเป็นพวกไม่คิดจะรักษาหรือเสียเวลาพูดหว่านล้อมกับคนที่มาทำนิสัยไร้มารยาทกับเขาอยู่แล้ว ทั้งคู่เดินจากไปโดยไม่ได้สนใจคนที่ผู้คนที่ยืนมองดูเหตุการณ์ในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย เซียวลี่หงรู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จ้องมาที่นาง สายตาหลายคู่ที่มองมานั้นเต็มไปด้วยสายตาตำหนิให้กับการกระทำของนาง ร่างงามถึงกับทรุดลงกับพื้นดินเพราะรับความอับอายนี้ไม่ไหว เพียงแค่พริบตาเดียว ไม่คิดว่าเรื่องทุกอย่างจะกลายเป็นเช่นนี้ ครั้งหนึ่งเคยมีความคิดว่าต้องการอภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาท เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนเฝ้าฝัน มันใกล้เคียงอำนาจที่สุดแล้ว ทว่าตำแหน่งพระชายานั้นไม่ได้เว้นว่างไว้ เพราะถูกกำหนดไว้แล้วด้วยองค์หญิงต่างแคว้น ตัวเซียวลี่หงนั้นต้องการเป็นที่หนึ่ง นางจึงต้องถอยออกมาใหม่ แต่พอได้ยินเรื่องบุรุษปริศนาจากสหาย จุดนั้นทำให้นางสนใจ และพอได้มาเห็นใบหน้าจริง ๆ นางก็เฝ้าคอยและภาวนามาโดยตลอด มันเป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกหัวใจเต้นแรงให้กับบุรุษที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามหรือชาติตระกูล ตอนที่เห็นใบหน้าแท้จริงของหวงหยาง หมิงนั้น ภายในใจก่อเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก เมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้ว บุรุษผ
แม่ทัพหวงหยางหมิงและเซียวเหม่ยอิงนั้นไม่ได้สนใจสายตาหรือคำพูดที่แว่วมาให้พวกเขาได้ยินเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเหล่าเชื้อพระวงศ์เข้ามาในงาน“ขอฮ่องเต้ทรงพระเจริญ หมื่นปีหมื่นหมื่นปี”“ขอฮองเฮาทรงพระเจริญ พันปีพันพันปี”“ตามสบายเถิด”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”หลังจากที่ทุกคนทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว งานเลี้ยงก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ เหล่านักดนตรีและนางรำของวังหลวงต่างพากันออกมาแสดงผู้คนได้ชื่นชม“อาอิง”เซียวเหม่ยอิงกันไปหาคนที่เรียกนาง ก็เห็นเป็นองค์หญิงถังซูลี่ที่กำลังเดินมาหา“องค์หญิง” เซียวเหม่ยอิงยิ้มให้คนที่กำลังเดินมา ถังซูลี่นั้นไม่รอช้า นางรีบเดินเข้าไปกุมมือสหายของตนด้วยความคิดถึงทันที เพราะตั้งแต่มาที่นี่ นางและเซียวเหม่ยอิงก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอย่างเคย เพราะถังซูลี่นั้นวุ่นวายกับตำหนักของตนเองต้องจัดเตรียมอะไรหลาย ๆ อย่าง ทำให้พวกนางนั้นไม่ได้ไปมาหาสู่กันเหมือนอย่างที่อยู่แคว้นมู่ การสนิทสนมของทั้งคู่ยิ่งทำให้เป็นที่จับตามองของผู้คนในงาน ผู้ใดบ้างจะไม่รู้ว่าองค์หญิงถังซูลี่เป็นพระคู่หมั้นขององค์รัชทายาทเหลียงซินเผิง และอีกไม่นานก็จะอภิเษกสมรสกันตามธรรมเนียม หรือก็คือองค์หญิงแคว้นมู่
“ท่านพี่จะถอดหน้ากากจริง ๆ หรือเจ้าคะ” เซียวเหม่ยอิงถามหวง หยางหมิงขณะที่กำลังแต่งตัวให้สามี“ทำไมรึ? หรือว่าเจ้าหึงหวงข้า?”“ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้นเจ้าค่ะ”“แค่อิงเอ๋อร์บอกว่าหึงหวงข้า ข้าก็พร้อมที่จะกลับไปใส่หน้ากากเช่นเดิมแล้ว” เซียวเหม่ยอิงมองดูใบหน้าที่ยียวนกวนประสาทนาง ฝ่ามือถึงกับกระตุกฟาดลงที่ท่อนแขนหนาอย่างอดไม่ได้เพี้ยะ!“โอ๊ย! ยอมแล้ว ๆ”หวงหยางหมิงถึงกับร้องเสียงหลงเพราะถูกฮูหยิน ของตนนั้นฟาดเข้าที่ท่อนแขนอย่างจัง ความจริงแล้วหวงหยางหมิงนั้นไม่รู้สึกเจ็บเท่าใดนัก แต่ที่ร้องออกไปเพื่อไม่ให้เซียวเหม่ยอิงตีซ้ำเป็นรอบที่สอง เพราะเขากลัวว่ามืองาม ๆ ของนางนั้นจะบอบช้ำต่างหาก หวงหยางหมิงนั้นไม่พูดเปล่า เขาดึงตัวเซียวเหม่ยอิงมากอด พร้อมกับอธิบายถึงเหตุผลที่ตนนั้นจะไม่ใส่หน้ากากอีกต่อไป“ข้าแค่คิดว่าแต่นี้ต่อไป คงไม่จำเป็นที่จะต้องใส่หน้ากากอีกต่อไปแล้ว...” หวงหยางหมิงเอาคางเกยไว้ที่ไหล่ของฮูหยินตนเองพร้อมกับพูดต่อ“อิงเอ๋อร์อย่ากังวลไปเลย อย่าลืมว่าข้าได้พระราชโองการนั้นมาแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีใครสามารถบังคับข้าได้ แม้แต่ฝ่าบาทเองก็เช่นกัน” เซียวเหม่ยอิงเข้าใจ
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องทำได้เพราะอาอิงของข้าเก่งขนาดนี้” องค์หญิงถังซูลี่กล่าวด้วยความดีใจปนเอ็นดู ทันทีที่ถังซูลี่ได้รับรายงานจากคนรับใช้ที่นางให้ไปช่วยเหลือเซียวเหม่ยอิง ว่าสหายของนางนั้นหาทางแก้พิษได้สำเร็จแล้วก็รีบเดินทางมาพร้อมเหลียงซินเผิงที่เรือนรับรองของทั้งคู่ทันที“องค์หญิงกล่าวได้ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ อิงเอ๋อร์ของกระหม่อมเก่งมากจริง ๆ " เหลียงซินเผิงถึงกับหลุดหัวเราะออกมาหลังจากที่ได้ยินคำพูดจากปากสหายตนเอง เพราะแต่ละฝ่ายต่างพากันแย่งชิงในตัวเซียวเหม่ยอิงทั้งนั้นหวงหยางหมิงเจ้าหึงหวงภรรยาเจ้าเกินไปแล้ว“ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะความเมตตาจากองค์หญิงเพคะ” ที่เซียวเหม่ยอิงพูดนั้นไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย หากไม่ได้องค์หญิงถังซูลี่สอนทางด้านพิษและสมุนไพรยาต่าง ๆ ที่ถังซูลี่หามาให้ นางและสามีคงไม่มีวันนี้อย่างแน่นอน ถังซูลี่ได้ยินอย่างนั้น นางก็กุมมือเซียวเหม่ยอิงอย่างอ่อนโยน“เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้ว ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ เป็นสหายกันอย่าได้ถือเป็นบุญคุณเลย” เซียวเหม่ยอิงมองถังซูลี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขอบคุณ เกิดมาจนป่านนี้เพิ่งรู้คำว่า 'สหาย' ที่แท้จริงเป็นอย่า