ณ พระราชวัง
รถม้าตระกูลเซียวสองคันที่ตามกันมาติด ๆ เซียวฟู่ซินกับฟางเหนียงนั่งรถม้าไปด้วยกัน ส่วนอีกคันก็จะเป็นเซียวเหม่ยอิงและเซียวลี่หงนั่งคู่กันมา
ทันทีที่รถม้าทั้งสองคันจอด สายตาหลายคู่ก็จับจ้องมองดูบุคคลที่กำลังจะก้าวลงมาจากรถม้าของตระกูลเซียว คันแรกเป็นเซียวฟู่ซินและฮูหยินของตัวเองที่ลงมาก่อน หลายสายตาจึงจ้องมองดูคันที่สองทันที เพราะเป็นคันที่ได้ขึ้นชื่อว่าสตรีงดงามที่สุดในเมืองหลวงนั่งมา
คนแรกก้าวลงมาโดยมีสาวใช้ประคองรอรับอยู่ด้านนอก สายตาบุรุษหลายคนก็พร่ามัวด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มเขินอาย ทำให้ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องน่าทะนุถนอม ยิ่งใส่ชุดสีชมพูอ่อนยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของนางดูใสซื่อยิ่งขึ้นไปอีก เซียวลี่หงหลบสายตาหลายคนที่มองมาด้วยใบหน้าที่เขินอายแล้วค่อย ๆ เดินไปหาบิดามารดาที่ยืนรอนางอยู่ แต่สายตาในงานที่จ้องมองดูเซียวลี่หงกลับต้องพากันเปลี่ยนจุดมองเมื่อมีอีกคนกำลังก้าวลงมาจากรถม้าของตระกูลเซียว ทำเอาเหล่าบุรุษแทบพากันหยุดหายใจ
หากเซียวลี่หงงดงามดั่งบุปผาที่น่าทะนุถนอมแล้ว แต่คนที่กำลังก้าวลงมานั้นงดงามอย่างหาได้ยากยิ่ง ดรุณีที่อยู่ในชุดสีขาวปักด้วยด้วยดอกไม้สีน้ำเงินยิ่งดูสง่าและเย่อหยิ่งดั่งนางพญา ใบหน้ามนรูปไข่ คิ้วโก่งเข้ากับดวงตาเรียว จมูกโด่งโค้งรับกับปากเรียวงามพอดี แววตาที่มองดูข้างหน้าอย่างเย็นชาราวกับไม่สนใจสิ่งใด ทำให้คนที่ก้าวลงมานั้นดูลึกลับและน่าค้นหาเป็นอย่างมาก เซียวเหม่ยอิงเดินเข้าไปหาบิดามารดาและน้องสาวของตนเองที่ยืนอยู่ทางเข้างาน จากนั้นทั้งสี่คนก็เดินเข้างานไปพร้อมกัน โดยไม่ได้สนใจสายตาที่มองมาเลยแม้แต่น้อย
พอมาถึงงานเลี้ยงทุกคนต่างพากันแยกย้าย เซียวฟู่ซินก็ไปรวมอยู่กับพวกขุนนาง ฟางเหนียงก็ไปรวมกับเหล่าฮูหยินที่สนิทสนมด้วย เซียวลี่หงก็ไปหาเหล่าคุณหนูที่เป็นสหาย ที่โต๊ะตอนนี้จึงเหลือเพียงเซียวเหม่ยอิงที่นั่งอยู่คนเดียวเงียบ ๆ โดยมีลี่จินคอยยืนรับใช้อยู่ข้างกาย เพราะเซียวเหม่ยอิงนั้นไม่ค่อยได้ออกงานสังคมเท่าไหร่นักจึงทำให้ตัวนางไม่ค่อยมีสหาย ซึ่งแตกต่างจากเซียวลี่หงที่มีสหายค่อนข้างมาก ด้วยลักษณะท่าทางที่เป็นมิตรและยิ้มง่ายของนาง ผู้ใดก็ต่างอยากจะเป็นสหายกับนางอยู่แล้ว
“หงเอ๋อร์ วันนี้เจ้าแต่งตัวงดงามจริง ๆ” คุณหนูท่านหนึ่งที่เป็นสหายกับเซียวลี่หงได้เอ่ยปากชมสหายของตัวเอง ท่ามกลางความเห็นด้วยของเหล่าสหาย
“จริงอย่างที่เจ้าว่า ข้าว่าในงานนี้หงเอ๋อร์ของเราคงจะโดดเด่นสุดแล้ว ดูเครื่องประดับที่หงเอ๋อร์สวมใส่ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน งดงามมากจริง ๆ”
คนที่ถูกชมว่างดงามไหนเลยจะไม่ชอบใจ เซียวลี่หงยิ้มมากขึ้นพร้อมกับลูบไล้เครื่องประดับที่ตัวเองใส่อย่างทะนุถนอม
“เครื่องประดับชุดนี้ ท่านแม่เป็นคนจ้างช่างทำขึ้นมาให้ข้าเป็นพิเศษน่ะ ความจริงแล้วข้าไม่ต้องการด้วยซ้ำ ข้าบอกท่านแม่แล้วว่ามันสิ้นเปลือง แล้วอีกอย่างข้าก็ไปซื้อชุดเครื่องประดับมาแล้วด้วย แต่ท่านแม่ก็ไม่ยอม ข้าเลยต้องใส่มาเพื่อไม่ให้ท่านแม่เสียใจ” ท้ายน้ำเสียงบ่งบอกถึงความเสียดาย
เหล่าบรรดาคุณหนูที่เป็นสหายกับเซียวลี่หงต่างพากับชื่นชมเซียวลี่หง เพราะตระกูลเซียวนั้นเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่ร่ำรวย แต่เซียวลี่หงนั้นกลับทำตัวแตกต่าง ชอบแต่งตัวธรรมดา และชอบช่วยเหลือคนยากไร้เป็นประจำ
“มารดาเจ้านั้นดีกับเจ้ามากจริง ๆ " เซียวลี่หงยิ้มรับให้กับคำชม
ขณะที่ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่นั้น คนของตระกูลหลี่ก็เดินผ่านจุดที่กลุ่มเซียวลี่หงอยู่
หลี่ซื่อหมินกับเซียวลี่หงนั้นสบตากันพอดี ตัวหลี่ซื่อหมินเองก็ยิ้มให้เป็นปกติ เซียวลี่หงเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน ทำเอาสหายนางถึงกับตาเบิกกว้างด้วยความสนใจ เพราะพวกนางได้ยินข่าวลือบางอย่างมาจากสาวใช้ของตัวเอง
“นี่หงเอ๋อร์ พวกข้าได้ยินข่าวลือจากสาวใช้ ว่าเจ้ากับคุณชายหลี่สนิมสนมถึงขั้นไปเดินตลาดด้วยกันสองต่อสองรึ”
“ใช่! หงเอ๋อร์เจ้าเล่าให้พวกข้าฟังเดี๋ยวนี้เลย ข้าเองก็อยากรู้เช่นกัน”
เห็นหลายสายตาที่มองมาด้วยความสงสัย ทำเอาเซียวลี่หงอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“พวกเจ้าจะสงสัยเกินไปแล้ว คุณชายหลี่เป็นคู่หมั้นคู่หมายของพี่สาวข้า ข้ากับคุณชายหลี่สนิทกันย่อมไม่ใช่เรื่องผิดปกติ อีกอย่างข้าไม่ได้ไปไหนมาไหนกับคุณชายหลี่เพียงลำพังเสียหน่อย มีสาวใช้ตามข้าไปด้วยไม่ห่าง พวกเจ้าจะเชื่อข่าวลือมากเกินไปแล้ว”
“นั่นสินะ หงเอ๋อร์ของเราเป็นหญิงสาวที่จิตใจงดงามขนาดนี้ จะทำตัวตามที่ข่าวลือว่าได้เช่นไร”
“แต่หงเอ๋อร์ ข้าพูดไปอย่าโกรธข้านะ ข้าว่าเจ้าเหมาะสมกับคุณชายหลี่มากกว่าพี่สาวของเจ้าเสียอีก”
“ฮวาเอ๋อร์” เซียวลี่หงทำเสียงตกใจกับคำพูดสหายของตัวเอง
“ข้าก็เห็นด้วยกับที่ฮวาเอ๋อร์พูดนะ คุณชายหลี่รูปโฉมงดงามไม่ด้อยไปกว่าผู้ใดเลย อีกทั้งยังเป็นขุนนางที่มีอนาคตก้าวหน้ามากที่สุด หากคุณชายหลี่หมั้นหมายกับหงเอ๋อร์ของพวกเราแทน คงดีไม่น้อย”
เซียวลี่หงได้แต่ยิ้มบางให้กับคำพูดของบรรดาสหายตัวเองที่พูดเกี่ยวกับเรื่องตนเอง
“วันนี้ข้าได้ยินมาว่าองค์ฮ่องเต้จะประกาศแต่งตั้งองค์รัชทายาทและแม่ทัพประจำการอย่างเป็นทางการใช่หรือไม่”
“ชินอ๋องได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทและรองแม่ทัพหวงได้เป็นแม่ทัพนี่”
ทุกคนต่างพยักหน้าให้กับคำพูดนั้น เพราะก่อนหน้านั้นมีการพูดไว้ที่ท้องพระโรงแล้ว ว่าหลายฝ่ายลงความเห็นกันว่าให้แต่งตั้งชินอ๋องขึ้นเป็นองค์รัชทายาทรวมทั้งรองแม่ทัพหวงให้เป็นแม่ทัพ หลังจากทั้งคู่พากันยกทัพไปออกรบเป็นเวลาช้านาน จนได้รับชัยชนะกลับมา เป็นความดีความชอบใหญ่หลวงนัก วันนี้จึงเป็นการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการนั่นเอง
“พูดถึงท่านรองแม่ทัพหวง ตอนที่ข้าไปดูวันต้อนรับขบวน ข้าเห็นเขาใส่หน้ากากปกปิดใบหน้า ข้าว่าเขาต้องอัปลักษณ์เป็นแน่” นี่ฮวาเอ่ยขึ้นมา
“นั่นสิ ข้าก็เห็นเช่นกัน ผู้ใดจะปิดหน้าตนเองเล่า หากไม่อัปลักษณ์” คุณหนูท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นเห็นด้วยกับคำพูดของสหายตัวเอง
“ข้าว่า พวกเราว่าอย่าพูดเรื่องนี้กันเลยจะดีกว่า หากผู้ใดมาได้ยินคงไม่ดี อีกอย่างท่านรองแม่ทัพหวงสร้างความดีความชอบมากมาย ท่านรองแม่ทัพอาจจะได้รับบาดเจ็บตอนไปออกรบก็เป็นได้” เซียวลี่หงเอ่ยขัดสหายตัวเอง น้ำเสียงสงสารปนเห็นใจของเซียวลี่หงทำเอาบรรดาคุณหนูทั้งหลายต่างพากันเห็นด้วยแล้วเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น พูดคุยกันได้สักพักทุกคนก็แยกย้ายไปนั่งที่ของตัวเองเพราะงานเลี้ยงใกล้เริ่มแล้ว
“ฮ่องเต้ ฮองเฮาเสด็จ” สิ้นคำประกาศของขันที ก็ปรากฏร่างหงส์คู่มังกรประจำแผ่นดินที่เดินเคียงคู่กันมา โดยมีเหล่าบรรดาองค์ชายและสนมที่เดินตามหลังมาไม่ห่าง ทุกคนพากันลุกขึ้นยืนทำความเคารพทันที
“ขอฮ่องเต้ทรงพระเจริญ อายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
“ขอฮองเฮาทรงพระเจริญ อายุยืนพันปี พันพันปี”
หลังจากทำความเคารพกันเรียบร้อยแล้ว ก็มีบรรดาเหล่านักดนตรีและนางรำออกมาร่ายรำทำการแสดงเพื่อให้งานเลี้ยงสนุกสนาน ทุกคนในงานต่างมองดูการแสดงอย่างเพลินเพลิน หลังจากการแสดงจบลง ขันทีก็ได้อ่านราชโองการต่าง ๆ ที่ฮ่องเต้ประทานให้แก่เหล่าทหารที่ออกศึกในครั้งนี้ รวมทั้งมีการแต่งตั้งองค์รัชทายาทและแม่ทัพอย่างเป็นทางการด้วย
ชินอ๋องได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทและหวงหยางหมิงได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพประจำการเมืองหลวง
หลังจากที่ชินอ๋องได้ขึ้นไปรับราชโองการจากฮ่องเต้แล้ว ท่ามกลางความยินดีของเหล่าประชาชนที่มาร่วมงาน ต่อมาคนที่ได้ขึ้นไปรับพระราชโองการต่อก็คือรองแม่ทัพหวงหยางหมิง
ทันทีที่ขันทีประกาศชื่อรองแม่ทัพหวงหยางหมิงทุกคนที่มาร่วมงานต่างพากันเงียบสงบ เพราะกลิ่นอายกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของรองแม่ทัพหวงหยางหมิน ร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดนิลสีดำ ปกปิดใบหน้าภายใต้หน้ากากสีดำที่ตัดกับผิวขาวปิดถึงครึ่งหน้า เห็นเพียงดวงตาและริมฝีปากเท่านั้น ดวงตากลมโตที่ไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด ทุกคนล้วนพากันหลบสายตาของเขา มีเพียงสตรีหนึ่งนางเท่านั้นที่จ้องตอบกลับเขาอย่างไม่หวั่นเกรง มุมปากของหวงหยางหมิงยกขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก่อนจะกลับมาเป็นเช่นเดิม แล้วก็ค่อย ๆ เดินผ่านสตรีที่จ้องมองเขาไป เพื่อขึ้นไปรับราชโองการจากองค์ฮ่องเต้
เซียวเหม่ยอิงมองดูคนที่กำลังขึ้นไปรับราชโองการกับองค์ฮ่องเต้ด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยพึมพำออกมา
"เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นสายตาของเขานัก"
นางพยายามนึกแต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอสายตาแบบนี้ที่ใด แต่สายตาที่รองแม่ทัพหวงมองมาที่นางมันดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าในอดีตนั้นเคยเจอกันมาแล้ว
เซียวเหม่ยอิงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ กระทั่งฮ่องเต้ได้พระราชทานสิ่งของรางวัลต่าง ๆ ครบถ้วนแล้ว จึงได้ขอตัวกลับวังหลวงพร้อมกับฮองเฮา แต่งานเลี้ยงนั้นยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ มีดนตรีและการร่ายรำอยู่ไม่ขาด เพื่อสร้างความสำราญแก่ผู้คนในงาน แต่ในเมื่อฮ่องเต้และฮองเฮาไม่อยู่แล้ว องค์รัชทายาทและท่านแม่ทัพที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งไปหมาด ๆ ก็ขอตัวกลับเช่นเดียวกัน แม้ว่าขุนนางหลาย ๆ คนจะเสียดายโอกาสที่จะเข้าไปทำความรู้จักแต่ก็ต้องห้ามตัวเองเอาไว้ ใครกันจะกล้ารั้งทั้งสองคนไว้
ในเมื่อตัวเอกของงานไม่อยู่แล้ว ผู้คนก็ทยอยกลับเช่นเดียวกัน แต่ก็มีหลายคนที่ยังอยู่พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“คุณหนูใหญ่อยากกลับจวนเลยหรือไม่เจ้าคะ ประเดี๋ยวบ่าวจะไปเตรียมรถม้าให้” ลี่จินเอ่ยถามคุณหนูใหญ่ของตัวเอง เพราะตอนนี้เซียวเหม่ยอิงนั่งอยู่ที่โต๊ะเพียงลำพัง ต่างจากทุกคนที่จับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“ก็ดีเหมือนกัน ข้าเองก็รู้สึกปวดเมื่อยไปทั่วตัวแล้ว” เซียวเหม่ยอิงตอบกลับสาวใช้ตัวเองด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน เพราะตั้งแต่เข้างานมาเซียวเหม่ยอิงยังไม่ลุกไปไหน นางทำได้เพียงนั่งนิ่ง ๆ ที่โต๊ะเพียงลำพัง ทำเอาคนที่มองมานั้นยิ่งไม่กล้าเข้ามาคุยด้วย ท่าทางที่สง่าและเย็นชาของเซียวเหม่ยอิงนั้น แต่ใครจะไปรู้ว่าความจริงแล้วนางกำลังปวดเมื่อยไปทั้งตัว
ลี่จินไม่รอช้ารีบไปจัดเตรียมรถม้าทันที นางได้แต่สงสารคุณหนูตัวเองจับใจ คู่หมั้นคู่หมายอย่างคุณชายหลี่ ทั้งที่เห็นกันในงานแท้ ๆ กลับไม่เข้ามาทักทายแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองคุณหนูตัวเองอย่างไรบ้าง
จวนท่านแม่ทัพหวงหยางหมิง หลังจากที่หวงหยางหมิงกลับมาถึงจวนของตัวเอง เขาก็ให้คนไปเตรียมของเพื่อที่จะอาบน้ำชำระร่างกายทันที จวนหลังนี้เป็นจวนพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้ ตอนที่เขาได้ขึ้นเป็นแม่ทัพพอได้จวนนี้มา หวงหยางหมิงก็ย้ายออกมาจากจวนหลักทันที เพราะเดิมทีหวงหยางหมิงเองก็ไม่ต้องการที่จะอยู่จวนเดิมอยู่แล้วตั้งแต่ที่มารดาของตัวเองเสียชีวิตไป จวนที่มากไปด้วยเล่ห์อุบายของผู้คนในนั้น หวงหยางหมิงสะอิดสะเอียดเกินทน หากให้เขาทนอยู่ในนั้น หวงหยางหมิงเกรงว่าคงได้ฆ่าคนในจวนนั้นหมดอย่างแน่นอน จวนที่ได้รับพระราชทานนี้ค่อนข้างใหญ่ มีเรือนใหญ่และเรือนเล็กแบ่งเป็นสัดส่วน เรือนที่หวงหยางหมิงพักนั้นมีชื่อว่าเรือนจันทรา เป็นเรือนใหญ่ที่สุดและเขาเองก็ชื่นชอบที่สุดด้วย เพราะด้านหลังเรือนนั้นมีสระน้ำขนาดใหญ่ที่เอาไว้ให้เขาได้อาบน้ำชำระร่างกาย สระน้ำนี้ล้อมรอบไปด้วยต้นไผ่เขียวและดอกไม้นานาพรรณ ทำให้สระนี้งดงามเป็นอย่างมาก ที่เด่นชัดเลยในยามค่ำคืน พระจันทร์จะสาดส่องลงมากระทบเป็นเงากับสระน้ำนี้พอดี ทำให้คนที่พบเห็นนั้นเกิดความสบายใจ หวงหยางหมิงเลยตั้งชื่อเรือนจันทรานี้ด้วยตนเอง ร่างกำยำค่อย ๆ ปลดเสื้อผ
กงกงท่านหนึ่งเดินมาพร้อมกับพานที่มีพระราชโองการมาด้วย กงกงกางราชโองการนั้นออกมาพร้อมกับอ่านด้วยน้ำเสียงดังกังวาน"ตระกูลเซียวรับพระราชโองการ...เซียวฟู่ซินนั้นดำรงตำแหน่งด้วยความชอบธรรม ทั้งยังสั่งสอนบุตรสาวทั้งสองคนให้รู้จักทำความดี มีคุณธรรม เมตตาต่อผู้อื่น มีคุณสมบัติครบถ้วนในสิ่งที่สตรีพึงมี ข้าขอมอบสมรสพระราชทานแก่บุตรสาวของตระกูลเซียวกับแม่ทัพหวงหยางหมิงนับจากนี้อีกสามเดือน จบราชโองการ" หลังจากที่กงกงอ่านพระราชโองการจบแล้ว เซียวฟู่ซินก็ยื่นมือไปรับพระราชโองการด้วยใบหน้าที่แข็งค้างกับเนื้อหาในพระราชโองการที่องค์ฮ่องเต้มอบให้ตน “ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอพระองค์อายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี” หลังจากที่กงกงมอบราชโองการให้แล้วเสร็จก็เดินขึ้นรถม้ากลับวังหลวงทันที เพราะภารกิจที่เขาได้รับมอบหมายมาได้บรรลุเรียบร้อยแล้ว คล้อยหลังกงกงจากไป เซียวลี่หงทรุดลงกับพื้นทันที ดวงตางามเก็บน้ำตาไม่อยู่เมื่อได้ยินราชโองการ นางเอื้อมมือไปจับแขนมารดาตัวเองที่ยืนอยู่ข้างๆ“ท่าน.... ทะ ท่านแม่” น้ำเสียงสั่นปนสะอื้นฟางเหนียงรีบโอบกอดบุตรสาวทันที บุตรสาวที่น่ารักของนางเหตุใดถึงน่าสงสารถึงเพียงนี้“โถ่...ห
“หงเอ๋อร์เจ้าอย่าทำตัวเป็นเด็ก นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำตามอำเภอใจได้! เจ้าเตรียมตัวเตรียมใจออกเรือนในอีกสามเดือนเสีย!” เซียวฟู่ซินเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ เซียวลี่หงถูกตามใจจนเคยตัวถึงได้มีกิริยาเช่นนี้ แต่ครั้งนี้เขาไม่อาจจะตามใจบุตรสาวอย่างที่เคยทำ เพราะหากขัดก็ถือว่าเป็นกบฏแผ่นดิน ถึงแม้ว่าในพระราชโองการไม่ได้ระบุว่าเป็นเซียวเหม่ยอิงหรือเซียวลี่หง แต่ผู้ใดต่างก็รู้ดีว่าคนที่ต้องแต่งงานกับแม่ทัพหวงหยางหมิงคือเซียวลี่หง เพราะเซียวเหม่ยอิงนั้นมีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว“ท่านพ่อ ท่านยอมให้ข้าแต่งกับชายผู้นั้นจริงหรือเจ้าคะ หน้าตาที่แท้จริงของเขาเป็นเช่นไรก็ไม่มีผู้ใดรู้ หากอัปลักษณ์อย่างที่ผู้อื่นบอก ข้า...ข้า” เซียวลี่หงเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา น้ำเสียงของนางตัดพ้ออย่างน่าสงสารเหตุการณ์ที่เหมือนจะสงบลง แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ ๆ เซียวลี่หงดึงปิ่นปักผมที่ปักอยู่มวยผมมาจี้คอตัวเองด้วยท่าทางที่น่าหวาดกลัว“หากท่านพ่อท่านแม่ให้ข้าไปแต่งงานกับแม่ทัพปีศาจอัปลักษณ์นั่น ข้าขอฆ่าตัวตายตอนนี้เสียดีกว่า!”เซียวลี่หงตัดสินใจแล้ว หากให้นางออกเรือนกับชายที่สวมหน้ากากตลอดเวลา ไม่รู้ว่าภายใต้หน้ากากจ
หลังจากเกิดความวุ่นวายมาหลายวัน ความสงบสุขก็กลับมาสู่จวนตระกูลเซียวอีกครั้ง “อิงเอ๋อร์ ขอบใจเจ้ามากที่เจ้าเห็นแก่ตระกูลและน้องของเจ้า หาไม่แล้ว” ทุกครั้งยามหลับตา เซียวเหม่ยอิงยังได้ยินคำพูดในวันนั้นซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ กลับมาถึงเรือนลี่จินเองร้องไห้ไม่หยุด เพราะสงสารคุณหนูตัวเอง เซียวเหม่ยอิงนั้นได้แต่ปลอบสาวใช้ตนพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “เป็นแบบนี้ดีแล้วลี่จิน...” ใช่... แบบนี้น่ะดีแล้ว นางคิดแล้วว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ไม่ต้องมานั่งทุกข์ใจ ครอบครัวไม่ต้องโทษข้อหาเป็นกบฏ อีกอย่างแต่งงานกับแม่ทัพหวงหยางหมิงก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ความโหดเหี้ยมที่ผู้คนเล่าลือก็มาจากสนามรบทั้งนั้น ที่หวงหยางหมิงทำไปทั้งหมดเพราะต้องปกป้องบ้านเมือง เซียวเหม่ยอิงนั่งหลับตาคิดถึงเรื่องราวตอนที่นางเอ่ยปากขอบิดามารดาแต่งงานด้วยตนเอง “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอแต่งงานกับแม่ทัพหวงหยางหมิงเองเจ้าค่ะ” สองสามีภรรยาได้ยินเช่นนั้นก็พากันตกตะลึงและตกใจไปตาม ๆ กัน เซียวเหม่ยอิงจึงได้อธิบายถึงเหตุผลที่นางตัดสินใจในครั้งนี้ เพราะว่าหลี่ซื่อหมินได้มาถอนหมั้นกับนางแล้ว ในเมื่อเ
พรุ่งนี้ก็ครบกำหนดที่ต้องออกเรือน ตอนนี้จวนตระกูลเซียวกำลังยุ่งอยู่กับเตรียมสินเดิมให้กับคุณหนูใหญ่เซียวเหม่ยอิงนั่งมองชุดแต่งงานสีแดงที่วางอยู่บนเตียงนอนด้วยความรู้สึกที่หลากหลายพรุ่งนี้แล้วที่นางจะแต่งงานพรุ่งนี้แล้วที่นางจะต้องได้ออกจากจวนนี้พรุ่งนี้แล้วที่นางจะเป็นฮูหยินเอกเซียวเหม่ยอิงไม่อาจรับรู้ได้ว่าจวนของท่านแม่ทัพจะเป็นเช่นไรเขาจะดีกับนางเหมือนอย่างที่เขาให้สัญญาในวันนั้นได้หรือไม่'ข้าให้สัญญาในฐานะแม่ทัพ ข้าจะไม่มีวันทำร้ายเจ้า และไม่บังคับจิตใจเจ้าเช่นกัน'คำพูดและสายตาจริงจังในวันนั้น เซียวเหม่ยอิงยังจดจำได้ดีร่างงามเดินออกจากเรือนตนเองไปยังเรือนใหญ่ เพื่อไปหามารดาของตนเอง พอเดินเข้าไปก็เห็นมารดาและน้องสาวของตนนั่งอยู่ด้วยกัน นางคารวะมารดาตนเอง ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ“พรุ่งนี้ก็ได้แต่งงานแล้ว ตื่นเต้นหรือไม่” ฟางเหนียงเอ่ยถามบุตรสาวตนเอง“ไม่เท่าใดเจ้าค่ะ” ใบหน้างามยกยิ้มเล็กน้อย ต่างจากเซียวลี่หงที่มีสีหน้าไม่พอใจเท่าใดนัก“ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” พูดจบเซียวลี่หงก็ลุกขึ้นเดินออกไปทันที“เฮ้อ สงสัยนางจะทำใจไม่ได้ที่เจ้าแต่งงานแบบนี้” ฟางเหนียงได้แต่ถอนหายใจกับการกระทำขอ
ร่างกายของทั้งสองคนแนบชิดติดกัน เซียวเหม่ยอิงเองก็ไม่กล้าสู้หน้าสามีตนเองในตอนนี้เพราะมันน่าอายเกินไป นางทำได้เพียงนั่งนิ่ง ๆ ไม่กล้าขยับร่างกาย เพราะตอนนี้นางรับรู้ได้ว่าบั้นท้ายของนางตอนนี้เหมือนกำลังถูไถกับอะไรบางอย่าง แม้เป็นสตรีในห้องหอ และไม่เคยเห็นภายในร่างกายของบุรุษแต่นางก็ไม่ได้ไร้เดียงสาถึงเพียงนั้น ที่จะไม่รู้ว่าสิ่งที่ถูไถกับบั้นท้ายของนางอยู่นั้นคือสิ่งใด เพราะตอนแต่งงานแม่สื่อก็ได้มอบหนังสือที่เกี่ยวกับหน้าที่ภรรยามาให้นางหนึ่งเล่ม เป็นหนังสือว่าต้องปรนนิบัติสามีอย่างไรและในนั้นเองก็มีภาพวาดให้ดูเช่นกัน หวงหยางหมิงมองดูใบหูของเซียวเหม่ยอิงที่ตอนนี้กำลังแดงระเรื่อ มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ เมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้านิ่งไป เขาก็ค่อย ๆ คลายมือออกจากเอวของนาง แล้วเปลี่ยนเป็นเอาแขนตนนั้นพาดกับขอบสระแทน ทำให้เซียวเหม่ยอิงลดความเกร็งลงไปได้บ้าง เพราะความอุ่นของน้ำหรือความอุ่นของแผ่นอกที่อยู่หลังของนาง ทำให้เซียวเหม่ยอิงรู้สึกผ่อนคลายจนเอาหัวตัวเองพิงกับอกนั้นคล้ายกับว่าเป็นที่พักพิงอย่างไรอย่างนั้น แต่คนที่ตัวใหญ่กว่าตอนนั้นกำลังอดกลั้นอารมณ์บางอย่างไว้เพราะ
ยามใกล้รุ่งของวันใหม่เซียวเหม่ยอิงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นจากการหลับใหล แม้ว่าเมื่อคืนนางนอนเกือบใกล้ฟ้าสางก็ตาม อาจเป็นเพราะความเคยชินตอนอยู่ที่จวนเดิมทำให้ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเคยชิน ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาก็พบกับใบหน้าของชายผู้หนึ่งที่นอนหันหน้ามาทางนาง ลมหายใจที่สม่ำเสมอหมายถึงกำลังหลับใหลอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังกอดนางไว้ในอ้อมแขนไม่ยอมปล่อย เพราะตอนนี้เป็นเวลาใกล้เช้าแล้ว บ่าวรับใช้ในจวนจึงเริ่มพากันจุดคบเพลิงรอบเรือน แสงคบเพลิงที่ส่องสว่างภายนอกเรือนนั้นทำให้มีแสงแทรกเข้ามาภายใน จึงทำให้เซียวเหม่ยอิงได้เห็นใบหน้าที่ไร้หน้ากากปกปิดอีกครั้ง ขนตาที่เป็นแพราวกับสตรี จมูกโด่งสันเข้ากับปากหนา แต่ใบหน้าของนางต้องเห่อร้อนเมื่อเห็นร่องรอยตามร่างกายของสามีนาง คิดถึงค่ำคืนที่ผ่านมา ใบหน้านางยิ่งเห่อร้อนจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเพราะความเขินอาย ทุกอย่างเป็นเพราะหวงหยางหมิงปล่อยให้นางทำตามอำเภอใจ ถึงได้เกิดร่องรอยพวกนี้“ฮูหยินใช้สายตาหลอกกินเต้าหู้กับข้าตั้งแต่รุ่งสางเลยรึ?” น้ำเสียงงัวเงียเพราะเพิ่งลืมตาตื่น ความจริงหวงหยางหมิงรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนที่คนในอ้อมกอดขยับร่างกายแล้ว เพราะสัญช
ยามเช้าที่เซียวเหม่ยอิงลืมตาตื่น นางรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไหร่นักเมื่อเห็นว่ามีบุรุษนอนอยู่ข้างกาย วันแรกที่อ้อมแขนเคยกอดนางไว้อย่างไร วันนี้ก็ยังคงกอดอยู่แบบนั้น แม้ไม่คุ้นชินแต่ในใจก็รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด นางค่อย ๆ ขยับร่างกายออกจากอ้อมแขน เพื่อไม่ให้รบกวนคนข้างกายที่ยังนอนหลับอย่างสบายใจ วันนี้เป็นวันที่นางและสามีต้องกลับบ้านเดิมเพื่อไปยกน้ำชาให้กับบิดามารดาทำให้นางต้องตื่นมาแต่งตัวเสียก่อน นางพยายามประคับประคองร่างกายตนเองให้ลุกจากเตียงนอน ขณะที่กำลังจะเดินออกไปตามลี่จินให้มาช่วยนางอาบน้ำแต่งตัวนั้น ร่างของนางกลับถูกรวบขึ้นจากพื้นเสียก่อน“ว้าย! ท่านพี่ ท่านทำอะไรเจ้าคะ”เซียวเหม่ยอิงตกใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าสามีของนางนั้นตื่นตั้งแต่ตอนไหน ซ้ำตอนนี้ยังรวบตัวนางขึ้นมาอีก จนนางต้องเอามือคล้องคอสามีตัวเองไว้เพราะทั้งตกใจและกลัวตก“จะทำอะไรงั้นรึ? ข้าก็จะอาบน้ำให้อิงเอ๋อร์อย่างไรเล่า” มุมปากหวงหยางหมิงยกขึ้นเล็กน้อย“ไม่...ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าให้ลี่จินอาบให้...”เซียวเหม่ยอิงยังพูดไม่จบ ก็โดนสามีที่เอาแต่ใจนั้นพูดแทรกขึ้นก่อน“ให้ผู้อื่นอาบให้ได้อย่างไร ข้าทำให้เจ้า
หวงหยางหมิงเดินทางมาถึงจวน ก็รีบไปยังศาลากลางสระที่เซียวเหม่ยอิงชอบไปนั่งเป็นประจำ พอไปถึงก็พบว่าฮูหยินของตัวเองหลับทั้ง ๆ ที่ยังนั่ง มือข้างหนึ่งเท้าใบหน้าตนเองไว้ โดยมีลี่จินยืนพัดให้ใกล้ ๆ เพื่อให้คุณหนูตัวเองนั้นหลับพักผ่อนสบายและไม่ร้อนเกินไป ลี่จินเห็นนายของจวนเดินเข้ามาใกล้ก็รีบก้มหัวและกำลังจะเอื้อมมือไปปลุกนายตัวเอง ทว่าหวงหยางหมิงยกมือห้ามเอาไว้ พร้อมกับยื่นมือไปรับพัดจากนางและสะบัดให้ลี่จินไปที่อื่นแทน คนโดนไล่นั้นยื่นพัดให้ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง พร้อมกับรีบออกจากตรงที่นายของตนอยู่อย่างรวดเร็ว“ข้านึกว่าจะต้องไปตามเจ้าออกมาเหมือนอย่างเคยเสียแล้ว” น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายราวกับว่าตนต้องทำสิ่งที่เคยทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลี่จินมองดูคนที่ยืนกอดอกที่ทำเสียงเหนื่อยใจกับนางด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย นางนั้นคร้านจะใส่ใจ เลยแสร้งเดินหนีไปทางอื่น เพราะไม่อยากเดินผ่านคนที่ยืนกอดอกด้วยท่าทางที่น่าหมั่นไส้ ทว่าคนที่ถูกเมินนั้นถึงกับไปต่อไม่ถูก จางชิงรีบเดินไปขวางทางคนที่เดินหนีเขาทันที“เจ้าจะไปไหน?”ลี่จินมองคนตรงหน้าด้วยใบหน้าที่งุนงง นางไม่เข้าใจว่าจางชิงนั้นต้องการอะไรจากนาง ทั้ง ๆ ที
“มานี่” หวงหยางหมิงเอ่ยเรียกฮูหยินของตนเองหลังจากที่กินเกี๊ยวน้ำหมดแล้ว“มีอะไรหรือเจ้าคะ”เซียวเหม่ยอิงงุนงงเล็กน้อย นางกับเขานั่งห่างกันเพียงโต๊ะกั้นกลางเท่านั้น ใช่ว่าจะนั่งห่างไกลกันถึงขนาดจะคุยกันไม่รู้เรื่อง“มานี่ มาใกล้ ๆ” หวงหยางหมิงยังคงย้ำคำเดิมทำให้เซียวเหม่ยอิงต้องลุกเดินไปใกล้ ๆ ตามที่เขาต้องการ พอไปใกล้ตัวแล้วกลับเป็นหวงหยางหมิงดึงตัวให้เซียวเหม่ยอิงนั่งลงบนตักแกร่งของเขา แขนข้างหนึ่งของหวงหยางหมิงกอดเอวบางเอาไว้เพื่อไม่ให้คนบนตักร่วงหล่น ส่วนอีกข้างเอื้อมไปหยิบกล่องที่จางชิงนำมาให้ในตอนแรก เขาเปิดให้เซียวเหม่ยอิงเห็นว่าของที่อยู่ในนั้นคือสิ่งใด“นี่มัน...?” สิ่งที่อยู่ในกล่องคือกำไลวงหนึ่งดูประณีตและงดงาม“คราก่อน ข้าตรวจสอบดูกำไลเดิมของอิงเอ๋อร์เห็นว่าพิษที่อยู่ในนั้นเหมือนจะจางหายไปนานแล้ว ข้าเลยสั่งให้คนของข้าทำขึ้นมาให้ใหม่และใช้งานได้ดีกว่าเดิม กดปุ่มตรงนี้แล้วหมุนไปทางซ้ายจะเป็นเข็มพิษ หากหมุนทางขวาจะเป็นเข็มที่ทำให้ตัวชาประมาณครึ่งชั่วยาม” แววตาที่ดูตื่นเต้นราวกับได้ของเล่นชิ้นใหม่ เพราะการที่จะทำอาวุธลับขึ้นมาแบบนี้ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็สามารถทำได้ ต่อให้มีเ
เซียวเหม่ยอิงรับรู้ได้ว่าสามีของนางอารมณ์ไม่ดีเท่าใดนักตั้งแต่ที่กลับมาจากบ้านเดิมของนาง แม้ว่าหวงหยางหมิงไม่แสดงอารมณ์นั้นให้นางเห็นแต่ก็พอจะรับรู้ได้ นางเงยหน้ามองดูคนที่กำลังโอบกอดนาง แต่ใบหน้ากลับเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง“ท่านพี่” หวงหยางหมิงได้ยินน้ำเสียงอ่อนหวานเรียกตนก็ดึงสติตนเองกลับมา เขามองดวงหน้างามที่กำลังสบตากับเขา พลันรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ จนอดใจไม่ไหวที่จะโน้มตัวไปจูบริมฝีปากที่เอ่ยเรียกเขาให้ออกจากภวังค์ คนที่โดนจูบแบบไม่ทันตั้งตัวนั้นได้แต่ทำใจให้ชิน เพราะสามีของนางชอบกินเต้าหู้ไม่เว้นวันเลยจริง ๆ หลังจากที่หวงหยางหมิงจูบจนสมใจอยากแล้ว ก็ถอนริมฝีปากออกอย่างช้า ๆ มองใบหน้าภรรยาของตนก็เห็นว่ามีดวงหน้าที่แดงระเรื่อ มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ ภรรยาตัวน้อยทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมากจริง ๆ นิ้วยาวลูบไล้แผ่นหลังขาวเนียนอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเล่าเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับตนให้คนเคียงข้างได้ฟัง“เพราะท่านพ่อเป็นขุนนางขั้นสูง ที่จวนข้าจึงมีฮูหยินเอก ฮูหยินรอง อนุและสาวใช้อุ่นเตียงเต็มจวน มีทั้งสตรีที่ได้มาจากราชโองการจากฮ่องเต้อย่างท่านแม่ข้าและความพึงพอใจของตัวท่านพ่อเ
ยามเช้าที่เซียวเหม่ยอิงลืมตาตื่น นางรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไหร่นักเมื่อเห็นว่ามีบุรุษนอนอยู่ข้างกาย วันแรกที่อ้อมแขนเคยกอดนางไว้อย่างไร วันนี้ก็ยังคงกอดอยู่แบบนั้น แม้ไม่คุ้นชินแต่ในใจก็รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด นางค่อย ๆ ขยับร่างกายออกจากอ้อมแขน เพื่อไม่ให้รบกวนคนข้างกายที่ยังนอนหลับอย่างสบายใจ วันนี้เป็นวันที่นางและสามีต้องกลับบ้านเดิมเพื่อไปยกน้ำชาให้กับบิดามารดาทำให้นางต้องตื่นมาแต่งตัวเสียก่อน นางพยายามประคับประคองร่างกายตนเองให้ลุกจากเตียงนอน ขณะที่กำลังจะเดินออกไปตามลี่จินให้มาช่วยนางอาบน้ำแต่งตัวนั้น ร่างของนางกลับถูกรวบขึ้นจากพื้นเสียก่อน“ว้าย! ท่านพี่ ท่านทำอะไรเจ้าคะ”เซียวเหม่ยอิงตกใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าสามีของนางนั้นตื่นตั้งแต่ตอนไหน ซ้ำตอนนี้ยังรวบตัวนางขึ้นมาอีก จนนางต้องเอามือคล้องคอสามีตัวเองไว้เพราะทั้งตกใจและกลัวตก“จะทำอะไรงั้นรึ? ข้าก็จะอาบน้ำให้อิงเอ๋อร์อย่างไรเล่า” มุมปากหวงหยางหมิงยกขึ้นเล็กน้อย“ไม่...ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าให้ลี่จินอาบให้...”เซียวเหม่ยอิงยังพูดไม่จบ ก็โดนสามีที่เอาแต่ใจนั้นพูดแทรกขึ้นก่อน“ให้ผู้อื่นอาบให้ได้อย่างไร ข้าทำให้เจ้า
ยามใกล้รุ่งของวันใหม่เซียวเหม่ยอิงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นจากการหลับใหล แม้ว่าเมื่อคืนนางนอนเกือบใกล้ฟ้าสางก็ตาม อาจเป็นเพราะความเคยชินตอนอยู่ที่จวนเดิมทำให้ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเคยชิน ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาก็พบกับใบหน้าของชายผู้หนึ่งที่นอนหันหน้ามาทางนาง ลมหายใจที่สม่ำเสมอหมายถึงกำลังหลับใหลอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังกอดนางไว้ในอ้อมแขนไม่ยอมปล่อย เพราะตอนนี้เป็นเวลาใกล้เช้าแล้ว บ่าวรับใช้ในจวนจึงเริ่มพากันจุดคบเพลิงรอบเรือน แสงคบเพลิงที่ส่องสว่างภายนอกเรือนนั้นทำให้มีแสงแทรกเข้ามาภายใน จึงทำให้เซียวเหม่ยอิงได้เห็นใบหน้าที่ไร้หน้ากากปกปิดอีกครั้ง ขนตาที่เป็นแพราวกับสตรี จมูกโด่งสันเข้ากับปากหนา แต่ใบหน้าของนางต้องเห่อร้อนเมื่อเห็นร่องรอยตามร่างกายของสามีนาง คิดถึงค่ำคืนที่ผ่านมา ใบหน้านางยิ่งเห่อร้อนจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเพราะความเขินอาย ทุกอย่างเป็นเพราะหวงหยางหมิงปล่อยให้นางทำตามอำเภอใจ ถึงได้เกิดร่องรอยพวกนี้“ฮูหยินใช้สายตาหลอกกินเต้าหู้กับข้าตั้งแต่รุ่งสางเลยรึ?” น้ำเสียงงัวเงียเพราะเพิ่งลืมตาตื่น ความจริงหวงหยางหมิงรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนที่คนในอ้อมกอดขยับร่างกายแล้ว เพราะสัญช
ร่างกายของทั้งสองคนแนบชิดติดกัน เซียวเหม่ยอิงเองก็ไม่กล้าสู้หน้าสามีตนเองในตอนนี้เพราะมันน่าอายเกินไป นางทำได้เพียงนั่งนิ่ง ๆ ไม่กล้าขยับร่างกาย เพราะตอนนี้นางรับรู้ได้ว่าบั้นท้ายของนางตอนนี้เหมือนกำลังถูไถกับอะไรบางอย่าง แม้เป็นสตรีในห้องหอ และไม่เคยเห็นภายในร่างกายของบุรุษแต่นางก็ไม่ได้ไร้เดียงสาถึงเพียงนั้น ที่จะไม่รู้ว่าสิ่งที่ถูไถกับบั้นท้ายของนางอยู่นั้นคือสิ่งใด เพราะตอนแต่งงานแม่สื่อก็ได้มอบหนังสือที่เกี่ยวกับหน้าที่ภรรยามาให้นางหนึ่งเล่ม เป็นหนังสือว่าต้องปรนนิบัติสามีอย่างไรและในนั้นเองก็มีภาพวาดให้ดูเช่นกัน หวงหยางหมิงมองดูใบหูของเซียวเหม่ยอิงที่ตอนนี้กำลังแดงระเรื่อ มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ เมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้านิ่งไป เขาก็ค่อย ๆ คลายมือออกจากเอวของนาง แล้วเปลี่ยนเป็นเอาแขนตนนั้นพาดกับขอบสระแทน ทำให้เซียวเหม่ยอิงลดความเกร็งลงไปได้บ้าง เพราะความอุ่นของน้ำหรือความอุ่นของแผ่นอกที่อยู่หลังของนาง ทำให้เซียวเหม่ยอิงรู้สึกผ่อนคลายจนเอาหัวตัวเองพิงกับอกนั้นคล้ายกับว่าเป็นที่พักพิงอย่างไรอย่างนั้น แต่คนที่ตัวใหญ่กว่าตอนนั้นกำลังอดกลั้นอารมณ์บางอย่างไว้เพราะ
พรุ่งนี้ก็ครบกำหนดที่ต้องออกเรือน ตอนนี้จวนตระกูลเซียวกำลังยุ่งอยู่กับเตรียมสินเดิมให้กับคุณหนูใหญ่เซียวเหม่ยอิงนั่งมองชุดแต่งงานสีแดงที่วางอยู่บนเตียงนอนด้วยความรู้สึกที่หลากหลายพรุ่งนี้แล้วที่นางจะแต่งงานพรุ่งนี้แล้วที่นางจะต้องได้ออกจากจวนนี้พรุ่งนี้แล้วที่นางจะเป็นฮูหยินเอกเซียวเหม่ยอิงไม่อาจรับรู้ได้ว่าจวนของท่านแม่ทัพจะเป็นเช่นไรเขาจะดีกับนางเหมือนอย่างที่เขาให้สัญญาในวันนั้นได้หรือไม่'ข้าให้สัญญาในฐานะแม่ทัพ ข้าจะไม่มีวันทำร้ายเจ้า และไม่บังคับจิตใจเจ้าเช่นกัน'คำพูดและสายตาจริงจังในวันนั้น เซียวเหม่ยอิงยังจดจำได้ดีร่างงามเดินออกจากเรือนตนเองไปยังเรือนใหญ่ เพื่อไปหามารดาของตนเอง พอเดินเข้าไปก็เห็นมารดาและน้องสาวของตนนั่งอยู่ด้วยกัน นางคารวะมารดาตนเอง ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ“พรุ่งนี้ก็ได้แต่งงานแล้ว ตื่นเต้นหรือไม่” ฟางเหนียงเอ่ยถามบุตรสาวตนเอง“ไม่เท่าใดเจ้าค่ะ” ใบหน้างามยกยิ้มเล็กน้อย ต่างจากเซียวลี่หงที่มีสีหน้าไม่พอใจเท่าใดนัก“ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” พูดจบเซียวลี่หงก็ลุกขึ้นเดินออกไปทันที“เฮ้อ สงสัยนางจะทำใจไม่ได้ที่เจ้าแต่งงานแบบนี้” ฟางเหนียงได้แต่ถอนหายใจกับการกระทำขอ
หลังจากเกิดความวุ่นวายมาหลายวัน ความสงบสุขก็กลับมาสู่จวนตระกูลเซียวอีกครั้ง “อิงเอ๋อร์ ขอบใจเจ้ามากที่เจ้าเห็นแก่ตระกูลและน้องของเจ้า หาไม่แล้ว” ทุกครั้งยามหลับตา เซียวเหม่ยอิงยังได้ยินคำพูดในวันนั้นซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ กลับมาถึงเรือนลี่จินเองร้องไห้ไม่หยุด เพราะสงสารคุณหนูตัวเอง เซียวเหม่ยอิงนั้นได้แต่ปลอบสาวใช้ตนพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “เป็นแบบนี้ดีแล้วลี่จิน...” ใช่... แบบนี้น่ะดีแล้ว นางคิดแล้วว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ไม่ต้องมานั่งทุกข์ใจ ครอบครัวไม่ต้องโทษข้อหาเป็นกบฏ อีกอย่างแต่งงานกับแม่ทัพหวงหยางหมิงก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ความโหดเหี้ยมที่ผู้คนเล่าลือก็มาจากสนามรบทั้งนั้น ที่หวงหยางหมิงทำไปทั้งหมดเพราะต้องปกป้องบ้านเมือง เซียวเหม่ยอิงนั่งหลับตาคิดถึงเรื่องราวตอนที่นางเอ่ยปากขอบิดามารดาแต่งงานด้วยตนเอง “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอแต่งงานกับแม่ทัพหวงหยางหมิงเองเจ้าค่ะ” สองสามีภรรยาได้ยินเช่นนั้นก็พากันตกตะลึงและตกใจไปตาม ๆ กัน เซียวเหม่ยอิงจึงได้อธิบายถึงเหตุผลที่นางตัดสินใจในครั้งนี้ เพราะว่าหลี่ซื่อหมินได้มาถอนหมั้นกับนางแล้ว ในเมื่อเ
“หงเอ๋อร์เจ้าอย่าทำตัวเป็นเด็ก นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำตามอำเภอใจได้! เจ้าเตรียมตัวเตรียมใจออกเรือนในอีกสามเดือนเสีย!” เซียวฟู่ซินเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ เซียวลี่หงถูกตามใจจนเคยตัวถึงได้มีกิริยาเช่นนี้ แต่ครั้งนี้เขาไม่อาจจะตามใจบุตรสาวอย่างที่เคยทำ เพราะหากขัดก็ถือว่าเป็นกบฏแผ่นดิน ถึงแม้ว่าในพระราชโองการไม่ได้ระบุว่าเป็นเซียวเหม่ยอิงหรือเซียวลี่หง แต่ผู้ใดต่างก็รู้ดีว่าคนที่ต้องแต่งงานกับแม่ทัพหวงหยางหมิงคือเซียวลี่หง เพราะเซียวเหม่ยอิงนั้นมีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว“ท่านพ่อ ท่านยอมให้ข้าแต่งกับชายผู้นั้นจริงหรือเจ้าคะ หน้าตาที่แท้จริงของเขาเป็นเช่นไรก็ไม่มีผู้ใดรู้ หากอัปลักษณ์อย่างที่ผู้อื่นบอก ข้า...ข้า” เซียวลี่หงเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา น้ำเสียงของนางตัดพ้ออย่างน่าสงสารเหตุการณ์ที่เหมือนจะสงบลง แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ ๆ เซียวลี่หงดึงปิ่นปักผมที่ปักอยู่มวยผมมาจี้คอตัวเองด้วยท่าทางที่น่าหวาดกลัว“หากท่านพ่อท่านแม่ให้ข้าไปแต่งงานกับแม่ทัพปีศาจอัปลักษณ์นั่น ข้าขอฆ่าตัวตายตอนนี้เสียดีกว่า!”เซียวลี่หงตัดสินใจแล้ว หากให้นางออกเรือนกับชายที่สวมหน้ากากตลอดเวลา ไม่รู้ว่าภายใต้หน้ากากจ