ยามเช้าที่เซียวเหม่ยอิงลืมตาตื่น นางรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไหร่นักเมื่อเห็นว่ามีบุรุษนอนอยู่ข้างกาย วันแรกที่อ้อมแขนเคยกอดนางไว้อย่างไร วันนี้ก็ยังคงกอดอยู่แบบนั้น แม้ไม่คุ้นชินแต่ในใจก็รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด นางค่อย ๆ ขยับร่างกายออกจากอ้อมแขน เพื่อไม่ให้รบกวนคนข้างกายที่ยังนอนหลับอย่างสบายใจ วันนี้เป็นวันที่นางและสามีต้องกลับบ้านเดิมเพื่อไปยกน้ำชาให้กับบิดามารดาทำให้นางต้องตื่นมาแต่งตัวเสียก่อน นางพยายามประคับประคองร่างกายตนเองให้ลุกจากเตียงนอน ขณะที่กำลังจะเดินออกไปตามลี่จินให้มาช่วยนางอาบน้ำแต่งตัวนั้น ร่างของนางกลับถูกรวบขึ้นจากพื้นเสียก่อน“ว้าย! ท่านพี่ ท่านทำอะไรเจ้าคะ”เซียวเหม่ยอิงตกใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าสามีของนางนั้นตื่นตั้งแต่ตอนไหน ซ้ำตอนนี้ยังรวบตัวนางขึ้นมาอีก จนนางต้องเอามือคล้องคอสามีตัวเองไว้เพราะทั้งตกใจและกลัวตก“จะทำอะไรงั้นรึ? ข้าก็จะอาบน้ำให้อิงเอ๋อร์อย่างไรเล่า” มุมปากหวงหยางหมิงยกขึ้นเล็กน้อย“ไม่...ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าให้ลี่จินอาบให้...”เซียวเหม่ยอิงยังพูดไม่จบ ก็โดนสามีที่เอาแต่ใจนั้นพูดแทรกขึ้นก่อน“ให้ผู้อื่นอาบให้ได้อย่างไร ข้าทำให้เจ้า
เซียวเหม่ยอิงรับรู้ได้ว่าสามีของนางอารมณ์ไม่ดีเท่าใดนักตั้งแต่ที่กลับมาจากบ้านเดิมของนาง แม้ว่าหวงหยางหมิงไม่แสดงอารมณ์นั้นให้นางเห็นแต่ก็พอจะรับรู้ได้ นางเงยหน้ามองดูคนที่กำลังโอบกอดนาง แต่ใบหน้ากลับเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง“ท่านพี่” หวงหยางหมิงได้ยินน้ำเสียงอ่อนหวานเรียกตนก็ดึงสติตนเองกลับมา เขามองดวงหน้างามที่กำลังสบตากับเขา พลันรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ จนอดใจไม่ไหวที่จะโน้มตัวไปจูบริมฝีปากที่เอ่ยเรียกเขาให้ออกจากภวังค์ คนที่โดนจูบแบบไม่ทันตั้งตัวนั้นได้แต่ทำใจให้ชิน เพราะสามีของนางชอบกินเต้าหู้ไม่เว้นวันเลยจริง ๆ หลังจากที่หวงหยางหมิงจูบจนสมใจอยากแล้ว ก็ถอนริมฝีปากออกอย่างช้า ๆ มองใบหน้าภรรยาของตนก็เห็นว่ามีดวงหน้าที่แดงระเรื่อ มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ ภรรยาตัวน้อยทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมากจริง ๆ นิ้วยาวลูบไล้แผ่นหลังขาวเนียนอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเล่าเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับตนให้คนเคียงข้างได้ฟัง“เพราะท่านพ่อเป็นขุนนางขั้นสูง ที่จวนข้าจึงมีฮูหยินเอก ฮูหยินรอง อนุและสาวใช้อุ่นเตียงเต็มจวน มีทั้งสตรีที่ได้มาจากราชโองการจากฮ่องเต้อย่างท่านแม่ข้าและความพึงพอใจของตัวท่านพ่อเ
“มานี่” หวงหยางหมิงเอ่ยเรียกฮูหยินของตนเองหลังจากที่กินเกี๊ยวน้ำหมดแล้ว“มีอะไรหรือเจ้าคะ”เซียวเหม่ยอิงงุนงงเล็กน้อย นางกับเขานั่งห่างกันเพียงโต๊ะกั้นกลางเท่านั้น ใช่ว่าจะนั่งห่างไกลกันถึงขนาดจะคุยกันไม่รู้เรื่อง“มานี่ มาใกล้ ๆ” หวงหยางหมิงยังคงย้ำคำเดิมทำให้เซียวเหม่ยอิงต้องลุกเดินไปใกล้ ๆ ตามที่เขาต้องการ พอไปใกล้ตัวแล้วกลับเป็นหวงหยางหมิงดึงตัวให้เซียวเหม่ยอิงนั่งลงบนตักแกร่งของเขา แขนข้างหนึ่งของหวงหยางหมิงกอดเอวบางเอาไว้เพื่อไม่ให้คนบนตักร่วงหล่น ส่วนอีกข้างเอื้อมไปหยิบกล่องที่จางชิงนำมาให้ในตอนแรก เขาเปิดให้เซียวเหม่ยอิงเห็นว่าของที่อยู่ในนั้นคือสิ่งใด“นี่มัน...?” สิ่งที่อยู่ในกล่องคือกำไลวงหนึ่งดูประณีตและงดงาม“คราก่อน ข้าตรวจสอบดูกำไลเดิมของอิงเอ๋อร์เห็นว่าพิษที่อยู่ในนั้นเหมือนจะจางหายไปนานแล้ว ข้าเลยสั่งให้คนของข้าทำขึ้นมาให้ใหม่และใช้งานได้ดีกว่าเดิม กดปุ่มตรงนี้แล้วหมุนไปทางซ้ายจะเป็นเข็มพิษ หากหมุนทางขวาจะเป็นเข็มที่ทำให้ตัวชาประมาณครึ่งชั่วยาม” แววตาที่ดูตื่นเต้นราวกับได้ของเล่นชิ้นใหม่ เพราะการที่จะทำอาวุธลับขึ้นมาแบบนี้ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็สามารถทำได้ ต่อให้มีเ
หวงหยางหมิงเดินทางมาถึงจวน ก็รีบไปยังศาลากลางสระที่เซียวเหม่ยอิงชอบไปนั่งเป็นประจำ พอไปถึงก็พบว่าฮูหยินของตัวเองหลับทั้ง ๆ ที่ยังนั่ง มือข้างหนึ่งเท้าใบหน้าตนเองไว้ โดยมีลี่จินยืนพัดให้ใกล้ ๆ เพื่อให้คุณหนูตัวเองนั้นหลับพักผ่อนสบายและไม่ร้อนเกินไป ลี่จินเห็นนายของจวนเดินเข้ามาใกล้ก็รีบก้มหัวและกำลังจะเอื้อมมือไปปลุกนายตัวเอง ทว่าหวงหยางหมิงยกมือห้ามเอาไว้ พร้อมกับยื่นมือไปรับพัดจากนางและสะบัดให้ลี่จินไปที่อื่นแทน คนโดนไล่นั้นยื่นพัดให้ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง พร้อมกับรีบออกจากตรงที่นายของตนอยู่อย่างรวดเร็ว“ข้านึกว่าจะต้องไปตามเจ้าออกมาเหมือนอย่างเคยเสียแล้ว” น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายราวกับว่าตนต้องทำสิ่งที่เคยทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลี่จินมองดูคนที่ยืนกอดอกที่ทำเสียงเหนื่อยใจกับนางด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย นางนั้นคร้านจะใส่ใจ เลยแสร้งเดินหนีไปทางอื่น เพราะไม่อยากเดินผ่านคนที่ยืนกอดอกด้วยท่าทางที่น่าหมั่นไส้ ทว่าคนที่ถูกเมินนั้นถึงกับไปต่อไม่ถูก จางชิงรีบเดินไปขวางทางคนที่เดินหนีเขาทันที“เจ้าจะไปไหน?”ลี่จินมองคนตรงหน้าด้วยใบหน้าที่งุนงง นางไม่เข้าใจว่าจางชิงนั้นต้องการอะไรจากนาง ทั้ง ๆ ที
กองทัพขนาดใหญ่เคลื่อนพลกลับมายังเมืองหลวง หลังจากที่พวกเขาได้ออกรบปกป้องบ้านเมืองเป็นเวลาช้านาน หลังจากที่ถูกแคว้นจ้าวรุกรานทำศึกประชิดแคว้น ทำให้ชินอ๋องอย่าง ‘เหลียงซินเผิง’ ทูลขออนุญาตฮ่องเต้ยกกองทัพไปทำศึกด้วยตนเองโดยมีสหายคู่ใจอย่าง ‘หวงหยางหมิง’ ที่มีตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพประจำกองทัพออกไปรบด้วย ศึกนี้กินเวลายาวนานถึงหกปีเพราะนอกจากจะต้องป้องกันชายแดนของตัวเองแล้ว ชัยชนะครั้งนี้ยังทำให้แคว้นจ้าวและชนเผ่าตี๋ที่ยกทัพมาทำศึกกับแคว้นฉินพร้อมกันนั้นยอมศิโรราบแต่โดยดี แคว้นฉินจึงมีชื่อเสียงในการรบและกองทัพที่แข็งแกร่งสะท้านไปทั่วทุกสารทิศ แคว้นหรือชนเผ่าต่าง ๆ ที่ทีแรกตั้งใจจะทำศึกกับแคว้นฉิน ต้องพากันยกทัพกลับถิ่นฐานตัวเองโดยเร็วหลังจากที่รับรู้ว่าแคว้นจ้าวและชนเผ่าตี๋พ่ายแพ้ให้กับแคว้นฉินอย่างย่อยยับ อีกทั้งข่าวลือเรื่องความโหดเหี้ยมของแม่ทัพของชินอ๋อง แต่ผู้ที่มีชื่อเสียงที่โหดเหี้ยมกว่าจนศัตรูขนานนามว่า ‘ปีศาจหน้ากากเหล็ก’ รองแม่ทัพหวงหยางหมิง บุรุษที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ คอยระวังความปลอดภัยให้ชินอ๋องและฆ่าฟันศัตรูไม่เลือกหน้า ไม่มีคำว่าปรานีให้กับเหล่าศัตร
เป็นประจำทุกปีที่เซียวเหม่ยอิงจะขึ้นวัดไปจำศีลภาวนาเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเพื่อระลึกถึงฮูหยินผู้เฒ่าประจำตระกูลเซียวที่ได้เสียไป สมัยที่ฮูหยินผู้เฒ่ายังมีชีวิต เซียวเหม่ยอิงจะสนิทสนมกับท่านย่าของตัวเองเป็นอย่างมาก จนบ่อยครั้งที่เซียวลี่หงออกอาการแง่งอนท่านย่าของตัวเองเพราะคิดว่าท่านย่านั้นลำเอียง รักพี่สาวมากกว่าตน เป็นเหตุให้มารดาต้องคอยเอาอกเอาใจเพื่อไม่ให้บุตรสาวคนเล็กนั้นน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะสมัยที่เซียวลี่หงยังเป็นเด็กเล็กนั้น นางมีร่างกายอ่อนแอและล้มป่วยบ่อย เซียวฟู่จินและฟางเหนียงจึงเอาใจใส่เซียวลี่หงเป็นพิเศษ ทำให้เซียวเย่หรือฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนดูแลเซียวเหม่ยอิงมาโดยตลอด เซียวเหม่ยอิงเลยสนิทกับฮูหยินผู้เฒ่ามากกว่าบิดามารดาของตัวเอง พอเซียวเหม่ยอิงไปถึงวัดแล้ว ก็สวดมนต์ภาวนาและทำความสะอาดตามปกติอย่างที่เคยทำ จนถึงยามดึกเป็นเวลาเข้านอน เซียวเหม่ยอิงมองดูพระจันทร์ที่กำลังส่องแสงยามค่ำคืน ใบหน้าเรียวงาม จมูกงามเข้ากับใบหน้า ผมดำยาวสลวยที่ปล่อยให้ยาวเต็มแผ่นหลังเพื่อให้ลี่จินหวีผมได้อย่างสะดวก ขณะที่กำลังมองดูพระจันทร์อย่างเหม่อลอยอยู่นั้น กลับได้ยินเสียงบางอย่างดังไม่ไ
ณ พระราชวัง รถม้าตระกูลเซียวสองคันที่ตามกันมาติด ๆ เซียวฟู่ซินกับฟางเหนียงนั่งรถม้าไปด้วยกัน ส่วนอีกคันก็จะเป็นเซียวเหม่ยอิงและเซียวลี่หงนั่งคู่กันมา ทันทีที่รถม้าทั้งสองคันจอด สายตาหลายคู่ก็จับจ้องมองดูบุคคลที่กำลังจะก้าวลงมาจากรถม้าของตระกูลเซียว คันแรกเป็นเซียวฟู่ซินและฮูหยินของตัวเองที่ลงมาก่อน หลายสายตาจึงจ้องมองดูคันที่สองทันที เพราะเป็นคันที่ได้ขึ้นชื่อว่าสตรีงดงามที่สุดในเมืองหลวงนั่งมา คนแรกก้าวลงมาโดยมีสาวใช้ประคองรอรับอยู่ด้านนอก สายตาบุรุษหลายคนก็พร่ามัวด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มเขินอาย ทำให้ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องน่าทะนุถนอม ยิ่งใส่ชุดสีชมพูอ่อนยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของนางดูใสซื่อยิ่งขึ้นไปอีก เซียวลี่หงหลบสายตาหลายคนที่มองมาด้วยใบหน้าที่เขินอายแล้วค่อย ๆ เดินไปหาบิดามารดาที่ยืนรอนางอยู่ แต่สายตาในงานที่จ้องมองดูเซียวลี่หงกลับต้องพากันเปลี่ยนจุดมองเมื่อมีอีกคนกำลังก้าวลงมาจากรถม้าของตระกูลเซียว ทำเอาเหล่าบุรุษแทบพากันหยุดหายใจ หากเซียวลี่หงงดงามดั่งบุปผาที่น่าทะนุถนอมแล้ว แต่คนที่กำลังก้าวลงมานั้นงดงามอย่างหาได้ยากยิ่ง ดรุณีที่อยู่ในชุดสีขาวปักด้วยด้วยดอกไม้สีน้ำเงินยิ
จวนท่านแม่ทัพหวงหยางหมิง หลังจากที่หวงหยางหมิงกลับมาถึงจวนของตัวเอง เขาก็ให้คนไปเตรียมของเพื่อที่จะอาบน้ำชำระร่างกายทันที จวนหลังนี้เป็นจวนพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้ ตอนที่เขาได้ขึ้นเป็นแม่ทัพพอได้จวนนี้มา หวงหยางหมิงก็ย้ายออกมาจากจวนหลักทันที เพราะเดิมทีหวงหยางหมิงเองก็ไม่ต้องการที่จะอยู่จวนเดิมอยู่แล้วตั้งแต่ที่มารดาของตัวเองเสียชีวิตไป จวนที่มากไปด้วยเล่ห์อุบายของผู้คนในนั้น หวงหยางหมิงสะอิดสะเอียดเกินทน หากให้เขาทนอยู่ในนั้น หวงหยางหมิงเกรงว่าคงได้ฆ่าคนในจวนนั้นหมดอย่างแน่นอน จวนที่ได้รับพระราชทานนี้ค่อนข้างใหญ่ มีเรือนใหญ่และเรือนเล็กแบ่งเป็นสัดส่วน เรือนที่หวงหยางหมิงพักนั้นมีชื่อว่าเรือนจันทรา เป็นเรือนใหญ่ที่สุดและเขาเองก็ชื่นชอบที่สุดด้วย เพราะด้านหลังเรือนนั้นมีสระน้ำขนาดใหญ่ที่เอาไว้ให้เขาได้อาบน้ำชำระร่างกาย สระน้ำนี้ล้อมรอบไปด้วยต้นไผ่เขียวและดอกไม้นานาพรรณ ทำให้สระนี้งดงามเป็นอย่างมาก ที่เด่นชัดเลยในยามค่ำคืน พระจันทร์จะสาดส่องลงมากระทบเป็นเงากับสระน้ำนี้พอดี ทำให้คนที่พบเห็นนั้นเกิดความสบายใจ หวงหยางหมิงเลยตั้งชื่อเรือนจันทรานี้ด้วยตนเอง ร่างกำยำค่อย ๆ ปลดเสื้อผ
หวงหยางหมิงเดินทางมาถึงจวน ก็รีบไปยังศาลากลางสระที่เซียวเหม่ยอิงชอบไปนั่งเป็นประจำ พอไปถึงก็พบว่าฮูหยินของตัวเองหลับทั้ง ๆ ที่ยังนั่ง มือข้างหนึ่งเท้าใบหน้าตนเองไว้ โดยมีลี่จินยืนพัดให้ใกล้ ๆ เพื่อให้คุณหนูตัวเองนั้นหลับพักผ่อนสบายและไม่ร้อนเกินไป ลี่จินเห็นนายของจวนเดินเข้ามาใกล้ก็รีบก้มหัวและกำลังจะเอื้อมมือไปปลุกนายตัวเอง ทว่าหวงหยางหมิงยกมือห้ามเอาไว้ พร้อมกับยื่นมือไปรับพัดจากนางและสะบัดให้ลี่จินไปที่อื่นแทน คนโดนไล่นั้นยื่นพัดให้ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง พร้อมกับรีบออกจากตรงที่นายของตนอยู่อย่างรวดเร็ว“ข้านึกว่าจะต้องไปตามเจ้าออกมาเหมือนอย่างเคยเสียแล้ว” น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายราวกับว่าตนต้องทำสิ่งที่เคยทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลี่จินมองดูคนที่ยืนกอดอกที่ทำเสียงเหนื่อยใจกับนางด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย นางนั้นคร้านจะใส่ใจ เลยแสร้งเดินหนีไปทางอื่น เพราะไม่อยากเดินผ่านคนที่ยืนกอดอกด้วยท่าทางที่น่าหมั่นไส้ ทว่าคนที่ถูกเมินนั้นถึงกับไปต่อไม่ถูก จางชิงรีบเดินไปขวางทางคนที่เดินหนีเขาทันที“เจ้าจะไปไหน?”ลี่จินมองคนตรงหน้าด้วยใบหน้าที่งุนงง นางไม่เข้าใจว่าจางชิงนั้นต้องการอะไรจากนาง ทั้ง ๆ ที
“มานี่” หวงหยางหมิงเอ่ยเรียกฮูหยินของตนเองหลังจากที่กินเกี๊ยวน้ำหมดแล้ว“มีอะไรหรือเจ้าคะ”เซียวเหม่ยอิงงุนงงเล็กน้อย นางกับเขานั่งห่างกันเพียงโต๊ะกั้นกลางเท่านั้น ใช่ว่าจะนั่งห่างไกลกันถึงขนาดจะคุยกันไม่รู้เรื่อง“มานี่ มาใกล้ ๆ” หวงหยางหมิงยังคงย้ำคำเดิมทำให้เซียวเหม่ยอิงต้องลุกเดินไปใกล้ ๆ ตามที่เขาต้องการ พอไปใกล้ตัวแล้วกลับเป็นหวงหยางหมิงดึงตัวให้เซียวเหม่ยอิงนั่งลงบนตักแกร่งของเขา แขนข้างหนึ่งของหวงหยางหมิงกอดเอวบางเอาไว้เพื่อไม่ให้คนบนตักร่วงหล่น ส่วนอีกข้างเอื้อมไปหยิบกล่องที่จางชิงนำมาให้ในตอนแรก เขาเปิดให้เซียวเหม่ยอิงเห็นว่าของที่อยู่ในนั้นคือสิ่งใด“นี่มัน...?” สิ่งที่อยู่ในกล่องคือกำไลวงหนึ่งดูประณีตและงดงาม“คราก่อน ข้าตรวจสอบดูกำไลเดิมของอิงเอ๋อร์เห็นว่าพิษที่อยู่ในนั้นเหมือนจะจางหายไปนานแล้ว ข้าเลยสั่งให้คนของข้าทำขึ้นมาให้ใหม่และใช้งานได้ดีกว่าเดิม กดปุ่มตรงนี้แล้วหมุนไปทางซ้ายจะเป็นเข็มพิษ หากหมุนทางขวาจะเป็นเข็มที่ทำให้ตัวชาประมาณครึ่งชั่วยาม” แววตาที่ดูตื่นเต้นราวกับได้ของเล่นชิ้นใหม่ เพราะการที่จะทำอาวุธลับขึ้นมาแบบนี้ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็สามารถทำได้ ต่อให้มีเ
เซียวเหม่ยอิงรับรู้ได้ว่าสามีของนางอารมณ์ไม่ดีเท่าใดนักตั้งแต่ที่กลับมาจากบ้านเดิมของนาง แม้ว่าหวงหยางหมิงไม่แสดงอารมณ์นั้นให้นางเห็นแต่ก็พอจะรับรู้ได้ นางเงยหน้ามองดูคนที่กำลังโอบกอดนาง แต่ใบหน้ากลับเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง“ท่านพี่” หวงหยางหมิงได้ยินน้ำเสียงอ่อนหวานเรียกตนก็ดึงสติตนเองกลับมา เขามองดวงหน้างามที่กำลังสบตากับเขา พลันรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ จนอดใจไม่ไหวที่จะโน้มตัวไปจูบริมฝีปากที่เอ่ยเรียกเขาให้ออกจากภวังค์ คนที่โดนจูบแบบไม่ทันตั้งตัวนั้นได้แต่ทำใจให้ชิน เพราะสามีของนางชอบกินเต้าหู้ไม่เว้นวันเลยจริง ๆ หลังจากที่หวงหยางหมิงจูบจนสมใจอยากแล้ว ก็ถอนริมฝีปากออกอย่างช้า ๆ มองใบหน้าภรรยาของตนก็เห็นว่ามีดวงหน้าที่แดงระเรื่อ มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ ภรรยาตัวน้อยทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมากจริง ๆ นิ้วยาวลูบไล้แผ่นหลังขาวเนียนอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเล่าเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับตนให้คนเคียงข้างได้ฟัง“เพราะท่านพ่อเป็นขุนนางขั้นสูง ที่จวนข้าจึงมีฮูหยินเอก ฮูหยินรอง อนุและสาวใช้อุ่นเตียงเต็มจวน มีทั้งสตรีที่ได้มาจากราชโองการจากฮ่องเต้อย่างท่านแม่ข้าและความพึงพอใจของตัวท่านพ่อเ
ยามเช้าที่เซียวเหม่ยอิงลืมตาตื่น นางรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไหร่นักเมื่อเห็นว่ามีบุรุษนอนอยู่ข้างกาย วันแรกที่อ้อมแขนเคยกอดนางไว้อย่างไร วันนี้ก็ยังคงกอดอยู่แบบนั้น แม้ไม่คุ้นชินแต่ในใจก็รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด นางค่อย ๆ ขยับร่างกายออกจากอ้อมแขน เพื่อไม่ให้รบกวนคนข้างกายที่ยังนอนหลับอย่างสบายใจ วันนี้เป็นวันที่นางและสามีต้องกลับบ้านเดิมเพื่อไปยกน้ำชาให้กับบิดามารดาทำให้นางต้องตื่นมาแต่งตัวเสียก่อน นางพยายามประคับประคองร่างกายตนเองให้ลุกจากเตียงนอน ขณะที่กำลังจะเดินออกไปตามลี่จินให้มาช่วยนางอาบน้ำแต่งตัวนั้น ร่างของนางกลับถูกรวบขึ้นจากพื้นเสียก่อน“ว้าย! ท่านพี่ ท่านทำอะไรเจ้าคะ”เซียวเหม่ยอิงตกใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าสามีของนางนั้นตื่นตั้งแต่ตอนไหน ซ้ำตอนนี้ยังรวบตัวนางขึ้นมาอีก จนนางต้องเอามือคล้องคอสามีตัวเองไว้เพราะทั้งตกใจและกลัวตก“จะทำอะไรงั้นรึ? ข้าก็จะอาบน้ำให้อิงเอ๋อร์อย่างไรเล่า” มุมปากหวงหยางหมิงยกขึ้นเล็กน้อย“ไม่...ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าให้ลี่จินอาบให้...”เซียวเหม่ยอิงยังพูดไม่จบ ก็โดนสามีที่เอาแต่ใจนั้นพูดแทรกขึ้นก่อน“ให้ผู้อื่นอาบให้ได้อย่างไร ข้าทำให้เจ้า
ยามใกล้รุ่งของวันใหม่เซียวเหม่ยอิงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นจากการหลับใหล แม้ว่าเมื่อคืนนางนอนเกือบใกล้ฟ้าสางก็ตาม อาจเป็นเพราะความเคยชินตอนอยู่ที่จวนเดิมทำให้ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเคยชิน ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาก็พบกับใบหน้าของชายผู้หนึ่งที่นอนหันหน้ามาทางนาง ลมหายใจที่สม่ำเสมอหมายถึงกำลังหลับใหลอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังกอดนางไว้ในอ้อมแขนไม่ยอมปล่อย เพราะตอนนี้เป็นเวลาใกล้เช้าแล้ว บ่าวรับใช้ในจวนจึงเริ่มพากันจุดคบเพลิงรอบเรือน แสงคบเพลิงที่ส่องสว่างภายนอกเรือนนั้นทำให้มีแสงแทรกเข้ามาภายใน จึงทำให้เซียวเหม่ยอิงได้เห็นใบหน้าที่ไร้หน้ากากปกปิดอีกครั้ง ขนตาที่เป็นแพราวกับสตรี จมูกโด่งสันเข้ากับปากหนา แต่ใบหน้าของนางต้องเห่อร้อนเมื่อเห็นร่องรอยตามร่างกายของสามีนาง คิดถึงค่ำคืนที่ผ่านมา ใบหน้านางยิ่งเห่อร้อนจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเพราะความเขินอาย ทุกอย่างเป็นเพราะหวงหยางหมิงปล่อยให้นางทำตามอำเภอใจ ถึงได้เกิดร่องรอยพวกนี้“ฮูหยินใช้สายตาหลอกกินเต้าหู้กับข้าตั้งแต่รุ่งสางเลยรึ?” น้ำเสียงงัวเงียเพราะเพิ่งลืมตาตื่น ความจริงหวงหยางหมิงรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนที่คนในอ้อมกอดขยับร่างกายแล้ว เพราะสัญช
ร่างกายของทั้งสองคนแนบชิดติดกัน เซียวเหม่ยอิงเองก็ไม่กล้าสู้หน้าสามีตนเองในตอนนี้เพราะมันน่าอายเกินไป นางทำได้เพียงนั่งนิ่ง ๆ ไม่กล้าขยับร่างกาย เพราะตอนนี้นางรับรู้ได้ว่าบั้นท้ายของนางตอนนี้เหมือนกำลังถูไถกับอะไรบางอย่าง แม้เป็นสตรีในห้องหอ และไม่เคยเห็นภายในร่างกายของบุรุษแต่นางก็ไม่ได้ไร้เดียงสาถึงเพียงนั้น ที่จะไม่รู้ว่าสิ่งที่ถูไถกับบั้นท้ายของนางอยู่นั้นคือสิ่งใด เพราะตอนแต่งงานแม่สื่อก็ได้มอบหนังสือที่เกี่ยวกับหน้าที่ภรรยามาให้นางหนึ่งเล่ม เป็นหนังสือว่าต้องปรนนิบัติสามีอย่างไรและในนั้นเองก็มีภาพวาดให้ดูเช่นกัน หวงหยางหมิงมองดูใบหูของเซียวเหม่ยอิงที่ตอนนี้กำลังแดงระเรื่อ มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ เมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้านิ่งไป เขาก็ค่อย ๆ คลายมือออกจากเอวของนาง แล้วเปลี่ยนเป็นเอาแขนตนนั้นพาดกับขอบสระแทน ทำให้เซียวเหม่ยอิงลดความเกร็งลงไปได้บ้าง เพราะความอุ่นของน้ำหรือความอุ่นของแผ่นอกที่อยู่หลังของนาง ทำให้เซียวเหม่ยอิงรู้สึกผ่อนคลายจนเอาหัวตัวเองพิงกับอกนั้นคล้ายกับว่าเป็นที่พักพิงอย่างไรอย่างนั้น แต่คนที่ตัวใหญ่กว่าตอนนั้นกำลังอดกลั้นอารมณ์บางอย่างไว้เพราะ
พรุ่งนี้ก็ครบกำหนดที่ต้องออกเรือน ตอนนี้จวนตระกูลเซียวกำลังยุ่งอยู่กับเตรียมสินเดิมให้กับคุณหนูใหญ่เซียวเหม่ยอิงนั่งมองชุดแต่งงานสีแดงที่วางอยู่บนเตียงนอนด้วยความรู้สึกที่หลากหลายพรุ่งนี้แล้วที่นางจะแต่งงานพรุ่งนี้แล้วที่นางจะต้องได้ออกจากจวนนี้พรุ่งนี้แล้วที่นางจะเป็นฮูหยินเอกเซียวเหม่ยอิงไม่อาจรับรู้ได้ว่าจวนของท่านแม่ทัพจะเป็นเช่นไรเขาจะดีกับนางเหมือนอย่างที่เขาให้สัญญาในวันนั้นได้หรือไม่'ข้าให้สัญญาในฐานะแม่ทัพ ข้าจะไม่มีวันทำร้ายเจ้า และไม่บังคับจิตใจเจ้าเช่นกัน'คำพูดและสายตาจริงจังในวันนั้น เซียวเหม่ยอิงยังจดจำได้ดีร่างงามเดินออกจากเรือนตนเองไปยังเรือนใหญ่ เพื่อไปหามารดาของตนเอง พอเดินเข้าไปก็เห็นมารดาและน้องสาวของตนนั่งอยู่ด้วยกัน นางคารวะมารดาตนเอง ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ“พรุ่งนี้ก็ได้แต่งงานแล้ว ตื่นเต้นหรือไม่” ฟางเหนียงเอ่ยถามบุตรสาวตนเอง“ไม่เท่าใดเจ้าค่ะ” ใบหน้างามยกยิ้มเล็กน้อย ต่างจากเซียวลี่หงที่มีสีหน้าไม่พอใจเท่าใดนัก“ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” พูดจบเซียวลี่หงก็ลุกขึ้นเดินออกไปทันที“เฮ้อ สงสัยนางจะทำใจไม่ได้ที่เจ้าแต่งงานแบบนี้” ฟางเหนียงได้แต่ถอนหายใจกับการกระทำขอ
หลังจากเกิดความวุ่นวายมาหลายวัน ความสงบสุขก็กลับมาสู่จวนตระกูลเซียวอีกครั้ง “อิงเอ๋อร์ ขอบใจเจ้ามากที่เจ้าเห็นแก่ตระกูลและน้องของเจ้า หาไม่แล้ว” ทุกครั้งยามหลับตา เซียวเหม่ยอิงยังได้ยินคำพูดในวันนั้นซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ กลับมาถึงเรือนลี่จินเองร้องไห้ไม่หยุด เพราะสงสารคุณหนูตัวเอง เซียวเหม่ยอิงนั้นได้แต่ปลอบสาวใช้ตนพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “เป็นแบบนี้ดีแล้วลี่จิน...” ใช่... แบบนี้น่ะดีแล้ว นางคิดแล้วว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ไม่ต้องมานั่งทุกข์ใจ ครอบครัวไม่ต้องโทษข้อหาเป็นกบฏ อีกอย่างแต่งงานกับแม่ทัพหวงหยางหมิงก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ความโหดเหี้ยมที่ผู้คนเล่าลือก็มาจากสนามรบทั้งนั้น ที่หวงหยางหมิงทำไปทั้งหมดเพราะต้องปกป้องบ้านเมือง เซียวเหม่ยอิงนั่งหลับตาคิดถึงเรื่องราวตอนที่นางเอ่ยปากขอบิดามารดาแต่งงานด้วยตนเอง “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอแต่งงานกับแม่ทัพหวงหยางหมิงเองเจ้าค่ะ” สองสามีภรรยาได้ยินเช่นนั้นก็พากันตกตะลึงและตกใจไปตาม ๆ กัน เซียวเหม่ยอิงจึงได้อธิบายถึงเหตุผลที่นางตัดสินใจในครั้งนี้ เพราะว่าหลี่ซื่อหมินได้มาถอนหมั้นกับนางแล้ว ในเมื่อเ
“หงเอ๋อร์เจ้าอย่าทำตัวเป็นเด็ก นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำตามอำเภอใจได้! เจ้าเตรียมตัวเตรียมใจออกเรือนในอีกสามเดือนเสีย!” เซียวฟู่ซินเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ เซียวลี่หงถูกตามใจจนเคยตัวถึงได้มีกิริยาเช่นนี้ แต่ครั้งนี้เขาไม่อาจจะตามใจบุตรสาวอย่างที่เคยทำ เพราะหากขัดก็ถือว่าเป็นกบฏแผ่นดิน ถึงแม้ว่าในพระราชโองการไม่ได้ระบุว่าเป็นเซียวเหม่ยอิงหรือเซียวลี่หง แต่ผู้ใดต่างก็รู้ดีว่าคนที่ต้องแต่งงานกับแม่ทัพหวงหยางหมิงคือเซียวลี่หง เพราะเซียวเหม่ยอิงนั้นมีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว“ท่านพ่อ ท่านยอมให้ข้าแต่งกับชายผู้นั้นจริงหรือเจ้าคะ หน้าตาที่แท้จริงของเขาเป็นเช่นไรก็ไม่มีผู้ใดรู้ หากอัปลักษณ์อย่างที่ผู้อื่นบอก ข้า...ข้า” เซียวลี่หงเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา น้ำเสียงของนางตัดพ้ออย่างน่าสงสารเหตุการณ์ที่เหมือนจะสงบลง แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ ๆ เซียวลี่หงดึงปิ่นปักผมที่ปักอยู่มวยผมมาจี้คอตัวเองด้วยท่าทางที่น่าหวาดกลัว“หากท่านพ่อท่านแม่ให้ข้าไปแต่งงานกับแม่ทัพปีศาจอัปลักษณ์นั่น ข้าขอฆ่าตัวตายตอนนี้เสียดีกว่า!”เซียวลี่หงตัดสินใจแล้ว หากให้นางออกเรือนกับชายที่สวมหน้ากากตลอดเวลา ไม่รู้ว่าภายใต้หน้ากากจ