ยามเหม่า (05.00-07.00น.)
เมื่อคืนนี้กว่าหลี๋อ๋องจะหลับตาลงได้ก็เป็นเวลาเกือบยามสามแล้ว (23.00-01.00น.) เป็นเหตุให้เช้านี้เขาตื่นสายกว่าทุกวัน เมื่อหันไปมองเตียงของนางกลับพบเพียงความว่างเปล่า
หลังจากลุกได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงของหลี่จิ่งองค์รักษ์คนสนิทของเขาร้องเรียกที่หน้าประตูห้อง
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“มีอะไร”
“ท่านอ๋องมาดูนี่เร็วเข้า”
‘คงไม่มีอะไรหรอกนะ’
เมื่อเดินตามหลี่จิ่งมาจนถึงสวนอุทยานที่เขาลงทุนสร้างขึ้นมาด้วยตนเองนั้น ภาพตรงหน้าเกือบทำให้เขาแข้งขาอ่อนลงทันใด
“ท่านอ๋องคือว่าข้าน้อยห้ามนางแล้วแต่ว่า….”
หลี๋อ๋องหลับตาลงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์กรุ่นโกรธเอาไว้
“เจ้าทำอะไรกับสวนของข้า!”
“หืม ทำไมหรือ”
“ยังจะกล้าถามอีก นั่นอะไร”
“เอ๋ ท่านไม่รู้จักหมูหรอกหรือ ข้าว่ามันน่ารักออกนะเพคะ”
“เจ้าปล่อยมันออกมาวิ่งเล่นในสวนของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”
“ข้าเห็นมันอยู่ตัวเดียว น่าจะเหงาจึงให้มันออกมาวิ่งเล่นก็เท่านั้น”
“เยว่เหวินหลิง!”
“ว่าอย่างไร ท่านคิดถึงข้ามากหรือเรียกข้าแต่เช้าเลย”
หลี๋อ๋องพยายามอดทนอดกลั้นกลืนความโกรธกลับลงไปจนเกือบหมดสิ้น หากไม่ใช่ว่านางเป็นท่านหญิงจากเป่ยฉีและเขายังต้องใช้ประโยชน์จากนางอยู่ล่ะก็เขาไม่มีทางละเว้นนางแน่
เยว่หลิงเมื่อเห็นสีหน้าของหลี๋อ๋องก็อดขำไม่ได้ คุณชายเจ้าระเบียบยึดถือกฎเกณฑ์เช่นเขามีหรือจะชอบการกระทำที่นางทำอยู่ในเวลานี้
หมูน้อยอวบอ้วนน่ารักๆตัวนั้นกำลังขุดคุ้ยดินโคลนก่อนจะย่ำไปทั่วทั้งสวนแต่นางตั้งใจเพียงแค่ให้มันอยู่ในสวนเท่านั้น ใครจะไปรู้ว่ามันจะวิ่งพล่านไปทั่วจวนกันเล่า
นางไม่ผิดเสียหน่อยก็ใครใช้ให้คนของเขามาไล่จับมันแบบนี้ แต่มีหรือที่คนอย่างเยว่หลิงจะสนใจในเมื่อนางตั้งใจจะกวนประสาทเขาอยู่แล้ว
บรรดาบ่าวในจวนต่างก็รีบวิ่งไล่จับหมูน้อยตัวนั้นส่วนนางนั้นก็เอาแต่หัวเราะร่วนไม่รักษากิริยาของสตรีแต่อย่างใด เป็นองค์หญิงแน่หรือ?
“ท่านอ๋อง”
“ท่านอ๋อง!”
“จะเสียงดังทำไม”
“ข้าเรียกท่านตั้งนานแล้วไม่เห็นตอบ ท่านคิดอะไรอยู่งั้นหรือ”
‘อยากสังหารเจ้าอย่างไรล่ะ’
แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงความคิดภายในใจของเขาเท่านั้น แม้อยากจะทำมากเพียงไรก็คงได้เพียงแค่คิด ขณะที่หลี๋อ๋องกำลังจะหันหลังไปสั่งการกับองค์รักษ์คนสนิท หวางกงกงและบรรดานางกำนัลจากวังหลวงก็เดินเข้ามาในจวนพร้อมกับของพระราชทานที่ดูแล้วน่าจะเป็นของฮ่องเต้และฮองเฮาอีกด้วย
“หวางกงกง”
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยทำตามรับสั่งของฝ่าบาทนำราชโองการมาให้แก่ท่านหญิงจากเป่ยฉีพ่ะย่ะค่ะ”
“เร็วถึงเพียงนั้นเชียว”
“ท่านหญิงเฟยหลิงจวิ้นจู่รับราชโองการ”
เยว่หลิงที่ได้ยินดังนั้นก็หันไปมองหลี๋อ๋องทันทีทุกคนในที่นั้นต่างก็คุกเข่าลงรวมไปถึงหลี๋อ๋องอีกด้วย
ด้วยโองการแห่งฟ้าฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชา ได้ยินว่าองค์หญิงแห่งเป่ยฉี มีรูปโฉมงดงามกิริยาอ่อนน้อม มีคุณธรรม เบิกบานมีความรู้จึงตั้งใจร่วมเป็นทองแผ่นเดียวกับเป่ยฉี บัดนี้หลี๋อ๋องโจวซือเหยียนเลยวัยสวมมงกุฎแล้วเป็นเวลาเหมาะสมที่จะแต่งงาน…..
‘ไม่เคยพบข้าแล้วรู้ได้อย่างไรว่างาม ฮิๆ’
หลี๋อ๋องที่จ้องมองนางอยู่ก็ถึงกลับส่ายหน้าให้นางทันที ‘หลงตัวเองอีกแล้วสินะ’
….จึงแต่งตั้งให้เฟยหลิงจวิ้นจู่เป็นพระชายาเอกหลี๋อ๋อง อีกสามเดือนข้างหน้าจะมีพิธีอภิเษกสมรสขึ้น จบราชโองการ
“ขอบคุณหวางกงกง”
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยยังต้องไปที่จวนองค์ชายท่านอื่นเช่นนั้นแล้ว…”
“รีบไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหวางกงกงและเหล่านางกำนัลออกจากจวนของเขาไปหมดแล้ว หลี๋อ๋องก็ลุกขึ้นก่อนจะเอ่ยกับบ่าวในจวนให้รับรู้ว่า
“ทุกคนที่อยู่ที่นี่จงฟัง ต่อไปนี้ท่านหญิงเยว่เหวินหลิงผู้นี้คือชายาของข้า เคารพนางก็เหมือนเคารพข้า”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง/เพคะท่านอ๋อง”
“ต่อไปนี้เจ้าคือชายาของข้า ก็ควรที่จะสำรวมกิริยามากกว่านี้อย่าได้คิดที่จะ…”
“ข้ารู้แล้วน่า นี่ก็สายมากแล้วท่านหิวหรือไม่”
‘หิว? วันๆนางจะคิดเรื่องอื่นมากไปกว่าก่อกวนเขาแล้วก็กินอย่างเดียวงั้นหรือ’
“ข้ายังไม่หิว”
“แต่ข้าหิวแล้ว พ่อบ้านสือเจ้าตั้งโต๊ะอาหารแล้วหรือยัง”
“อะ เอ่อคือว่า”
‘ให้ตายสิจวนของเขาจากที่เคยสงบเรียบร้อยมาวันนี้กลายเป็นแบบนี้แล้วจะให้เขามีอารมณ์กินได้อย่างไร’
“พ่อบ้านสือไปเตรียมอาหารมาให้นาง”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
“ส่วนเจ้ากลับเข้าไปในเรือนได้แล้ว ทางนี้ข้าจัดการเอง”
“จริงหรือ ขอบพระทัยเพคะ”
“เดี๋ยว”
“หืม”
“วันนี้ยามเว่ย(13.00-15.00 น.) ข้าจะเดินทางไปเมืองเล่ออานเจ้าอยู่ที่นี่ทำตัวดีๆ อย่าได้ก่อกวนอีกเป็นอันขาด”
“เมืองเล่ออาน? ท่านจะเดินทางวันนี้เลยหรือ ไม่พักก่อนล่ะ? ”
“ไม่มีเวลาแล้ว ไปเถอะหลี่จิ่ง”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
เยว่หลิงที่เห็นเขากำลังจะเดินจากไปก็รีบวิ่งไปดักด้านหน้าของเขาทันที
“ท่านอ๋องให้ข้าไปด้วยได้หรือไม่”
“ไม่ได้ ข้าไปทำตามรับสั่งของฮ่องเต้เจ้าก็จงอยู่ที่จวนเท่านั้นก็พอ”
“ข้าอยากไปด้วยนี่นา เผื่อมีอะไรที่ข้าจะช่วยเหลือท่านได้”
“ไม่ได้”
“ท่านอ๋อง”
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ข้าไม่อนุญาต”
“แต่ว่า”
“เจ้าอย่าพูดมากรอข้าอยู่ที่นี่อย่าได้คิดก่อเรื่อง”
“ข้าไม่ได้จะก่อเรื่องเสียหน่อย ข้าแค่อยากช่วย”
“ท่านหญิงที่วันๆเอาแต่อยู่ในรั้วในวังเช่นเจ้าหรือจะช่วยอะไรใครได้”
“ท่านว่าอะไรนะ”
“อยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นข้าจะกักบริเวณเจ้า”
“ก็ได้”
เยว่หลิงรับปากส่งๆไปอย่างนั้น นางคิดเอาไว้แล้วว่าจะแอบตามหลังเขาไปโดยไม่ให้รู้ตัวโดยเด็ดขาดเมื่อหลี๋อ๋องไปแล้วเยว่หลิงก็หันหลังไปเรียกสาวใช้ส่วนตัวของนางทันที
“นี่ เสี่ยวหลัน”
“มีอะไรหรือเพคะพระชายา”
“ท่านอ๋องจะไปเมืองเล่ออานทำไมหรือ”
“หม่อมฉันได้ยินมาว่าที่เมืองเล่ออานมีโรคระบาดเพคะ ฮ่องเต้ทรงส่งหมอหลวงไปหลายคนแล้วก็ยังไร้วี่แววที่จะกำจัดโรคนี้ได้แว่วว่าหากทิ้งไว้นานอาจจะลามมาถึงเมืองหลวงได้เพคะ”
“งั้นหรือ”
‘หากเป็นท่านแม่ก็อาจจะช่วยได้แต่กับข้าไม่ถนัดอะไรแบบนี้เสียด้วยสิ ถนัดแต่ก่อกวน ฮึๆ’
“พระชายาอากาศที่นี่เริ่มเย็นแล้วเข้าไปในเรือนกันเถอะเพคะ”
“อืม”
เยว่หลิงมองตามอาชาสีดำสนิทที่คุ้นเคยนั้น มันกำลังพาบุรุษผู้หล่อเหลาผู้นั้นเยื้องย่างออกไปจากจวนจนลับหายสายตาไป
แม้ว่าเขาจะหล่อเหลาดูดีไปหมดเสียทุกอย่าง ทว่านางกลับไม่อยากรู้จักและไม่อยากถลำลึกไปมากกว่าไม่เช่นนั้นจุดประสงค์ที่นางมาที่นี่จะสูญเปล่าเสียก่อน
เยว่หลิงกำลังเดินเข้าไปในเรือนแต่ก็มีเสียงของใครบางคนเรียกนางไว้
“พระชายา”
เยว่หลิงหันหลังไปมองก็พบว่าเป็นตงหยางองค์รักษ์อีกคนของหลี๋อ๋อง
“มีอะไรหรือ”
“พระชายาท่านอ๋องให้ข้าน้อยไปรับเสื้อคลุมมาให้ท่านพ่ะย่ะค่ะ”
“เสื้อคลุม?”
“อากาศที่นี่เริ่มเย็นแล้ว หากพระชายายังไม่คุ้นเคยเกรงว่าจะหนาวเอาได้ท่านอ๋องจึงให้ข้านำมาให้ท่านพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบใจ”
“ส่วนนี่คือป้ายคำสั่งของท่านอ๋องสามารถเข้าออกจวนได้ตลอดเวลา ท่านอ๋องเกรงว่าพระชายาจะเบื่อจึงให้ข้าน้อยนำมาให้เผื่อว่าพระชายาจะอยากออกไปเที่ยวในเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือแล้วเจ้าไม่ต้องตามท่านอ๋องไปหรอกหรือ”
“ท่านอ๋องสั่งให้ข้าน้อยอยู่รับใช้พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
‘อยู่รับใช้หรืออยู่เฝ้าข้ากันแน่’
“เช่นนั้นก็แสดงว่าเจ้าต้องทำตามคำสั่งของข้าสินะ”
“ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี พาข้าไปเมืองเล่ออาน”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ หือ? อะ…อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าบอกว่าข้าจะไปเมืองเล่ออาน”
“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะพระชายา”
“ใช่เเล้วไปไม่ได้นะเพคะ”
“ทำไมล่ะก็พวกเจ้าเป็นคนของข้าแล้วเช่นนั้นก็ต้องทำตามคำสั่งของข้า พาข้าไปเมืองเล่ออานเดี๋ยวนี้”
“พระชายา!/พระชายา!”
“ไม่ไปงั้นหรือ เช่นนั้นข้าจะไปเอง”
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะจะไปเพียงลำพังได้อย่างไร เช่นนั้นทรงรออยู่ตรงนี้กระหม่อมจะไปเอารถม้าก่อน”
“ดีมาก เสี่ยวหลันเจ้าไปเตรียมของใช้สำหรับข้าเอาไว้เราจะไปเที่ยวกัน”
เสี่ยวหลันกับตงหยางมองหน้ากันด้วยความท้อแท้ที่สุด พระชายาจำที่นางบอกไม่ได้แล้วหรือเมืองเล่ออานเวลานี้มีโรคระบาด จะได้เที่ยวอะไรที่ไหนกันเล่า
“เร็วเข้าสิ”
“เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”
การเดินทางไปเมืองเล่ออานใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้นเพราะระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองหลวงนัก จึงทำให้ฮ่องเต้เป็นกังวลเรื่องโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นอย่างมากจึงมีรับสั่งให้หลี๋อ๋องไปจัดการควบคุมด้วยตัวเองระหว่างการเดินทางหลี๋อ๋องควบม้าไปด้านหน้าขบวนส่วนรถม้าที่บรรจุห่อยาและเสบียงนั้นอยู่ด้านหลัง พวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าพระชายาแอบตามมาด้วยเมืองเล่ออานอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าหลี่และแผ่นดินฝั่งตะวันออกนี้ก็อยู่ติดกับเขตแดนเหนือของแคว้นเป่ยฉีนั่นเองขบวนรถม้าของหลี๋อ๋องเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้เมืองเล่ออานมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางนั้นมีแต่ความเงียบเหงาไม่คึกคักเหมือนครั้งที่เขาเคยมาเยือนเมื่อเจ็ดปีก่อน ในครั้งอดีตที่เคยรุ่งเรืองผู้คนที่มากหน้าหลายตากลับสูญสลายหายไปสิ้นเพราะโรคระบาดที่ไม่อาจยับยั้งได้ในครานี้เมื่อก้าวผ่านประตูเมืองไปแล้วชาวบ้านละแวกนั้นก็เริ่มทยอยกันออกมายืนเฝ้ามองดูกันเต็มทั้งสองข้างทาง หลี๋อ๋ององค์ชายลำดับที่สี่ของฮ่องเต้แคว้นต้าหลี่มาที่เมืองของพวกเขาช่างน่ายินดียิ่งนักเพราะน้อยครั้งมากที่จะเห็นคนในราชวงศ์ห่วงใยประชาชนและลงมาดูแลพว
‘ด่าได้เร้าใจมาก’“ข้าดูแลตัวเองได้น่า”“ลงไปกับข้า”“ก็ได้ ว๊าย! เหตุใดไม่ให้ข้าเดินลงบันไดไปเล่า”“ข้ายังมีงานต้องทำมัวชักช้ามันเสียเวลา”เมื่อทั้งคู่ลงมาอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าเมืองเล่ออานก็รีบเข้ามาหาพวกเขาทันที“ท่านอ๋อง พระชายา”“ท่านคือ?...”“เขาคือเจ้าเมืองเล่ออานนามว่าหวังตี๋เฟย”“ดีใจที่ได้พบท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ”“ขอบพระทัยที่เป็นห่วงเป็นใยชาวเมืองเล่ออานมากพ่ะย่ะค่ะ”เยว่หลิงได้เพียงแค่ส่งยิ้มให้เขาเพราะถูกหลี๋อ๋องจ้องมองอยู่ไม่วางตา“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้างั้นหรือ”“มีสิมีแน่แต่ไว้หลังจากข้ากลับมา เจ้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้รู้หรือไม่ว่าจะโดนอะไร”เยว่หลิงไม่สนใจที่เขาขู่ไม่ทันจะตอบโต้เขาไปก็ได้ยินเสียงบ
เจ้าเมืองเล่ออานนำพาคนทั้งหมดมาที่หุบเขาเหอหนานซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมืองเล่ออาน ด้วยกลัวว่าโรคระบาดจะลามไปทั่วเมืองเขาจึงต้องนำผู้ป่วยมารักษาที่หุบเขาแห่งนี้แทนเพียงไม่นานก็ขึ้นเขามาถึงบริเวณที่ใช้รักษาคนที่ติดเชื้อ เยว่หลิงเดินตามพวกเขามาจนถึงกระโจมหลังหนึ่งที่เวลานี้บริเวณโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่นอนรักษาตัวกันเต็มไปหมด“ท่านหมอขอรับ ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว”เยว่หลิงที่เดินตามพวกเขามาเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันใด‘แผ่นหลังนั้นช่างคุ้นเคยเสียจริง’นางมองไปที่หมอหญิงผู้นั้นอีกครั้งด้วยความสงสัยแต่ท่านหมอผู้นั้นกลับไม่ยอมหันกลับมามองพวกเขาเสียที“ท่านอ่องขออภัยด้วย ข้าต้องรักษาบาดแผลของผู้เฒ่าผู้นี้ไม่สะดวกที่จะหันไปสนทนากับท่านในเวลานี้”“ไม่เป็นไรขอรับท่านหมอ ตงหยางเจ้าพาพระชายาไปนั่งรอทางนั้นก่อนข้าจะสนทนากับท่านหมอเสียหน่อย”“พ่ะย่ะค
“ใต้เท้าโจวข้ายังมีบางสิ่งที่ต้องทำท่านช่วยพาพวกเขากลับเข้าเมืองไปก่อนนะ”“ได้ขอรับท่านอ๋อง”“แต่ว่าท่านอ๋อง…”หลี๋อ๋องไม่อยู่ฟังเสียงเรียกของฉางอิ๋นเซียนแต่อย่างใดเขารีบควบม้านำพาเยว่หลิงผ่านเข้าไปในตัวเมืองด้วยความรวดเร็วเมื่อคิดว่าพ้นจากสายตาของพวกเขาแล้ว หลี๋อ๋องก็พาเยว่หลิงควบม้าลัดเลาะมายังตรอกถนนที่ไร้ผู้คนเข้าไปเส้นทางยังป่าที่ดูเงียบสงบแต่บรรยากาศกลับแปลกประหลาดพิลึก"ท่านอ๋องข้าหิวข้าวแล้วไหนท่านบอกว่าจะพาข้าไปกินข้าวก่อนอย่างไรล่ะ""ก็นี่อย่างไรเล่าข้ากำลังจะพาไป""นี่มันป่าช้าแล้วมีร้านขายข้าวที่ไหนกัน ผ่านเข้าเมืองมาเมื่อครู่เหตุใดไม่พาข้าแวะก่อนเล่า""ทำไมเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้นะไม่รู้หรือของอร่อยๆ ย่อมไม่ได้พบเห็นกันง่ายๆ""เฮอะๆ ขอให้จริงเถอะ"พูดคุยกันไปได้สักพักอาชาสีดำสนิทของหลี๋อ๋องก็พาพวกเขาทั้งคู่มาถึงเรือนแห่งหนึ่งโครงสร้างเรือนที่ดูธรรมดาๆ แต่เมื่อดูให้ชัดเจน
เยว่หลิงหันมองคนนั้นทีคนนี้ทีอาหารที่เคี้ยวยังไม่ละเอียดก็พลันหลุดติดคอของนางเรียกความสนใจจากหลี๋อ๋องในทันที“ก็ข้าบอกแล้วว่าให้กินช้าๆ”“แค่ก แค่ก น้ำ น้ำ”เขายื่นถ้วยน้ำชามาตรงหน้านาง เยว่หลิงรีบยกขึ้นดื่มทันทีก่อนที่เขาจะหันไปหยิบเอากาน้ำชามารินให้นางเพิ่มแต่เมื่อหันมาอีกครั้งก็พบว่าหญิงสาวด้านข้างเขานั้นนั่งกินอาหารต่ออีกแล้ว“สำลักอาหารเกือบจะตายไปแล้ว ทำไมยังกินต่อได้อีกล่ะ”“ท้องของข้ายังว่าง รับอาหารได้เยอะพอสมควรเพคะ”นางไม่สนใจเขาก่อนจะคีบเอาเนื้อผัดเข้าปากน้อยๆของนางแล้วเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ไม่รักษากิริยามารยาทของหญิงงามแต่อย่างใด“ค่อยๆกินสิ จะรีบไปทำไมกันเดี๋ยวได้ติดคอตายหรอก”“ท่านแช่งข้าหรือ”“หรือไม่จริง ข้าบอกว่าให้เคี้ยวดีๆ เจ้าเป็นสตรีเช่นไรกันนะ”“ข้าก็เป็นของข้าแบบนี้หากท่านชื่นชอบสตรีที่มากด้วยมารยาทก็ไปหาคนอื
กว่าทั้งคู่จะกลับถึงจวนก็เป็นเวลายามเซิน (15.00-17.00 น.) แล้ว เมื่ออาชาของหลี๋อ๋องวิ่งเข้าใกล้จวนเจ้าเมือง พลันสายตาของเยว่หลิงก็เหลือบไปเห็นเงาของสัตว์บางอย่างมันกำลังยืนหลบอยู่ตรงข้างๆกำแพงจวนแต่เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้งเงานั้นก็ลับหายไปอย่างรวดเร็ว“เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”“อ้อ พระจันทร์น่ะเพคะงดงามมาก”“ไม่เคยเห็นหรืออย่างไร”“ช่างเถอะข้าไม่พูดกับท่านแล้ว”เมื่อม้าของเขาหยุดนิ่งสนิทตรงหน้าประตูจวน เยว่หลิงก็เอี้ยวตัวกระโดดลงจากหลังม้าด้วยความรวดเร็ว“เดี๋ยวสิ! เจ้าอยากขาหักหรืออย่างไร”“ข้าขี่ม้าเป็นน่า”เมื่อลงจากหลังม้าและก้าวออกห่างจากตัวหลี๋อ๋องได้แล้วนางก็ตั้งท่าจะเข้าไปยังเรือนพักทันที“พระชายาท่านกลับมาแล้ว”“อืม เหนื่อยจะแย่ข้าอยากอาบน้ำเต็มทีแล้ว”“หม่อมฉันเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้พระชายาแล้วเพคะ”
“ท่านอ๋องยามนี้สงครามชายแดนเหนือก็สงบลงแล้ว ท่านจะกลับเมืองหลวงเลยหรือไม่”“ไม่ล่ะ ข้ายังไม่อยากกลับไปตอนนี้”“แต่ฮองเฮาเรียกท่านกลับแล้วไม่ใช่หรือ ทรงส่งสาส์นมาด้วยองค์เองเช่นนี้แสดงว่าต้องมีเรื่องด่วน”“จะมีเรื่องเร่งด่วนอะไรกัน ข้าว่านะเรื่องที่ฮองเฮาทรงเป็นกังวลคงมีอยู่เพียงเรื่องเดียว”“เจ้าก็คิดเหมือนข้างั้นหรือ”แม่ทัพประจำชายแดนเหนือนามว่าเหอจินเยี่ยนและที่ปรึกษาทางการทหารนามว่าซือหนานกง สองสหายคนสนิทของหลี๋อ๋องกำลังแลกเปลี่ยนความคิดกันไปมาโดยไม่สนใจว่าหลี๋อ๋องจะฟังพวกเขาอยู่หรือไม่หลี๋อ๋องที่กำลังพินิจจดหมายที่ฮองเฮาส่งมาอยู่นั้นเมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองทันที“ท่านอยู่เพียงในสนามรบมาร่วมเจ็ดปีเต็มแล้วสตรีข้างกายก็ไม่มีซักคนองค์ชายคนอื่นๆต่างก็มีพระชายาเป็นของตนเองแล้วทั้งนั้น แต่ท่านกลับมีเพียงความว่างเปล่าฮองเฮาเป็นห่วงท่านก็ไม่แปลก”“จะแปลกก็ตรงที่พระนางปล่อยให้ท่านเหงามานานหลายปีถึงเพียงนี้ แต่เพิ่งจะคิดขึ้นได้ว่าควรที่จะหาชายาให้ท่านในเวลานี้เนี่ยนะ”“ต้องมีอะไรซักอย่างสิ”“เจ้าคิดมากไปหรือไม่”“พวกเจ้าหยุดเถียงกันเสียที พรุ่งนี้ข้าจะกลับเมืองหลวง” หล
“ออกไปให้หมดยกเว้นเจ้า!”“!”“ใครกันหรือ” บรรดาสาวงามที่ยืนอยู่ภายในกระโจมต่างก็หันมองกันไปมาด้วยความที่ไม่รู้ว่าหลี๋อ๋องนั้นหมายถึงใครสายตาของเขามองส่งไปยังสตรีนางหนึ่งผู้ที่ยืนอยู่ท้ายๆกระโจมเลยกระมัง'เหตุใดเขาถึงมองเห็นนางกัน'หญิงงามเหล่านั้นแสดงออกว่าไม่พอใจนางเป็นอย่างยิ่งเพราะรูปร่างที่อรชรของนางทั้งยังมีใบหน้าที่งดงามแม้จะคลุมผ้าไว้ครึ่งหน้าก็เถอะ เยว่หลิงเมื่อได้ยินที่เขาพูดก็โอดครวญภายในใจทันที‘ไม่น่าตามมาที่นี่เลย’“เดินออกมานี่”“ขะ ข้าหรือ”“ใช่ เจ้ามาที่นี่ไม่ใช่ว่ามาปรนนิบัติข้าหรอกหรือ”“คือว่าความจริงแล้วข้า”“เลือกเอาว่าจะปรนนิบัติข้าหรือพวกเจ้าทั้งหมดจะไปรับใช้เหล่าทหารของข้า”“อะไรนะ!”บรรดาหญิงงามเหล่านั้นต่างก็ตื่นตกใจเมื่อได้ยินที่เขาเอ่ยออกมา แม่ทัพเหอรีบต้อนหญิงงามเหล่านั้นออกจากกระโจมด้วยความรวดเร็วทิ้งไว้เพียงแค่เยว่หลิงที่ยืนขาสั่นงันงกอยู่ตรงหน้าเขาเพียงลำพังนางไม่แน่ใจเห
กว่าทั้งคู่จะกลับถึงจวนก็เป็นเวลายามเซิน (15.00-17.00 น.) แล้ว เมื่ออาชาของหลี๋อ๋องวิ่งเข้าใกล้จวนเจ้าเมือง พลันสายตาของเยว่หลิงก็เหลือบไปเห็นเงาของสัตว์บางอย่างมันกำลังยืนหลบอยู่ตรงข้างๆกำแพงจวนแต่เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้งเงานั้นก็ลับหายไปอย่างรวดเร็ว“เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”“อ้อ พระจันทร์น่ะเพคะงดงามมาก”“ไม่เคยเห็นหรืออย่างไร”“ช่างเถอะข้าไม่พูดกับท่านแล้ว”เมื่อม้าของเขาหยุดนิ่งสนิทตรงหน้าประตูจวน เยว่หลิงก็เอี้ยวตัวกระโดดลงจากหลังม้าด้วยความรวดเร็ว“เดี๋ยวสิ! เจ้าอยากขาหักหรืออย่างไร”“ข้าขี่ม้าเป็นน่า”เมื่อลงจากหลังม้าและก้าวออกห่างจากตัวหลี๋อ๋องได้แล้วนางก็ตั้งท่าจะเข้าไปยังเรือนพักทันที“พระชายาท่านกลับมาแล้ว”“อืม เหนื่อยจะแย่ข้าอยากอาบน้ำเต็มทีแล้ว”“หม่อมฉันเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้พระชายาแล้วเพคะ”
เยว่หลิงหันมองคนนั้นทีคนนี้ทีอาหารที่เคี้ยวยังไม่ละเอียดก็พลันหลุดติดคอของนางเรียกความสนใจจากหลี๋อ๋องในทันที“ก็ข้าบอกแล้วว่าให้กินช้าๆ”“แค่ก แค่ก น้ำ น้ำ”เขายื่นถ้วยน้ำชามาตรงหน้านาง เยว่หลิงรีบยกขึ้นดื่มทันทีก่อนที่เขาจะหันไปหยิบเอากาน้ำชามารินให้นางเพิ่มแต่เมื่อหันมาอีกครั้งก็พบว่าหญิงสาวด้านข้างเขานั้นนั่งกินอาหารต่ออีกแล้ว“สำลักอาหารเกือบจะตายไปแล้ว ทำไมยังกินต่อได้อีกล่ะ”“ท้องของข้ายังว่าง รับอาหารได้เยอะพอสมควรเพคะ”นางไม่สนใจเขาก่อนจะคีบเอาเนื้อผัดเข้าปากน้อยๆของนางแล้วเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ไม่รักษากิริยามารยาทของหญิงงามแต่อย่างใด“ค่อยๆกินสิ จะรีบไปทำไมกันเดี๋ยวได้ติดคอตายหรอก”“ท่านแช่งข้าหรือ”“หรือไม่จริง ข้าบอกว่าให้เคี้ยวดีๆ เจ้าเป็นสตรีเช่นไรกันนะ”“ข้าก็เป็นของข้าแบบนี้หากท่านชื่นชอบสตรีที่มากด้วยมารยาทก็ไปหาคนอื
“ใต้เท้าโจวข้ายังมีบางสิ่งที่ต้องทำท่านช่วยพาพวกเขากลับเข้าเมืองไปก่อนนะ”“ได้ขอรับท่านอ๋อง”“แต่ว่าท่านอ๋อง…”หลี๋อ๋องไม่อยู่ฟังเสียงเรียกของฉางอิ๋นเซียนแต่อย่างใดเขารีบควบม้านำพาเยว่หลิงผ่านเข้าไปในตัวเมืองด้วยความรวดเร็วเมื่อคิดว่าพ้นจากสายตาของพวกเขาแล้ว หลี๋อ๋องก็พาเยว่หลิงควบม้าลัดเลาะมายังตรอกถนนที่ไร้ผู้คนเข้าไปเส้นทางยังป่าที่ดูเงียบสงบแต่บรรยากาศกลับแปลกประหลาดพิลึก"ท่านอ๋องข้าหิวข้าวแล้วไหนท่านบอกว่าจะพาข้าไปกินข้าวก่อนอย่างไรล่ะ""ก็นี่อย่างไรเล่าข้ากำลังจะพาไป""นี่มันป่าช้าแล้วมีร้านขายข้าวที่ไหนกัน ผ่านเข้าเมืองมาเมื่อครู่เหตุใดไม่พาข้าแวะก่อนเล่า""ทำไมเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้นะไม่รู้หรือของอร่อยๆ ย่อมไม่ได้พบเห็นกันง่ายๆ""เฮอะๆ ขอให้จริงเถอะ"พูดคุยกันไปได้สักพักอาชาสีดำสนิทของหลี๋อ๋องก็พาพวกเขาทั้งคู่มาถึงเรือนแห่งหนึ่งโครงสร้างเรือนที่ดูธรรมดาๆ แต่เมื่อดูให้ชัดเจน
เจ้าเมืองเล่ออานนำพาคนทั้งหมดมาที่หุบเขาเหอหนานซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมืองเล่ออาน ด้วยกลัวว่าโรคระบาดจะลามไปทั่วเมืองเขาจึงต้องนำผู้ป่วยมารักษาที่หุบเขาแห่งนี้แทนเพียงไม่นานก็ขึ้นเขามาถึงบริเวณที่ใช้รักษาคนที่ติดเชื้อ เยว่หลิงเดินตามพวกเขามาจนถึงกระโจมหลังหนึ่งที่เวลานี้บริเวณโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่นอนรักษาตัวกันเต็มไปหมด“ท่านหมอขอรับ ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว”เยว่หลิงที่เดินตามพวกเขามาเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันใด‘แผ่นหลังนั้นช่างคุ้นเคยเสียจริง’นางมองไปที่หมอหญิงผู้นั้นอีกครั้งด้วยความสงสัยแต่ท่านหมอผู้นั้นกลับไม่ยอมหันกลับมามองพวกเขาเสียที“ท่านอ่องขออภัยด้วย ข้าต้องรักษาบาดแผลของผู้เฒ่าผู้นี้ไม่สะดวกที่จะหันไปสนทนากับท่านในเวลานี้”“ไม่เป็นไรขอรับท่านหมอ ตงหยางเจ้าพาพระชายาไปนั่งรอทางนั้นก่อนข้าจะสนทนากับท่านหมอเสียหน่อย”“พ่ะย่ะค
‘ด่าได้เร้าใจมาก’“ข้าดูแลตัวเองได้น่า”“ลงไปกับข้า”“ก็ได้ ว๊าย! เหตุใดไม่ให้ข้าเดินลงบันไดไปเล่า”“ข้ายังมีงานต้องทำมัวชักช้ามันเสียเวลา”เมื่อทั้งคู่ลงมาอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าเมืองเล่ออานก็รีบเข้ามาหาพวกเขาทันที“ท่านอ๋อง พระชายา”“ท่านคือ?...”“เขาคือเจ้าเมืองเล่ออานนามว่าหวังตี๋เฟย”“ดีใจที่ได้พบท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ”“ขอบพระทัยที่เป็นห่วงเป็นใยชาวเมืองเล่ออานมากพ่ะย่ะค่ะ”เยว่หลิงได้เพียงแค่ส่งยิ้มให้เขาเพราะถูกหลี๋อ๋องจ้องมองอยู่ไม่วางตา“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้างั้นหรือ”“มีสิมีแน่แต่ไว้หลังจากข้ากลับมา เจ้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้รู้หรือไม่ว่าจะโดนอะไร”เยว่หลิงไม่สนใจที่เขาขู่ไม่ทันจะตอบโต้เขาไปก็ได้ยินเสียงบ
การเดินทางไปเมืองเล่ออานใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้นเพราะระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองหลวงนัก จึงทำให้ฮ่องเต้เป็นกังวลเรื่องโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นอย่างมากจึงมีรับสั่งให้หลี๋อ๋องไปจัดการควบคุมด้วยตัวเองระหว่างการเดินทางหลี๋อ๋องควบม้าไปด้านหน้าขบวนส่วนรถม้าที่บรรจุห่อยาและเสบียงนั้นอยู่ด้านหลัง พวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าพระชายาแอบตามมาด้วยเมืองเล่ออานอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าหลี่และแผ่นดินฝั่งตะวันออกนี้ก็อยู่ติดกับเขตแดนเหนือของแคว้นเป่ยฉีนั่นเองขบวนรถม้าของหลี๋อ๋องเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้เมืองเล่ออานมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางนั้นมีแต่ความเงียบเหงาไม่คึกคักเหมือนครั้งที่เขาเคยมาเยือนเมื่อเจ็ดปีก่อน ในครั้งอดีตที่เคยรุ่งเรืองผู้คนที่มากหน้าหลายตากลับสูญสลายหายไปสิ้นเพราะโรคระบาดที่ไม่อาจยับยั้งได้ในครานี้เมื่อก้าวผ่านประตูเมืองไปแล้วชาวบ้านละแวกนั้นก็เริ่มทยอยกันออกมายืนเฝ้ามองดูกันเต็มทั้งสองข้างทาง หลี๋อ๋ององค์ชายลำดับที่สี่ของฮ่องเต้แคว้นต้าหลี่มาที่เมืองของพวกเขาช่างน่ายินดียิ่งนักเพราะน้อยครั้งมากที่จะเห็นคนในราชวงศ์ห่วงใยประชาชนและลงมาดูแลพว
ยามเหม่า (05.00-07.00น.)เมื่อคืนนี้กว่าหลี๋อ๋องจะหลับตาลงได้ก็เป็นเวลาเกือบยามสามแล้ว (23.00-01.00น.) เป็นเหตุให้เช้านี้เขาตื่นสายกว่าทุกวัน เมื่อหันไปมองเตียงของนางกลับพบเพียงความว่างเปล่าหลังจากลุกได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงของหลี่จิ่งองค์รักษ์คนสนิทของเขาร้องเรียกที่หน้าประตูห้อง“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“มีอะไร”“ท่านอ๋องมาดูนี่เร็วเข้า”‘คงไม่มีอะไรหรอกนะ’เมื่อเดินตามหลี่จิ่งมาจนถึงสวนอุทยานที่เขาลงทุนสร้างขึ้นมาด้วยตนเองนั้น ภาพตรงหน้าเกือบทำให้เขาแข้งขาอ่อนลงทันใด“ท่านอ๋องคือว่าข้าน้อยห้ามนางแล้วแต่ว่า….”หลี๋อ๋องหลับตาลงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์กรุ่นโกรธเอาไว้“เจ้าทำอะไรกับสวนของข้า!”“หืม ทำไมหรือ”“ยังจะกล้าถามอีก นั่นอะไร”“เอ๋ ท่านไม่รู้จักหมูหรอกหรือ ข้าว่ามันน่ารักออกนะเพคะ”“เจ้าปล่อยมันออกมาวิ่งเล่นในสวนของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”“ข้าเห็นมันอยู่ตัวเดียว น่าจะเหงาจึงให้มันออกมาวิ่งเล่นก็เท่านั้น”“เยว่เหวินหลิง!”“ว่
-เจ็ดวันผ่านไป-ขบวนกองทัพของหลี๋อ๋องเคลื่อนพลจากชายแดนเหนือกินเวลาไปสิบสองวันเต็มๆ ในที่สุดก็เข้าสู่เมืองหลวงต้าหลี่ ระหว่างการเดินทางกลับในครั้งนี้เขาไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไรเช่นนี้มาก่อนเหมือนกับครั้งนี้เลย‘นี่เขาคิดถูกหรือไม่นะที่นำนางกลับมาด้วย สตรีผู้นี้ไม่ว่าง่ายเฉกเช่นสตรีคนอื่นเลยจริงๆ’เมื่อเข้าสู่ประตูเมืองสองข้างทางนั้นนอกจากจะเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ออกมายืนมุงดูพวกเขาแล้วก็ยังมีขบวนรถม้าของสตรีชั้นสูงถูกตกแต่งอย่างงดงามน่าจะมาจากหลายๆแคว้นด้วยกัน ต่างก็หยุดนิ่งอยู่บริเวณหน้าประตูเมืองเพื่อรอคอยเข้าสู่เมืองหลวงนั่นเองบรรดาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่นั่งอยู่ในรถม้านั้นต่างก็เลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อชื่นชมขบวนกองทัพของหลี๋อ๋อง แววตาของสตรีที่มองมาที่เขานั้นช่างหวานหยดเยิ้นเหมือนดั่งเจ้าหญิงที่ตกหลุมรักเจ้าชายอย่างไรอย่างไรนั้น‘เสน่ห์แรงเสียจริง’“ท่านอ๋อง นั่นเป็นขบวนรถม้าขององค์หญิงจากแคว้นต่างๆ มาเพื่อแต่งงานเจริญสัมพันไมตรีกับต้าหลี่ของเราพ่ะย่ะค่ะ”“ข้ารู้แล้ว”หลี๋อ๋องไม่ได้หยุดชื่นชมเหล่าสา
ซือเยว่ได้แต่ยืนไว้อาลัยให้ชุดที่เขาเพิ่งได้มาใหม่ นางเป็นใครเขาก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนช่างกล้ามาอาเจียนใส่เขาได้อย่างไรกัน เมื่ออาเจียนจนหมดแรงเยว่หลิงก็เมาหลับไปบนโต๊ะอาหารนั้นโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกเลย“เฮ้อ เจ้านี่มันช่างแตกต่างจากสตรีที่ข้าเคยพบเสียจริง” เขาค่อยๆถอดเสื้อออกอย่างเบามือด้วยกลัวว่ามือที่ใสสะอาดของเขาจะแปดเปื้อนอาหารที่นางอาเจียนออกมา“หงอี้!”“ขอรับ” หงอี้ที่ยังรออยู่นอกกระโจม เมื่อได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นนายก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้กับโต๊ะอาหารก็ถึงกับรีบปิดจมูกทันที‘กลิ่นอาเจียนนั้นมาจากไหนกัน หรือว่า!’“ไปเรียกสาวใช้มาจัดการต่อที”“ขอรับนายท่าน”เมื่อหงอี้ออกจากกระโจมไปแล้วเขาก็ลุกขึ้นก่อนจะช้อนตัวนางขึ้นไว้แนบอกแล้วอุ้มนางไปนอนบนเตียงของเขา“ให้ตายสิ จะขู่ให้เจ้ากลัวจนร้องไห้ขี้มูกโป่งเสียหน่อยแต่ดันกลับกันเสียได้ นอนเสียให้พอใจไปเลยข้าอุตส่าห์เสียสละเตียงนอนนุ่มนิ่มของข้าให้เจ้าเลยนะ”“เฮ้อ…นี่ข้าทำอะไรอยู่เนี่ย หลี๋อ่องชอบสตรีเช่นนี้ไปได้อย่างไรกันนะ”ข