ยามเหม่า (05.00-07.00น.)
เมื่อคืนนี้กว่าหลี๋อ๋องจะหลับตาลงได้ก็เป็นเวลาเกือบยามสามแล้ว (23.00-01.00น.) เป็นเหตุให้เช้านี้เขาตื่นสายกว่าทุกวัน เมื่อหันไปมองเตียงของนางกลับพบเพียงความว่างเปล่า
หลังจากลุกได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงของหลี่จิ่งองค์รักษ์คนสนิทของเขาร้องเรียกที่หน้าประตูห้อง
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“มีอะไร”
“ท่านอ๋องมาดูนี่เร็วเข้า”
‘คงไม่มีอะไรหรอกนะ’
เมื่อเดินตามหลี่จิ่งมาจนถึงสวนอุทยานที่เขาลงทุนสร้างขึ้นมาด้วยตนเองนั้น ภาพตรงหน้าเกือบทำให้เขาแข้งขาอ่อนลงทันใด
“ท่านอ๋องคือว่าข้าน้อยห้ามนางแล้วแต่ว่า….”
หลี๋อ๋องหลับตาลงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์กรุ่นโกรธเอาไว้
“เจ้าทำอะไรกับสวนของข้า!”
“หืม ทำไมหรือ”
“ยังจะกล้าถามอีก นั่นอะไร”
“เอ๋ ท่านไม่รู้จักหมูหรอกหรือ ข้าว่ามันน่ารักออกนะเพคะ”
“เจ้าปล่อยมันออกมาวิ่งเล่นในสวนของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”
“ข้าเห็นมันอยู่ตัวเดียว น่าจะเหงาจึงให้มันออกมาวิ่งเล่นก็เท่านั้น”
“เยว่เหวินหลิง!”
“ว่าอย่างไร ท่านคิดถึงข้ามากหรือเรียกข้าแต่เช้าเลย”
หลี๋อ๋องพยายามอดทนอดกลั้นกลืนความโกรธกลับลงไปจนเกือบหมดสิ้น หากไม่ใช่ว่านางเป็นท่านหญิงจากเป่ยฉีและเขายังต้องใช้ประโยชน์จากนางอยู่ล่ะก็เขาไม่มีทางละเว้นนางแน่
เยว่หลิงเมื่อเห็นสีหน้าของหลี๋อ๋องก็อดขำไม่ได้ คุณชายเจ้าระเบียบยึดถือกฎเกณฑ์เช่นเขามีหรือจะชอบการกระทำที่นางทำอยู่ในเวลานี้
หมูน้อยอวบอ้วนน่ารักๆตัวนั้นกำลังขุดคุ้ยดินโคลนก่อนจะย่ำไปทั่วทั้งสวนแต่นางตั้งใจเพียงแค่ให้มันอยู่ในสวนเท่านั้น ใครจะไปรู้ว่ามันจะวิ่งพล่านไปทั่วจวนกันเล่า
นางไม่ผิดเสียหน่อยก็ใครใช้ให้คนของเขามาไล่จับมันแบบนี้ แต่มีหรือที่คนอย่างเยว่หลิงจะสนใจในเมื่อนางตั้งใจจะกวนประสาทเขาอยู่แล้ว
บรรดาบ่าวในจวนต่างก็รีบวิ่งไล่จับหมูน้อยตัวนั้นส่วนนางนั้นก็เอาแต่หัวเราะร่วนไม่รักษากิริยาของสตรีแต่อย่างใด เป็นองค์หญิงแน่หรือ?
“ท่านอ๋อง”
“ท่านอ๋อง!”
“จะเสียงดังทำไม”
“ข้าเรียกท่านตั้งนานแล้วไม่เห็นตอบ ท่านคิดอะไรอยู่งั้นหรือ”
‘อยากสังหารเจ้าอย่างไรล่ะ’
แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงความคิดภายในใจของเขาเท่านั้น แม้อยากจะทำมากเพียงไรก็คงได้เพียงแค่คิด ขณะที่หลี๋อ๋องกำลังจะหันหลังไปสั่งการกับองค์รักษ์คนสนิท หวางกงกงและบรรดานางกำนัลจากวังหลวงก็เดินเข้ามาในจวนพร้อมกับของพระราชทานที่ดูแล้วน่าจะเป็นของฮ่องเต้และฮองเฮาอีกด้วย
“หวางกงกง”
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยทำตามรับสั่งของฝ่าบาทนำราชโองการมาให้แก่ท่านหญิงจากเป่ยฉีพ่ะย่ะค่ะ”
“เร็วถึงเพียงนั้นเชียว”
“ท่านหญิงเฟยหลิงจวิ้นจู่รับราชโองการ”
เยว่หลิงที่ได้ยินดังนั้นก็หันไปมองหลี๋อ๋องทันทีทุกคนในที่นั้นต่างก็คุกเข่าลงรวมไปถึงหลี๋อ๋องอีกด้วย
ด้วยโองการแห่งฟ้าฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชา ได้ยินว่าองค์หญิงแห่งเป่ยฉี มีรูปโฉมงดงามกิริยาอ่อนน้อม มีคุณธรรม เบิกบานมีความรู้จึงตั้งใจร่วมเป็นทองแผ่นเดียวกับเป่ยฉี บัดนี้หลี๋อ๋องโจวซือเหยียนเลยวัยสวมมงกุฎแล้วเป็นเวลาเหมาะสมที่จะแต่งงาน…..
‘ไม่เคยพบข้าแล้วรู้ได้อย่างไรว่างาม ฮิๆ’
หลี๋อ๋องที่จ้องมองนางอยู่ก็ถึงกลับส่ายหน้าให้นางทันที ‘หลงตัวเองอีกแล้วสินะ’
….จึงแต่งตั้งให้เฟยหลิงจวิ้นจู่เป็นพระชายาเอกหลี๋อ๋อง อีกสามเดือนข้างหน้าจะมีพิธีอภิเษกสมรสขึ้น จบราชโองการ
“ขอบคุณหวางกงกง”
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยยังต้องไปที่จวนองค์ชายท่านอื่นเช่นนั้นแล้ว…”
“รีบไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหวางกงกงและเหล่านางกำนัลออกจากจวนของเขาไปหมดแล้ว หลี๋อ๋องก็ลุกขึ้นก่อนจะเอ่ยกับบ่าวในจวนให้รับรู้ว่า
“ทุกคนที่อยู่ที่นี่จงฟัง ต่อไปนี้ท่านหญิงเยว่เหวินหลิงผู้นี้คือชายาของข้า เคารพนางก็เหมือนเคารพข้า”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง/เพคะท่านอ๋อง”
“ต่อไปนี้เจ้าคือชายาของข้า ก็ควรที่จะสำรวมกิริยามากกว่านี้อย่าได้คิดที่จะ…”
“ข้ารู้แล้วน่า นี่ก็สายมากแล้วท่านหิวหรือไม่”
‘หิว? วันๆนางจะคิดเรื่องอื่นมากไปกว่าก่อกวนเขาแล้วก็กินอย่างเดียวงั้นหรือ’
“ข้ายังไม่หิว”
“แต่ข้าหิวแล้ว พ่อบ้านสือเจ้าตั้งโต๊ะอาหารแล้วหรือยัง”
“อะ เอ่อคือว่า”
‘ให้ตายสิจวนของเขาจากที่เคยสงบเรียบร้อยมาวันนี้กลายเป็นแบบนี้แล้วจะให้เขามีอารมณ์กินได้อย่างไร’
“พ่อบ้านสือไปเตรียมอาหารมาให้นาง”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
“ส่วนเจ้ากลับเข้าไปในเรือนได้แล้ว ทางนี้ข้าจัดการเอง”
“จริงหรือ ขอบพระทัยเพคะ”
“เดี๋ยว”
“หืม”
“วันนี้ยามเว่ย(13.00-15.00 น.) ข้าจะเดินทางไปเมืองเล่ออานเจ้าอยู่ที่นี่ทำตัวดีๆ อย่าได้ก่อกวนอีกเป็นอันขาด”
“เมืองเล่ออาน? ท่านจะเดินทางวันนี้เลยหรือ ไม่พักก่อนล่ะ? ”
“ไม่มีเวลาแล้ว ไปเถอะหลี่จิ่ง”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
เยว่หลิงที่เห็นเขากำลังจะเดินจากไปก็รีบวิ่งไปดักด้านหน้าของเขาทันที
“ท่านอ๋องให้ข้าไปด้วยได้หรือไม่”
“ไม่ได้ ข้าไปทำตามรับสั่งของฮ่องเต้เจ้าก็จงอยู่ที่จวนเท่านั้นก็พอ”
“ข้าอยากไปด้วยนี่นา เผื่อมีอะไรที่ข้าจะช่วยเหลือท่านได้”
“ไม่ได้”
“ท่านอ๋อง”
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ข้าไม่อนุญาต”
“แต่ว่า”
“เจ้าอย่าพูดมากรอข้าอยู่ที่นี่อย่าได้คิดก่อเรื่อง”
“ข้าไม่ได้จะก่อเรื่องเสียหน่อย ข้าแค่อยากช่วย”
“ท่านหญิงที่วันๆเอาแต่อยู่ในรั้วในวังเช่นเจ้าหรือจะช่วยอะไรใครได้”
“ท่านว่าอะไรนะ”
“อยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นข้าจะกักบริเวณเจ้า”
“ก็ได้”
เยว่หลิงรับปากส่งๆไปอย่างนั้น นางคิดเอาไว้แล้วว่าจะแอบตามหลังเขาไปโดยไม่ให้รู้ตัวโดยเด็ดขาดเมื่อหลี๋อ๋องไปแล้วเยว่หลิงก็หันหลังไปเรียกสาวใช้ส่วนตัวของนางทันที
“นี่ เสี่ยวหลัน”
“มีอะไรหรือเพคะพระชายา”
“ท่านอ๋องจะไปเมืองเล่ออานทำไมหรือ”
“หม่อมฉันได้ยินมาว่าที่เมืองเล่ออานมีโรคระบาดเพคะ ฮ่องเต้ทรงส่งหมอหลวงไปหลายคนแล้วก็ยังไร้วี่แววที่จะกำจัดโรคนี้ได้แว่วว่าหากทิ้งไว้นานอาจจะลามมาถึงเมืองหลวงได้เพคะ”
“งั้นหรือ”
‘หากเป็นท่านแม่ก็อาจจะช่วยได้แต่กับข้าไม่ถนัดอะไรแบบนี้เสียด้วยสิ ถนัดแต่ก่อกวน ฮึๆ’
“พระชายาอากาศที่นี่เริ่มเย็นแล้วเข้าไปในเรือนกันเถอะเพคะ”
“อืม”
เยว่หลิงมองตามอาชาสีดำสนิทที่คุ้นเคยนั้น มันกำลังพาบุรุษผู้หล่อเหลาผู้นั้นเยื้องย่างออกไปจากจวนจนลับหายสายตาไป
แม้ว่าเขาจะหล่อเหลาดูดีไปหมดเสียทุกอย่าง ทว่านางกลับไม่อยากรู้จักและไม่อยากถลำลึกไปมากกว่าไม่เช่นนั้นจุดประสงค์ที่นางมาที่นี่จะสูญเปล่าเสียก่อน
เยว่หลิงกำลังเดินเข้าไปในเรือนแต่ก็มีเสียงของใครบางคนเรียกนางไว้
“พระชายา”
เยว่หลิงหันหลังไปมองก็พบว่าเป็นตงหยางองค์รักษ์อีกคนของหลี๋อ๋อง
“มีอะไรหรือ”
“พระชายาท่านอ๋องให้ข้าน้อยไปรับเสื้อคลุมมาให้ท่านพ่ะย่ะค่ะ”
“เสื้อคลุม?”
“อากาศที่นี่เริ่มเย็นแล้ว หากพระชายายังไม่คุ้นเคยเกรงว่าจะหนาวเอาได้ท่านอ๋องจึงให้ข้านำมาให้ท่านพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบใจ”
“ส่วนนี่คือป้ายคำสั่งของท่านอ๋องสามารถเข้าออกจวนได้ตลอดเวลา ท่านอ๋องเกรงว่าพระชายาจะเบื่อจึงให้ข้าน้อยนำมาให้เผื่อว่าพระชายาจะอยากออกไปเที่ยวในเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือแล้วเจ้าไม่ต้องตามท่านอ๋องไปหรอกหรือ”
“ท่านอ๋องสั่งให้ข้าน้อยอยู่รับใช้พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
‘อยู่รับใช้หรืออยู่เฝ้าข้ากันแน่’
“เช่นนั้นก็แสดงว่าเจ้าต้องทำตามคำสั่งของข้าสินะ”
“ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี พาข้าไปเมืองเล่ออาน”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ หือ? อะ…อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าบอกว่าข้าจะไปเมืองเล่ออาน”
“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะพระชายา”
“ใช่เเล้วไปไม่ได้นะเพคะ”
“ทำไมล่ะก็พวกเจ้าเป็นคนของข้าแล้วเช่นนั้นก็ต้องทำตามคำสั่งของข้า พาข้าไปเมืองเล่ออานเดี๋ยวนี้”
“พระชายา!/พระชายา!”
“ไม่ไปงั้นหรือ เช่นนั้นข้าจะไปเอง”
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะจะไปเพียงลำพังได้อย่างไร เช่นนั้นทรงรออยู่ตรงนี้กระหม่อมจะไปเอารถม้าก่อน”
“ดีมาก เสี่ยวหลันเจ้าไปเตรียมของใช้สำหรับข้าเอาไว้เราจะไปเที่ยวกัน”
เสี่ยวหลันกับตงหยางมองหน้ากันด้วยความท้อแท้ที่สุด พระชายาจำที่นางบอกไม่ได้แล้วหรือเมืองเล่ออานเวลานี้มีโรคระบาด จะได้เที่ยวอะไรที่ไหนกันเล่า
“เร็วเข้าสิ”
“เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”
การเดินทางไปเมืองเล่ออานใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้นเพราะระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองหลวงนัก จึงทำให้ฮ่องเต้เป็นกังวลเรื่องโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นอย่างมากจึงมีรับสั่งให้หลี๋อ๋องไปจัดการควบคุมด้วยตัวเองระหว่างการเดินทางหลี๋อ๋องควบม้าไปด้านหน้าขบวนส่วนรถม้าที่บรรจุห่อยาและเสบียงนั้นอยู่ด้านหลัง พวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าพระชายาแอบตามมาด้วยเมืองเล่ออานอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าหลี่และแผ่นดินฝั่งตะวันออกนี้ก็อยู่ติดกับเขตแดนเหนือของแคว้นเป่ยฉีนั่นเองขบวนรถม้าของหลี๋อ๋องเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้เมืองเล่ออานมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางนั้นมีแต่ความเงียบเหงาไม่คึกคักเหมือนครั้งที่เขาเคยมาเยือนเมื่อเจ็ดปีก่อน ในครั้งอดีตที่เคยรุ่งเรืองผู้คนที่มากหน้าหลายตากลับสูญสลายหายไปสิ้นเพราะโรคระบาดที่ไม่อาจยับยั้งได้ในครานี้เมื่อก้าวผ่านประตูเมืองไปแล้วชาวบ้านละแวกนั้นก็เริ่มทยอยกันออกมายืนเฝ้ามองดูกันเต็มทั้งสองข้างทาง หลี๋อ๋ององค์ชายลำดับที่สี่ของฮ่องเต้แคว้นต้าหลี่มาที่เมืองของพวกเขาช่างน่ายินดียิ่งนักเพราะน้อยครั้งมากที่จะเห็นคนในราชวงศ์ห่วงใยประชาชนและลงมาดูแลพว
‘ด่าได้เร้าใจมาก’“ข้าดูแลตัวเองได้น่า”“ลงไปกับข้า”“ก็ได้ ว๊าย! เหตุใดไม่ให้ข้าเดินลงบันไดไปเล่า”“ข้ายังมีงานต้องทำมัวชักช้ามันเสียเวลา”เมื่อทั้งคู่ลงมาอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าเมืองเล่ออานก็รีบเข้ามาหาพวกเขาทันที“ท่านอ๋อง พระชายา”“ท่านคือ?...”“เขาคือเจ้าเมืองเล่ออานนามว่าหวังตี๋เฟย”“ดีใจที่ได้พบท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ”“ขอบพระทัยที่เป็นห่วงเป็นใยชาวเมืองเล่ออานมากพ่ะย่ะค่ะ”เยว่หลิงได้เพียงแค่ส่งยิ้มให้เขาเพราะถูกหลี๋อ๋องจ้องมองอยู่ไม่วางตา“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้างั้นหรือ”“มีสิมีแน่แต่ไว้หลังจากข้ากลับมา เจ้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้รู้หรือไม่ว่าจะโดนอะไร”เยว่หลิงไม่สนใจที่เขาขู่ไม่ทันจะตอบโต้เขาไปก็ได้ยินเสียงบ
เจ้าเมืองเล่ออานนำพาคนทั้งหมดมาที่หุบเขาเหอหนานซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมืองเล่ออาน ด้วยกลัวว่าโรคระบาดจะลามไปทั่วเมืองเขาจึงต้องนำผู้ป่วยมารักษาที่หุบเขาแห่งนี้แทนเพียงไม่นานก็ขึ้นเขามาถึงบริเวณที่ใช้รักษาคนที่ติดเชื้อ เยว่หลิงเดินตามพวกเขามาจนถึงกระโจมหลังหนึ่งที่เวลานี้บริเวณโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่นอนรักษาตัวกันเต็มไปหมด“ท่านหมอขอรับ ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว”เยว่หลิงที่เดินตามพวกเขามาเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันใด‘แผ่นหลังนั้นช่างคุ้นเคยเสียจริง’นางมองไปที่หมอหญิงผู้นั้นอีกครั้งด้วยความสงสัยแต่ท่านหมอผู้นั้นกลับไม่ยอมหันกลับมามองพวกเขาเสียที“ท่านอ่องขออภัยด้วย ข้าต้องรักษาบาดแผลของผู้เฒ่าผู้นี้ไม่สะดวกที่จะหันไปสนทนากับท่านในเวลานี้”“ไม่เป็นไรขอรับท่านหมอ ตงหยางเจ้าพาพระชายาไปนั่งรอทางนั้นก่อนข้าจะสนทนากับท่านหมอเสียหน่อย”“พ่ะย่ะค
“ใต้เท้าโจวข้ายังมีบางสิ่งที่ต้องทำท่านช่วยพาพวกเขากลับเข้าเมืองไปก่อนนะ”“ได้ขอรับท่านอ๋อง”“แต่ว่าท่านอ๋อง…”หลี๋อ๋องไม่อยู่ฟังเสียงเรียกของฉางอิ๋นเซียนแต่อย่างใดเขารีบควบม้านำพาเยว่หลิงผ่านเข้าไปในตัวเมืองด้วยความรวดเร็วเมื่อคิดว่าพ้นจากสายตาของพวกเขาแล้ว หลี๋อ๋องก็พาเยว่หลิงควบม้าลัดเลาะมายังตรอกถนนที่ไร้ผู้คนเข้าไปเส้นทางยังป่าที่ดูเงียบสงบแต่บรรยากาศกลับแปลกประหลาดพิลึก"ท่านอ๋องข้าหิวข้าวแล้วไหนท่านบอกว่าจะพาข้าไปกินข้าวก่อนอย่างไรล่ะ""ก็นี่อย่างไรเล่าข้ากำลังจะพาไป""นี่มันป่าช้าแล้วมีร้านขายข้าวที่ไหนกัน ผ่านเข้าเมืองมาเมื่อครู่เหตุใดไม่พาข้าแวะก่อนเล่า""ทำไมเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้นะไม่รู้หรือของอร่อยๆ ย่อมไม่ได้พบเห็นกันง่ายๆ""เฮอะๆ ขอให้จริงเถอะ"พูดคุยกันไปได้สักพักอาชาสีดำสนิทของหลี๋อ๋องก็พาพวกเขาทั้งคู่มาถึงเรือนแห่งหนึ่งโครงสร้างเรือนที่ดูธรรมดาๆ แต่เมื่อดูให้ชัดเจน
เยว่หลิงหันมองคนนั้นทีคนนี้ทีอาหารที่เคี้ยวยังไม่ละเอียดก็พลันหลุดติดคอของนางเรียกความสนใจจากหลี๋อ๋องในทันที“ก็ข้าบอกแล้วว่าให้กินช้าๆ”“แค่ก แค่ก น้ำ น้ำ”เขายื่นถ้วยน้ำชามาตรงหน้านาง เยว่หลิงรีบยกขึ้นดื่มทันทีก่อนที่เขาจะหันไปหยิบเอากาน้ำชามารินให้นางเพิ่มแต่เมื่อหันมาอีกครั้งก็พบว่าหญิงสาวด้านข้างเขานั้นนั่งกินอาหารต่ออีกแล้ว“สำลักอาหารเกือบจะตายไปแล้ว ทำไมยังกินต่อได้อีกล่ะ”“ท้องของข้ายังว่าง รับอาหารได้เยอะพอสมควรเพคะ”นางไม่สนใจเขาก่อนจะคีบเอาเนื้อผัดเข้าปากน้อยๆของนางแล้วเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ไม่รักษากิริยามารยาทของหญิงงามแต่อย่างใด“ค่อยๆกินสิ จะรีบไปทำไมกันเดี๋ยวได้ติดคอตายหรอก”“ท่านแช่งข้าหรือ”“หรือไม่จริง ข้าบอกว่าให้เคี้ยวดีๆ เจ้าเป็นสตรีเช่นไรกันนะ”“ข้าก็เป็นของข้าแบบนี้หากท่านชื่นชอบสตรีที่มากด้วยมารยาทก็ไปหาคนอื
กว่าทั้งคู่จะกลับถึงจวนก็เป็นเวลายามเซิน (15.00-17.00 น.) แล้ว เมื่ออาชาของหลี๋อ๋องวิ่งเข้าใกล้จวนเจ้าเมือง พลันสายตาของเยว่หลิงก็เหลือบไปเห็นเงาของสัตว์บางอย่างมันกำลังยืนหลบอยู่ตรงข้างๆกำแพงจวนแต่เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้งเงานั้นก็ลับหายไปอย่างรวดเร็ว“เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”“อ้อ พระจันทร์น่ะเพคะงดงามมาก”“ไม่เคยเห็นหรืออย่างไร”“ช่างเถอะข้าไม่พูดกับท่านแล้ว”เมื่อม้าของเขาหยุดนิ่งสนิทตรงหน้าประตูจวน เยว่หลิงก็เอี้ยวตัวกระโดดลงจากหลังม้าด้วยความรวดเร็ว“เดี๋ยวสิ! เจ้าอยากขาหักหรืออย่างไร”“ข้าขี่ม้าเป็นน่า”เมื่อลงจากหลังม้าและก้าวออกห่างจากตัวหลี๋อ๋องได้แล้วนางก็ตั้งท่าจะเข้าไปยังเรือนพักทันที“พระชายาท่านกลับมาแล้ว”“อืม เหนื่อยจะแย่ข้าอยากอาบน้ำเต็มทีแล้ว”“หม่อมฉันเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้พระชายาแล้วเพคะ”
เมื่อเยว่หลิงกลับมาถึงที่จวนเจ้าเมือง นางก็รีบตรงดิ่งไปยังเรือนพักของนางทันทีเมื่อเดินมาถึงห้องของนางก็เป็นอันหยุดชะงักไป เสียงของคนที่อยู่ด้านในห้องที่ดังแว่วออกมาข้างนอกทำให้ขาของนางสั่นไม่หาย“หม่อมฉันไม่รู้จริงๆเพคะ”“ไม่รู้ได้อย่างไร เจ้ามีหน้าที่ดูแลพระชายาเหตุใดถึงไม่รู้ว่านางไปไหน”“หม่อมฉันรู้สึกเหมือนว่า…”เยว่หลิงรีบเปิดประตูเข้าไปทันทีก่อนที่เสี่ยวหลันจะหลุดปากบอกว่านางถูกวางยา“ท่านอ๋อง ท่านเข้ามาในห้องของข้าทำไมหรือ”“เจ้าหายไปไหนมา”“ข้าหรือ ข้าออกไปเดินเล่น”“ทิ้งสาวใช้เอาไว้ลำพังแล้วเจ้าออกไปเดินเล่นเนี่ยนะ”“ความจริง ข้าพาจ้านจ้านออกไปเดินเล่นนะเพคะ”“จ้านจ้านงั้นหรือ?”เยว่หลิงพูดปดด้วยการยกจ้านจ้านมาอ้าง ไม่รู้ว่าป่านนี้สัตว์เลี้ยงของนางจะรู้ตัวแล้วหรือยังที่ถูกนางแอบอ้างเช่นน
เพราะไม่กล้าปล่อยให้พระชายามาเพียงลำพัง ตงหยางกับหลี่จิ้งจึงรีบเตรียมสัมภาระสำหรับการเดินทางขึ้นเขาด้วยความรวดเร็วโดยไม่ได้ไปแจ้งแก่หลี๋อ๋องก่อนแต่อย่างใด‘อย่างน้อยนางก็คือพระชายาตามพระราชโองการที่ฮ่องเต้แต่งตั้งแล้ว หากไม่ดูแลนางให้ดีมีหวังหัวของพวกเขาคงไม่ได้อยู่บนบ่าเป็นแน่’เมื่อมาถึงหุบเขาที่รกทึบต้นไม้น้อยใหญ่ก็แลดูสูงชะลูดยิ่งนัก ลมที่พัดผ่านมาหอบเอาไอเย็นกระทบกับร่างของพวกเขาจนรู้สึกสั่นสะท้าน“พระชายา ท่านแน่ใจหรือว่าจะเข้าไปข้างในนั้น”“มีของที่ต้องใช้ไม่อยากไปก็ต้องไปอยู่ดี”“พวกเจ้าอย่าพูดมากน่า เดินตามข้าเร็วเข้า”“พระชายา!”เสียงร้องเรียกของใครบางคนดังอยู่ด้านหลังของนาง เมื่อหันไปมองดูก็พบว่าเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ใบหน้าช่างคุ้นเสียจริง“ท่านคือ”“นี่ท่านความจำสั้นเพียงนั้นเชียวหรือ จำข้าไม่ได้เสียแล้ว”“ซือเ
-สองเดือนถัดไป-หลังจากพระชายาฉินรักษาโรคระบาดไปจนหมดสิ้นแล้ว พวกนางก็มาปักหลักอยู่ที่จวนหลี๋อ๋องกันต่อโดยยังไม่มีกำหนดเดินทางกลับแคว้นเป่ยฉีแต่อย่างใดจวนหลี๋อ๋องของเขาเวลานี้นั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ความรู้สึกอบอุ่นที่เขาไม่ได้พานพบมานานมากแล้วเอ่อร้นออกมาไปทั่วทั้งจวน“จะว่าไปแล้วพอนึกๆดูข้าก็ไม่คาดคิดว่าจุดจบของนางจะเป็นเช่นนี้เลย วันนั้นข้าอุตส่าห์ช่วยนางเอาไว้แล้วแท้ๆก็นึกว่าฮ่องเต้จะอภัยโทษนางได้”“เจ้าใจอ่อนเกินไปแล้วหลิงเอ๋อโทษของนางนั้นร้ายแรงยิ่งนักไม่อาจเลี่ยงได้ หนึ่งชีวิตของนางที่ต้องตายไปเทียบไม่ได้กับชีวิตของชาวบ้านหลายคนที่ต้องตายจากฝีมือของนางหรอกนะ”“แต่นางช่างเป็นสตรีที่รักมั่นเสียจริงทีแรกข้าก็นึกว่านางมีใจให้ท่านเสียอีก”“เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้นกันล่ะ”“ก็เห็นนางตามติดท่านอย่างกับอะไรดีข้าเกือบหึงท่านไปแล้วไหมล่ะ”
วันเวลาผ่านไปเพียงไม่นานก็มาถึงวันแต่งงานของหลี๋อ๋องกับท่านหญิงเยว่หลิงเพราะเป็นโอรสที่ฮองเฮาเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็กนางจึงลงมือจัดเตรียมงานแต่งนี้อย่างยิ่งใหญ่ด้วยพระองค์เองเยว่เหวินหลงพี่ชายฝาแฝดของนางได้จัดซื้อจวนขนาดใหญ่เอาไว้ให้ผู้เป็นน้องสาวโดยเฉพาะและจัดหาอุปกรณ์ของใช้ราคาแพงทุกชนิดยัดเข้าไปในจวนหลังใหญ่หลังนั้นส่วนอ๋องฉินนั้นแม้จะแสดงออกว่าไม่ได้ตื่นเต้นกับงานแต่งนี้แต่อย่างใด แต่คนใกล้ชิดเช่นองค์รักษ์คนสนิทของเขาต่างก็รู้กันว่าเวลานี้ท่านอ๋องของพวกเขานั้นตื่นเต้นแทบจะนั่งไม่ติดอยู่แล้ว ใจของเขาคงไปอยู่ที่งานแต่งนั้นไปแล้วกระมังชุดแต่งงานของเยว่หลิงนำมาจากเป่ยฉีโดยเฉพาะ ชุดแต่งงานที่มีฝีมือการปักประณีตหรูหราอย่างที่สุดเป็นฝีมือของท่านแม่ของนางนั่นเองเมื่อถึงวันแต่งงานพิธีแต่งงานอันยิ่งใหญ่ของเมืองต้าหลี่ถูกจัดขึ้นในจวนหลี๋อ๋องเจ้าสาวคือท่านหญิงเยว่หลิงผู้มีรูปโฉมงดงามราวกับนางฟ้าส่วนเจ้าบ่าวคือหลี๋อ๋ององค์ชายสี่ของฮ่องเต้ฮุ่ยถิงแคว้นต้าหลี่ แขกเหร
-จวนหลี๋อ๋อง-“ท่านพี่ มีคนคนหนึ่งอยากรู้จักท่านเจ้าค่ะ”“ใครหรือ?”ฉินอ๋องที่กำลังเบื่อหน่ายที่ลูกน้องของเขาสองคนนั้นไม่เอาไหนเสียเลย ฝึกวรยุทธ์ได้ไม่นานก็บ่นว่าปวดหลังบ้างล่ะ เจ็บเข่าบ้างล่ะ อายุไม่มากเท่าไหร่เหตุใดบ่นเป็นตาแก่เช่นนั้นกันเขาหันไปมองก็เห็นลู่เหยียนซินที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับบุรุษรูปร่างสมส่วนนั้นอยู่ ดูเหมือนนางจะสนทนากับคนผู้นั้นกันอย่างออกรสมากจนลมหึงเริ่มพัดโชยมาทันใด“เอ่อท่านอ๋องข้าว่าควรจะบอกท่านพ่อของข้าก่อนดีหรือไม่”“ไม่เป็นไรหรอกน่า เสด็จพ่อของข้าน่าจะรับมือได้”“ท่านอย่าไว้ใจเขาสิ ท่านพ่อข้าขี้หึงมากนะท่านไม่รู้หรือ”“อะไรนะ?”หลี๋อ๋องหันไปมองฉินอ๋องที่เวลานี้ใบหน้าของเขาบึ้งตึงมากขึ้นเรื่อยๆ หรือจะจริงดังที่เยว่หลิงกล่าวเมื่อครู่ ท่านอ๋องผู้นี้หึงพระชายาของเขาอยู่หรือนี่&lsqu
-เช้าวันถัดไป-ขบวนรถม้าของหลี๋อ๋องมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองหลวงตั้งแต่เช้าตรู่“เหตุใดพวกเราไม่ไปกับนาง”“ท่านพี่ปล่อยให้นางจัดการอะไรเองบ้างเถอะเพคะ เพียงแค่ลูกของเราปลอดภัยแล้วก็ดีแล้วไม่ใช่หรือที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนางเถอะ”“แต่ว่าข้า”“เมื่อคืนท่านยังไม่เข้าใจอีกใช่หรือไม่”เสียงเข้มดุดันของนางทำให้อ๋องฉินหยุดพูดทันทีแม้เขาจะห่วงบุตรสาวเพียงคนเดียวมากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจขัดใจผู้เป็นภรรยาได้ในเวลานี้‘แม่เสือเช่นนางคงได้กัดคอเขาตายอย่างแน่นอน’อ๋องฉินยืนมองส่งเยว่หลิงที่หน้าประตูเมืองพร้อมกับองค์รักษ์คู่ใจ ชิงอีและเฟยหยาจนขบวนรถม้านั้นหายลับไปจากสายตาของพวกเขา-เมืองหลวงต้าหลี่-เมื่อมาถึงวังหลวงหลี๋อ๋องก็รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นกับฮ่องเต้ทุกอย่าง ฮ่องเต้ทำ
-จวนหลี๋อ๋อง-เมื่อเหตุการณ์สงบลงหลี๋อ๋องก็เชิญอ๋องฉินและพระชายาฉินมาพักที่จวนเจ้าเมืองด้วยกัน แม้ตอนแรกพระชายาฉินจะปฎิเสธไปแต่อ๋องฉินผู้เป็นสามีของนางกลับตอบตกลงไปเสียอย่างนั้นทั้งคู่เวลานี้กำลังนั่งจ้องมองใบหน้ากันไปมา ด้วยฤทธิ์สุราที่ดื่มเข้าไปนั้นทำให้หลี๋อ๋องกล้าที่จะพูดคุยกับบิดาของเยว่หลิงมากขึ้น“ข้าต้องขออภัยท่านอ๋องด้วยนะขอรับ ข้าไม่รู้จริงๆว่าท่านคือท่านพ่อของนาง”ฉินอ๋องที่ได้ยินดังนั้นก็ชายตามองไปยังว่าที่ลูกเขยของเขาแม้จะหมั่นใส้เขาไม่น้อยแต่ลูกสาวของเขาก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นพระชายาไปแล้ว ข้าวสารไม่รู้กลายเป็นข้าวสุกไปแล้วหรือยังเช่นนั้นก็ทำได้แค่ยินยอมไปก่อนเท่านั้น“นางบอกว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เพียงนางคนเดียวที่ทำเช่นนั้นก็แสดงว่ายังมีคนอยู่เบื้องหลังอีก อย่างน้อยก็ช่วยชาวบ้านไปได้แล้วอย่างหนึ่งที่เหลือคงต้องเป็นหน้าที่ของท่านอ๋องแล้วนะเพคะ”“พระชายาไม่ต้องเป็นห่วง ข้า
“นี่ก็ใกล้ยามโหย่ว (17.00-19.00น.) แล้วเหตุใดนางถึงไม่กลับมาเสียที”“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“มีอะไร”“ดูนั่นสิพ่ะย่ะค่ะ”หลี๋อ๋องเหลือบไปมองตามที่หลี่จิ่งกำลังชี้นิ้วไปที่อะไรบางอย่าง บางสิ่งบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดมิดเขาเห็นเพียงดวงตาที่แดงฉานนั้นกำลังจดจ้องมองมาที่พวกเขาอยู่ หลี่จิ่งแม้จะหวาดกลัวอยู่ภายในใจแต่เขาก็รีบเข้ามายืนขวางอยู่ด้านหน้าของหลี๋อ๋องทันที สิ่งมีชีวิตที่มีเพียงดวงตาที่แดงฉานนั้นจดจ้องมาที่หลี๋อ๋อง เขาเคยเห็นมัน!จ้านจ้านเมื่อเห็นว่าพวกเขาเหมือนจะกลัวมันแล้วมันก็รีบเดินออกมาจากที่ซ่อนทันใด สีหน้าและแววตาของมันดูเหมือนจะภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่สามารถขู่ให้พวกเขากลัวได้“จ้านจ้านงั้นหรือ”“เอ๋ ท่านอ่องนั่นไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของพระชายาหรอกหรือ”“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”จ้านจ้านเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าเขาก่อนจะยืดตัว
-เช้าวันถัดไป-“เจ้าทำอะไรอยู่งั้นหรือ”หลี๋อ๋องเดินเข้ามาหานางอย่างเชื่องช้าเพราะอาการบาดเจ็บบริเวณหน้าท้องนั้นพึ่งเกิดขึ้นไม่นานจึงทำให้แผลของเขายังไม่สมานกันดีเท่าใดนัก“ท่านออกมาทำไม”“ข้าไม่เห็นเจ้าเลยทั้งวัน”“ข้าก็แค่”“อะไรหรือ”หลี๋อ๋องนั่งลงข้างๆ นางก่อนจะเอ่ยถามนางออกไปว่า“ข้าได้ยินว่าสาวใช้ของเจ้าติดเชื้อนางอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”“ให้คนพาไปที่หุบเขาแล้วหากติดเชื้อจะให้อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ต้องส่งไปให้ท่าน…”“หืม”“เอ่อ ท่านหมอตรวจอาการน่ะอยู่กับท่านหมอน่าจะดีกว่า”“ก็ดีแล้วเป็นห่วงนางมากหรือข้าเห็นเจ้าดูเป็นกังวลมาก”เยว่หลิงเพียงแค่จ้องมองเขานิ่งไม่ยอมตอบคำถามของเขาอยู่นานสองนานจนสุดท้ายจึงได้เอ่ยปากถามเขาออกไป&
เยว่หลิงรักษาบาดแผลให้หลี๋อ๋องเรียบร้อยก็รอจนเขาหลับไปถึงได้ออกเดินไปเพื่อพักสายตา ขณะที่นางเดินเลี้ยวอ้อมมาทางหุบเขาอีกด้านนั้นก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างเยว่หลิงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลานางรอคอยการมาของใครบางคนอยู่อย่างใจจดใจจ่อเมื่อเขาปรากฎกายขึ้นด้านหลังของนางเยว่หลิงก็ไม่มีอาการหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยนางเอ่ยปากถามคนด้านหน้าของนางทันที“เจ้าต้องการอะไร”“ถามมาได้ ข้าก็ต้องการชีวิตของเจ้าอย่างไรล่ะ”“เช่นนั้นก่อนจะตายก็ควรบอกข้าไม่ใช่หรือว่าใครจ้างวานเจ้ามา”“ฮ่าๆๆ เจ้าตายไปเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหล่ะ”ชายชุดดำไม่พูดเปล่าเขาตวัดดาบเข้าหานางด้วยความรวดเร็ว จังหวะเพลงกระบี่ของเขานั้นทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างมากไม่บอกก็รู้ที่มาของเพลงกระบี่นั้นเยว่หลิงเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆแล้วนางหยิบเอาเข็มเงินออกมาก่อนจะตวัดเข้าไปหาชายชุดดำนั้นด้วยความรวดเร็วเขาไม่คิดว่านางจะมีวรยุทธ์จึงไม่ทันได
“พี่สี่ ที่นางมาที่นี่เพียงเพื่อต้องการสมุนไพรเท่านั้นจริงๆน่ะหรือ”“ข้าก็ …ไม่มั่นใจว่านางอยากได้สมุนไพรหรือเพียงนึกสนุกมาเที่ยวเล่นกันแน่”“พวกท่านพูดอะไรไม่รู้จริงๆ น่ะหรือว่าสมุนไพรที่นี่ใช้ชุบชีวิตคนที่ใกล้ตายให้กลับมามีชีวิตดังเดิมได้และไม่ใช่ว่าสมุนไพรพวกนั้นจะพบเจอได้ง่ายๆ เฉกเช่นพืชผักที่ขายกันเกลื่อนตามตลาดทั่วๆ ไป”“จริงหรือ”“แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่เชี่ยวชาญเท่านั้นถึงจะรู้ว่าอันไหนมีพิษอันไหนที่ใช้ได้ คนทั่วไปไหนเลยจะมองออก”เยว่หลิงยังคงก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆดูเหมือนกับนางไม่รู้เหน็ดเหนื่อยอย่างไรอย่างนั้น พวกเขาใช้เวลาเดินทางมาไม่นานนักในที่สุดก็พบเข้ากับผาหินสูงชันที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ตรงกลางผาหินนั้นมีช่องว่างขนาดใหญ่และมีหมอกควันลอยขึ้นมาจากผาด้านล่างแทบจะปิดทางเข้าปากถ้ำจนมิด “ที่นั่นคือ...” “เหวร้างยังไงล่ะ ท่านเห็นต้นไม้ตรงนั้นหรือไม่