เยว่หลิงหันมองคนนั้นทีคนนี้ทีอาหารที่เคี้ยวยังไม่ละเอียดก็พลันหลุดติดคอของนางเรียกความสนใจจากหลี๋อ๋องในทันที
“ก็ข้าบอกแล้วว่าให้กินช้าๆ”
“แค่ก แค่ก น้ำ น้ำ”
เขายื่นถ้วยน้ำชามาตรงหน้านาง เยว่หลิงรีบยกขึ้นดื่มทันทีก่อนที่เขาจะหันไปหยิบเอากาน้ำชามารินให้นางเพิ่มแต่เมื่อหันมาอีกครั้งก็พบว่าหญิงสาวด้านข้างเขานั้นนั่งกินอาหารต่ออีกแล้ว
“สำลักอาหารเกือบจะตายไปแล้ว ทำไมยังกินต่อได้อีกล่ะ”
“ท้องของข้ายังว่าง รับอาหารได้เยอะพอสมควรเพคะ”
นางไม่สนใจเขาก่อนจะคีบเอาเนื้อผัดเข้าปากน้อยๆของนางแล้วเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ไม่รักษากิริยามารยาทของหญิงงามแต่อย่างใด
“ค่อยๆกินสิ จะรีบไปทำไมกันเดี๋ยวได้ติดคอตายหรอก”
“ท่านแช่งข้าหรือ”
“หรือไม่จริง ข้าบอกว่าให้เคี้ยวดีๆ เจ้าเป็นสตรีเช่นไรกันนะ”
“ข้าก็เป็นของข้าแบบนี้หากท่านชื่นชอบสตรีที่มากด้วยมารยาทก็ไปหาคนอื
กว่าทั้งคู่จะกลับถึงจวนก็เป็นเวลายามเซิน (15.00-17.00 น.) แล้ว เมื่ออาชาของหลี๋อ๋องวิ่งเข้าใกล้จวนเจ้าเมือง พลันสายตาของเยว่หลิงก็เหลือบไปเห็นเงาของสัตว์บางอย่างมันกำลังยืนหลบอยู่ตรงข้างๆกำแพงจวนแต่เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้งเงานั้นก็ลับหายไปอย่างรวดเร็ว“เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”“อ้อ พระจันทร์น่ะเพคะงดงามมาก”“ไม่เคยเห็นหรืออย่างไร”“ช่างเถอะข้าไม่พูดกับท่านแล้ว”เมื่อม้าของเขาหยุดนิ่งสนิทตรงหน้าประตูจวน เยว่หลิงก็เอี้ยวตัวกระโดดลงจากหลังม้าด้วยความรวดเร็ว“เดี๋ยวสิ! เจ้าอยากขาหักหรืออย่างไร”“ข้าขี่ม้าเป็นน่า”เมื่อลงจากหลังม้าและก้าวออกห่างจากตัวหลี๋อ๋องได้แล้วนางก็ตั้งท่าจะเข้าไปยังเรือนพักทันที“พระชายาท่านกลับมาแล้ว”“อืม เหนื่อยจะแย่ข้าอยากอาบน้ำเต็มทีแล้ว”“หม่อมฉันเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้พระชายาแล้วเพคะ”
เมื่อเยว่หลิงกลับมาถึงที่จวนเจ้าเมือง นางก็รีบตรงดิ่งไปยังเรือนพักของนางทันทีเมื่อเดินมาถึงห้องของนางก็เป็นอันหยุดชะงักไป เสียงของคนที่อยู่ด้านในห้องที่ดังแว่วออกมาข้างนอกทำให้ขาของนางสั่นไม่หาย“หม่อมฉันไม่รู้จริงๆเพคะ”“ไม่รู้ได้อย่างไร เจ้ามีหน้าที่ดูแลพระชายาเหตุใดถึงไม่รู้ว่านางไปไหน”“หม่อมฉันรู้สึกเหมือนว่า…”เยว่หลิงรีบเปิดประตูเข้าไปทันทีก่อนที่เสี่ยวหลันจะหลุดปากบอกว่านางถูกวางยา“ท่านอ๋อง ท่านเข้ามาในห้องของข้าทำไมหรือ”“เจ้าหายไปไหนมา”“ข้าหรือ ข้าออกไปเดินเล่น”“ทิ้งสาวใช้เอาไว้ลำพังแล้วเจ้าออกไปเดินเล่นเนี่ยนะ”“ความจริง ข้าพาจ้านจ้านออกไปเดินเล่นนะเพคะ”“จ้านจ้านงั้นหรือ?”เยว่หลิงพูดปดด้วยการยกจ้านจ้านมาอ้าง ไม่รู้ว่าป่านนี้สัตว์เลี้ยงของนางจะรู้ตัวแล้วหรือยังที่ถูกนางแอบอ้างเช่นน
เพราะไม่กล้าปล่อยให้พระชายามาเพียงลำพัง ตงหยางกับหลี่จิ้งจึงรีบเตรียมสัมภาระสำหรับการเดินทางขึ้นเขาด้วยความรวดเร็วโดยไม่ได้ไปแจ้งแก่หลี๋อ๋องก่อนแต่อย่างใด‘อย่างน้อยนางก็คือพระชายาตามพระราชโองการที่ฮ่องเต้แต่งตั้งแล้ว หากไม่ดูแลนางให้ดีมีหวังหัวของพวกเขาคงไม่ได้อยู่บนบ่าเป็นแน่’เมื่อมาถึงหุบเขาที่รกทึบต้นไม้น้อยใหญ่ก็แลดูสูงชะลูดยิ่งนัก ลมที่พัดผ่านมาหอบเอาไอเย็นกระทบกับร่างของพวกเขาจนรู้สึกสั่นสะท้าน“พระชายา ท่านแน่ใจหรือว่าจะเข้าไปข้างในนั้น”“มีของที่ต้องใช้ไม่อยากไปก็ต้องไปอยู่ดี”“พวกเจ้าอย่าพูดมากน่า เดินตามข้าเร็วเข้า”“พระชายา!”เสียงร้องเรียกของใครบางคนดังอยู่ด้านหลังของนาง เมื่อหันไปมองดูก็พบว่าเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ใบหน้าช่างคุ้นเสียจริง“ท่านคือ”“นี่ท่านความจำสั้นเพียงนั้นเชียวหรือ จำข้าไม่ได้เสียแล้ว”“ซือเ
“พี่สี่ ที่นางมาที่นี่เพียงเพื่อต้องการสมุนไพรเท่านั้นจริงๆน่ะหรือ”“ข้าก็ …ไม่มั่นใจว่านางอยากได้สมุนไพรหรือเพียงนึกสนุกมาเที่ยวเล่นกันแน่”“พวกท่านพูดอะไรไม่รู้จริงๆ น่ะหรือว่าสมุนไพรที่นี่ใช้ชุบชีวิตคนที่ใกล้ตายให้กลับมามีชีวิตดังเดิมได้และไม่ใช่ว่าสมุนไพรพวกนั้นจะพบเจอได้ง่ายๆ เฉกเช่นพืชผักที่ขายกันเกลื่อนตามตลาดทั่วๆ ไป”“จริงหรือ”“แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่เชี่ยวชาญเท่านั้นถึงจะรู้ว่าอันไหนมีพิษอันไหนที่ใช้ได้ คนทั่วไปไหนเลยจะมองออก”เยว่หลิงยังคงก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆดูเหมือนกับนางไม่รู้เหน็ดเหนื่อยอย่างไรอย่างนั้น พวกเขาใช้เวลาเดินทางมาไม่นานนักในที่สุดก็พบเข้ากับผาหินสูงชันที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ตรงกลางผาหินนั้นมีช่องว่างขนาดใหญ่และมีหมอกควันลอยขึ้นมาจากผาด้านล่างแทบจะปิดทางเข้าปากถ้ำจนมิด “ที่นั่นคือ...” “เหวร้างยังไงล่ะ ท่านเห็นต้นไม้ตรงนั้นหรือไม่
เยว่หลิงรักษาบาดแผลให้หลี๋อ๋องเรียบร้อยก็รอจนเขาหลับไปถึงได้ออกเดินไปเพื่อพักสายตา ขณะที่นางเดินเลี้ยวอ้อมมาทางหุบเขาอีกด้านนั้นก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างเยว่หลิงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลานางรอคอยการมาของใครบางคนอยู่อย่างใจจดใจจ่อเมื่อเขาปรากฎกายขึ้นด้านหลังของนางเยว่หลิงก็ไม่มีอาการหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยนางเอ่ยปากถามคนด้านหน้าของนางทันที“เจ้าต้องการอะไร”“ถามมาได้ ข้าก็ต้องการชีวิตของเจ้าอย่างไรล่ะ”“เช่นนั้นก่อนจะตายก็ควรบอกข้าไม่ใช่หรือว่าใครจ้างวานเจ้ามา”“ฮ่าๆๆ เจ้าตายไปเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหล่ะ”ชายชุดดำไม่พูดเปล่าเขาตวัดดาบเข้าหานางด้วยความรวดเร็ว จังหวะเพลงกระบี่ของเขานั้นทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างมากไม่บอกก็รู้ที่มาของเพลงกระบี่นั้นเยว่หลิงเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆแล้วนางหยิบเอาเข็มเงินออกมาก่อนจะตวัดเข้าไปหาชายชุดดำนั้นด้วยความรวดเร็วเขาไม่คิดว่านางจะมีวรยุทธ์จึงไม่ทันได
-เช้าวันถัดไป-“เจ้าทำอะไรอยู่งั้นหรือ”หลี๋อ๋องเดินเข้ามาหานางอย่างเชื่องช้าเพราะอาการบาดเจ็บบริเวณหน้าท้องนั้นพึ่งเกิดขึ้นไม่นานจึงทำให้แผลของเขายังไม่สมานกันดีเท่าใดนัก“ท่านออกมาทำไม”“ข้าไม่เห็นเจ้าเลยทั้งวัน”“ข้าก็แค่”“อะไรหรือ”หลี๋อ๋องนั่งลงข้างๆ นางก่อนจะเอ่ยถามนางออกไปว่า“ข้าได้ยินว่าสาวใช้ของเจ้าติดเชื้อนางอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”“ให้คนพาไปที่หุบเขาแล้วหากติดเชื้อจะให้อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ต้องส่งไปให้ท่าน…”“หืม”“เอ่อ ท่านหมอตรวจอาการน่ะอยู่กับท่านหมอน่าจะดีกว่า”“ก็ดีแล้วเป็นห่วงนางมากหรือข้าเห็นเจ้าดูเป็นกังวลมาก”เยว่หลิงเพียงแค่จ้องมองเขานิ่งไม่ยอมตอบคำถามของเขาอยู่นานสองนานจนสุดท้ายจึงได้เอ่ยปากถามเขาออกไป&
“นี่ก็ใกล้ยามโหย่ว (17.00-19.00น.) แล้วเหตุใดนางถึงไม่กลับมาเสียที”“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“มีอะไร”“ดูนั่นสิพ่ะย่ะค่ะ”หลี๋อ๋องเหลือบไปมองตามที่หลี่จิ่งกำลังชี้นิ้วไปที่อะไรบางอย่าง บางสิ่งบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดมิดเขาเห็นเพียงดวงตาที่แดงฉานนั้นกำลังจดจ้องมองมาที่พวกเขาอยู่ หลี่จิ่งแม้จะหวาดกลัวอยู่ภายในใจแต่เขาก็รีบเข้ามายืนขวางอยู่ด้านหน้าของหลี๋อ๋องทันที สิ่งมีชีวิตที่มีเพียงดวงตาที่แดงฉานนั้นจดจ้องมาที่หลี๋อ๋อง เขาเคยเห็นมัน!จ้านจ้านเมื่อเห็นว่าพวกเขาเหมือนจะกลัวมันแล้วมันก็รีบเดินออกมาจากที่ซ่อนทันใด สีหน้าและแววตาของมันดูเหมือนจะภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่สามารถขู่ให้พวกเขากลัวได้“จ้านจ้านงั้นหรือ”“เอ๋ ท่านอ่องนั่นไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของพระชายาหรอกหรือ”“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”จ้านจ้านเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าเขาก่อนจะยืดตัว
-จวนหลี๋อ๋อง-เมื่อเหตุการณ์สงบลงหลี๋อ๋องก็เชิญอ๋องฉินและพระชายาฉินมาพักที่จวนเจ้าเมืองด้วยกัน แม้ตอนแรกพระชายาฉินจะปฎิเสธไปแต่อ๋องฉินผู้เป็นสามีของนางกลับตอบตกลงไปเสียอย่างนั้นทั้งคู่เวลานี้กำลังนั่งจ้องมองใบหน้ากันไปมา ด้วยฤทธิ์สุราที่ดื่มเข้าไปนั้นทำให้หลี๋อ๋องกล้าที่จะพูดคุยกับบิดาของเยว่หลิงมากขึ้น“ข้าต้องขออภัยท่านอ๋องด้วยนะขอรับ ข้าไม่รู้จริงๆว่าท่านคือท่านพ่อของนาง”ฉินอ๋องที่ได้ยินดังนั้นก็ชายตามองไปยังว่าที่ลูกเขยของเขาแม้จะหมั่นใส้เขาไม่น้อยแต่ลูกสาวของเขาก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นพระชายาไปแล้ว ข้าวสารไม่รู้กลายเป็นข้าวสุกไปแล้วหรือยังเช่นนั้นก็ทำได้แค่ยินยอมไปก่อนเท่านั้น“นางบอกว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เพียงนางคนเดียวที่ทำเช่นนั้นก็แสดงว่ายังมีคนอยู่เบื้องหลังอีก อย่างน้อยก็ช่วยชาวบ้านไปได้แล้วอย่างหนึ่งที่เหลือคงต้องเป็นหน้าที่ของท่านอ๋องแล้วนะเพคะ”“พระชายาไม่ต้องเป็นห่วง ข้า
-สองเดือนถัดไป-หลังจากพระชายาฉินรักษาโรคระบาดไปจนหมดสิ้นแล้ว พวกนางก็มาปักหลักอยู่ที่จวนหลี๋อ๋องกันต่อโดยยังไม่มีกำหนดเดินทางกลับแคว้นเป่ยฉีแต่อย่างใดจวนหลี๋อ๋องของเขาเวลานี้นั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ความรู้สึกอบอุ่นที่เขาไม่ได้พานพบมานานมากแล้วเอ่อร้นออกมาไปทั่วทั้งจวน“จะว่าไปแล้วพอนึกๆดูข้าก็ไม่คาดคิดว่าจุดจบของนางจะเป็นเช่นนี้เลย วันนั้นข้าอุตส่าห์ช่วยนางเอาไว้แล้วแท้ๆก็นึกว่าฮ่องเต้จะอภัยโทษนางได้”“เจ้าใจอ่อนเกินไปแล้วหลิงเอ๋อโทษของนางนั้นร้ายแรงยิ่งนักไม่อาจเลี่ยงได้ หนึ่งชีวิตของนางที่ต้องตายไปเทียบไม่ได้กับชีวิตของชาวบ้านหลายคนที่ต้องตายจากฝีมือของนางหรอกนะ”“แต่นางช่างเป็นสตรีที่รักมั่นเสียจริงทีแรกข้าก็นึกว่านางมีใจให้ท่านเสียอีก”“เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้นกันล่ะ”“ก็เห็นนางตามติดท่านอย่างกับอะไรดีข้าเกือบหึงท่านไปแล้วไหมล่ะ”
วันเวลาผ่านไปเพียงไม่นานก็มาถึงวันแต่งงานของหลี๋อ๋องกับท่านหญิงเยว่หลิงเพราะเป็นโอรสที่ฮองเฮาเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็กนางจึงลงมือจัดเตรียมงานแต่งนี้อย่างยิ่งใหญ่ด้วยพระองค์เองเยว่เหวินหลงพี่ชายฝาแฝดของนางได้จัดซื้อจวนขนาดใหญ่เอาไว้ให้ผู้เป็นน้องสาวโดยเฉพาะและจัดหาอุปกรณ์ของใช้ราคาแพงทุกชนิดยัดเข้าไปในจวนหลังใหญ่หลังนั้นส่วนอ๋องฉินนั้นแม้จะแสดงออกว่าไม่ได้ตื่นเต้นกับงานแต่งนี้แต่อย่างใด แต่คนใกล้ชิดเช่นองค์รักษ์คนสนิทของเขาต่างก็รู้กันว่าเวลานี้ท่านอ๋องของพวกเขานั้นตื่นเต้นแทบจะนั่งไม่ติดอยู่แล้ว ใจของเขาคงไปอยู่ที่งานแต่งนั้นไปแล้วกระมังชุดแต่งงานของเยว่หลิงนำมาจากเป่ยฉีโดยเฉพาะ ชุดแต่งงานที่มีฝีมือการปักประณีตหรูหราอย่างที่สุดเป็นฝีมือของท่านแม่ของนางนั่นเองเมื่อถึงวันแต่งงานพิธีแต่งงานอันยิ่งใหญ่ของเมืองต้าหลี่ถูกจัดขึ้นในจวนหลี๋อ๋องเจ้าสาวคือท่านหญิงเยว่หลิงผู้มีรูปโฉมงดงามราวกับนางฟ้าส่วนเจ้าบ่าวคือหลี๋อ๋ององค์ชายสี่ของฮ่องเต้ฮุ่ยถิงแคว้นต้าหลี่ แขกเหร
-จวนหลี๋อ๋อง-“ท่านพี่ มีคนคนหนึ่งอยากรู้จักท่านเจ้าค่ะ”“ใครหรือ?”ฉินอ๋องที่กำลังเบื่อหน่ายที่ลูกน้องของเขาสองคนนั้นไม่เอาไหนเสียเลย ฝึกวรยุทธ์ได้ไม่นานก็บ่นว่าปวดหลังบ้างล่ะ เจ็บเข่าบ้างล่ะ อายุไม่มากเท่าไหร่เหตุใดบ่นเป็นตาแก่เช่นนั้นกันเขาหันไปมองก็เห็นลู่เหยียนซินที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับบุรุษรูปร่างสมส่วนนั้นอยู่ ดูเหมือนนางจะสนทนากับคนผู้นั้นกันอย่างออกรสมากจนลมหึงเริ่มพัดโชยมาทันใด“เอ่อท่านอ๋องข้าว่าควรจะบอกท่านพ่อของข้าก่อนดีหรือไม่”“ไม่เป็นไรหรอกน่า เสด็จพ่อของข้าน่าจะรับมือได้”“ท่านอย่าไว้ใจเขาสิ ท่านพ่อข้าขี้หึงมากนะท่านไม่รู้หรือ”“อะไรนะ?”หลี๋อ๋องหันไปมองฉินอ๋องที่เวลานี้ใบหน้าของเขาบึ้งตึงมากขึ้นเรื่อยๆ หรือจะจริงดังที่เยว่หลิงกล่าวเมื่อครู่ ท่านอ๋องผู้นี้หึงพระชายาของเขาอยู่หรือนี่&lsqu
-เช้าวันถัดไป-ขบวนรถม้าของหลี๋อ๋องมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองหลวงตั้งแต่เช้าตรู่“เหตุใดพวกเราไม่ไปกับนาง”“ท่านพี่ปล่อยให้นางจัดการอะไรเองบ้างเถอะเพคะ เพียงแค่ลูกของเราปลอดภัยแล้วก็ดีแล้วไม่ใช่หรือที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนางเถอะ”“แต่ว่าข้า”“เมื่อคืนท่านยังไม่เข้าใจอีกใช่หรือไม่”เสียงเข้มดุดันของนางทำให้อ๋องฉินหยุดพูดทันทีแม้เขาจะห่วงบุตรสาวเพียงคนเดียวมากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจขัดใจผู้เป็นภรรยาได้ในเวลานี้‘แม่เสือเช่นนางคงได้กัดคอเขาตายอย่างแน่นอน’อ๋องฉินยืนมองส่งเยว่หลิงที่หน้าประตูเมืองพร้อมกับองค์รักษ์คู่ใจ ชิงอีและเฟยหยาจนขบวนรถม้านั้นหายลับไปจากสายตาของพวกเขา-เมืองหลวงต้าหลี่-เมื่อมาถึงวังหลวงหลี๋อ๋องก็รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นกับฮ่องเต้ทุกอย่าง ฮ่องเต้ทำ
-จวนหลี๋อ๋อง-เมื่อเหตุการณ์สงบลงหลี๋อ๋องก็เชิญอ๋องฉินและพระชายาฉินมาพักที่จวนเจ้าเมืองด้วยกัน แม้ตอนแรกพระชายาฉินจะปฎิเสธไปแต่อ๋องฉินผู้เป็นสามีของนางกลับตอบตกลงไปเสียอย่างนั้นทั้งคู่เวลานี้กำลังนั่งจ้องมองใบหน้ากันไปมา ด้วยฤทธิ์สุราที่ดื่มเข้าไปนั้นทำให้หลี๋อ๋องกล้าที่จะพูดคุยกับบิดาของเยว่หลิงมากขึ้น“ข้าต้องขออภัยท่านอ๋องด้วยนะขอรับ ข้าไม่รู้จริงๆว่าท่านคือท่านพ่อของนาง”ฉินอ๋องที่ได้ยินดังนั้นก็ชายตามองไปยังว่าที่ลูกเขยของเขาแม้จะหมั่นใส้เขาไม่น้อยแต่ลูกสาวของเขาก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นพระชายาไปแล้ว ข้าวสารไม่รู้กลายเป็นข้าวสุกไปแล้วหรือยังเช่นนั้นก็ทำได้แค่ยินยอมไปก่อนเท่านั้น“นางบอกว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เพียงนางคนเดียวที่ทำเช่นนั้นก็แสดงว่ายังมีคนอยู่เบื้องหลังอีก อย่างน้อยก็ช่วยชาวบ้านไปได้แล้วอย่างหนึ่งที่เหลือคงต้องเป็นหน้าที่ของท่านอ๋องแล้วนะเพคะ”“พระชายาไม่ต้องเป็นห่วง ข้า
“นี่ก็ใกล้ยามโหย่ว (17.00-19.00น.) แล้วเหตุใดนางถึงไม่กลับมาเสียที”“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“มีอะไร”“ดูนั่นสิพ่ะย่ะค่ะ”หลี๋อ๋องเหลือบไปมองตามที่หลี่จิ่งกำลังชี้นิ้วไปที่อะไรบางอย่าง บางสิ่งบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดมิดเขาเห็นเพียงดวงตาที่แดงฉานนั้นกำลังจดจ้องมองมาที่พวกเขาอยู่ หลี่จิ่งแม้จะหวาดกลัวอยู่ภายในใจแต่เขาก็รีบเข้ามายืนขวางอยู่ด้านหน้าของหลี๋อ๋องทันที สิ่งมีชีวิตที่มีเพียงดวงตาที่แดงฉานนั้นจดจ้องมาที่หลี๋อ๋อง เขาเคยเห็นมัน!จ้านจ้านเมื่อเห็นว่าพวกเขาเหมือนจะกลัวมันแล้วมันก็รีบเดินออกมาจากที่ซ่อนทันใด สีหน้าและแววตาของมันดูเหมือนจะภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่สามารถขู่ให้พวกเขากลัวได้“จ้านจ้านงั้นหรือ”“เอ๋ ท่านอ่องนั่นไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของพระชายาหรอกหรือ”“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”จ้านจ้านเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าเขาก่อนจะยืดตัว
-เช้าวันถัดไป-“เจ้าทำอะไรอยู่งั้นหรือ”หลี๋อ๋องเดินเข้ามาหานางอย่างเชื่องช้าเพราะอาการบาดเจ็บบริเวณหน้าท้องนั้นพึ่งเกิดขึ้นไม่นานจึงทำให้แผลของเขายังไม่สมานกันดีเท่าใดนัก“ท่านออกมาทำไม”“ข้าไม่เห็นเจ้าเลยทั้งวัน”“ข้าก็แค่”“อะไรหรือ”หลี๋อ๋องนั่งลงข้างๆ นางก่อนจะเอ่ยถามนางออกไปว่า“ข้าได้ยินว่าสาวใช้ของเจ้าติดเชื้อนางอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”“ให้คนพาไปที่หุบเขาแล้วหากติดเชื้อจะให้อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ต้องส่งไปให้ท่าน…”“หืม”“เอ่อ ท่านหมอตรวจอาการน่ะอยู่กับท่านหมอน่าจะดีกว่า”“ก็ดีแล้วเป็นห่วงนางมากหรือข้าเห็นเจ้าดูเป็นกังวลมาก”เยว่หลิงเพียงแค่จ้องมองเขานิ่งไม่ยอมตอบคำถามของเขาอยู่นานสองนานจนสุดท้ายจึงได้เอ่ยปากถามเขาออกไป&
เยว่หลิงรักษาบาดแผลให้หลี๋อ๋องเรียบร้อยก็รอจนเขาหลับไปถึงได้ออกเดินไปเพื่อพักสายตา ขณะที่นางเดินเลี้ยวอ้อมมาทางหุบเขาอีกด้านนั้นก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างเยว่หลิงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลานางรอคอยการมาของใครบางคนอยู่อย่างใจจดใจจ่อเมื่อเขาปรากฎกายขึ้นด้านหลังของนางเยว่หลิงก็ไม่มีอาการหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยนางเอ่ยปากถามคนด้านหน้าของนางทันที“เจ้าต้องการอะไร”“ถามมาได้ ข้าก็ต้องการชีวิตของเจ้าอย่างไรล่ะ”“เช่นนั้นก่อนจะตายก็ควรบอกข้าไม่ใช่หรือว่าใครจ้างวานเจ้ามา”“ฮ่าๆๆ เจ้าตายไปเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหล่ะ”ชายชุดดำไม่พูดเปล่าเขาตวัดดาบเข้าหานางด้วยความรวดเร็ว จังหวะเพลงกระบี่ของเขานั้นทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างมากไม่บอกก็รู้ที่มาของเพลงกระบี่นั้นเยว่หลิงเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆแล้วนางหยิบเอาเข็มเงินออกมาก่อนจะตวัดเข้าไปหาชายชุดดำนั้นด้วยความรวดเร็วเขาไม่คิดว่านางจะมีวรยุทธ์จึงไม่ทันได
“พี่สี่ ที่นางมาที่นี่เพียงเพื่อต้องการสมุนไพรเท่านั้นจริงๆน่ะหรือ”“ข้าก็ …ไม่มั่นใจว่านางอยากได้สมุนไพรหรือเพียงนึกสนุกมาเที่ยวเล่นกันแน่”“พวกท่านพูดอะไรไม่รู้จริงๆ น่ะหรือว่าสมุนไพรที่นี่ใช้ชุบชีวิตคนที่ใกล้ตายให้กลับมามีชีวิตดังเดิมได้และไม่ใช่ว่าสมุนไพรพวกนั้นจะพบเจอได้ง่ายๆ เฉกเช่นพืชผักที่ขายกันเกลื่อนตามตลาดทั่วๆ ไป”“จริงหรือ”“แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่เชี่ยวชาญเท่านั้นถึงจะรู้ว่าอันไหนมีพิษอันไหนที่ใช้ได้ คนทั่วไปไหนเลยจะมองออก”เยว่หลิงยังคงก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆดูเหมือนกับนางไม่รู้เหน็ดเหนื่อยอย่างไรอย่างนั้น พวกเขาใช้เวลาเดินทางมาไม่นานนักในที่สุดก็พบเข้ากับผาหินสูงชันที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ตรงกลางผาหินนั้นมีช่องว่างขนาดใหญ่และมีหมอกควันลอยขึ้นมาจากผาด้านล่างแทบจะปิดทางเข้าปากถ้ำจนมิด “ที่นั่นคือ...” “เหวร้างยังไงล่ะ ท่านเห็นต้นไม้ตรงนั้นหรือไม่