กว่าทั้งคู่จะกลับถึงจวนก็เป็นเวลายามเซิน (15.00-17.00 น.) แล้ว เมื่ออาชาของหลี๋อ๋องวิ่งเข้าใกล้จวนเจ้าเมือง พลันสายตาของเยว่หลิงก็เหลือบไปเห็นเงาของสัตว์บางอย่างมันกำลังยืนหลบอยู่ตรงข้างๆกำแพงจวนแต่เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้งเงานั้นก็ลับหายไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”
“อ้อ พระจันทร์น่ะเพคะงดงามมาก”
“ไม่เคยเห็นหรืออย่างไร”
“ช่างเถอะข้าไม่พูดกับท่านแล้ว”
เมื่อม้าของเขาหยุดนิ่งสนิทตรงหน้าประตูจวน เยว่หลิงก็เอี้ยวตัวกระโดดลงจากหลังม้าด้วยความรวดเร็ว
“เดี๋ยวสิ! เจ้าอยากขาหักหรืออย่างไร”
“ข้าขี่ม้าเป็นน่า”
เมื่อลงจากหลังม้าและก้าวออกห่างจากตัวหลี๋อ๋องได้แล้วนางก็ตั้งท่าจะเข้าไปยังเรือนพักทันที
“พระชายาท่านกลับมาแล้ว”
“อืม เหนื่อยจะแย่ข้าอยากอาบน้ำเต็มทีแล้ว”
“หม่อมฉันเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้พระชายาแล้วเพคะ”
“เช่นนั้นท่านอ๋อง ข้าขอตัวก่อนนะเพคะ”
“อืม”
เยว่หลิงกล่าวแค่นั้นก่อนจะรีบเดินปลีกตัวออกไปที่เรือนของนางด้วยความรวดเร็ว
“รีบอะไรขนาดนั้น”
เยว่หลิงเมื่อมาถึงห้องนางก็รีบจุดกำยานทันทีก่อนจะหลบเข้าไปในห้องอาบน้ำ
“พระชายาหม่อมฉันเข้าไปนะเพคะ”
เสี่ยวหลันเปิดประตูห้องเข้ามาเมื่อนางสูดดมกลิ่นของกำยานนั้นเต็มปอดเพียงไม่นานก็ล้มลงบนพื้นทันที
“ขอโทษทีนะเสี่ยวหลันแต่เพราะเรื่องนี้ข้าให้เจ้ารับรู้ด้วยไม่ได้”
เยว่หลิงพูดจบก็ค่อยๆเปิดหน้าต่างออกไปเมื่อมองเห็นสัตว์เลี้ยงประจำกายของนาง นางก็ยิ้มออกมาทันที นางปีนหน้าต่างออกไปก่อนจะรีบเดินเข้าไปหามัน เมื่อสังเกตที่คอของมันเหมือนมีอะไรบางอย่างผูกติดเอาไว้
สาส์นลับหนึ่งฉบับ เมื่อคลี่ออกอ่านนางก็ถึงกลับอมยิ้มทันที
“คิดถึงข้าใช่หรือไม่ ขอโทษนะที่ทิ้งให้เจ้าอยู่ลำพังช่วยพาข้าไปที่นั่นที”
จ้านจ้านเหมือนจะรับรู้สิ่งที่นายสาวของมันพูด มันย่อตัวลงเพื่อรอให้เยว่หลิงขึ้นมาขี่หลังของมันเช่นเคยก่อนจะพานางโหนทะยานออกไปจากจวนท่ามกลางความมืดมิด
จ้านจ้านพานางมุ่งตรงไปบนหุบเขาเหอหนานก่อนจะส่งนางที่หน้ากระโจมของคนผู้หนึ่งโดยไม่มีผู้ใดพบเห็น เมื่อแอบลอบเข้ามาภายในกลับพบเพียงความว่างเปล่า
“หายไปไหนกันนะ”
เยว่หลิงในชุดคลุมสีดำสอดส่ายสายตามองหาคนคู่หนึ่งจนทั่วทั้งกระโจม อยู่ๆก็มีกระบี่เล่มหนึ่งจ่อเข้าที่ต้นคอของนาง
“แอบเข้ามาในกระโจมของข้าเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ”
เยว่หลิงค่อยๆชำเลืองมองไปยังบุรุษด้านหลังของนาง
“พอได้แล้วเพคะท่านอ๋อง จะแกล้งลูกอีกนานไหม”
“โธ่ เหยียนเอ๋อจะรออีกหน่อยก็ไม่ได้”
เยว่หลิงรีบหันไปมองบุรุษด้านหลังของนางทันที
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”
“คิดถึงเพียงพ่อของเจ้างั้นหรือ”
“คิดถึงท่านแม่ด้วยเจ้าค่ะ”
“รู้ได้เช่นไรว่าลูกจะมาที่นี่”
“ด้วยนิสัยอยากรู้อยากเห็นของเจ้าย่อมออกมาอย่างแน่นอนแต่แบบนี้ไม่ค่อยดีเลยนะหลิงเอ๋อ หากเป็นศัตรูใช้วิธีนี้หลอกล่อเจ้าออกมาแล้วเจ้าจะเป็นเช่นไร”
“โธ่ท่านแม่ ลายมือเหมือนไก่เขี่ยของท่านพ่อคงไม่มีผู้ใดเลียนแบบได้หรอกเจ้าค่ะ”
“นี่เจ้า!”
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะข้าเอาตัวรอดได้น่าอีกอย่างจ้านจ้านก็จำกลิ่นของพวกท่านได้มันคงไม่พาข้ามาหาที่ที่อันตรายหรอก พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอกเจ้าค่ะ"
“เฮ้อ….เจ้านี่จริงๆเลย ท่านพ่อของเจ้าคงเป็นกังวลมากเกินไปเห็นได้ชัดว่านางอยู่ได้”
“ไม่รู้ล่ะข้ามีลูกสาวเพียงคนเดียวถึงอย่างไรก็ไม่ไว้ใจ”
“ท่านพ่อไม่ไว้ใจใครงั้นหรือเจ้าค่ะ”
“ว่าที่สามีของเจ้าอย่างไรล่ะ”
“แต่วันนี้ท่านก็เห็นว่าเขาปกป้องนางได้”
“ก็แค่เริ่มต้นเท่านั้นต่อไปใครจะรู้เจ้าก็รู้นี่นาอำนาจมันหอมหวานมากเพียงใด การแย่งชิงบัลลังก์กันย่อมส่งผลกระทบกับทุกสิ่งหากว่าหลี๋อ๋องซุ่มกองกำลังเพื่อก่อกบฎจริง เช่นนั้นหลิงเอ๋อของเราไม่แย่หรือ”
“ท่านคิดมากไปหรือไม่”
“ไม่ล่ะถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ใหญ่หลวงเกินไป ข้าจะเฝ้ามองดูอยู่ห่างๆแล้วกัน"
“พวกท่านมาที่นี่คงไม่ใช่ว่ามาเพื่อเฝ้าดูลูกหรอกนะเจ้าค่ะ”
“ท่านแม่ของเจ้าสงสัยว่าเรื่องโรคระบาดนี้ไม่ได้เป็นเพียงโรคที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล แต่น่าจะเกี่ยวข้องกับฝีมือของคน”
“หืม ท่านแม่รู้ได้อย่างไรเจ้าคะ”
“มีสมุนไพรบางอย่างที่สามารถนำมาใช้เพื่อทำสงครามได้หากว่าโรคนี้ใช้เพื่อเป็นการแพร่ระบาดในแดนของข้าศึกนั่นจะเป็นเรื่องที่ยับยั้งยาก แม่ต้องรู้ให้ได้ว่าโรคนี้เกิดจากอะไรเพียงแต่ยังไม่มีสมุนไพรที่ใช้ยับยั้งที่ดีพอพวกเราคงต้องพึ่งเจ้าแล้วหลิงเอ๋อ จำที่แม่สอนได้ใช่หรือไม่”
“ลูกจำได้”
“ดี เช่นนั้นก็จงช่วยท่านอ๋องอย่างสุดความสามารถ ปล่อยวางเรื่องทุกหมดแล้วตั้งหน้าตามหาสิ่งที่แม่ต้องการเข้าใจใช่หรือไม่”
“โธ่ท่านแม่ ข้าไม่ใช่เด็กๆแล้วนะเจ้าค่ะข้าแยกแยะได้”
“แม่ให้พ่อของเจ้าส่งสาส์นไปไม่ใช่เพียงเพื่อเรียกเจ้ามาย้ำเรื่องนี้เท่านั้น แต่แม่จะบอกเจ้าว่าอาการของหลี๋อ๋องน่าจะถูกพิษสลายกระดูกด้วย”
“พิษสลายกระดูก?”
“ใช่ ต้องใช้บัวหิมะเก้าสีถึงจะถอนพิษมันได้สมุนไพรนี้จะอยู่ที่หน้าผาสูงชันเจ้าจงจำเอาไว้หลิงเอ๋อ ทุกที่ที่มีสมุนไพรล้ำค่าย่อมมีสิ่งที่น่ากลัวซ่อนอยู่ จงระวังตัวเอาไว้ให้ดี”
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ”
“รู้แล้วก็ดี พ่อเองก็ต้องดูแลแม่ของเจ้าที่นี่ไม่อาจตามเจ้าไปได้ระวังตัวเอาไว้อย่าเชื่ออะไรใครง่ายๆ ตอนนี้เจ้ารีบกลับไปเถอะหลิงเอ๋อหากหลี๋อ๋องรู้ว่าเจ้าหายไปจากจวนจะแย่เอา”
“เขาไม่สนใจข้าหรอกเจ้าค่ะท่านพ่อ”
“เอาน่าเชื่อที่พ่อของเจ้าบอกไว้ รีบกลับไปเสียเถอะ”
“ก็ได้ ไว้ข้าจะรีบกลับมาเจ้าค่ะท่านแม่”
“ไปเถอะ”
เยว่หลิงรีบออกจากกระโจมแล้วขี่หลังจ้านจ้านเพื่อตรงดิ่งไปยังจวนเจ้าเมืองทันที
“เฮ้อ…เหยียนเอ๋อเหตุใดข้าถึงห่วงนางเช่นนี้นะ เมื่อก่อนห่วงเจ้าจะเป็นจะตายพอมาถึงตอนนี้ดันปล่อยวางกับหลิงเอ๋ออีกคนไม่ได้เสียอย่างนั้น”
“นางมีหลี๋อ๋องคอยปกป้องอีกคนท่านวางใจเถอะเพคะ หลี๋อ๋องผู้นี้วรยุทธ์สูงพอๆกับท่านไม่ใช่หรือ”
“ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ไว้ใจอยู่ดีนั่นแหล่ะ”
“ท่านอ๋องยามนี้สงครามชายแดนเหนือก็สงบลงแล้ว ท่านจะกลับเมืองหลวงเลยหรือไม่”“ไม่ล่ะ ข้ายังไม่อยากกลับไปตอนนี้”“แต่ฮองเฮาเรียกท่านกลับแล้วไม่ใช่หรือ ทรงส่งสาส์นมาด้วยองค์เองเช่นนี้แสดงว่าต้องมีเรื่องด่วน”“จะมีเรื่องเร่งด่วนอะไรกัน ข้าว่านะเรื่องที่ฮองเฮาทรงเป็นกังวลคงมีอยู่เพียงเรื่องเดียว”“เจ้าก็คิดเหมือนข้างั้นหรือ”แม่ทัพประจำชายแดนเหนือนามว่าเหอจินเยี่ยนและที่ปรึกษาทางการทหารนามว่าซือหนานกง สองสหายคนสนิทของหลี๋อ๋องกำลังแลกเปลี่ยนความคิดกันไปมาโดยไม่สนใจว่าหลี๋อ๋องจะฟังพวกเขาอยู่หรือไม่หลี๋อ๋องที่กำลังพินิจจดหมายที่ฮองเฮาส่งมาอยู่นั้นเมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองทันที“ท่านอยู่เพียงในสนามรบมาร่วมเจ็ดปีเต็มแล้วสตรีข้างกายก็ไม่มีซักคนองค์ชายคนอื่นๆต่างก็มีพระชายาเป็นของตนเองแล้วทั้งนั้น แต่ท่านกลับมีเพียงความว่างเปล่าฮองเฮาเป็นห่วงท่านก็ไม่แปลก”“จะแปลกก็ตรงที่พระนางปล่อยให้ท่านเหงามานานหลายปีถึงเพียงนี้ แต่เพิ่งจะคิดขึ้นได้ว่าควรที่จะหาชายาให้ท่านในเวลานี้เนี่ยนะ”“ต้องมีอะไรซักอย่างสิ”“เจ้าคิดมากไปหรือไม่”“พวกเจ้าหยุดเถียงกันเสียที พรุ่งนี้ข้าจะกลับเมืองหลวง” หล
“ออกไปให้หมดยกเว้นเจ้า!”“!”“ใครกันหรือ” บรรดาสาวงามที่ยืนอยู่ภายในกระโจมต่างก็หันมองกันไปมาด้วยความที่ไม่รู้ว่าหลี๋อ๋องนั้นหมายถึงใครสายตาของเขามองส่งไปยังสตรีนางหนึ่งผู้ที่ยืนอยู่ท้ายๆกระโจมเลยกระมัง'เหตุใดเขาถึงมองเห็นนางกัน'หญิงงามเหล่านั้นแสดงออกว่าไม่พอใจนางเป็นอย่างยิ่งเพราะรูปร่างที่อรชรของนางทั้งยังมีใบหน้าที่งดงามแม้จะคลุมผ้าไว้ครึ่งหน้าก็เถอะ เยว่หลิงเมื่อได้ยินที่เขาพูดก็โอดครวญภายในใจทันที‘ไม่น่าตามมาที่นี่เลย’“เดินออกมานี่”“ขะ ข้าหรือ”“ใช่ เจ้ามาที่นี่ไม่ใช่ว่ามาปรนนิบัติข้าหรอกหรือ”“คือว่าความจริงแล้วข้า”“เลือกเอาว่าจะปรนนิบัติข้าหรือพวกเจ้าทั้งหมดจะไปรับใช้เหล่าทหารของข้า”“อะไรนะ!”บรรดาหญิงงามเหล่านั้นต่างก็ตื่นตกใจเมื่อได้ยินที่เขาเอ่ยออกมา แม่ทัพเหอรีบต้อนหญิงงามเหล่านั้นออกจากกระโจมด้วยความรวดเร็วทิ้งไว้เพียงแค่เยว่หลิงที่ยืนขาสั่นงันงกอยู่ตรงหน้าเขาเพียงลำพังนางไม่แน่ใจเห
“เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วหรือยัง”“เรียบร้อยแล้วขอรับท่านอ๋อง”“ดี”สองสหายคนสนิทและสององค์รักษ์ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าหลี๋อ๋องอยู่นั้นก็เอาแต่จับจ้องใบหน้าของเขาอยู่ไม่วางตาแต่ก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรออกไป พลันประตูกระโจมของหลี๋อ๋องก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของใครบางคน เหล่าบุรุษที่ยืนสนทนากันอยู่ตรงนั้นก็หันไปมองทันที“นั่นไม่ใช่สตรีจากหอนางโลมเมื่อคืนนี้หรอกหรือ เหตุใดถึงยังอยู่ที่นี่กัน”“ข้าจะไปรู้หรือ”ตงหยางตอบหลี่จิ่งกลับด้วยเสียงอันเบาด้วยกลัวว่าท่านอ๋องของพวกเขาจะได้ยินเข้า เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดสตรีผู้นี้ถึงยังอยู่ที่นี่เพราะเมื่อเช้าตรู่เขาเป็นคนส่งเหล่าคณิกาพวกนั้นขึ้นรถม้าเพื่อกลับเข้าไปในเมืองแล้วนั่นเองเยว่หลิงเดินออกมาจากกระโจมก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลี๋อ๋อง ใบหน้าของนางตอนนี้นั้นช่างดูสดใสต่างจากท่านอ๋องของพวกเขาเสียจริง“ท่านปวดหลังหรือไม่ เอวของท่านยังอยู่ดีไหม”“อย่ายุ่งน่า”เหล่าสหายและองค์รักษ์ของเขาต่างก็ตาโตทันทีที่ได้ยินสิ่งที่สตรีผู้นั้นเอ่ยถามหลี๋อ๋องออกมาหลี๋อ๋องหันไปมองสตรีผู้นั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อคืนเขายกเตียงนอนหนานุ่มของเขาให้นางส่วนตัวเขานั้นกลับต้
‘ปวดหัวเสียจริง ให้ตายสิใครช่างกล้าทำกับข้าเช่นนี้กันนะ’เยว่หลิงเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้วแต่เพราะความรู้สึกปวดหนึบที่ศรีษะทั้งสองข้างนั้นทำให้นางลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก จนกระทั่งเปลือกตาบางของนางค่อยๆแย้มกระพริบขึ้นทีละนิดจนเริ่มมองเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจนนางยันตัวลุกขึ้นก่อนที่สายตานั้นจะเหลือบไปเห็นบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ห่างจากนางเพียงไม่ถึง 1 จิ้ง[1]วงหน้าของเขานั้นถูกล้อมรอบไปด้วยเส้นผมสีดำเงางาม นัยต์ตาที่เรียวยาวราวกับเหยี่ยวมีแก้วตาสีแดงสดพราวระยับดุจอัญมณี ดูลึกลับแต่สะกดสายตาให้หยุดมอง นางไล่สายตาไปทั่วร่างของเขาจนเจ้าของร่างนั้นเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตาของนาง“เจ้าจะสำรวจข้าอีกนานไหม”“แล้วเจ้าเป็นใคร”“ไม่คิดจะกลัวข้าบ้างหรืออย่างไร”เยว่หลิงเอาแต่จ้องมองคนตรงหน้าก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากสร้างความประหลาดใจให้แก่บุรุษผู้นั้นเป็นอย่างมาก“หงอี้เข้ามาข้างในนี้ที”“ขอรับนายท่าน”สิ้นคำบอกกล่าวก็มีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้านในกระโจมด้วยความรวดเร็ว ลักษณะการเดินที่มั่นคงและคล่องแค
ซือเยว่ได้แต่ยืนไว้อาลัยให้ชุดที่เขาเพิ่งได้มาใหม่ นางเป็นใครเขาก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนช่างกล้ามาอาเจียนใส่เขาได้อย่างไรกัน เมื่ออาเจียนจนหมดแรงเยว่หลิงก็เมาหลับไปบนโต๊ะอาหารนั้นโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกเลย“เฮ้อ เจ้านี่มันช่างแตกต่างจากสตรีที่ข้าเคยพบเสียจริง” เขาค่อยๆถอดเสื้อออกอย่างเบามือด้วยกลัวว่ามือที่ใสสะอาดของเขาจะแปดเปื้อนอาหารที่นางอาเจียนออกมา“หงอี้!”“ขอรับ” หงอี้ที่ยังรออยู่นอกกระโจม เมื่อได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นนายก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้กับโต๊ะอาหารก็ถึงกับรีบปิดจมูกทันที‘กลิ่นอาเจียนนั้นมาจากไหนกัน หรือว่า!’“ไปเรียกสาวใช้มาจัดการต่อที”“ขอรับนายท่าน”เมื่อหงอี้ออกจากกระโจมไปแล้วเขาก็ลุกขึ้นก่อนจะช้อนตัวนางขึ้นไว้แนบอกแล้วอุ้มนางไปนอนบนเตียงของเขา“ให้ตายสิ จะขู่ให้เจ้ากลัวจนร้องไห้ขี้มูกโป่งเสียหน่อยแต่ดันกลับกันเสียได้ นอนเสียให้พอใจไปเลยข้าอุตส่าห์เสียสละเตียงนอนนุ่มนิ่มของข้าให้เจ้าเลยนะ”“เฮ้อ…นี่ข้าทำอะไรอยู่เนี่ย หลี๋อ่องชอบสตรีเช่นนี้ไปได้อย่างไรกันนะ”ข
-เจ็ดวันผ่านไป-ขบวนกองทัพของหลี๋อ๋องเคลื่อนพลจากชายแดนเหนือกินเวลาไปสิบสองวันเต็มๆ ในที่สุดก็เข้าสู่เมืองหลวงต้าหลี่ ระหว่างการเดินทางกลับในครั้งนี้เขาไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไรเช่นนี้มาก่อนเหมือนกับครั้งนี้เลย‘นี่เขาคิดถูกหรือไม่นะที่นำนางกลับมาด้วย สตรีผู้นี้ไม่ว่าง่ายเฉกเช่นสตรีคนอื่นเลยจริงๆ’เมื่อเข้าสู่ประตูเมืองสองข้างทางนั้นนอกจากจะเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ออกมายืนมุงดูพวกเขาแล้วก็ยังมีขบวนรถม้าของสตรีชั้นสูงถูกตกแต่งอย่างงดงามน่าจะมาจากหลายๆแคว้นด้วยกัน ต่างก็หยุดนิ่งอยู่บริเวณหน้าประตูเมืองเพื่อรอคอยเข้าสู่เมืองหลวงนั่นเองบรรดาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่นั่งอยู่ในรถม้านั้นต่างก็เลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อชื่นชมขบวนกองทัพของหลี๋อ๋อง แววตาของสตรีที่มองมาที่เขานั้นช่างหวานหยดเยิ้นเหมือนดั่งเจ้าหญิงที่ตกหลุมรักเจ้าชายอย่างไรอย่างไรนั้น‘เสน่ห์แรงเสียจริง’“ท่านอ๋อง นั่นเป็นขบวนรถม้าขององค์หญิงจากแคว้นต่างๆ มาเพื่อแต่งงานเจริญสัมพันไมตรีกับต้าหลี่ของเราพ่ะย่ะค่ะ”“ข้ารู้แล้ว”หลี๋อ๋องไม่ได้หยุดชื่นชมเหล่าสา
ยามเหม่า (05.00-07.00น.)เมื่อคืนนี้กว่าหลี๋อ๋องจะหลับตาลงได้ก็เป็นเวลาเกือบยามสามแล้ว (23.00-01.00น.) เป็นเหตุให้เช้านี้เขาตื่นสายกว่าทุกวัน เมื่อหันไปมองเตียงของนางกลับพบเพียงความว่างเปล่าหลังจากลุกได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงของหลี่จิ่งองค์รักษ์คนสนิทของเขาร้องเรียกที่หน้าประตูห้อง“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“มีอะไร”“ท่านอ๋องมาดูนี่เร็วเข้า”‘คงไม่มีอะไรหรอกนะ’เมื่อเดินตามหลี่จิ่งมาจนถึงสวนอุทยานที่เขาลงทุนสร้างขึ้นมาด้วยตนเองนั้น ภาพตรงหน้าเกือบทำให้เขาแข้งขาอ่อนลงทันใด“ท่านอ๋องคือว่าข้าน้อยห้ามนางแล้วแต่ว่า….”หลี๋อ๋องหลับตาลงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์กรุ่นโกรธเอาไว้“เจ้าทำอะไรกับสวนของข้า!”“หืม ทำไมหรือ”“ยังจะกล้าถามอีก นั่นอะไร”“เอ๋ ท่านไม่รู้จักหมูหรอกหรือ ข้าว่ามันน่ารักออกนะเพคะ”“เจ้าปล่อยมันออกมาวิ่งเล่นในสวนของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”“ข้าเห็นมันอยู่ตัวเดียว น่าจะเหงาจึงให้มันออกมาวิ่งเล่นก็เท่านั้น”“เยว่เหวินหลิง!”“ว่
การเดินทางไปเมืองเล่ออานใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้นเพราะระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองหลวงนัก จึงทำให้ฮ่องเต้เป็นกังวลเรื่องโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นอย่างมากจึงมีรับสั่งให้หลี๋อ๋องไปจัดการควบคุมด้วยตัวเองระหว่างการเดินทางหลี๋อ๋องควบม้าไปด้านหน้าขบวนส่วนรถม้าที่บรรจุห่อยาและเสบียงนั้นอยู่ด้านหลัง พวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าพระชายาแอบตามมาด้วยเมืองเล่ออานอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าหลี่และแผ่นดินฝั่งตะวันออกนี้ก็อยู่ติดกับเขตแดนเหนือของแคว้นเป่ยฉีนั่นเองขบวนรถม้าของหลี๋อ๋องเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้เมืองเล่ออานมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางนั้นมีแต่ความเงียบเหงาไม่คึกคักเหมือนครั้งที่เขาเคยมาเยือนเมื่อเจ็ดปีก่อน ในครั้งอดีตที่เคยรุ่งเรืองผู้คนที่มากหน้าหลายตากลับสูญสลายหายไปสิ้นเพราะโรคระบาดที่ไม่อาจยับยั้งได้ในครานี้เมื่อก้าวผ่านประตูเมืองไปแล้วชาวบ้านละแวกนั้นก็เริ่มทยอยกันออกมายืนเฝ้ามองดูกันเต็มทั้งสองข้างทาง หลี๋อ๋ององค์ชายลำดับที่สี่ของฮ่องเต้แคว้นต้าหลี่มาที่เมืองของพวกเขาช่างน่ายินดียิ่งนักเพราะน้อยครั้งมากที่จะเห็นคนในราชวงศ์ห่วงใยประชาชนและลงมาดูแลพว
กว่าทั้งคู่จะกลับถึงจวนก็เป็นเวลายามเซิน (15.00-17.00 น.) แล้ว เมื่ออาชาของหลี๋อ๋องวิ่งเข้าใกล้จวนเจ้าเมือง พลันสายตาของเยว่หลิงก็เหลือบไปเห็นเงาของสัตว์บางอย่างมันกำลังยืนหลบอยู่ตรงข้างๆกำแพงจวนแต่เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้งเงานั้นก็ลับหายไปอย่างรวดเร็ว“เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”“อ้อ พระจันทร์น่ะเพคะงดงามมาก”“ไม่เคยเห็นหรืออย่างไร”“ช่างเถอะข้าไม่พูดกับท่านแล้ว”เมื่อม้าของเขาหยุดนิ่งสนิทตรงหน้าประตูจวน เยว่หลิงก็เอี้ยวตัวกระโดดลงจากหลังม้าด้วยความรวดเร็ว“เดี๋ยวสิ! เจ้าอยากขาหักหรืออย่างไร”“ข้าขี่ม้าเป็นน่า”เมื่อลงจากหลังม้าและก้าวออกห่างจากตัวหลี๋อ๋องได้แล้วนางก็ตั้งท่าจะเข้าไปยังเรือนพักทันที“พระชายาท่านกลับมาแล้ว”“อืม เหนื่อยจะแย่ข้าอยากอาบน้ำเต็มทีแล้ว”“หม่อมฉันเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้พระชายาแล้วเพคะ”
เยว่หลิงหันมองคนนั้นทีคนนี้ทีอาหารที่เคี้ยวยังไม่ละเอียดก็พลันหลุดติดคอของนางเรียกความสนใจจากหลี๋อ๋องในทันที“ก็ข้าบอกแล้วว่าให้กินช้าๆ”“แค่ก แค่ก น้ำ น้ำ”เขายื่นถ้วยน้ำชามาตรงหน้านาง เยว่หลิงรีบยกขึ้นดื่มทันทีก่อนที่เขาจะหันไปหยิบเอากาน้ำชามารินให้นางเพิ่มแต่เมื่อหันมาอีกครั้งก็พบว่าหญิงสาวด้านข้างเขานั้นนั่งกินอาหารต่ออีกแล้ว“สำลักอาหารเกือบจะตายไปแล้ว ทำไมยังกินต่อได้อีกล่ะ”“ท้องของข้ายังว่าง รับอาหารได้เยอะพอสมควรเพคะ”นางไม่สนใจเขาก่อนจะคีบเอาเนื้อผัดเข้าปากน้อยๆของนางแล้วเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ไม่รักษากิริยามารยาทของหญิงงามแต่อย่างใด“ค่อยๆกินสิ จะรีบไปทำไมกันเดี๋ยวได้ติดคอตายหรอก”“ท่านแช่งข้าหรือ”“หรือไม่จริง ข้าบอกว่าให้เคี้ยวดีๆ เจ้าเป็นสตรีเช่นไรกันนะ”“ข้าก็เป็นของข้าแบบนี้หากท่านชื่นชอบสตรีที่มากด้วยมารยาทก็ไปหาคนอื
“ใต้เท้าโจวข้ายังมีบางสิ่งที่ต้องทำท่านช่วยพาพวกเขากลับเข้าเมืองไปก่อนนะ”“ได้ขอรับท่านอ๋อง”“แต่ว่าท่านอ๋อง…”หลี๋อ๋องไม่อยู่ฟังเสียงเรียกของฉางอิ๋นเซียนแต่อย่างใดเขารีบควบม้านำพาเยว่หลิงผ่านเข้าไปในตัวเมืองด้วยความรวดเร็วเมื่อคิดว่าพ้นจากสายตาของพวกเขาแล้ว หลี๋อ๋องก็พาเยว่หลิงควบม้าลัดเลาะมายังตรอกถนนที่ไร้ผู้คนเข้าไปเส้นทางยังป่าที่ดูเงียบสงบแต่บรรยากาศกลับแปลกประหลาดพิลึก"ท่านอ๋องข้าหิวข้าวแล้วไหนท่านบอกว่าจะพาข้าไปกินข้าวก่อนอย่างไรล่ะ""ก็นี่อย่างไรเล่าข้ากำลังจะพาไป""นี่มันป่าช้าแล้วมีร้านขายข้าวที่ไหนกัน ผ่านเข้าเมืองมาเมื่อครู่เหตุใดไม่พาข้าแวะก่อนเล่า""ทำไมเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้นะไม่รู้หรือของอร่อยๆ ย่อมไม่ได้พบเห็นกันง่ายๆ""เฮอะๆ ขอให้จริงเถอะ"พูดคุยกันไปได้สักพักอาชาสีดำสนิทของหลี๋อ๋องก็พาพวกเขาทั้งคู่มาถึงเรือนแห่งหนึ่งโครงสร้างเรือนที่ดูธรรมดาๆ แต่เมื่อดูให้ชัดเจน
เจ้าเมืองเล่ออานนำพาคนทั้งหมดมาที่หุบเขาเหอหนานซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมืองเล่ออาน ด้วยกลัวว่าโรคระบาดจะลามไปทั่วเมืองเขาจึงต้องนำผู้ป่วยมารักษาที่หุบเขาแห่งนี้แทนเพียงไม่นานก็ขึ้นเขามาถึงบริเวณที่ใช้รักษาคนที่ติดเชื้อ เยว่หลิงเดินตามพวกเขามาจนถึงกระโจมหลังหนึ่งที่เวลานี้บริเวณโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่นอนรักษาตัวกันเต็มไปหมด“ท่านหมอขอรับ ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว”เยว่หลิงที่เดินตามพวกเขามาเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันใด‘แผ่นหลังนั้นช่างคุ้นเคยเสียจริง’นางมองไปที่หมอหญิงผู้นั้นอีกครั้งด้วยความสงสัยแต่ท่านหมอผู้นั้นกลับไม่ยอมหันกลับมามองพวกเขาเสียที“ท่านอ่องขออภัยด้วย ข้าต้องรักษาบาดแผลของผู้เฒ่าผู้นี้ไม่สะดวกที่จะหันไปสนทนากับท่านในเวลานี้”“ไม่เป็นไรขอรับท่านหมอ ตงหยางเจ้าพาพระชายาไปนั่งรอทางนั้นก่อนข้าจะสนทนากับท่านหมอเสียหน่อย”“พ่ะย่ะค
‘ด่าได้เร้าใจมาก’“ข้าดูแลตัวเองได้น่า”“ลงไปกับข้า”“ก็ได้ ว๊าย! เหตุใดไม่ให้ข้าเดินลงบันไดไปเล่า”“ข้ายังมีงานต้องทำมัวชักช้ามันเสียเวลา”เมื่อทั้งคู่ลงมาอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าเมืองเล่ออานก็รีบเข้ามาหาพวกเขาทันที“ท่านอ๋อง พระชายา”“ท่านคือ?...”“เขาคือเจ้าเมืองเล่ออานนามว่าหวังตี๋เฟย”“ดีใจที่ได้พบท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ”“ขอบพระทัยที่เป็นห่วงเป็นใยชาวเมืองเล่ออานมากพ่ะย่ะค่ะ”เยว่หลิงได้เพียงแค่ส่งยิ้มให้เขาเพราะถูกหลี๋อ๋องจ้องมองอยู่ไม่วางตา“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้างั้นหรือ”“มีสิมีแน่แต่ไว้หลังจากข้ากลับมา เจ้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้รู้หรือไม่ว่าจะโดนอะไร”เยว่หลิงไม่สนใจที่เขาขู่ไม่ทันจะตอบโต้เขาไปก็ได้ยินเสียงบ
การเดินทางไปเมืองเล่ออานใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้นเพราะระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองหลวงนัก จึงทำให้ฮ่องเต้เป็นกังวลเรื่องโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นอย่างมากจึงมีรับสั่งให้หลี๋อ๋องไปจัดการควบคุมด้วยตัวเองระหว่างการเดินทางหลี๋อ๋องควบม้าไปด้านหน้าขบวนส่วนรถม้าที่บรรจุห่อยาและเสบียงนั้นอยู่ด้านหลัง พวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าพระชายาแอบตามมาด้วยเมืองเล่ออานอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าหลี่และแผ่นดินฝั่งตะวันออกนี้ก็อยู่ติดกับเขตแดนเหนือของแคว้นเป่ยฉีนั่นเองขบวนรถม้าของหลี๋อ๋องเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้เมืองเล่ออานมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางนั้นมีแต่ความเงียบเหงาไม่คึกคักเหมือนครั้งที่เขาเคยมาเยือนเมื่อเจ็ดปีก่อน ในครั้งอดีตที่เคยรุ่งเรืองผู้คนที่มากหน้าหลายตากลับสูญสลายหายไปสิ้นเพราะโรคระบาดที่ไม่อาจยับยั้งได้ในครานี้เมื่อก้าวผ่านประตูเมืองไปแล้วชาวบ้านละแวกนั้นก็เริ่มทยอยกันออกมายืนเฝ้ามองดูกันเต็มทั้งสองข้างทาง หลี๋อ๋ององค์ชายลำดับที่สี่ของฮ่องเต้แคว้นต้าหลี่มาที่เมืองของพวกเขาช่างน่ายินดียิ่งนักเพราะน้อยครั้งมากที่จะเห็นคนในราชวงศ์ห่วงใยประชาชนและลงมาดูแลพว
ยามเหม่า (05.00-07.00น.)เมื่อคืนนี้กว่าหลี๋อ๋องจะหลับตาลงได้ก็เป็นเวลาเกือบยามสามแล้ว (23.00-01.00น.) เป็นเหตุให้เช้านี้เขาตื่นสายกว่าทุกวัน เมื่อหันไปมองเตียงของนางกลับพบเพียงความว่างเปล่าหลังจากลุกได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงของหลี่จิ่งองค์รักษ์คนสนิทของเขาร้องเรียกที่หน้าประตูห้อง“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“มีอะไร”“ท่านอ๋องมาดูนี่เร็วเข้า”‘คงไม่มีอะไรหรอกนะ’เมื่อเดินตามหลี่จิ่งมาจนถึงสวนอุทยานที่เขาลงทุนสร้างขึ้นมาด้วยตนเองนั้น ภาพตรงหน้าเกือบทำให้เขาแข้งขาอ่อนลงทันใด“ท่านอ๋องคือว่าข้าน้อยห้ามนางแล้วแต่ว่า….”หลี๋อ๋องหลับตาลงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์กรุ่นโกรธเอาไว้“เจ้าทำอะไรกับสวนของข้า!”“หืม ทำไมหรือ”“ยังจะกล้าถามอีก นั่นอะไร”“เอ๋ ท่านไม่รู้จักหมูหรอกหรือ ข้าว่ามันน่ารักออกนะเพคะ”“เจ้าปล่อยมันออกมาวิ่งเล่นในสวนของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”“ข้าเห็นมันอยู่ตัวเดียว น่าจะเหงาจึงให้มันออกมาวิ่งเล่นก็เท่านั้น”“เยว่เหวินหลิง!”“ว่
-เจ็ดวันผ่านไป-ขบวนกองทัพของหลี๋อ๋องเคลื่อนพลจากชายแดนเหนือกินเวลาไปสิบสองวันเต็มๆ ในที่สุดก็เข้าสู่เมืองหลวงต้าหลี่ ระหว่างการเดินทางกลับในครั้งนี้เขาไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไรเช่นนี้มาก่อนเหมือนกับครั้งนี้เลย‘นี่เขาคิดถูกหรือไม่นะที่นำนางกลับมาด้วย สตรีผู้นี้ไม่ว่าง่ายเฉกเช่นสตรีคนอื่นเลยจริงๆ’เมื่อเข้าสู่ประตูเมืองสองข้างทางนั้นนอกจากจะเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ออกมายืนมุงดูพวกเขาแล้วก็ยังมีขบวนรถม้าของสตรีชั้นสูงถูกตกแต่งอย่างงดงามน่าจะมาจากหลายๆแคว้นด้วยกัน ต่างก็หยุดนิ่งอยู่บริเวณหน้าประตูเมืองเพื่อรอคอยเข้าสู่เมืองหลวงนั่นเองบรรดาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่นั่งอยู่ในรถม้านั้นต่างก็เลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อชื่นชมขบวนกองทัพของหลี๋อ๋อง แววตาของสตรีที่มองมาที่เขานั้นช่างหวานหยดเยิ้นเหมือนดั่งเจ้าหญิงที่ตกหลุมรักเจ้าชายอย่างไรอย่างไรนั้น‘เสน่ห์แรงเสียจริง’“ท่านอ๋อง นั่นเป็นขบวนรถม้าขององค์หญิงจากแคว้นต่างๆ มาเพื่อแต่งงานเจริญสัมพันไมตรีกับต้าหลี่ของเราพ่ะย่ะค่ะ”“ข้ารู้แล้ว”หลี๋อ๋องไม่ได้หยุดชื่นชมเหล่าสา
ซือเยว่ได้แต่ยืนไว้อาลัยให้ชุดที่เขาเพิ่งได้มาใหม่ นางเป็นใครเขาก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนช่างกล้ามาอาเจียนใส่เขาได้อย่างไรกัน เมื่ออาเจียนจนหมดแรงเยว่หลิงก็เมาหลับไปบนโต๊ะอาหารนั้นโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกเลย“เฮ้อ เจ้านี่มันช่างแตกต่างจากสตรีที่ข้าเคยพบเสียจริง” เขาค่อยๆถอดเสื้อออกอย่างเบามือด้วยกลัวว่ามือที่ใสสะอาดของเขาจะแปดเปื้อนอาหารที่นางอาเจียนออกมา“หงอี้!”“ขอรับ” หงอี้ที่ยังรออยู่นอกกระโจม เมื่อได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นนายก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้กับโต๊ะอาหารก็ถึงกับรีบปิดจมูกทันที‘กลิ่นอาเจียนนั้นมาจากไหนกัน หรือว่า!’“ไปเรียกสาวใช้มาจัดการต่อที”“ขอรับนายท่าน”เมื่อหงอี้ออกจากกระโจมไปแล้วเขาก็ลุกขึ้นก่อนจะช้อนตัวนางขึ้นไว้แนบอกแล้วอุ้มนางไปนอนบนเตียงของเขา“ให้ตายสิ จะขู่ให้เจ้ากลัวจนร้องไห้ขี้มูกโป่งเสียหน่อยแต่ดันกลับกันเสียได้ นอนเสียให้พอใจไปเลยข้าอุตส่าห์เสียสละเตียงนอนนุ่มนิ่มของข้าให้เจ้าเลยนะ”“เฮ้อ…นี่ข้าทำอะไรอยู่เนี่ย หลี๋อ่องชอบสตรีเช่นนี้ไปได้อย่างไรกันนะ”ข