เพราะไม่กล้าปล่อยให้พระชายามาเพียงลำพัง ตงหยางกับหลี่จิ้งจึงรีบเตรียมสัมภาระสำหรับการเดินทางขึ้นเขาด้วยความรวดเร็วโดยไม่ได้ไปแจ้งแก่หลี๋อ๋องก่อนแต่อย่างใด
‘อย่างน้อยนางก็คือพระชายาตามพระราชโองการที่ฮ่องเต้แต่งตั้งแล้ว หากไม่ดูแลนางให้ดีมีหวังหัวของพวกเขาคงไม่ได้อยู่บนบ่าเป็นแน่’
เมื่อมาถึงหุบเขาที่รกทึบต้นไม้น้อยใหญ่ก็แลดูสูงชะลูดยิ่งนัก ลมที่พัดผ่านมาหอบเอาไอเย็นกระทบกับร่างของพวกเขาจนรู้สึกสั่นสะท้าน
“พระชายา ท่านแน่ใจหรือว่าจะเข้าไปข้างในนั้น”
“มีของที่ต้องใช้ไม่อยากไปก็ต้องไปอยู่ดี”
“พวกเจ้าอย่าพูดมากน่า เดินตามข้าเร็วเข้า”
“พระชายา!”
เสียงร้องเรียกของใครบางคนดังอยู่ด้านหลังของนาง เมื่อหันไปมองดูก็พบว่าเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ใบหน้าช่างคุ้นเสียจริง
“ท่านคือ”
“นี่ท่านความจำสั้นเพียงนั้นเชียวหรือ จำข้าไม่ได้เสียแล้ว”
“ซือเยว่งั้นหรือ”
“ถูกต้อง”
“เจ้ามาที่นี่ทำไม”
“ข้ามาทำงานให้หลี๋อ๋อง”
“เพียงแต่ผ่านมาทางนี้พบท่านโดยบังเอิญน่ะ จะไปไหนกันหรือ”
‘พบโดยบังเอิญ ไม่ใช่แล้วกระมัง!’
“ข้าจะเข้าป่า”
“เป็นสตรีบอบบางเช่นนี้เข้าป่าไปทำไมกัน มันไม่สนุกหรอก”
“เจ้าพูดมากจริง หากไม่มีสิ่งที่ต้องการข้าจะถ่อมาที่นี่ทำไมกัน”
“แค่ผ่านมาใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็จงผ่านไปเถอะ ข้าไม่มีเวลามาสนทนากับเจ้า”
“นี่พี่สะใภ้จะพูดกับข้าดีๆไม่ได้เลยหรือ”
“ใครพี่สะใภ้เจ้า”
“ก็ท่านเป็นพระชายาหลี๋อ๋อง หลี๋อ๋องเป็นพี่ชายของข้าท่านก็ต้องเป็นพี่สะใภ้ของข้า”
“ห๊ะ!”
เยว่หลิงงุนงงในสิ่งที่เขาพูดถึงกับหันไปมององค์รักษ์สองคนนั้นทันที พวกเขาได้เพียงแค่ผงกหัวให้นางเป็นเชิงบอกว่าเขาพูดความจริงนั้นเอง
“เหลือเชื่อ เช่นนั้นข้าไปล่ะ”
“เดี๋ยวสิ ข้าไปด้วย”
เยว่หลิงคร้านจะสนทนากับเขานางเดินนำหน้าพวกเขาเข้าไปยังป่าลึกด้านในนั้นด้วยความรวดเร็ว ทั้งหมดเดินเข้าไปในป่าลึกทีละนิด ชายป่าด้านนอกยังคงไร้วี่แววของสมุนไพรไม่ว่าจะชนิดไหนก็ยังไม่ทันได้ปรากฏแก่สายตาของนางเลยสักนิด
“แน่ใจหรือว่าเรามาถูกที่”
“เอ๋ทำไมหรือขอรับ”
“เหตุใดเดินลึกเข้ามาเพียงนี้แล้วยังไม่มีวี่แววจะได้เห็นสมุนไพรสักต้นเลยล่ะ”
“กลับกันดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“กลับหรือ? เสียเวลาออกมาแล้วก็ต้องหาให้พบไม่เห็นอาการท่านอ๋องของพวกเจ้าเลยหรือ นอนเป็นผักเช่นนั้นขืนปล่อยเอาไว้นานกว่านี้มีหวังได้ไปคุยกับรากมะม่วงเป็นแน่”
“รากมะม่วง?”
“เฮ้อ…ช่างเถอะ”
ซือเยว่ที่เดินตามหลังพวกนางมาอยู่ดีๆ ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างส่งเสียงอยู่ด้านหลังของเขาเมื่อหันไปมองก็ถึงกับร้องดังลั่น
“อ๊ากกก! งะ งู!”
เยว่หลิงรีบอุดปากเขาเอาไว้ ไม่ทันที่นางจะได้จัดการเจ้างูตัวนั้นก็มีมีดสั้นจากใครบางคนขว้างออกไปโดนตัวงูนั้นพอดี
‘งูพิษสีเลือด!’
พิษของไม่ร้ายแรงแต่ทำให้คนที่ถูกกัดรู้สึกชาและเดินไม่ได้ไปสามวันเลยทีเดียว
“พี่สี่!”
“หืมนี่ท่าน! จะตามมาที่นี่ทำไมหรือว่าท่านเป็นห่วงข้า” เยวหลิงยิ้มกรุ้มกริ่มจนหลี๋อ๋องต้องหลบตานางก่อนจะตอบไปว่า
“ข้าห่วงชาวบ้านหรอก ไม่ได้ห่วงเจ้าเสียหน่อย"
"งั้นหรือ”
‘ปากแข็งอีกทั้งยังไม่ดูสังขารตัวเองเอาเสียเลย’
“แต่อาการของท่าน”
“ข้ายังไหว”
‘ไหวมาก…’
เยว่หลิงคร้านจะเถียงเขานางถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเสียงจะโกนร้องดังลั่นป่าของซือเยว่เมื่อครู่นี้อาจทำให้อะไรบางอย่างตื่นตัวขึ้นมาแล้ว
“นี่เจ้านะเงียบปากไว้หน่อยก็ดี ป่าทุกที่มีความลึกลับซ่อนอยู่อย่าส่งเสียงดังออกไปนัก”
“ก็ข้าตกใจนี่นา พี่สะใภ้เลิกดุข้าเสียทีเถอะ”
นางหันมองไปบริเวณโดยรอบเวลานี้ยังคงเงียบสงบ แต่ภายใต้ความเงียบสงบกลับมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้นางระแวงอยู่ไม่น้อย ก่อนออกจากจวนนางปล่อยจ้านจ้านออกมาล่วงหน้าแล้วแต่ไม่รู้ว่าเจ้าบ้านั่นหายหัวไปไหนก็ไม่รู้
“เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”
“ท่านไม่รู้จักความเป็นมาของหุบเขาไร้รักงั้นหรือ”
“ข้าไม่สันทัดเรื่องพวกนี้”
“ป่าแห่งนี้มีความน่ากลัวซ่อนอยู่ไม่อยากตายไปก่อนจะได้กลับเมืองหลวงพวกเจ้าก็อย่าส่งเสียงดังเช่นเมื่อครู่นี้อีก”
“ส่วนท่าน…ท่านอ๋องข้าว่าคนเยอะแล้วท่านกลับจวนไปก่อนเถอะ”
“มาถึงนี่แล้วจะให้ข้าหันหลังกลับไปได้อย่างไร”
“เช่นนั้นก็ตามใจเถอะ”
เยว่หลิงพูดจบก็ก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ นางเดินนำหน้าทุกคนไปยังป่าด้านหน้าเมื่อเข้าไปยังเขตป่าลึกข้างในบรรยากาศกับวังเวงน่ากลัวยิ่งกว่าป่าทุกแห่งหนที่นางเคยไปเยือนเสียจริง
“พี่สะใภ้ท่านว่าหรือไม่ บรรยากาศมันแปลกๆอยู่นะ”
“ชู่ว์ อย่าเสียงดังสิ”
เยว่หลิงรีบเอ่ยเตือนพวกเขาทันที นางจำที่ท่านแม่เคยบอกได้ว่าหุบเขานี้ในส่วนลึกที่สุดจะมีเหวร้างตั้งอยู่ ที่แห่งนั้นจะมีดอกบัวหิมะเก้าสีซ่อนอยู่ตรงนั้นและอีกชนิดหนึ่งคือหญ้างูพิษจะอยู่บริเวณถ้ำน้ำตกบริเวณนั้นมีงูยักษ์อาศัยอยู่ที่แห่งนี้อันตรายยิ่งนัก แม้จะมีวรยุทธ์มากเพียงใดแต่หากไม่ระวังย่อมเอาชีวิตมาทิ้งอย่างแน่นอน
“พวกเจ้ามีวรยุทธ์กันทุกคนสินะ”
“พระชายาพวกเราถูกฝึกฝนมาตั้งแต่เยาว์วัยแล้วขอรับ”
“แล้วเจ้าล่ะ”
“หืม ข้าหรือก็พอได้ ” ซือเยว่ตอบนางไปโดยไม่รู้ความหมายที่นางเอ่ยถามออกมา
“ดี เช่นนั้นข้าก็หายห่วง”
‘ห่วง?นางห่วงอันใดกัน พวกเขามีวรยุทธ์แต่นางไม่มีคนที่น่าห่วงคงจะเป็นนางไม่ใช่พวกเขาเสียหน่อย’
ทั้งหมดเดินเข้าไปในป่าไกลพอสมควรจนได้ยินเสียงเหมือนสายลมที่ดังหวีดร้องอยู่เบื้องหน้า เมื่อเข้าไปใกล้ก็พบกับหน้าผากว้างสูงชันด้านล่างเป็นธารน้ำไหลแรงสองฟากฝั่งมีท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่ดูอย่างไรก็น่าจะเก่าแทบจะผุพังอยู่แล้วพาดผ่านคนละฝั่งเอาไว้
“พี่สะใภ้อย่าบอกนะว่าพวกเราต้องข้ามต้นไม้นี้เพื่อไปฝั่งนั้น”
“ใช่แล้ว นี่ซือเยว่เหตุใดเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้กันนะ”
ซือเยว่มุ่ยปากให้นางแต่เมื่อหันไปมองดูที่เหวนั้นเขากลับรู้สึกสยองที่ได้พบเห็นและเมื่อมองลงไปด้านล่างความลึกชันของเหวนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก หากเดินพลาดแม้เพียงนิดเดียวเขาคงไม่มีชีวิตรอดกลับไปหาเหล่าสตรีของเขาอย่างแน่นอน
ซือเยว่กลืนน้ำลายไปอึกหนึ่งเขายืนคิดคนเดียวไปได้ไม่นานก็ถูกเยว่หลิงถีบเข้ากับลำตัวด้านข้างล้มลงไปกับผืนดินทันที
“โอ๊ย! นี่ท่าน”
ไม่ทันได้เอ่ยปากอะไรต่อก็เห็นลูกธนูเฉียดใบหน้าเขาตกลงไปในเหวลึกนั้น เยว่หลิงถีบเขาให้หลบลูกธนูไปก่อนจะเขวี้ยงเข็มเงินออกไปยังด้านหลังด้วยความรวดเร็ว
เสียงร้องดัง “อ๊าก” ก็ดังขึ้นตามมา
“พวกเจ้ารีบพาท่านอ๋องข้ามไปเร็ว” ไม่รอช้าหลี่จิ่งและตงหยางรีบดึงแขนหลี๋อ๋องข้ามต้นไม้ท่อนนั้นไปทันที พวกเขาไม่ทันได้ตื่นตกใจกับภาพหุบเหวเบื้องล่างก็รีบข้ามมาถึงอีกฝั่งอย่างรวดเร็ว
“เอ้า ไม่พาข้าไปด้วยล่ะ” ซือเยว่ที่นั่งอยู่บนพื้นก็รีบดีดตัวขึ้นก่อนจะรีบก้าวไปหยุดที่หน้าผานั้นแต่ยังไม่กล้าข้ามไปแต่อย่างใด เมื่อหันหลับไปมองนางก็มีธนูลูกหนึ่งเฉียดไปหน้าเขาไปอีกครั้ง
“ให้ตายสิเจ้าพวกนี้ อยากตายงั้นหรือ”
“ท่านอ๋องข้ามไปก่อนขอรับ ข้าน้อยจะจัดการพวกมันเอง”
“เจ้าอย่าพูดมาก” ซือเยว่หันไปดุให้กับบ่าวคนสนิทของเขาทันที่ก่อนจะจับจ้องไปยังเยว่หลิงพี่สะใภ้ที่เขาคิดมาตลอดว่านางเป็นสตรีที่อ่อนแอ แต่เมื่อเห็นสิ่งที่นางทำอยู่ตอนนี้เขาคงต้องคิดใหม่แล้วกระมัง
หลี๋อ๋องเมื่อไปถึงฝั่งนั้นอย่างปลอดภัยก็หันไปมองอีกด้านก็เห็นว่านางกำลังต่อสู้กับคนชุดดำอีกสี่ห้าคนโดยมีฟู่เหิงองค์รักษ์ของผู้เป็นน้องชายของเขาช่วยอีกแรง
เพียงชั่วพริบตาเยว่หลิงก็จัดการคนเหล่านั้นได้ทั้งหมดก่อนที่นางจะผลักพวกเขาตกลงหน้าผาไปจนหมด เหลือเพียงสองคนที่ดูจะบาดเจ็บสาหัสที่กำลังจะวิ่งหนีออกไปจากป่าแต่เยว่หลิงไม่ยอมปล่อยโอกาสให้พวกนั้นหนีนางหยิบเอาท่อนไม้ขนาดเท่าพู่กันออกมาจากชายเสื้อแล้วชี้ไปยังสองคนนั้นร่างทั้งร่างก็ร่วงลงต่อหน้าพวกเขาทันที ฉีอ๋องได้แต่มองตาค้าง
‘นี่นางมีวรยุทธ์สูงเพียงนี้เชียวหรือ มิน่าพี่สี่ถึงได้เตือนว่าอย่ายุ่งกับนางเป็นอย่างนี้นี่เอง’
เมื่อจัดการคนเหล่านั้นเรียบร้อยนางจึงดึงเอาแขนของฉีอ๋องแล้วรีบข้ามมายังฝั่งที่พวกเขาอยู่ด้วยความรวดเร็วปานสายลม
“ฝีมือเจ้าร้ายกาจดีนี่ ไม่รู้มาก่อนว่าชายาของข้ามีวรยุทธ์”
“เช่นนั้นข้าจะท่องไปทั่วยุทธภพได้เช่นไรกันหากไม่รู้จักวิธีปกป้องตัวเอง รีบไปกันเถอะข้าสังหรณ์ใจว่าไม่น่าจะมีเพียงกลุ่มคนชุดเดียวที่ตามหลังพวกเรามา”
“เจ้าคิดว่ายังจะมีอีกเช่นนั้นหรือ”
“ข้าแค่สังหรณ์ใจ พวกท่านไม่มีศัตรูเลยหรือคงเป็นไปไม่ได้”
หลี๋อ๋องเงียบไปทันทีก่อนจะหันไปมองหน้าของฉีอ๋อง พวกเขาทั้งคู่ถึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าต้องมีใครบางคนที่ไม่อยากให้เขารอดชีวิตกลับไปเป็นแน่
“ท่านเป็นองค์ชายที่มีความสามารถย่อมมีคนคิดไม่ดีกับท่านหรืออาจต้องการให้ท่านตายไปแน่นอน ตายที่ป่าแห่งนี้แล้วบอกว่าเป็นเพราะถูกสัตว์ร้ายโจมตีย่อมไม่มีใครสนใจสืบความต่อ”
“ดูเจ้าจะรู้มากเสียจริงนะ”
“เรื่องราวในราชวงศ์ก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง แก่งแย่งชิงตำแหน่งกัน”
“ก็จริงของเจ้า”
“อันตรายจากสัตว์ป่าไม่น่ากลัวเท่าคนหรอกนะเพคะท่านอ๋อง”
“หากเจ้ารู้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมีคนตามข้ามาแล้วทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้าตั้งแต่แรก เหตุใดถึงดูไม่ใส่ใจที่จะไล่พวกข้ากลับไปล่ะ”
เยว่หลิงช้อนสายตามองไปที่หลี๋อ๋องก่อนจะเผยอยิ้มออกมา เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่าแววตาของนางช่างน่ากลัวเช่นนั้นนะ
“ข้าจะใช้คนพวกนั้นให้เป็นประโยชน์อยางไรล่ะเพคะท่านอ๋อง เหวร้างด้านหน้านั้นไม่เท่าไหร่แต่ถ้ำน้ำตกนั้นอันตรายยิ่งนักการได้ท่านเดินทางมาด้วยยิ่งเป็นการบีบให้ศัตรูของท่านเดินตามมาเป็นโขยง พวกนั้นจะเป็นอาหารอันโอชะแทนพวกเราอย่างไรล่ะเพคะ”
เยว่หลิงแสยะยิ้มให้พวกเขา จนบุรุษทั้งหมดรู้สึกได้ว่ารอยยิ้มที่ส่งออกมานั้นเป็นรอยยิ้มของปีศาจอย่างไรอย่างนั้น
‘เป็นแค่ท่านหญิงแน่หรือ เหตุใดถึงได้ดูร้ายกาจเช่นนั้นล่ะตัวตนของนางเป็นใครกันแน่!'
“พี่สี่ ที่นางมาที่นี่เพียงเพื่อต้องการสมุนไพรเท่านั้นจริงๆน่ะหรือ”“ข้าก็ …ไม่มั่นใจว่านางอยากได้สมุนไพรหรือเพียงนึกสนุกมาเที่ยวเล่นกันแน่”“พวกท่านพูดอะไรไม่รู้จริงๆ น่ะหรือว่าสมุนไพรที่นี่ใช้ชุบชีวิตคนที่ใกล้ตายให้กลับมามีชีวิตดังเดิมได้และไม่ใช่ว่าสมุนไพรพวกนั้นจะพบเจอได้ง่ายๆ เฉกเช่นพืชผักที่ขายกันเกลื่อนตามตลาดทั่วๆ ไป”“จริงหรือ”“แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่เชี่ยวชาญเท่านั้นถึงจะรู้ว่าอันไหนมีพิษอันไหนที่ใช้ได้ คนทั่วไปไหนเลยจะมองออก”เยว่หลิงยังคงก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆดูเหมือนกับนางไม่รู้เหน็ดเหนื่อยอย่างไรอย่างนั้น พวกเขาใช้เวลาเดินทางมาไม่นานนักในที่สุดก็พบเข้ากับผาหินสูงชันที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ตรงกลางผาหินนั้นมีช่องว่างขนาดใหญ่และมีหมอกควันลอยขึ้นมาจากผาด้านล่างแทบจะปิดทางเข้าปากถ้ำจนมิด “ที่นั่นคือ...” “เหวร้างยังไงล่ะ ท่านเห็นต้นไม้ตรงนั้นหรือไม่
เยว่หลิงรักษาบาดแผลให้หลี๋อ๋องเรียบร้อยก็รอจนเขาหลับไปถึงได้ออกเดินไปเพื่อพักสายตา ขณะที่นางเดินเลี้ยวอ้อมมาทางหุบเขาอีกด้านนั้นก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างเยว่หลิงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลานางรอคอยการมาของใครบางคนอยู่อย่างใจจดใจจ่อเมื่อเขาปรากฎกายขึ้นด้านหลังของนางเยว่หลิงก็ไม่มีอาการหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยนางเอ่ยปากถามคนด้านหน้าของนางทันที“เจ้าต้องการอะไร”“ถามมาได้ ข้าก็ต้องการชีวิตของเจ้าอย่างไรล่ะ”“เช่นนั้นก่อนจะตายก็ควรบอกข้าไม่ใช่หรือว่าใครจ้างวานเจ้ามา”“ฮ่าๆๆ เจ้าตายไปเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหล่ะ”ชายชุดดำไม่พูดเปล่าเขาตวัดดาบเข้าหานางด้วยความรวดเร็ว จังหวะเพลงกระบี่ของเขานั้นทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างมากไม่บอกก็รู้ที่มาของเพลงกระบี่นั้นเยว่หลิงเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆแล้วนางหยิบเอาเข็มเงินออกมาก่อนจะตวัดเข้าไปหาชายชุดดำนั้นด้วยความรวดเร็วเขาไม่คิดว่านางจะมีวรยุทธ์จึงไม่ทันได
-เช้าวันถัดไป-“เจ้าทำอะไรอยู่งั้นหรือ”หลี๋อ๋องเดินเข้ามาหานางอย่างเชื่องช้าเพราะอาการบาดเจ็บบริเวณหน้าท้องนั้นพึ่งเกิดขึ้นไม่นานจึงทำให้แผลของเขายังไม่สมานกันดีเท่าใดนัก“ท่านออกมาทำไม”“ข้าไม่เห็นเจ้าเลยทั้งวัน”“ข้าก็แค่”“อะไรหรือ”หลี๋อ๋องนั่งลงข้างๆ นางก่อนจะเอ่ยถามนางออกไปว่า“ข้าได้ยินว่าสาวใช้ของเจ้าติดเชื้อนางอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”“ให้คนพาไปที่หุบเขาแล้วหากติดเชื้อจะให้อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ต้องส่งไปให้ท่าน…”“หืม”“เอ่อ ท่านหมอตรวจอาการน่ะอยู่กับท่านหมอน่าจะดีกว่า”“ก็ดีแล้วเป็นห่วงนางมากหรือข้าเห็นเจ้าดูเป็นกังวลมาก”เยว่หลิงเพียงแค่จ้องมองเขานิ่งไม่ยอมตอบคำถามของเขาอยู่นานสองนานจนสุดท้ายจึงได้เอ่ยปากถามเขาออกไป&
“ท่านอ๋องยามนี้สงครามชายแดนเหนือก็สงบลงแล้ว ท่านจะกลับเมืองหลวงเลยหรือไม่”“ไม่ล่ะ ข้ายังไม่อยากกลับไปตอนนี้”“แต่ฮองเฮาเรียกท่านกลับแล้วไม่ใช่หรือ ทรงส่งสาส์นมาด้วยองค์เองเช่นนี้แสดงว่าต้องมีเรื่องด่วน”“จะมีเรื่องเร่งด่วนอะไรกัน ข้าว่านะเรื่องที่ฮองเฮาทรงเป็นกังวลคงมีอยู่เพียงเรื่องเดียว”“เจ้าก็คิดเหมือนข้างั้นหรือ”แม่ทัพประจำชายแดนเหนือนามว่าเหอจินเยี่ยนและที่ปรึกษาทางการทหารนามว่าซือหนานกง สองสหายคนสนิทของหลี๋อ๋องกำลังแลกเปลี่ยนความคิดกันไปมาโดยไม่สนใจว่าหลี๋อ๋องจะฟังพวกเขาอยู่หรือไม่หลี๋อ๋องที่กำลังพินิจจดหมายที่ฮองเฮาส่งมาอยู่นั้นเมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองทันที“ท่านอยู่เพียงในสนามรบมาร่วมเจ็ดปีเต็มแล้วสตรีข้างกายก็ไม่มีซักคนองค์ชายคนอื่นๆต่างก็มีพระชายาเป็นของตนเองแล้วทั้งนั้น แต่ท่านกลับมีเพียงความว่างเปล่าฮองเฮาเป็นห่วงท่านก็ไม่แปลก”“จะแปลกก็ตรงที่พระนางปล่อยให้ท่านเหงามานานหลายปีถึงเพียงนี้ แต่เพิ่งจะคิดขึ้นได้ว่าควรที่จะหาชายาให้ท่านในเวลานี้เนี่ยนะ”“ต้องมีอะไรซักอย่างสิ”“เจ้าคิดมากไปหรือไม่”“พวกเจ้าหยุดเถียงกันเสียที พรุ่งนี้ข้าจะกลับเมืองหลวง” หล
“ออกไปให้หมดยกเว้นเจ้า!”“!”“ใครกันหรือ” บรรดาสาวงามที่ยืนอยู่ภายในกระโจมต่างก็หันมองกันไปมาด้วยความที่ไม่รู้ว่าหลี๋อ๋องนั้นหมายถึงใครสายตาของเขามองส่งไปยังสตรีนางหนึ่งผู้ที่ยืนอยู่ท้ายๆกระโจมเลยกระมัง'เหตุใดเขาถึงมองเห็นนางกัน'หญิงงามเหล่านั้นแสดงออกว่าไม่พอใจนางเป็นอย่างยิ่งเพราะรูปร่างที่อรชรของนางทั้งยังมีใบหน้าที่งดงามแม้จะคลุมผ้าไว้ครึ่งหน้าก็เถอะ เยว่หลิงเมื่อได้ยินที่เขาพูดก็โอดครวญภายในใจทันที‘ไม่น่าตามมาที่นี่เลย’“เดินออกมานี่”“ขะ ข้าหรือ”“ใช่ เจ้ามาที่นี่ไม่ใช่ว่ามาปรนนิบัติข้าหรอกหรือ”“คือว่าความจริงแล้วข้า”“เลือกเอาว่าจะปรนนิบัติข้าหรือพวกเจ้าทั้งหมดจะไปรับใช้เหล่าทหารของข้า”“อะไรนะ!”บรรดาหญิงงามเหล่านั้นต่างก็ตื่นตกใจเมื่อได้ยินที่เขาเอ่ยออกมา แม่ทัพเหอรีบต้อนหญิงงามเหล่านั้นออกจากกระโจมด้วยความรวดเร็วทิ้งไว้เพียงแค่เยว่หลิงที่ยืนขาสั่นงันงกอยู่ตรงหน้าเขาเพียงลำพังนางไม่แน่ใจเห
“เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วหรือยัง”“เรียบร้อยแล้วขอรับท่านอ๋อง”“ดี”สองสหายคนสนิทและสององค์รักษ์ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าหลี๋อ๋องอยู่นั้นก็เอาแต่จับจ้องใบหน้าของเขาอยู่ไม่วางตาแต่ก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรออกไป พลันประตูกระโจมของหลี๋อ๋องก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของใครบางคน เหล่าบุรุษที่ยืนสนทนากันอยู่ตรงนั้นก็หันไปมองทันที“นั่นไม่ใช่สตรีจากหอนางโลมเมื่อคืนนี้หรอกหรือ เหตุใดถึงยังอยู่ที่นี่กัน”“ข้าจะไปรู้หรือ”ตงหยางตอบหลี่จิ่งกลับด้วยเสียงอันเบาด้วยกลัวว่าท่านอ๋องของพวกเขาจะได้ยินเข้า เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดสตรีผู้นี้ถึงยังอยู่ที่นี่เพราะเมื่อเช้าตรู่เขาเป็นคนส่งเหล่าคณิกาพวกนั้นขึ้นรถม้าเพื่อกลับเข้าไปในเมืองแล้วนั่นเองเยว่หลิงเดินออกมาจากกระโจมก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลี๋อ๋อง ใบหน้าของนางตอนนี้นั้นช่างดูสดใสต่างจากท่านอ๋องของพวกเขาเสียจริง“ท่านปวดหลังหรือไม่ เอวของท่านยังอยู่ดีไหม”“อย่ายุ่งน่า”เหล่าสหายและองค์รักษ์ของเขาต่างก็ตาโตทันทีที่ได้ยินสิ่งที่สตรีผู้นั้นเอ่ยถามหลี๋อ๋องออกมาหลี๋อ๋องหันไปมองสตรีผู้นั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อคืนเขายกเตียงนอนหนานุ่มของเขาให้นางส่วนตัวเขานั้นกลับต้
‘ปวดหัวเสียจริง ให้ตายสิใครช่างกล้าทำกับข้าเช่นนี้กันนะ’เยว่หลิงเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้วแต่เพราะความรู้สึกปวดหนึบที่ศรีษะทั้งสองข้างนั้นทำให้นางลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก จนกระทั่งเปลือกตาบางของนางค่อยๆแย้มกระพริบขึ้นทีละนิดจนเริ่มมองเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจนนางยันตัวลุกขึ้นก่อนที่สายตานั้นจะเหลือบไปเห็นบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ห่างจากนางเพียงไม่ถึง 1 จิ้ง[1]วงหน้าของเขานั้นถูกล้อมรอบไปด้วยเส้นผมสีดำเงางาม นัยต์ตาที่เรียวยาวราวกับเหยี่ยวมีแก้วตาสีแดงสดพราวระยับดุจอัญมณี ดูลึกลับแต่สะกดสายตาให้หยุดมอง นางไล่สายตาไปทั่วร่างของเขาจนเจ้าของร่างนั้นเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตาของนาง“เจ้าจะสำรวจข้าอีกนานไหม”“แล้วเจ้าเป็นใคร”“ไม่คิดจะกลัวข้าบ้างหรืออย่างไร”เยว่หลิงเอาแต่จ้องมองคนตรงหน้าก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากสร้างความประหลาดใจให้แก่บุรุษผู้นั้นเป็นอย่างมาก“หงอี้เข้ามาข้างในนี้ที”“ขอรับนายท่าน”สิ้นคำบอกกล่าวก็มีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้านในกระโจมด้วยความรวดเร็ว ลักษณะการเดินที่มั่นคงและคล่องแค
ซือเยว่ได้แต่ยืนไว้อาลัยให้ชุดที่เขาเพิ่งได้มาใหม่ นางเป็นใครเขาก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนช่างกล้ามาอาเจียนใส่เขาได้อย่างไรกัน เมื่ออาเจียนจนหมดแรงเยว่หลิงก็เมาหลับไปบนโต๊ะอาหารนั้นโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกเลย“เฮ้อ เจ้านี่มันช่างแตกต่างจากสตรีที่ข้าเคยพบเสียจริง” เขาค่อยๆถอดเสื้อออกอย่างเบามือด้วยกลัวว่ามือที่ใสสะอาดของเขาจะแปดเปื้อนอาหารที่นางอาเจียนออกมา“หงอี้!”“ขอรับ” หงอี้ที่ยังรออยู่นอกกระโจม เมื่อได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นนายก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้กับโต๊ะอาหารก็ถึงกับรีบปิดจมูกทันที‘กลิ่นอาเจียนนั้นมาจากไหนกัน หรือว่า!’“ไปเรียกสาวใช้มาจัดการต่อที”“ขอรับนายท่าน”เมื่อหงอี้ออกจากกระโจมไปแล้วเขาก็ลุกขึ้นก่อนจะช้อนตัวนางขึ้นไว้แนบอกแล้วอุ้มนางไปนอนบนเตียงของเขา“ให้ตายสิ จะขู่ให้เจ้ากลัวจนร้องไห้ขี้มูกโป่งเสียหน่อยแต่ดันกลับกันเสียได้ นอนเสียให้พอใจไปเลยข้าอุตส่าห์เสียสละเตียงนอนนุ่มนิ่มของข้าให้เจ้าเลยนะ”“เฮ้อ…นี่ข้าทำอะไรอยู่เนี่ย หลี๋อ่องชอบสตรีเช่นนี้ไปได้อย่างไรกันนะ”ข
-เช้าวันถัดไป-“เจ้าทำอะไรอยู่งั้นหรือ”หลี๋อ๋องเดินเข้ามาหานางอย่างเชื่องช้าเพราะอาการบาดเจ็บบริเวณหน้าท้องนั้นพึ่งเกิดขึ้นไม่นานจึงทำให้แผลของเขายังไม่สมานกันดีเท่าใดนัก“ท่านออกมาทำไม”“ข้าไม่เห็นเจ้าเลยทั้งวัน”“ข้าก็แค่”“อะไรหรือ”หลี๋อ๋องนั่งลงข้างๆ นางก่อนจะเอ่ยถามนางออกไปว่า“ข้าได้ยินว่าสาวใช้ของเจ้าติดเชื้อนางอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”“ให้คนพาไปที่หุบเขาแล้วหากติดเชื้อจะให้อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ต้องส่งไปให้ท่าน…”“หืม”“เอ่อ ท่านหมอตรวจอาการน่ะอยู่กับท่านหมอน่าจะดีกว่า”“ก็ดีแล้วเป็นห่วงนางมากหรือข้าเห็นเจ้าดูเป็นกังวลมาก”เยว่หลิงเพียงแค่จ้องมองเขานิ่งไม่ยอมตอบคำถามของเขาอยู่นานสองนานจนสุดท้ายจึงได้เอ่ยปากถามเขาออกไป&
เยว่หลิงรักษาบาดแผลให้หลี๋อ๋องเรียบร้อยก็รอจนเขาหลับไปถึงได้ออกเดินไปเพื่อพักสายตา ขณะที่นางเดินเลี้ยวอ้อมมาทางหุบเขาอีกด้านนั้นก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างเยว่หลิงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลานางรอคอยการมาของใครบางคนอยู่อย่างใจจดใจจ่อเมื่อเขาปรากฎกายขึ้นด้านหลังของนางเยว่หลิงก็ไม่มีอาการหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยนางเอ่ยปากถามคนด้านหน้าของนางทันที“เจ้าต้องการอะไร”“ถามมาได้ ข้าก็ต้องการชีวิตของเจ้าอย่างไรล่ะ”“เช่นนั้นก่อนจะตายก็ควรบอกข้าไม่ใช่หรือว่าใครจ้างวานเจ้ามา”“ฮ่าๆๆ เจ้าตายไปเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหล่ะ”ชายชุดดำไม่พูดเปล่าเขาตวัดดาบเข้าหานางด้วยความรวดเร็ว จังหวะเพลงกระบี่ของเขานั้นทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างมากไม่บอกก็รู้ที่มาของเพลงกระบี่นั้นเยว่หลิงเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆแล้วนางหยิบเอาเข็มเงินออกมาก่อนจะตวัดเข้าไปหาชายชุดดำนั้นด้วยความรวดเร็วเขาไม่คิดว่านางจะมีวรยุทธ์จึงไม่ทันได
“พี่สี่ ที่นางมาที่นี่เพียงเพื่อต้องการสมุนไพรเท่านั้นจริงๆน่ะหรือ”“ข้าก็ …ไม่มั่นใจว่านางอยากได้สมุนไพรหรือเพียงนึกสนุกมาเที่ยวเล่นกันแน่”“พวกท่านพูดอะไรไม่รู้จริงๆ น่ะหรือว่าสมุนไพรที่นี่ใช้ชุบชีวิตคนที่ใกล้ตายให้กลับมามีชีวิตดังเดิมได้และไม่ใช่ว่าสมุนไพรพวกนั้นจะพบเจอได้ง่ายๆ เฉกเช่นพืชผักที่ขายกันเกลื่อนตามตลาดทั่วๆ ไป”“จริงหรือ”“แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่เชี่ยวชาญเท่านั้นถึงจะรู้ว่าอันไหนมีพิษอันไหนที่ใช้ได้ คนทั่วไปไหนเลยจะมองออก”เยว่หลิงยังคงก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆดูเหมือนกับนางไม่รู้เหน็ดเหนื่อยอย่างไรอย่างนั้น พวกเขาใช้เวลาเดินทางมาไม่นานนักในที่สุดก็พบเข้ากับผาหินสูงชันที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ตรงกลางผาหินนั้นมีช่องว่างขนาดใหญ่และมีหมอกควันลอยขึ้นมาจากผาด้านล่างแทบจะปิดทางเข้าปากถ้ำจนมิด “ที่นั่นคือ...” “เหวร้างยังไงล่ะ ท่านเห็นต้นไม้ตรงนั้นหรือไม่
เพราะไม่กล้าปล่อยให้พระชายามาเพียงลำพัง ตงหยางกับหลี่จิ้งจึงรีบเตรียมสัมภาระสำหรับการเดินทางขึ้นเขาด้วยความรวดเร็วโดยไม่ได้ไปแจ้งแก่หลี๋อ๋องก่อนแต่อย่างใด‘อย่างน้อยนางก็คือพระชายาตามพระราชโองการที่ฮ่องเต้แต่งตั้งแล้ว หากไม่ดูแลนางให้ดีมีหวังหัวของพวกเขาคงไม่ได้อยู่บนบ่าเป็นแน่’เมื่อมาถึงหุบเขาที่รกทึบต้นไม้น้อยใหญ่ก็แลดูสูงชะลูดยิ่งนัก ลมที่พัดผ่านมาหอบเอาไอเย็นกระทบกับร่างของพวกเขาจนรู้สึกสั่นสะท้าน“พระชายา ท่านแน่ใจหรือว่าจะเข้าไปข้างในนั้น”“มีของที่ต้องใช้ไม่อยากไปก็ต้องไปอยู่ดี”“พวกเจ้าอย่าพูดมากน่า เดินตามข้าเร็วเข้า”“พระชายา!”เสียงร้องเรียกของใครบางคนดังอยู่ด้านหลังของนาง เมื่อหันไปมองดูก็พบว่าเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ใบหน้าช่างคุ้นเสียจริง“ท่านคือ”“นี่ท่านความจำสั้นเพียงนั้นเชียวหรือ จำข้าไม่ได้เสียแล้ว”“ซือเ
เมื่อเยว่หลิงกลับมาถึงที่จวนเจ้าเมือง นางก็รีบตรงดิ่งไปยังเรือนพักของนางทันทีเมื่อเดินมาถึงห้องของนางก็เป็นอันหยุดชะงักไป เสียงของคนที่อยู่ด้านในห้องที่ดังแว่วออกมาข้างนอกทำให้ขาของนางสั่นไม่หาย“หม่อมฉันไม่รู้จริงๆเพคะ”“ไม่รู้ได้อย่างไร เจ้ามีหน้าที่ดูแลพระชายาเหตุใดถึงไม่รู้ว่านางไปไหน”“หม่อมฉันรู้สึกเหมือนว่า…”เยว่หลิงรีบเปิดประตูเข้าไปทันทีก่อนที่เสี่ยวหลันจะหลุดปากบอกว่านางถูกวางยา“ท่านอ๋อง ท่านเข้ามาในห้องของข้าทำไมหรือ”“เจ้าหายไปไหนมา”“ข้าหรือ ข้าออกไปเดินเล่น”“ทิ้งสาวใช้เอาไว้ลำพังแล้วเจ้าออกไปเดินเล่นเนี่ยนะ”“ความจริง ข้าพาจ้านจ้านออกไปเดินเล่นนะเพคะ”“จ้านจ้านงั้นหรือ?”เยว่หลิงพูดปดด้วยการยกจ้านจ้านมาอ้าง ไม่รู้ว่าป่านนี้สัตว์เลี้ยงของนางจะรู้ตัวแล้วหรือยังที่ถูกนางแอบอ้างเช่นน
กว่าทั้งคู่จะกลับถึงจวนก็เป็นเวลายามเซิน (15.00-17.00 น.) แล้ว เมื่ออาชาของหลี๋อ๋องวิ่งเข้าใกล้จวนเจ้าเมือง พลันสายตาของเยว่หลิงก็เหลือบไปเห็นเงาของสัตว์บางอย่างมันกำลังยืนหลบอยู่ตรงข้างๆกำแพงจวนแต่เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้งเงานั้นก็ลับหายไปอย่างรวดเร็ว“เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”“อ้อ พระจันทร์น่ะเพคะงดงามมาก”“ไม่เคยเห็นหรืออย่างไร”“ช่างเถอะข้าไม่พูดกับท่านแล้ว”เมื่อม้าของเขาหยุดนิ่งสนิทตรงหน้าประตูจวน เยว่หลิงก็เอี้ยวตัวกระโดดลงจากหลังม้าด้วยความรวดเร็ว“เดี๋ยวสิ! เจ้าอยากขาหักหรืออย่างไร”“ข้าขี่ม้าเป็นน่า”เมื่อลงจากหลังม้าและก้าวออกห่างจากตัวหลี๋อ๋องได้แล้วนางก็ตั้งท่าจะเข้าไปยังเรือนพักทันที“พระชายาท่านกลับมาแล้ว”“อืม เหนื่อยจะแย่ข้าอยากอาบน้ำเต็มทีแล้ว”“หม่อมฉันเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้พระชายาแล้วเพคะ”
เยว่หลิงหันมองคนนั้นทีคนนี้ทีอาหารที่เคี้ยวยังไม่ละเอียดก็พลันหลุดติดคอของนางเรียกความสนใจจากหลี๋อ๋องในทันที“ก็ข้าบอกแล้วว่าให้กินช้าๆ”“แค่ก แค่ก น้ำ น้ำ”เขายื่นถ้วยน้ำชามาตรงหน้านาง เยว่หลิงรีบยกขึ้นดื่มทันทีก่อนที่เขาจะหันไปหยิบเอากาน้ำชามารินให้นางเพิ่มแต่เมื่อหันมาอีกครั้งก็พบว่าหญิงสาวด้านข้างเขานั้นนั่งกินอาหารต่ออีกแล้ว“สำลักอาหารเกือบจะตายไปแล้ว ทำไมยังกินต่อได้อีกล่ะ”“ท้องของข้ายังว่าง รับอาหารได้เยอะพอสมควรเพคะ”นางไม่สนใจเขาก่อนจะคีบเอาเนื้อผัดเข้าปากน้อยๆของนางแล้วเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ไม่รักษากิริยามารยาทของหญิงงามแต่อย่างใด“ค่อยๆกินสิ จะรีบไปทำไมกันเดี๋ยวได้ติดคอตายหรอก”“ท่านแช่งข้าหรือ”“หรือไม่จริง ข้าบอกว่าให้เคี้ยวดีๆ เจ้าเป็นสตรีเช่นไรกันนะ”“ข้าก็เป็นของข้าแบบนี้หากท่านชื่นชอบสตรีที่มากด้วยมารยาทก็ไปหาคนอื
“ใต้เท้าโจวข้ายังมีบางสิ่งที่ต้องทำท่านช่วยพาพวกเขากลับเข้าเมืองไปก่อนนะ”“ได้ขอรับท่านอ๋อง”“แต่ว่าท่านอ๋อง…”หลี๋อ๋องไม่อยู่ฟังเสียงเรียกของฉางอิ๋นเซียนแต่อย่างใดเขารีบควบม้านำพาเยว่หลิงผ่านเข้าไปในตัวเมืองด้วยความรวดเร็วเมื่อคิดว่าพ้นจากสายตาของพวกเขาแล้ว หลี๋อ๋องก็พาเยว่หลิงควบม้าลัดเลาะมายังตรอกถนนที่ไร้ผู้คนเข้าไปเส้นทางยังป่าที่ดูเงียบสงบแต่บรรยากาศกลับแปลกประหลาดพิลึก"ท่านอ๋องข้าหิวข้าวแล้วไหนท่านบอกว่าจะพาข้าไปกินข้าวก่อนอย่างไรล่ะ""ก็นี่อย่างไรเล่าข้ากำลังจะพาไป""นี่มันป่าช้าแล้วมีร้านขายข้าวที่ไหนกัน ผ่านเข้าเมืองมาเมื่อครู่เหตุใดไม่พาข้าแวะก่อนเล่า""ทำไมเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้นะไม่รู้หรือของอร่อยๆ ย่อมไม่ได้พบเห็นกันง่ายๆ""เฮอะๆ ขอให้จริงเถอะ"พูดคุยกันไปได้สักพักอาชาสีดำสนิทของหลี๋อ๋องก็พาพวกเขาทั้งคู่มาถึงเรือนแห่งหนึ่งโครงสร้างเรือนที่ดูธรรมดาๆ แต่เมื่อดูให้ชัดเจน
เจ้าเมืองเล่ออานนำพาคนทั้งหมดมาที่หุบเขาเหอหนานซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมืองเล่ออาน ด้วยกลัวว่าโรคระบาดจะลามไปทั่วเมืองเขาจึงต้องนำผู้ป่วยมารักษาที่หุบเขาแห่งนี้แทนเพียงไม่นานก็ขึ้นเขามาถึงบริเวณที่ใช้รักษาคนที่ติดเชื้อ เยว่หลิงเดินตามพวกเขามาจนถึงกระโจมหลังหนึ่งที่เวลานี้บริเวณโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่นอนรักษาตัวกันเต็มไปหมด“ท่านหมอขอรับ ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว”เยว่หลิงที่เดินตามพวกเขามาเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันใด‘แผ่นหลังนั้นช่างคุ้นเคยเสียจริง’นางมองไปที่หมอหญิงผู้นั้นอีกครั้งด้วยความสงสัยแต่ท่านหมอผู้นั้นกลับไม่ยอมหันกลับมามองพวกเขาเสียที“ท่านอ่องขออภัยด้วย ข้าต้องรักษาบาดแผลของผู้เฒ่าผู้นี้ไม่สะดวกที่จะหันไปสนทนากับท่านในเวลานี้”“ไม่เป็นไรขอรับท่านหมอ ตงหยางเจ้าพาพระชายาไปนั่งรอทางนั้นก่อนข้าจะสนทนากับท่านหมอเสียหน่อย”“พ่ะย่ะค