-เจ็ดวันผ่านไป-
ขบวนกองทัพของหลี๋อ๋องเคลื่อนพลจากชายแดนเหนือกินเวลาไปสิบสองวันเต็มๆ ในที่สุดก็เข้าสู่เมืองหลวงต้าหลี่ ระหว่างการเดินทางกลับในครั้งนี้เขาไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไรเช่นนี้มาก่อนเหมือนกับครั้งนี้เลย
‘นี่เขาคิดถูกหรือไม่นะที่นำนางกลับมาด้วย สตรีผู้นี้ไม่ว่าง่ายเฉกเช่นสตรีคนอื่นเลยจริงๆ’
เมื่อเข้าสู่ประตูเมืองสองข้างทางนั้นนอกจากจะเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ออกมายืนมุงดูพวกเขาแล้วก็ยังมีขบวนรถม้าของสตรีชั้นสูงถูกตกแต่งอย่างงดงามน่าจะมาจากหลายๆแคว้นด้วยกัน ต่างก็หยุดนิ่งอยู่บริเวณหน้าประตูเมืองเพื่อรอคอยเข้าสู่เมืองหลวงนั่นเอง
บรรดาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่นั่งอยู่ในรถม้านั้นต่างก็เลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อชื่นชมขบวนกองทัพของหลี๋อ๋อง แววตาของสตรีที่มองมาที่เขานั้นช่างหวานหยดเยิ้นเหมือนดั่งเจ้าหญิงที่ตกหลุมรักเจ้าชายอย่างไรอย่างไรนั้น
‘เสน่ห์แรงเสียจริง’
“ท่านอ๋อง นั่นเป็นขบวนรถม้าขององค์หญิงจากแคว้นต่างๆ มาเพื่อแต่งงานเจริญสัมพันไมตรีกับต้าหลี่ของเราพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว”
หลี๋อ๋องไม่ได้หยุดชื่นชมเหล่าสาวงามแต่อย่างใดเขายังคงควบม้าไปเรื่อยๆผ่านเข้าประตูเมืองหลวงเพื่อกลับไปยังจวนของเขา
“เจ้าดูนั่นสิ สตรีที่อยู่ในรถม้าคันนั้นเป็นใครกันนะช่างงดงามอะไรเช่นนี้”
“จะใช่พระชายาของหลี๋อ๋องหรือไม่”
“ข้าว่าไม่หรอกกระมัง ท่านอ๋องยังไม่ทันได้อภิเษกสมรสเลยไม่ใช่หรือ”
“ใครจะไปรู้ล่ะระหว่างที่อยู่ชายแดนอาจจะมีไปแล้วก็เป็นได้”
“แต่ว่านางงดงามหาใครในต้าหลี่นี้เทียบไม่ได้เลยนะ แม้แต่บรรดาองค์หญิงที่อยู่นอกเมืองนั่นก็ไม่เห็นว่าจะมีใครงามเท่านางเลย”
หลี๋อ๋องที่นั่งอยู่บนอาชาสีดำสนิทนั้นได้ยินทุกบทสนทนาของชาวเมืองที่ออกมายืนดูพวกเขา
‘ที่นำนางกลับมาด้วยข้าคิดไม่ผิดจริงๆ’
เยว่หลิงเอาแต่จับจ้องสองข้างทางไม่สนใจจะฟังเสียงพูดคุยของชาวบ้านเลยแม้เพียงนิด สิ่งที่นางสนใจคือร้านอาหารที่ผ่านตาของนางต่างหากล่ะ
‘ให้ตายสิ น่ากินทั้งนั้นเลย’
หลี๋อ๋องลอบมองไปที่ใบหน้าสวยหวานนั้น
‘ดูจากอาการแล้วคงจะหิวอยู่ล่ะสิ’
บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมที่ดูจะใหญ่โตที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้ มีบุรุษสองคนเฝ้าคอยจับตามองขบวนของหลี๋อ๋องโดยเฉพาะคนที่อยู่ในรถม้านั้น
“นั่นใช่นางหรือไม่”
“ใช่ขอรับ ท่านหญิงมากับขบวนทหารของหลี๋อ๋องจริงๆ”
“แสบจริงๆ กล้าหลอกข้าได้อย่างไร”
“เจ้าตามนางไป อย่าให้รู้ตัวล่ะ”
“ขอรับคุณชาย”
-จวนหลี๋อ๋อง-
หลี๋อ๋องลงจากหลังม้าได้เพียงครู่เดียวก็มีทหารจากวังหลวงควบม้าเข้ามาหาเขาด้วยความรวดเร็ว
“ท่านอ๋อง ฮ่องเต้รับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ายังมีเรื่องต้องทำ”
“แต่ว่าท่านอ๋องวันนี้ขบวนรถม้าขององค์หญิงจากต่างแคว้นมาถึงเมืองหลวงแล้ว ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้องค์ชายทุกคนเข้าเฝ้านะพ่ะย่ะค่ะ”
หลี๋อ๋องถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ยเพียงว่า
“ข้ารู้แล้ว”
เป็นดังที่เขาคาดการณ์เอาไว้ฮองเฮาทรงเรียกตัวเขากลับมาในครั้งนี้ก็คงจะเป็นเพราะเรื่องนี้นี่เอง องค์หญิงจากต่างแคว้นที่มาเพื่อสมรสเจริญสัมพันไมตรีกับต้าหลี่
‘คงไม่ใช่ว่าจะให้เขาเลือกองค์หญิงคนใดคนหนึ่งเพื่อแต่งชายาหรอกนะ’
เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงหันไปมองสตรีที่พึ่งจะลงจากรถม้า เยว่หลิงที่รู้สึกว่ากำลังถูกจับจ้องมองจากใครบางคนอยู่นั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองทันที
“อะไร ท่านมองหน้าข้าทำไม”
“ช่างเถอะ พ่อบ้านสือ”
“ท่านอ๋องมีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไปจัดหาสาวใช้มาดูแลนางที”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
“นางมีนามว่า…ท่านหญิงเยว่เหวินหลิง”
พ่อบ้านสือได้ยินดังนั้นก็รีบเข้ามาคำนับนางทันที
‘ไม่ใช่สตรีธรรมดาหรอกหรือนี่’
“ส่วนเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ อย่าแม้แต่จะคิดออกไปก่อเรื่องอีก”
“แน่นอน ท่านเห็นข้าเป็นคนอย่างไรข้าเรียบร้อยเพียงนี้จะไปก่อเรื่องอะไรที่ไหนกัน”
‘ช่างกล้าชมตนเองเสียจริง’
“ตัวก่อกวนเช่นเจ้า ข้าไม่ไว้ใจ”
“นี่ท่าน!”
หลี๋อ๋องไม่อยู่ฟังนางพูดต่อเขาหันหลังเตรียมที่จะกระโดดขึ้นหลังม้าอีกครั้งแต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของสตรีนางหนึ่งเรียกขานเขาก่อน
“ท่านอ๋อง”
หลี๋อ๋องหันไปมองนางด้วยสายตาที่เย็นชายิ่งนัก เยว่หลิงเองก็ถึงกับประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นเขาแสดงสีหน้าเช่นนั้นออกมา
“ท่านอ๋องเพคะ ข้าได้ยินว่าท่านจะกลับเมืองหลวงจึงรีบมารอท่านตั้งแต่เช้าเลย”
“ฉางอิ๋นเซียนงั้นหรือ”
“ใช่เพคะ”
“นางเป็นใครหรือ” เยว่หลิงแอบกระซิบถามพ่อบ้านสือเบาๆ
“บุตรสาวของเสนาบดีฉาง ฉางอิ๋นเซียนขอรับ”
“ว้าว..บิดามีตำแหน่งใหญ่โตเสียด้วย คงไม่ใช่ว่าเป็นคู่หมั้นของท่านอ๋องหรอกนะ”
“หาไม่ขอรับนางเป็นสหายตั้งแต่วัยเยาว์ของท่านอ๋องและมาที่จวนแห่งนี้อยู่บ่อยครั้งก็เท่านั้นขอรับ”
“งั้นหรือ”
ฉางอิ๋นเซียนคุ้นเคยกับความเย็นชาของเขามานานแล้ว นางจึงไม่สนใจกิริยาที่เขาแสดงออกมาแต่เลือกที่จะหันไปมองสตรีที่อยู่ด้านหลังของเขาแทน
“ท่านอ๋องพาใครกลับมาด้วยหรือเพคะ”
“ข้าหรือ ข้าก็คือว่าที่พระชายาของท่านอ๋องอย่างไรล่ะ”
หลี๋อ๋องที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหันไปมองนางทันที
“ไม่จริง”
“จริงดังเช่นที่นางกล่าว นางเป็นว่าที่พระชายาของข้าเจ้าเองก็ควรให้เกียรตินางด้วย”
ฉางอิ๋นเซียนได้ยินดังนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก ส่วนหลี๋อ๋องหันไปจับจ้องใบหน้าของเยว่หลิงก่อนจะหลี่ตาเพื่อเป็นการตอกย้ำกับนางอีกครั้งว่า ‘ห้ามก่อเรื่องเด็ดขาด’
“ข้าต้องเข้าวังระหว่างที่เจ้ารออยู่ที่นี่หากว่าเจ้าเบื่อ ก็ให้พ่อบ้านสือพาไปนั่งเล่นที่สวนหลังจวนของข้าได้”
“ท่านอ๋องโปรดวางใจ ข้าน้อยจะดูแลพระชายาให้ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
“หวังว่ากลับมาข้าจะเจอเจ้า”
เยว่หลิงไม่ได้ตอบรับอันใดเพียงแค่ยิ้มหวานใส่เขาเท่านั้น หลี๋อ๋องได้เพียงแค่ส่ายหัวให้นางก่อนจะควบม้าตรงดิ่งไปวังหลวงด้วยความรวดเร็ว
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเพคะ”
“เรียกไปเถอะถึงอย่างไรแล้วท่านอ๋องก็ไม่สนใจเจ้าหรอก ช่างน่าสงสารจริงๆ”
“นี่เจ้า!”
“ข้าคือท่านหญิงสถานะก็ดูจะสูงส่งกว่าเจ้าอยู่นะ ชาวต้าหลี่ไร้มารยาทถึงเพียงนี้เลยหรือ”
“คุณหนูฉางท่านกลับไปก่อนเถอะนะขอรับ”
“เห็นแก่พ่อบ้านสือ ข้ากลับก็ได้ฝากไว้ก่อนเถอะ”
เยว่หลิงหัวเราะชอบใจกับอาการไม่ได้ดั่งใจของสตรีนางนั้น ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในจวนอ๋องอย่างอารมณ์ดีโดยไม่สนใจนางอีกเลย
-สองชั่วยามผ่านไป-
“นี่เสี่ยวหลัน เมื่อไหร่ท่านอ๋องจะกลับมาเสียที”
“หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะพระชายา”
เสี่ยวหลัน สตรีวัยปักปิ่นคนที่พ่อบ้านสือคัดเลือกให้มาดูแลพระชายาในครั้งนี้ตอบนางไปก็ชะเง้อคอเพื่อมองหาหลี๋อ๋องไปด้วยแต่ก็ไร้วี่แววของเขา
“เฮ้อ…”
“พระชายาเข้าไปในเรือนก่อนดีหรือไม่เพคะ”
“ไม่ล่ะ ข้าจะรอตรงนี้”
นางนั่งรอต่อไปอีกครึ่งชั่วยามไม่นานนักหลี๋อ๋องก็ควบม้ากลับมาที่จวน นางรีบวิ่งเข้าไปหาเขาทันที
“เหตุใดท่านถึงกลับมาช้านักล่ะ”
“เจ้านั่งรอข้าทำไม”
“ข้าเบื่อ แล้วก็นอนไม่หลับ”
“นอนไม่หลับ?”
“ก็เรือนฝั่งตะวันออกมันโล่งตาไปหมด แต่ข้าเห็นนะว่าเรือนของท่านร่มรื่นเอามากๆ ขอข้าไปชมหน่อยได้หรือไม่”
‘หากปฎิเสธไปก็คงไม่ยินยอมอีกสินะ’
“ก็ได้”
“ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง”
เยว่หลิงดีใจยกใหญ่ก่อนจะวิ่งตามหลังเขาไปยังเรือนใหญ่ด้วยความรวดเร็ว
“จะเรือนไหนๆก็เหมือนกัน เพียงแค่เข้านอนเองยากอะไรกันที่ชายแดนเหนือหัวถึงหมอนเจ้าก็หลับไปเลยไม่ใช่หรือ”
“นั่นไม่เหมือนกันที่นั่นเป็นป่าเขาต้นไม้เยอะมากมายทำให้ข้านอนหลับได้อย่างสบายใจ”
เยว่หลิงนั่งลงบนพื้นที่มีชุดโต๊ะเตี้ยๆให้นั่งเล่นเพื่อผ่อนคลาย นางยกกาน้ำชามารินใส่ถ้วยกระเบื้องเคลือบเพื่อดื่มอย่างหิวกระหายก่อนจะนั่งเท้าคางมองไปที่หุบเขาที่อยู่ด้านหลังจวนอย่างอารมณ์ดี
“เจ้าเติบโตมาอย่างไร เป่ยฉีเองก็มั่งคั่งมากไม่ใช่หรือขึ้นชื่อเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่ย่อมต้องมีอาคารร้านค้าให้เห็นมากกว่าที่นี่เสียด้วยซ้ำไป”
“ข้าอยู่ที่จี้โจวนะไม่ได้อยู่เมืองหลวงเลยเสียหน่อยจวนของข้าที่จี้โจวท่านพ่อสร้างมันขึ้นมาใหม่ ที่แห่งนั้นมีต้นไม้ สระน้ำ ธรรมชาติที่งดงามมองเห็นเทือกเขาสูงใหญ่ ก่อนจะนอนข้าต้องได้มองภาพเหล่านั้นทุกครั้งถึงจะหลับตาลง ข้าไม่ชอบอยู่ในเมืองหลวงมันวุ่นวาย”
หลี๋อ๋องมองใบหน้าด้านข้างของนาง ดูๆไปแล้วนางก็ไม่น่ามีพิษสงอันใดเลยสักเพียงนิด
‘หากไม่นับผลประโยชน์จากการพบเจอกันในครั้งนี้ ไม่แน่เขาอาจจะสานสัมพันธ์กับนางขึ้นมาจริงๆก็เป็นได้ แต่ท่านหญิงผู้นี่แสบไม่ใช่เล่นลำพังตัวเขาจะรับมือได้อย่างไรกัน ไม่เอาดีกว่า’
หลี๋อ๋องสะบัดหัวให้กับความคิดฟุ้งซ่านนั้น เย่หลิงก็หันมาเห็นภาพนั้นพอดี
“ท่านเป็นอะไรหรือ”
“หืม ข้าหรือ”
“ข้าเห็นท่านสะบัดหัวเป็นอะไร ปวดหัวงั้นหรือ”
“ใช่ นับตั้งแต่เจอเจ้าหัวของข้าก็ไม่เคยได้อยู่ดีอีกเลย”
“นี่!เหตุใดต้องกล่าวร้ายข้าเช่นนั้นกัน”
“หรือไม่จริง?”
“ช่างเถอะข้าไม่ถือโทษท่าน ว่าแต่ไปวังหลวงวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
หลี๋อ๋องมองนางนิ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาเหมือนว่าไม่อยากนึกถึงเรื่องนั้นอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าทูลขอพระราชทานสมรสระหว่างข้ากับเจ้า”
“ห๋า”
“เจ้าจะอยู่ข้างกายข้าได้อย่างไรหากไม่มีตำแหน่งชายา”
“สหายก็ได้นี่”
“ก่อนเข้าเมืองเจ้าไม่เห็นหรือว่าเกี้ยวขององค์หญิงจากต่างแคว้นต่างก็มารอกันอยู่ที่ประตูเมืองแล้ว หากข้าไม่แต่งเจ้าเป็นชายาก็ต้องเลือกองค์หญิงคนใดคนหนึ่งในนั้นอยู่ดี แล้วหากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะสามารถติดตามข้าได้หรือ”
“ก็ถูก”
“หรือเจ้ายินยอมจะเป็นชายารองของข้าเอาแบบนั้นหรือไม่”
“ไม่มีวัน!”
เยว่หลิงมุ่ยหน้าหลี่ตามองเขาก่อนที่หลี๋อ๋องจะพูดเหมือนปลอบใจตัวเองไปว่า
“แต่งงานไม่ใช่เพื่อสืบทอดทายาท แต่คนเราสามารถแต่งงานเพื่อเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้”
“ข้าก็ไม่ทันได้ว่าอะไรนี่ เอ้านี่”
“อะไรหรือ”
“ยาระงับพิษ ระหว่างเดินทางข้าเห็นนะว่าท่านจับที่หน้าอกอยู่บ่อยครั้งพิษเริ่มตีตื้นขึ้นมาแล้ว ท่านกินไปเถอะมันจะช่วยให้อาการทุเลาลงได้”
หลี๋อ๋องจ้องมองขวดยานั้นนั่งไม่ยอมยื่นมือไปรับมันมาเสียทีจนเยว่หลิงต้องยัดมันใส่มือของเขาแทน
“กินไปเถอะน่าไม่ใช่ยาพิษหรอก”
“นี่ ข้าขอนอนที่นี่ได้หรือไม่หากข้าต้องกลับไปนอนเรือนฝั่งนั้นมีหวังข้าคงนอนไม่หลับ หากนอนไม่ถึงแปดชั่วโมงแล้วนั้น…”
“ตามใจเถอะ”
เยว่หลิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะวิ่งแล้วกระโดดลงไปนอนบนเตียงนอนของเขา ก่อนจะหลับตาลงภายในไม่กี่นาทีนางก็หลับสนิททันที
‘เก่งกาจแต่หละหลวม เหตุใดถึงไว้ใจคนอื่นง่ายๆเช่นนี้กัน’
หลี๋อ๋องพูดแค่นั้นแล้วนำผ้าห่มมาคลุมร่างกายของนางเอาไว้
‘เฮ้อ อยู่ใกล้นางทีไรได้มีเรื่องให้ปวดหัวทุกทีสิน่า เสร็จงานเมื่อไหร่คงต้องรีบแยกย้ายอย่างเร็วที่สุดแล้ว’
ยามเหม่า (05.00-07.00น.)เมื่อคืนนี้กว่าหลี๋อ๋องจะหลับตาลงได้ก็เป็นเวลาเกือบยามสามแล้ว (23.00-01.00น.) เป็นเหตุให้เช้านี้เขาตื่นสายกว่าทุกวัน เมื่อหันไปมองเตียงของนางกลับพบเพียงความว่างเปล่าหลังจากลุกได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงของหลี่จิ่งองค์รักษ์คนสนิทของเขาร้องเรียกที่หน้าประตูห้อง“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“มีอะไร”“ท่านอ๋องมาดูนี่เร็วเข้า”‘คงไม่มีอะไรหรอกนะ’เมื่อเดินตามหลี่จิ่งมาจนถึงสวนอุทยานที่เขาลงทุนสร้างขึ้นมาด้วยตนเองนั้น ภาพตรงหน้าเกือบทำให้เขาแข้งขาอ่อนลงทันใด“ท่านอ๋องคือว่าข้าน้อยห้ามนางแล้วแต่ว่า….”หลี๋อ๋องหลับตาลงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์กรุ่นโกรธเอาไว้“เจ้าทำอะไรกับสวนของข้า!”“หืม ทำไมหรือ”“ยังจะกล้าถามอีก นั่นอะไร”“เอ๋ ท่านไม่รู้จักหมูหรอกหรือ ข้าว่ามันน่ารักออกนะเพคะ”“เจ้าปล่อยมันออกมาวิ่งเล่นในสวนของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”“ข้าเห็นมันอยู่ตัวเดียว น่าจะเหงาจึงให้มันออกมาวิ่งเล่นก็เท่านั้น”“เยว่เหวินหลิง!”“ว่
การเดินทางไปเมืองเล่ออานใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้นเพราะระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองหลวงนัก จึงทำให้ฮ่องเต้เป็นกังวลเรื่องโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นอย่างมากจึงมีรับสั่งให้หลี๋อ๋องไปจัดการควบคุมด้วยตัวเองระหว่างการเดินทางหลี๋อ๋องควบม้าไปด้านหน้าขบวนส่วนรถม้าที่บรรจุห่อยาและเสบียงนั้นอยู่ด้านหลัง พวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าพระชายาแอบตามมาด้วยเมืองเล่ออานอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าหลี่และแผ่นดินฝั่งตะวันออกนี้ก็อยู่ติดกับเขตแดนเหนือของแคว้นเป่ยฉีนั่นเองขบวนรถม้าของหลี๋อ๋องเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้เมืองเล่ออานมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางนั้นมีแต่ความเงียบเหงาไม่คึกคักเหมือนครั้งที่เขาเคยมาเยือนเมื่อเจ็ดปีก่อน ในครั้งอดีตที่เคยรุ่งเรืองผู้คนที่มากหน้าหลายตากลับสูญสลายหายไปสิ้นเพราะโรคระบาดที่ไม่อาจยับยั้งได้ในครานี้เมื่อก้าวผ่านประตูเมืองไปแล้วชาวบ้านละแวกนั้นก็เริ่มทยอยกันออกมายืนเฝ้ามองดูกันเต็มทั้งสองข้างทาง หลี๋อ๋ององค์ชายลำดับที่สี่ของฮ่องเต้แคว้นต้าหลี่มาที่เมืองของพวกเขาช่างน่ายินดียิ่งนักเพราะน้อยครั้งมากที่จะเห็นคนในราชวงศ์ห่วงใยประชาชนและลงมาดูแลพว
‘ด่าได้เร้าใจมาก’“ข้าดูแลตัวเองได้น่า”“ลงไปกับข้า”“ก็ได้ ว๊าย! เหตุใดไม่ให้ข้าเดินลงบันไดไปเล่า”“ข้ายังมีงานต้องทำมัวชักช้ามันเสียเวลา”เมื่อทั้งคู่ลงมาอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าเมืองเล่ออานก็รีบเข้ามาหาพวกเขาทันที“ท่านอ๋อง พระชายา”“ท่านคือ?...”“เขาคือเจ้าเมืองเล่ออานนามว่าหวังตี๋เฟย”“ดีใจที่ได้พบท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ”“ขอบพระทัยที่เป็นห่วงเป็นใยชาวเมืองเล่ออานมากพ่ะย่ะค่ะ”เยว่หลิงได้เพียงแค่ส่งยิ้มให้เขาเพราะถูกหลี๋อ๋องจ้องมองอยู่ไม่วางตา“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้างั้นหรือ”“มีสิมีแน่แต่ไว้หลังจากข้ากลับมา เจ้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้รู้หรือไม่ว่าจะโดนอะไร”เยว่หลิงไม่สนใจที่เขาขู่ไม่ทันจะตอบโต้เขาไปก็ได้ยินเสียงบ
เจ้าเมืองเล่ออานนำพาคนทั้งหมดมาที่หุบเขาเหอหนานซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมืองเล่ออาน ด้วยกลัวว่าโรคระบาดจะลามไปทั่วเมืองเขาจึงต้องนำผู้ป่วยมารักษาที่หุบเขาแห่งนี้แทนเพียงไม่นานก็ขึ้นเขามาถึงบริเวณที่ใช้รักษาคนที่ติดเชื้อ เยว่หลิงเดินตามพวกเขามาจนถึงกระโจมหลังหนึ่งที่เวลานี้บริเวณโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่นอนรักษาตัวกันเต็มไปหมด“ท่านหมอขอรับ ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว”เยว่หลิงที่เดินตามพวกเขามาเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันใด‘แผ่นหลังนั้นช่างคุ้นเคยเสียจริง’นางมองไปที่หมอหญิงผู้นั้นอีกครั้งด้วยความสงสัยแต่ท่านหมอผู้นั้นกลับไม่ยอมหันกลับมามองพวกเขาเสียที“ท่านอ่องขออภัยด้วย ข้าต้องรักษาบาดแผลของผู้เฒ่าผู้นี้ไม่สะดวกที่จะหันไปสนทนากับท่านในเวลานี้”“ไม่เป็นไรขอรับท่านหมอ ตงหยางเจ้าพาพระชายาไปนั่งรอทางนั้นก่อนข้าจะสนทนากับท่านหมอเสียหน่อย”“พ่ะย่ะค
“ใต้เท้าโจวข้ายังมีบางสิ่งที่ต้องทำท่านช่วยพาพวกเขากลับเข้าเมืองไปก่อนนะ”“ได้ขอรับท่านอ๋อง”“แต่ว่าท่านอ๋อง…”หลี๋อ๋องไม่อยู่ฟังเสียงเรียกของฉางอิ๋นเซียนแต่อย่างใดเขารีบควบม้านำพาเยว่หลิงผ่านเข้าไปในตัวเมืองด้วยความรวดเร็วเมื่อคิดว่าพ้นจากสายตาของพวกเขาแล้ว หลี๋อ๋องก็พาเยว่หลิงควบม้าลัดเลาะมายังตรอกถนนที่ไร้ผู้คนเข้าไปเส้นทางยังป่าที่ดูเงียบสงบแต่บรรยากาศกลับแปลกประหลาดพิลึก"ท่านอ๋องข้าหิวข้าวแล้วไหนท่านบอกว่าจะพาข้าไปกินข้าวก่อนอย่างไรล่ะ""ก็นี่อย่างไรเล่าข้ากำลังจะพาไป""นี่มันป่าช้าแล้วมีร้านขายข้าวที่ไหนกัน ผ่านเข้าเมืองมาเมื่อครู่เหตุใดไม่พาข้าแวะก่อนเล่า""ทำไมเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้นะไม่รู้หรือของอร่อยๆ ย่อมไม่ได้พบเห็นกันง่ายๆ""เฮอะๆ ขอให้จริงเถอะ"พูดคุยกันไปได้สักพักอาชาสีดำสนิทของหลี๋อ๋องก็พาพวกเขาทั้งคู่มาถึงเรือนแห่งหนึ่งโครงสร้างเรือนที่ดูธรรมดาๆ แต่เมื่อดูให้ชัดเจน
เยว่หลิงหันมองคนนั้นทีคนนี้ทีอาหารที่เคี้ยวยังไม่ละเอียดก็พลันหลุดติดคอของนางเรียกความสนใจจากหลี๋อ๋องในทันที“ก็ข้าบอกแล้วว่าให้กินช้าๆ”“แค่ก แค่ก น้ำ น้ำ”เขายื่นถ้วยน้ำชามาตรงหน้านาง เยว่หลิงรีบยกขึ้นดื่มทันทีก่อนที่เขาจะหันไปหยิบเอากาน้ำชามารินให้นางเพิ่มแต่เมื่อหันมาอีกครั้งก็พบว่าหญิงสาวด้านข้างเขานั้นนั่งกินอาหารต่ออีกแล้ว“สำลักอาหารเกือบจะตายไปแล้ว ทำไมยังกินต่อได้อีกล่ะ”“ท้องของข้ายังว่าง รับอาหารได้เยอะพอสมควรเพคะ”นางไม่สนใจเขาก่อนจะคีบเอาเนื้อผัดเข้าปากน้อยๆของนางแล้วเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ไม่รักษากิริยามารยาทของหญิงงามแต่อย่างใด“ค่อยๆกินสิ จะรีบไปทำไมกันเดี๋ยวได้ติดคอตายหรอก”“ท่านแช่งข้าหรือ”“หรือไม่จริง ข้าบอกว่าให้เคี้ยวดีๆ เจ้าเป็นสตรีเช่นไรกันนะ”“ข้าก็เป็นของข้าแบบนี้หากท่านชื่นชอบสตรีที่มากด้วยมารยาทก็ไปหาคนอื
กว่าทั้งคู่จะกลับถึงจวนก็เป็นเวลายามเซิน (15.00-17.00 น.) แล้ว เมื่ออาชาของหลี๋อ๋องวิ่งเข้าใกล้จวนเจ้าเมือง พลันสายตาของเยว่หลิงก็เหลือบไปเห็นเงาของสัตว์บางอย่างมันกำลังยืนหลบอยู่ตรงข้างๆกำแพงจวนแต่เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้งเงานั้นก็ลับหายไปอย่างรวดเร็ว“เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”“อ้อ พระจันทร์น่ะเพคะงดงามมาก”“ไม่เคยเห็นหรืออย่างไร”“ช่างเถอะข้าไม่พูดกับท่านแล้ว”เมื่อม้าของเขาหยุดนิ่งสนิทตรงหน้าประตูจวน เยว่หลิงก็เอี้ยวตัวกระโดดลงจากหลังม้าด้วยความรวดเร็ว“เดี๋ยวสิ! เจ้าอยากขาหักหรืออย่างไร”“ข้าขี่ม้าเป็นน่า”เมื่อลงจากหลังม้าและก้าวออกห่างจากตัวหลี๋อ๋องได้แล้วนางก็ตั้งท่าจะเข้าไปยังเรือนพักทันที“พระชายาท่านกลับมาแล้ว”“อืม เหนื่อยจะแย่ข้าอยากอาบน้ำเต็มทีแล้ว”“หม่อมฉันเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้พระชายาแล้วเพคะ”
เมื่อเยว่หลิงกลับมาถึงที่จวนเจ้าเมือง นางก็รีบตรงดิ่งไปยังเรือนพักของนางทันทีเมื่อเดินมาถึงห้องของนางก็เป็นอันหยุดชะงักไป เสียงของคนที่อยู่ด้านในห้องที่ดังแว่วออกมาข้างนอกทำให้ขาของนางสั่นไม่หาย“หม่อมฉันไม่รู้จริงๆเพคะ”“ไม่รู้ได้อย่างไร เจ้ามีหน้าที่ดูแลพระชายาเหตุใดถึงไม่รู้ว่านางไปไหน”“หม่อมฉันรู้สึกเหมือนว่า…”เยว่หลิงรีบเปิดประตูเข้าไปทันทีก่อนที่เสี่ยวหลันจะหลุดปากบอกว่านางถูกวางยา“ท่านอ๋อง ท่านเข้ามาในห้องของข้าทำไมหรือ”“เจ้าหายไปไหนมา”“ข้าหรือ ข้าออกไปเดินเล่น”“ทิ้งสาวใช้เอาไว้ลำพังแล้วเจ้าออกไปเดินเล่นเนี่ยนะ”“ความจริง ข้าพาจ้านจ้านออกไปเดินเล่นนะเพคะ”“จ้านจ้านงั้นหรือ?”เยว่หลิงพูดปดด้วยการยกจ้านจ้านมาอ้าง ไม่รู้ว่าป่านนี้สัตว์เลี้ยงของนางจะรู้ตัวแล้วหรือยังที่ถูกนางแอบอ้างเช่นน
-สองเดือนถัดไป-หลังจากพระชายาฉินรักษาโรคระบาดไปจนหมดสิ้นแล้ว พวกนางก็มาปักหลักอยู่ที่จวนหลี๋อ๋องกันต่อโดยยังไม่มีกำหนดเดินทางกลับแคว้นเป่ยฉีแต่อย่างใดจวนหลี๋อ๋องของเขาเวลานี้นั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ความรู้สึกอบอุ่นที่เขาไม่ได้พานพบมานานมากแล้วเอ่อร้นออกมาไปทั่วทั้งจวน“จะว่าไปแล้วพอนึกๆดูข้าก็ไม่คาดคิดว่าจุดจบของนางจะเป็นเช่นนี้เลย วันนั้นข้าอุตส่าห์ช่วยนางเอาไว้แล้วแท้ๆก็นึกว่าฮ่องเต้จะอภัยโทษนางได้”“เจ้าใจอ่อนเกินไปแล้วหลิงเอ๋อโทษของนางนั้นร้ายแรงยิ่งนักไม่อาจเลี่ยงได้ หนึ่งชีวิตของนางที่ต้องตายไปเทียบไม่ได้กับชีวิตของชาวบ้านหลายคนที่ต้องตายจากฝีมือของนางหรอกนะ”“แต่นางช่างเป็นสตรีที่รักมั่นเสียจริงทีแรกข้าก็นึกว่านางมีใจให้ท่านเสียอีก”“เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้นกันล่ะ”“ก็เห็นนางตามติดท่านอย่างกับอะไรดีข้าเกือบหึงท่านไปแล้วไหมล่ะ”
วันเวลาผ่านไปเพียงไม่นานก็มาถึงวันแต่งงานของหลี๋อ๋องกับท่านหญิงเยว่หลิงเพราะเป็นโอรสที่ฮองเฮาเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็กนางจึงลงมือจัดเตรียมงานแต่งนี้อย่างยิ่งใหญ่ด้วยพระองค์เองเยว่เหวินหลงพี่ชายฝาแฝดของนางได้จัดซื้อจวนขนาดใหญ่เอาไว้ให้ผู้เป็นน้องสาวโดยเฉพาะและจัดหาอุปกรณ์ของใช้ราคาแพงทุกชนิดยัดเข้าไปในจวนหลังใหญ่หลังนั้นส่วนอ๋องฉินนั้นแม้จะแสดงออกว่าไม่ได้ตื่นเต้นกับงานแต่งนี้แต่อย่างใด แต่คนใกล้ชิดเช่นองค์รักษ์คนสนิทของเขาต่างก็รู้กันว่าเวลานี้ท่านอ๋องของพวกเขานั้นตื่นเต้นแทบจะนั่งไม่ติดอยู่แล้ว ใจของเขาคงไปอยู่ที่งานแต่งนั้นไปแล้วกระมังชุดแต่งงานของเยว่หลิงนำมาจากเป่ยฉีโดยเฉพาะ ชุดแต่งงานที่มีฝีมือการปักประณีตหรูหราอย่างที่สุดเป็นฝีมือของท่านแม่ของนางนั่นเองเมื่อถึงวันแต่งงานพิธีแต่งงานอันยิ่งใหญ่ของเมืองต้าหลี่ถูกจัดขึ้นในจวนหลี๋อ๋องเจ้าสาวคือท่านหญิงเยว่หลิงผู้มีรูปโฉมงดงามราวกับนางฟ้าส่วนเจ้าบ่าวคือหลี๋อ๋ององค์ชายสี่ของฮ่องเต้ฮุ่ยถิงแคว้นต้าหลี่ แขกเหร
-จวนหลี๋อ๋อง-“ท่านพี่ มีคนคนหนึ่งอยากรู้จักท่านเจ้าค่ะ”“ใครหรือ?”ฉินอ๋องที่กำลังเบื่อหน่ายที่ลูกน้องของเขาสองคนนั้นไม่เอาไหนเสียเลย ฝึกวรยุทธ์ได้ไม่นานก็บ่นว่าปวดหลังบ้างล่ะ เจ็บเข่าบ้างล่ะ อายุไม่มากเท่าไหร่เหตุใดบ่นเป็นตาแก่เช่นนั้นกันเขาหันไปมองก็เห็นลู่เหยียนซินที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับบุรุษรูปร่างสมส่วนนั้นอยู่ ดูเหมือนนางจะสนทนากับคนผู้นั้นกันอย่างออกรสมากจนลมหึงเริ่มพัดโชยมาทันใด“เอ่อท่านอ๋องข้าว่าควรจะบอกท่านพ่อของข้าก่อนดีหรือไม่”“ไม่เป็นไรหรอกน่า เสด็จพ่อของข้าน่าจะรับมือได้”“ท่านอย่าไว้ใจเขาสิ ท่านพ่อข้าขี้หึงมากนะท่านไม่รู้หรือ”“อะไรนะ?”หลี๋อ๋องหันไปมองฉินอ๋องที่เวลานี้ใบหน้าของเขาบึ้งตึงมากขึ้นเรื่อยๆ หรือจะจริงดังที่เยว่หลิงกล่าวเมื่อครู่ ท่านอ๋องผู้นี้หึงพระชายาของเขาอยู่หรือนี่&lsqu
-เช้าวันถัดไป-ขบวนรถม้าของหลี๋อ๋องมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองหลวงตั้งแต่เช้าตรู่“เหตุใดพวกเราไม่ไปกับนาง”“ท่านพี่ปล่อยให้นางจัดการอะไรเองบ้างเถอะเพคะ เพียงแค่ลูกของเราปลอดภัยแล้วก็ดีแล้วไม่ใช่หรือที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนางเถอะ”“แต่ว่าข้า”“เมื่อคืนท่านยังไม่เข้าใจอีกใช่หรือไม่”เสียงเข้มดุดันของนางทำให้อ๋องฉินหยุดพูดทันทีแม้เขาจะห่วงบุตรสาวเพียงคนเดียวมากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจขัดใจผู้เป็นภรรยาได้ในเวลานี้‘แม่เสือเช่นนางคงได้กัดคอเขาตายอย่างแน่นอน’อ๋องฉินยืนมองส่งเยว่หลิงที่หน้าประตูเมืองพร้อมกับองค์รักษ์คู่ใจ ชิงอีและเฟยหยาจนขบวนรถม้านั้นหายลับไปจากสายตาของพวกเขา-เมืองหลวงต้าหลี่-เมื่อมาถึงวังหลวงหลี๋อ๋องก็รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นกับฮ่องเต้ทุกอย่าง ฮ่องเต้ทำ
-จวนหลี๋อ๋อง-เมื่อเหตุการณ์สงบลงหลี๋อ๋องก็เชิญอ๋องฉินและพระชายาฉินมาพักที่จวนเจ้าเมืองด้วยกัน แม้ตอนแรกพระชายาฉินจะปฎิเสธไปแต่อ๋องฉินผู้เป็นสามีของนางกลับตอบตกลงไปเสียอย่างนั้นทั้งคู่เวลานี้กำลังนั่งจ้องมองใบหน้ากันไปมา ด้วยฤทธิ์สุราที่ดื่มเข้าไปนั้นทำให้หลี๋อ๋องกล้าที่จะพูดคุยกับบิดาของเยว่หลิงมากขึ้น“ข้าต้องขออภัยท่านอ๋องด้วยนะขอรับ ข้าไม่รู้จริงๆว่าท่านคือท่านพ่อของนาง”ฉินอ๋องที่ได้ยินดังนั้นก็ชายตามองไปยังว่าที่ลูกเขยของเขาแม้จะหมั่นใส้เขาไม่น้อยแต่ลูกสาวของเขาก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นพระชายาไปแล้ว ข้าวสารไม่รู้กลายเป็นข้าวสุกไปแล้วหรือยังเช่นนั้นก็ทำได้แค่ยินยอมไปก่อนเท่านั้น“นางบอกว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เพียงนางคนเดียวที่ทำเช่นนั้นก็แสดงว่ายังมีคนอยู่เบื้องหลังอีก อย่างน้อยก็ช่วยชาวบ้านไปได้แล้วอย่างหนึ่งที่เหลือคงต้องเป็นหน้าที่ของท่านอ๋องแล้วนะเพคะ”“พระชายาไม่ต้องเป็นห่วง ข้า
“นี่ก็ใกล้ยามโหย่ว (17.00-19.00น.) แล้วเหตุใดนางถึงไม่กลับมาเสียที”“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“มีอะไร”“ดูนั่นสิพ่ะย่ะค่ะ”หลี๋อ๋องเหลือบไปมองตามที่หลี่จิ่งกำลังชี้นิ้วไปที่อะไรบางอย่าง บางสิ่งบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดมิดเขาเห็นเพียงดวงตาที่แดงฉานนั้นกำลังจดจ้องมองมาที่พวกเขาอยู่ หลี่จิ่งแม้จะหวาดกลัวอยู่ภายในใจแต่เขาก็รีบเข้ามายืนขวางอยู่ด้านหน้าของหลี๋อ๋องทันที สิ่งมีชีวิตที่มีเพียงดวงตาที่แดงฉานนั้นจดจ้องมาที่หลี๋อ๋อง เขาเคยเห็นมัน!จ้านจ้านเมื่อเห็นว่าพวกเขาเหมือนจะกลัวมันแล้วมันก็รีบเดินออกมาจากที่ซ่อนทันใด สีหน้าและแววตาของมันดูเหมือนจะภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่สามารถขู่ให้พวกเขากลัวได้“จ้านจ้านงั้นหรือ”“เอ๋ ท่านอ่องนั่นไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของพระชายาหรอกหรือ”“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”จ้านจ้านเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าเขาก่อนจะยืดตัว
-เช้าวันถัดไป-“เจ้าทำอะไรอยู่งั้นหรือ”หลี๋อ๋องเดินเข้ามาหานางอย่างเชื่องช้าเพราะอาการบาดเจ็บบริเวณหน้าท้องนั้นพึ่งเกิดขึ้นไม่นานจึงทำให้แผลของเขายังไม่สมานกันดีเท่าใดนัก“ท่านออกมาทำไม”“ข้าไม่เห็นเจ้าเลยทั้งวัน”“ข้าก็แค่”“อะไรหรือ”หลี๋อ๋องนั่งลงข้างๆ นางก่อนจะเอ่ยถามนางออกไปว่า“ข้าได้ยินว่าสาวใช้ของเจ้าติดเชื้อนางอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”“ให้คนพาไปที่หุบเขาแล้วหากติดเชื้อจะให้อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ต้องส่งไปให้ท่าน…”“หืม”“เอ่อ ท่านหมอตรวจอาการน่ะอยู่กับท่านหมอน่าจะดีกว่า”“ก็ดีแล้วเป็นห่วงนางมากหรือข้าเห็นเจ้าดูเป็นกังวลมาก”เยว่หลิงเพียงแค่จ้องมองเขานิ่งไม่ยอมตอบคำถามของเขาอยู่นานสองนานจนสุดท้ายจึงได้เอ่ยปากถามเขาออกไป&
เยว่หลิงรักษาบาดแผลให้หลี๋อ๋องเรียบร้อยก็รอจนเขาหลับไปถึงได้ออกเดินไปเพื่อพักสายตา ขณะที่นางเดินเลี้ยวอ้อมมาทางหุบเขาอีกด้านนั้นก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างเยว่หลิงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลานางรอคอยการมาของใครบางคนอยู่อย่างใจจดใจจ่อเมื่อเขาปรากฎกายขึ้นด้านหลังของนางเยว่หลิงก็ไม่มีอาการหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยนางเอ่ยปากถามคนด้านหน้าของนางทันที“เจ้าต้องการอะไร”“ถามมาได้ ข้าก็ต้องการชีวิตของเจ้าอย่างไรล่ะ”“เช่นนั้นก่อนจะตายก็ควรบอกข้าไม่ใช่หรือว่าใครจ้างวานเจ้ามา”“ฮ่าๆๆ เจ้าตายไปเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหล่ะ”ชายชุดดำไม่พูดเปล่าเขาตวัดดาบเข้าหานางด้วยความรวดเร็ว จังหวะเพลงกระบี่ของเขานั้นทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างมากไม่บอกก็รู้ที่มาของเพลงกระบี่นั้นเยว่หลิงเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆแล้วนางหยิบเอาเข็มเงินออกมาก่อนจะตวัดเข้าไปหาชายชุดดำนั้นด้วยความรวดเร็วเขาไม่คิดว่านางจะมีวรยุทธ์จึงไม่ทันได
“พี่สี่ ที่นางมาที่นี่เพียงเพื่อต้องการสมุนไพรเท่านั้นจริงๆน่ะหรือ”“ข้าก็ …ไม่มั่นใจว่านางอยากได้สมุนไพรหรือเพียงนึกสนุกมาเที่ยวเล่นกันแน่”“พวกท่านพูดอะไรไม่รู้จริงๆ น่ะหรือว่าสมุนไพรที่นี่ใช้ชุบชีวิตคนที่ใกล้ตายให้กลับมามีชีวิตดังเดิมได้และไม่ใช่ว่าสมุนไพรพวกนั้นจะพบเจอได้ง่ายๆ เฉกเช่นพืชผักที่ขายกันเกลื่อนตามตลาดทั่วๆ ไป”“จริงหรือ”“แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่เชี่ยวชาญเท่านั้นถึงจะรู้ว่าอันไหนมีพิษอันไหนที่ใช้ได้ คนทั่วไปไหนเลยจะมองออก”เยว่หลิงยังคงก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆดูเหมือนกับนางไม่รู้เหน็ดเหนื่อยอย่างไรอย่างนั้น พวกเขาใช้เวลาเดินทางมาไม่นานนักในที่สุดก็พบเข้ากับผาหินสูงชันที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ตรงกลางผาหินนั้นมีช่องว่างขนาดใหญ่และมีหมอกควันลอยขึ้นมาจากผาด้านล่างแทบจะปิดทางเข้าปากถ้ำจนมิด “ที่นั่นคือ...” “เหวร้างยังไงล่ะ ท่านเห็นต้นไม้ตรงนั้นหรือไม่