-เจ็ดวันผ่านไป-
ขบวนกองทัพของหลี๋อ๋องเคลื่อนพลจากชายแดนเหนือกินเวลาไปสิบสองวันเต็มๆ ในที่สุดก็เข้าสู่เมืองหลวงต้าหลี่ ระหว่างการเดินทางกลับในครั้งนี้เขาไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไรเช่นนี้มาก่อนเหมือนกับครั้งนี้เลย
‘นี่เขาคิดถูกหรือไม่นะที่นำนางกลับมาด้วย สตรีผู้นี้ไม่ว่าง่ายเฉกเช่นสตรีคนอื่นเลยจริงๆ’
เมื่อเข้าสู่ประตูเมืองสองข้างทางนั้นนอกจากจะเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ออกมายืนมุงดูพวกเขาแล้วก็ยังมีขบวนรถม้าของสตรีชั้นสูงถูกตกแต่งอย่างงดงามน่าจะมาจากหลายๆแคว้นด้วยกัน ต่างก็หยุดนิ่งอยู่บริเวณหน้าประตูเมืองเพื่อรอคอยเข้าสู่เมืองหลวงนั่นเอง
บรรดาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่นั่งอยู่ในรถม้านั้นต่างก็เลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อชื่นชมขบวนกองทัพของหลี๋อ๋อง แววตาของสตรีที่มองมาที่เขานั้นช่างหวานหยดเยิ้นเหมือนดั่งเจ้าหญิงที่ตกหลุมรักเจ้าชายอย่างไรอย่างไรนั้น
‘เสน่ห์แรงเสียจริง’
“ท่านอ๋อง นั่นเป็นขบวนรถม้าขององค์หญิงจากแคว้นต่างๆ มาเพื่อแต่งงานเจริญสัมพันไมตรีกับต้าหลี่ของเราพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว”
หลี๋อ๋องไม่ได้หยุดชื่นชมเหล่าสาวงามแต่อย่างใดเขายังคงควบม้าไปเรื่อยๆผ่านเข้าประตูเมืองหลวงเพื่อกลับไปยังจวนของเขา
“เจ้าดูนั่นสิ สตรีที่อยู่ในรถม้าคันนั้นเป็นใครกันนะช่างงดงามอะไรเช่นนี้”
“จะใช่พระชายาของหลี๋อ๋องหรือไม่”
“ข้าว่าไม่หรอกกระมัง ท่านอ๋องยังไม่ทันได้อภิเษกสมรสเลยไม่ใช่หรือ”
“ใครจะไปรู้ล่ะระหว่างที่อยู่ชายแดนอาจจะมีไปแล้วก็เป็นได้”
“แต่ว่านางงดงามหาใครในต้าหลี่นี้เทียบไม่ได้เลยนะ แม้แต่บรรดาองค์หญิงที่อยู่นอกเมืองนั่นก็ไม่เห็นว่าจะมีใครงามเท่านางเลย”
หลี๋อ๋องที่นั่งอยู่บนอาชาสีดำสนิทนั้นได้ยินทุกบทสนทนาของชาวเมืองที่ออกมายืนดูพวกเขา
‘ที่นำนางกลับมาด้วยข้าคิดไม่ผิดจริงๆ’
เยว่หลิงเอาแต่จับจ้องสองข้างทางไม่สนใจจะฟังเสียงพูดคุยของชาวบ้านเลยแม้เพียงนิด สิ่งที่นางสนใจคือร้านอาหารที่ผ่านตาของนางต่างหากล่ะ
‘ให้ตายสิ น่ากินทั้งนั้นเลย’
หลี๋อ๋องลอบมองไปที่ใบหน้าสวยหวานนั้น
‘ดูจากอาการแล้วคงจะหิวอยู่ล่ะสิ’
บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมที่ดูจะใหญ่โตที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้ มีบุรุษสองคนเฝ้าคอยจับตามองขบวนของหลี๋อ๋องโดยเฉพาะคนที่อยู่ในรถม้านั้น
“นั่นใช่นางหรือไม่”
“ใช่ขอรับ ท่านหญิงมากับขบวนทหารของหลี๋อ๋องจริงๆ”
“แสบจริงๆ กล้าหลอกข้าได้อย่างไร”
“เจ้าตามนางไป อย่าให้รู้ตัวล่ะ”
“ขอรับคุณชาย”
-จวนหลี๋อ๋อง-
หลี๋อ๋องลงจากหลังม้าได้เพียงครู่เดียวก็มีทหารจากวังหลวงควบม้าเข้ามาหาเขาด้วยความรวดเร็ว
“ท่านอ๋อง ฮ่องเต้รับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ายังมีเรื่องต้องทำ”
“แต่ว่าท่านอ๋องวันนี้ขบวนรถม้าขององค์หญิงจากต่างแคว้นมาถึงเมืองหลวงแล้ว ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้องค์ชายทุกคนเข้าเฝ้านะพ่ะย่ะค่ะ”
หลี๋อ๋องถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ยเพียงว่า
“ข้ารู้แล้ว”
เป็นดังที่เขาคาดการณ์เอาไว้ฮองเฮาทรงเรียกตัวเขากลับมาในครั้งนี้ก็คงจะเป็นเพราะเรื่องนี้นี่เอง องค์หญิงจากต่างแคว้นที่มาเพื่อสมรสเจริญสัมพันไมตรีกับต้าหลี่
‘คงไม่ใช่ว่าจะให้เขาเลือกองค์หญิงคนใดคนหนึ่งเพื่อแต่งชายาหรอกนะ’
เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงหันไปมองสตรีที่พึ่งจะลงจากรถม้า เยว่หลิงที่รู้สึกว่ากำลังถูกจับจ้องมองจากใครบางคนอยู่นั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองทันที
“อะไร ท่านมองหน้าข้าทำไม”
“ช่างเถอะ พ่อบ้านสือ”
“ท่านอ๋องมีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไปจัดหาสาวใช้มาดูแลนางที”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
“นางมีนามว่า…ท่านหญิงเยว่เหวินหลิง”
พ่อบ้านสือได้ยินดังนั้นก็รีบเข้ามาคำนับนางทันที
‘ไม่ใช่สตรีธรรมดาหรอกหรือนี่’
“ส่วนเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ อย่าแม้แต่จะคิดออกไปก่อเรื่องอีก”
“แน่นอน ท่านเห็นข้าเป็นคนอย่างไรข้าเรียบร้อยเพียงนี้จะไปก่อเรื่องอะไรที่ไหนกัน”
‘ช่างกล้าชมตนเองเสียจริง’
“ตัวก่อกวนเช่นเจ้า ข้าไม่ไว้ใจ”
“นี่ท่าน!”
หลี๋อ๋องไม่อยู่ฟังนางพูดต่อเขาหันหลังเตรียมที่จะกระโดดขึ้นหลังม้าอีกครั้งแต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของสตรีนางหนึ่งเรียกขานเขาก่อน
“ท่านอ๋อง”
หลี๋อ๋องหันไปมองนางด้วยสายตาที่เย็นชายิ่งนัก เยว่หลิงเองก็ถึงกับประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นเขาแสดงสีหน้าเช่นนั้นออกมา
“ท่านอ๋องเพคะ ข้าได้ยินว่าท่านจะกลับเมืองหลวงจึงรีบมารอท่านตั้งแต่เช้าเลย”
“ฉางอิ๋นเซียนงั้นหรือ”
“ใช่เพคะ”
“นางเป็นใครหรือ” เยว่หลิงแอบกระซิบถามพ่อบ้านสือเบาๆ
“บุตรสาวของเสนาบดีฉาง ฉางอิ๋นเซียนขอรับ”
“ว้าว..บิดามีตำแหน่งใหญ่โตเสียด้วย คงไม่ใช่ว่าเป็นคู่หมั้นของท่านอ๋องหรอกนะ”
“หาไม่ขอรับนางเป็นสหายตั้งแต่วัยเยาว์ของท่านอ๋องและมาที่จวนแห่งนี้อยู่บ่อยครั้งก็เท่านั้นขอรับ”
“งั้นหรือ”
ฉางอิ๋นเซียนคุ้นเคยกับความเย็นชาของเขามานานแล้ว นางจึงไม่สนใจกิริยาที่เขาแสดงออกมาแต่เลือกที่จะหันไปมองสตรีที่อยู่ด้านหลังของเขาแทน
“ท่านอ๋องพาใครกลับมาด้วยหรือเพคะ”
“ข้าหรือ ข้าก็คือว่าที่พระชายาของท่านอ๋องอย่างไรล่ะ”
หลี๋อ๋องที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหันไปมองนางทันที
“ไม่จริง”
“จริงดังเช่นที่นางกล่าว นางเป็นว่าที่พระชายาของข้าเจ้าเองก็ควรให้เกียรตินางด้วย”
ฉางอิ๋นเซียนได้ยินดังนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก ส่วนหลี๋อ๋องหันไปจับจ้องใบหน้าของเยว่หลิงก่อนจะหลี่ตาเพื่อเป็นการตอกย้ำกับนางอีกครั้งว่า ‘ห้ามก่อเรื่องเด็ดขาด’
“ข้าต้องเข้าวังระหว่างที่เจ้ารออยู่ที่นี่หากว่าเจ้าเบื่อ ก็ให้พ่อบ้านสือพาไปนั่งเล่นที่สวนหลังจวนของข้าได้”
“ท่านอ๋องโปรดวางใจ ข้าน้อยจะดูแลพระชายาให้ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
“หวังว่ากลับมาข้าจะเจอเจ้า”
เยว่หลิงไม่ได้ตอบรับอันใดเพียงแค่ยิ้มหวานใส่เขาเท่านั้น หลี๋อ๋องได้เพียงแค่ส่ายหัวให้นางก่อนจะควบม้าตรงดิ่งไปวังหลวงด้วยความรวดเร็ว
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเพคะ”
“เรียกไปเถอะถึงอย่างไรแล้วท่านอ๋องก็ไม่สนใจเจ้าหรอก ช่างน่าสงสารจริงๆ”
“นี่เจ้า!”
“ข้าคือท่านหญิงสถานะก็ดูจะสูงส่งกว่าเจ้าอยู่นะ ชาวต้าหลี่ไร้มารยาทถึงเพียงนี้เลยหรือ”
“คุณหนูฉางท่านกลับไปก่อนเถอะนะขอรับ”
“เห็นแก่พ่อบ้านสือ ข้ากลับก็ได้ฝากไว้ก่อนเถอะ”
เยว่หลิงหัวเราะชอบใจกับอาการไม่ได้ดั่งใจของสตรีนางนั้น ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในจวนอ๋องอย่างอารมณ์ดีโดยไม่สนใจนางอีกเลย
-สองชั่วยามผ่านไป-
“นี่เสี่ยวหลัน เมื่อไหร่ท่านอ๋องจะกลับมาเสียที”
“หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะพระชายา”
เสี่ยวหลัน สตรีวัยปักปิ่นคนที่พ่อบ้านสือคัดเลือกให้มาดูแลพระชายาในครั้งนี้ตอบนางไปก็ชะเง้อคอเพื่อมองหาหลี๋อ๋องไปด้วยแต่ก็ไร้วี่แววของเขา
“เฮ้อ…”
“พระชายาเข้าไปในเรือนก่อนดีหรือไม่เพคะ”
“ไม่ล่ะ ข้าจะรอตรงนี้”
นางนั่งรอต่อไปอีกครึ่งชั่วยามไม่นานนักหลี๋อ๋องก็ควบม้ากลับมาที่จวน นางรีบวิ่งเข้าไปหาเขาทันที
“เหตุใดท่านถึงกลับมาช้านักล่ะ”
“เจ้านั่งรอข้าทำไม”
“ข้าเบื่อ แล้วก็นอนไม่หลับ”
“นอนไม่หลับ?”
“ก็เรือนฝั่งตะวันออกมันโล่งตาไปหมด แต่ข้าเห็นนะว่าเรือนของท่านร่มรื่นเอามากๆ ขอข้าไปชมหน่อยได้หรือไม่”
‘หากปฎิเสธไปก็คงไม่ยินยอมอีกสินะ’
“ก็ได้”
“ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง”
เยว่หลิงดีใจยกใหญ่ก่อนจะวิ่งตามหลังเขาไปยังเรือนใหญ่ด้วยความรวดเร็ว
“จะเรือนไหนๆก็เหมือนกัน เพียงแค่เข้านอนเองยากอะไรกันที่ชายแดนเหนือหัวถึงหมอนเจ้าก็หลับไปเลยไม่ใช่หรือ”
“นั่นไม่เหมือนกันที่นั่นเป็นป่าเขาต้นไม้เยอะมากมายทำให้ข้านอนหลับได้อย่างสบายใจ”
เยว่หลิงนั่งลงบนพื้นที่มีชุดโต๊ะเตี้ยๆให้นั่งเล่นเพื่อผ่อนคลาย นางยกกาน้ำชามารินใส่ถ้วยกระเบื้องเคลือบเพื่อดื่มอย่างหิวกระหายก่อนจะนั่งเท้าคางมองไปที่หุบเขาที่อยู่ด้านหลังจวนอย่างอารมณ์ดี
“เจ้าเติบโตมาอย่างไร เป่ยฉีเองก็มั่งคั่งมากไม่ใช่หรือขึ้นชื่อเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่ย่อมต้องมีอาคารร้านค้าให้เห็นมากกว่าที่นี่เสียด้วยซ้ำไป”
“ข้าอยู่ที่จี้โจวนะไม่ได้อยู่เมืองหลวงเลยเสียหน่อยจวนของข้าที่จี้โจวท่านพ่อสร้างมันขึ้นมาใหม่ ที่แห่งนั้นมีต้นไม้ สระน้ำ ธรรมชาติที่งดงามมองเห็นเทือกเขาสูงใหญ่ ก่อนจะนอนข้าต้องได้มองภาพเหล่านั้นทุกครั้งถึงจะหลับตาลง ข้าไม่ชอบอยู่ในเมืองหลวงมันวุ่นวาย”
หลี๋อ๋องมองใบหน้าด้านข้างของนาง ดูๆไปแล้วนางก็ไม่น่ามีพิษสงอันใดเลยสักเพียงนิด
‘หากไม่นับผลประโยชน์จากการพบเจอกันในครั้งนี้ ไม่แน่เขาอาจจะสานสัมพันธ์กับนางขึ้นมาจริงๆก็เป็นได้ แต่ท่านหญิงผู้นี่แสบไม่ใช่เล่นลำพังตัวเขาจะรับมือได้อย่างไรกัน ไม่เอาดีกว่า’
หลี๋อ๋องสะบัดหัวให้กับความคิดฟุ้งซ่านนั้น เย่หลิงก็หันมาเห็นภาพนั้นพอดี
“ท่านเป็นอะไรหรือ”
“หืม ข้าหรือ”
“ข้าเห็นท่านสะบัดหัวเป็นอะไร ปวดหัวงั้นหรือ”
“ใช่ นับตั้งแต่เจอเจ้าหัวของข้าก็ไม่เคยได้อยู่ดีอีกเลย”
“นี่!เหตุใดต้องกล่าวร้ายข้าเช่นนั้นกัน”
“หรือไม่จริง?”
“ช่างเถอะข้าไม่ถือโทษท่าน ว่าแต่ไปวังหลวงวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
หลี๋อ๋องมองนางนิ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาเหมือนว่าไม่อยากนึกถึงเรื่องนั้นอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าทูลขอพระราชทานสมรสระหว่างข้ากับเจ้า”
“ห๋า”
“เจ้าจะอยู่ข้างกายข้าได้อย่างไรหากไม่มีตำแหน่งชายา”
“สหายก็ได้นี่”
“ก่อนเข้าเมืองเจ้าไม่เห็นหรือว่าเกี้ยวขององค์หญิงจากต่างแคว้นต่างก็มารอกันอยู่ที่ประตูเมืองแล้ว หากข้าไม่แต่งเจ้าเป็นชายาก็ต้องเลือกองค์หญิงคนใดคนหนึ่งในนั้นอยู่ดี แล้วหากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะสามารถติดตามข้าได้หรือ”
“ก็ถูก”
“หรือเจ้ายินยอมจะเป็นชายารองของข้าเอาแบบนั้นหรือไม่”
“ไม่มีวัน!”
เยว่หลิงมุ่ยหน้าหลี่ตามองเขาก่อนที่หลี๋อ๋องจะพูดเหมือนปลอบใจตัวเองไปว่า
“แต่งงานไม่ใช่เพื่อสืบทอดทายาท แต่คนเราสามารถแต่งงานเพื่อเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้”
“ข้าก็ไม่ทันได้ว่าอะไรนี่ เอ้านี่”
“อะไรหรือ”
“ยาระงับพิษ ระหว่างเดินทางข้าเห็นนะว่าท่านจับที่หน้าอกอยู่บ่อยครั้งพิษเริ่มตีตื้นขึ้นมาแล้ว ท่านกินไปเถอะมันจะช่วยให้อาการทุเลาลงได้”
หลี๋อ๋องจ้องมองขวดยานั้นนั่งไม่ยอมยื่นมือไปรับมันมาเสียทีจนเยว่หลิงต้องยัดมันใส่มือของเขาแทน
“กินไปเถอะน่าไม่ใช่ยาพิษหรอก”
“นี่ ข้าขอนอนที่นี่ได้หรือไม่หากข้าต้องกลับไปนอนเรือนฝั่งนั้นมีหวังข้าคงนอนไม่หลับ หากนอนไม่ถึงแปดชั่วโมงแล้วนั้น…”
“ตามใจเถอะ”
เยว่หลิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะวิ่งแล้วกระโดดลงไปนอนบนเตียงนอนของเขา ก่อนจะหลับตาลงภายในไม่กี่นาทีนางก็หลับสนิททันที
‘เก่งกาจแต่หละหลวม เหตุใดถึงไว้ใจคนอื่นง่ายๆเช่นนี้กัน’
หลี๋อ๋องพูดแค่นั้นแล้วนำผ้าห่มมาคลุมร่างกายของนางเอาไว้
‘เฮ้อ อยู่ใกล้นางทีไรได้มีเรื่องให้ปวดหัวทุกทีสิน่า เสร็จงานเมื่อไหร่คงต้องรีบแยกย้ายอย่างเร็วที่สุดแล้ว’
ยามเหม่า (05.00-07.00น.)เมื่อคืนนี้กว่าหลี๋อ๋องจะหลับตาลงได้ก็เป็นเวลาเกือบยามสามแล้ว (23.00-01.00น.) เป็นเหตุให้เช้านี้เขาตื่นสายกว่าทุกวัน เมื่อหันไปมองเตียงของนางกลับพบเพียงความว่างเปล่าหลังจากลุกได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงของหลี่จิ่งองค์รักษ์คนสนิทของเขาร้องเรียกที่หน้าประตูห้อง“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“มีอะไร”“ท่านอ๋องมาดูนี่เร็วเข้า”‘คงไม่มีอะไรหรอกนะ’เมื่อเดินตามหลี่จิ่งมาจนถึงสวนอุทยานที่เขาลงทุนสร้างขึ้นมาด้วยตนเองนั้น ภาพตรงหน้าเกือบทำให้เขาแข้งขาอ่อนลงทันใด“ท่านอ๋องคือว่าข้าน้อยห้ามนางแล้วแต่ว่า….”หลี๋อ๋องหลับตาลงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์กรุ่นโกรธเอาไว้“เจ้าทำอะไรกับสวนของข้า!”“หืม ทำไมหรือ”“ยังจะกล้าถามอีก นั่นอะไร”“เอ๋ ท่านไม่รู้จักหมูหรอกหรือ ข้าว่ามันน่ารักออกนะเพคะ”“เจ้าปล่อยมันออกมาวิ่งเล่นในสวนของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”“ข้าเห็นมันอยู่ตัวเดียว น่าจะเหงาจึงให้มันออกมาวิ่งเล่นก็เท่านั้น”“เยว่เหวินหลิง!”“ว่
การเดินทางไปเมืองเล่ออานใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้นเพราะระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองหลวงนัก จึงทำให้ฮ่องเต้เป็นกังวลเรื่องโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นอย่างมากจึงมีรับสั่งให้หลี๋อ๋องไปจัดการควบคุมด้วยตัวเองระหว่างการเดินทางหลี๋อ๋องควบม้าไปด้านหน้าขบวนส่วนรถม้าที่บรรจุห่อยาและเสบียงนั้นอยู่ด้านหลัง พวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าพระชายาแอบตามมาด้วยเมืองเล่ออานอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าหลี่และแผ่นดินฝั่งตะวันออกนี้ก็อยู่ติดกับเขตแดนเหนือของแคว้นเป่ยฉีนั่นเองขบวนรถม้าของหลี๋อ๋องเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้เมืองเล่ออานมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางนั้นมีแต่ความเงียบเหงาไม่คึกคักเหมือนครั้งที่เขาเคยมาเยือนเมื่อเจ็ดปีก่อน ในครั้งอดีตที่เคยรุ่งเรืองผู้คนที่มากหน้าหลายตากลับสูญสลายหายไปสิ้นเพราะโรคระบาดที่ไม่อาจยับยั้งได้ในครานี้เมื่อก้าวผ่านประตูเมืองไปแล้วชาวบ้านละแวกนั้นก็เริ่มทยอยกันออกมายืนเฝ้ามองดูกันเต็มทั้งสองข้างทาง หลี๋อ๋ององค์ชายลำดับที่สี่ของฮ่องเต้แคว้นต้าหลี่มาที่เมืองของพวกเขาช่างน่ายินดียิ่งนักเพราะน้อยครั้งมากที่จะเห็นคนในราชวงศ์ห่วงใยประชาชนและลงมาดูแลพว
‘ด่าได้เร้าใจมาก’“ข้าดูแลตัวเองได้น่า”“ลงไปกับข้า”“ก็ได้ ว๊าย! เหตุใดไม่ให้ข้าเดินลงบันไดไปเล่า”“ข้ายังมีงานต้องทำมัวชักช้ามันเสียเวลา”เมื่อทั้งคู่ลงมาอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าเมืองเล่ออานก็รีบเข้ามาหาพวกเขาทันที“ท่านอ๋อง พระชายา”“ท่านคือ?...”“เขาคือเจ้าเมืองเล่ออานนามว่าหวังตี๋เฟย”“ดีใจที่ได้พบท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ”“ขอบพระทัยที่เป็นห่วงเป็นใยชาวเมืองเล่ออานมากพ่ะย่ะค่ะ”เยว่หลิงได้เพียงแค่ส่งยิ้มให้เขาเพราะถูกหลี๋อ๋องจ้องมองอยู่ไม่วางตา“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้างั้นหรือ”“มีสิมีแน่แต่ไว้หลังจากข้ากลับมา เจ้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้รู้หรือไม่ว่าจะโดนอะไร”เยว่หลิงไม่สนใจที่เขาขู่ไม่ทันจะตอบโต้เขาไปก็ได้ยินเสียงบ
เจ้าเมืองเล่ออานนำพาคนทั้งหมดมาที่หุบเขาเหอหนานซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมืองเล่ออาน ด้วยกลัวว่าโรคระบาดจะลามไปทั่วเมืองเขาจึงต้องนำผู้ป่วยมารักษาที่หุบเขาแห่งนี้แทนเพียงไม่นานก็ขึ้นเขามาถึงบริเวณที่ใช้รักษาคนที่ติดเชื้อ เยว่หลิงเดินตามพวกเขามาจนถึงกระโจมหลังหนึ่งที่เวลานี้บริเวณโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่นอนรักษาตัวกันเต็มไปหมด“ท่านหมอขอรับ ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว”เยว่หลิงที่เดินตามพวกเขามาเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันใด‘แผ่นหลังนั้นช่างคุ้นเคยเสียจริง’นางมองไปที่หมอหญิงผู้นั้นอีกครั้งด้วยความสงสัยแต่ท่านหมอผู้นั้นกลับไม่ยอมหันกลับมามองพวกเขาเสียที“ท่านอ่องขออภัยด้วย ข้าต้องรักษาบาดแผลของผู้เฒ่าผู้นี้ไม่สะดวกที่จะหันไปสนทนากับท่านในเวลานี้”“ไม่เป็นไรขอรับท่านหมอ ตงหยางเจ้าพาพระชายาไปนั่งรอทางนั้นก่อนข้าจะสนทนากับท่านหมอเสียหน่อย”“พ่ะย่ะค
“ใต้เท้าโจวข้ายังมีบางสิ่งที่ต้องทำท่านช่วยพาพวกเขากลับเข้าเมืองไปก่อนนะ”“ได้ขอรับท่านอ๋อง”“แต่ว่าท่านอ๋อง…”หลี๋อ๋องไม่อยู่ฟังเสียงเรียกของฉางอิ๋นเซียนแต่อย่างใดเขารีบควบม้านำพาเยว่หลิงผ่านเข้าไปในตัวเมืองด้วยความรวดเร็วเมื่อคิดว่าพ้นจากสายตาของพวกเขาแล้ว หลี๋อ๋องก็พาเยว่หลิงควบม้าลัดเลาะมายังตรอกถนนที่ไร้ผู้คนเข้าไปเส้นทางยังป่าที่ดูเงียบสงบแต่บรรยากาศกลับแปลกประหลาดพิลึก"ท่านอ๋องข้าหิวข้าวแล้วไหนท่านบอกว่าจะพาข้าไปกินข้าวก่อนอย่างไรล่ะ""ก็นี่อย่างไรเล่าข้ากำลังจะพาไป""นี่มันป่าช้าแล้วมีร้านขายข้าวที่ไหนกัน ผ่านเข้าเมืองมาเมื่อครู่เหตุใดไม่พาข้าแวะก่อนเล่า""ทำไมเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้นะไม่รู้หรือของอร่อยๆ ย่อมไม่ได้พบเห็นกันง่ายๆ""เฮอะๆ ขอให้จริงเถอะ"พูดคุยกันไปได้สักพักอาชาสีดำสนิทของหลี๋อ๋องก็พาพวกเขาทั้งคู่มาถึงเรือนแห่งหนึ่งโครงสร้างเรือนที่ดูธรรมดาๆ แต่เมื่อดูให้ชัดเจน
เยว่หลิงหันมองคนนั้นทีคนนี้ทีอาหารที่เคี้ยวยังไม่ละเอียดก็พลันหลุดติดคอของนางเรียกความสนใจจากหลี๋อ๋องในทันที“ก็ข้าบอกแล้วว่าให้กินช้าๆ”“แค่ก แค่ก น้ำ น้ำ”เขายื่นถ้วยน้ำชามาตรงหน้านาง เยว่หลิงรีบยกขึ้นดื่มทันทีก่อนที่เขาจะหันไปหยิบเอากาน้ำชามารินให้นางเพิ่มแต่เมื่อหันมาอีกครั้งก็พบว่าหญิงสาวด้านข้างเขานั้นนั่งกินอาหารต่ออีกแล้ว“สำลักอาหารเกือบจะตายไปแล้ว ทำไมยังกินต่อได้อีกล่ะ”“ท้องของข้ายังว่าง รับอาหารได้เยอะพอสมควรเพคะ”นางไม่สนใจเขาก่อนจะคีบเอาเนื้อผัดเข้าปากน้อยๆของนางแล้วเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ไม่รักษากิริยามารยาทของหญิงงามแต่อย่างใด“ค่อยๆกินสิ จะรีบไปทำไมกันเดี๋ยวได้ติดคอตายหรอก”“ท่านแช่งข้าหรือ”“หรือไม่จริง ข้าบอกว่าให้เคี้ยวดีๆ เจ้าเป็นสตรีเช่นไรกันนะ”“ข้าก็เป็นของข้าแบบนี้หากท่านชื่นชอบสตรีที่มากด้วยมารยาทก็ไปหาคนอื
กว่าทั้งคู่จะกลับถึงจวนก็เป็นเวลายามเซิน (15.00-17.00 น.) แล้ว เมื่ออาชาของหลี๋อ๋องวิ่งเข้าใกล้จวนเจ้าเมือง พลันสายตาของเยว่หลิงก็เหลือบไปเห็นเงาของสัตว์บางอย่างมันกำลังยืนหลบอยู่ตรงข้างๆกำแพงจวนแต่เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้งเงานั้นก็ลับหายไปอย่างรวดเร็ว“เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”“อ้อ พระจันทร์น่ะเพคะงดงามมาก”“ไม่เคยเห็นหรืออย่างไร”“ช่างเถอะข้าไม่พูดกับท่านแล้ว”เมื่อม้าของเขาหยุดนิ่งสนิทตรงหน้าประตูจวน เยว่หลิงก็เอี้ยวตัวกระโดดลงจากหลังม้าด้วยความรวดเร็ว“เดี๋ยวสิ! เจ้าอยากขาหักหรืออย่างไร”“ข้าขี่ม้าเป็นน่า”เมื่อลงจากหลังม้าและก้าวออกห่างจากตัวหลี๋อ๋องได้แล้วนางก็ตั้งท่าจะเข้าไปยังเรือนพักทันที“พระชายาท่านกลับมาแล้ว”“อืม เหนื่อยจะแย่ข้าอยากอาบน้ำเต็มทีแล้ว”“หม่อมฉันเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้พระชายาแล้วเพคะ”
“ท่านอ๋องยามนี้สงครามชายแดนเหนือก็สงบลงแล้ว ท่านจะกลับเมืองหลวงเลยหรือไม่”“ไม่ล่ะ ข้ายังไม่อยากกลับไปตอนนี้”“แต่ฮองเฮาเรียกท่านกลับแล้วไม่ใช่หรือ ทรงส่งสาส์นมาด้วยองค์เองเช่นนี้แสดงว่าต้องมีเรื่องด่วน”“จะมีเรื่องเร่งด่วนอะไรกัน ข้าว่านะเรื่องที่ฮองเฮาทรงเป็นกังวลคงมีอยู่เพียงเรื่องเดียว”“เจ้าก็คิดเหมือนข้างั้นหรือ”แม่ทัพประจำชายแดนเหนือนามว่าเหอจินเยี่ยนและที่ปรึกษาทางการทหารนามว่าซือหนานกง สองสหายคนสนิทของหลี๋อ๋องกำลังแลกเปลี่ยนความคิดกันไปมาโดยไม่สนใจว่าหลี๋อ๋องจะฟังพวกเขาอยู่หรือไม่หลี๋อ๋องที่กำลังพินิจจดหมายที่ฮองเฮาส่งมาอยู่นั้นเมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองทันที“ท่านอยู่เพียงในสนามรบมาร่วมเจ็ดปีเต็มแล้วสตรีข้างกายก็ไม่มีซักคนองค์ชายคนอื่นๆต่างก็มีพระชายาเป็นของตนเองแล้วทั้งนั้น แต่ท่านกลับมีเพียงความว่างเปล่าฮองเฮาเป็นห่วงท่านก็ไม่แปลก”“จะแปลกก็ตรงที่พระนางปล่อยให้ท่านเหงามานานหลายปีถึงเพียงนี้ แต่เพิ่งจะคิดขึ้นได้ว่าควรที่จะหาชายาให้ท่านในเวลานี้เนี่ยนะ”“ต้องมีอะไรซักอย่างสิ”“เจ้าคิดมากไปหรือไม่”“พวกเจ้าหยุดเถียงกันเสียที พรุ่งนี้ข้าจะกลับเมืองหลวง” หล
กว่าทั้งคู่จะกลับถึงจวนก็เป็นเวลายามเซิน (15.00-17.00 น.) แล้ว เมื่ออาชาของหลี๋อ๋องวิ่งเข้าใกล้จวนเจ้าเมือง พลันสายตาของเยว่หลิงก็เหลือบไปเห็นเงาของสัตว์บางอย่างมันกำลังยืนหลบอยู่ตรงข้างๆกำแพงจวนแต่เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้งเงานั้นก็ลับหายไปอย่างรวดเร็ว“เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”“อ้อ พระจันทร์น่ะเพคะงดงามมาก”“ไม่เคยเห็นหรืออย่างไร”“ช่างเถอะข้าไม่พูดกับท่านแล้ว”เมื่อม้าของเขาหยุดนิ่งสนิทตรงหน้าประตูจวน เยว่หลิงก็เอี้ยวตัวกระโดดลงจากหลังม้าด้วยความรวดเร็ว“เดี๋ยวสิ! เจ้าอยากขาหักหรืออย่างไร”“ข้าขี่ม้าเป็นน่า”เมื่อลงจากหลังม้าและก้าวออกห่างจากตัวหลี๋อ๋องได้แล้วนางก็ตั้งท่าจะเข้าไปยังเรือนพักทันที“พระชายาท่านกลับมาแล้ว”“อืม เหนื่อยจะแย่ข้าอยากอาบน้ำเต็มทีแล้ว”“หม่อมฉันเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้พระชายาแล้วเพคะ”
เยว่หลิงหันมองคนนั้นทีคนนี้ทีอาหารที่เคี้ยวยังไม่ละเอียดก็พลันหลุดติดคอของนางเรียกความสนใจจากหลี๋อ๋องในทันที“ก็ข้าบอกแล้วว่าให้กินช้าๆ”“แค่ก แค่ก น้ำ น้ำ”เขายื่นถ้วยน้ำชามาตรงหน้านาง เยว่หลิงรีบยกขึ้นดื่มทันทีก่อนที่เขาจะหันไปหยิบเอากาน้ำชามารินให้นางเพิ่มแต่เมื่อหันมาอีกครั้งก็พบว่าหญิงสาวด้านข้างเขานั้นนั่งกินอาหารต่ออีกแล้ว“สำลักอาหารเกือบจะตายไปแล้ว ทำไมยังกินต่อได้อีกล่ะ”“ท้องของข้ายังว่าง รับอาหารได้เยอะพอสมควรเพคะ”นางไม่สนใจเขาก่อนจะคีบเอาเนื้อผัดเข้าปากน้อยๆของนางแล้วเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ไม่รักษากิริยามารยาทของหญิงงามแต่อย่างใด“ค่อยๆกินสิ จะรีบไปทำไมกันเดี๋ยวได้ติดคอตายหรอก”“ท่านแช่งข้าหรือ”“หรือไม่จริง ข้าบอกว่าให้เคี้ยวดีๆ เจ้าเป็นสตรีเช่นไรกันนะ”“ข้าก็เป็นของข้าแบบนี้หากท่านชื่นชอบสตรีที่มากด้วยมารยาทก็ไปหาคนอื
“ใต้เท้าโจวข้ายังมีบางสิ่งที่ต้องทำท่านช่วยพาพวกเขากลับเข้าเมืองไปก่อนนะ”“ได้ขอรับท่านอ๋อง”“แต่ว่าท่านอ๋อง…”หลี๋อ๋องไม่อยู่ฟังเสียงเรียกของฉางอิ๋นเซียนแต่อย่างใดเขารีบควบม้านำพาเยว่หลิงผ่านเข้าไปในตัวเมืองด้วยความรวดเร็วเมื่อคิดว่าพ้นจากสายตาของพวกเขาแล้ว หลี๋อ๋องก็พาเยว่หลิงควบม้าลัดเลาะมายังตรอกถนนที่ไร้ผู้คนเข้าไปเส้นทางยังป่าที่ดูเงียบสงบแต่บรรยากาศกลับแปลกประหลาดพิลึก"ท่านอ๋องข้าหิวข้าวแล้วไหนท่านบอกว่าจะพาข้าไปกินข้าวก่อนอย่างไรล่ะ""ก็นี่อย่างไรเล่าข้ากำลังจะพาไป""นี่มันป่าช้าแล้วมีร้านขายข้าวที่ไหนกัน ผ่านเข้าเมืองมาเมื่อครู่เหตุใดไม่พาข้าแวะก่อนเล่า""ทำไมเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้นะไม่รู้หรือของอร่อยๆ ย่อมไม่ได้พบเห็นกันง่ายๆ""เฮอะๆ ขอให้จริงเถอะ"พูดคุยกันไปได้สักพักอาชาสีดำสนิทของหลี๋อ๋องก็พาพวกเขาทั้งคู่มาถึงเรือนแห่งหนึ่งโครงสร้างเรือนที่ดูธรรมดาๆ แต่เมื่อดูให้ชัดเจน
เจ้าเมืองเล่ออานนำพาคนทั้งหมดมาที่หุบเขาเหอหนานซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมืองเล่ออาน ด้วยกลัวว่าโรคระบาดจะลามไปทั่วเมืองเขาจึงต้องนำผู้ป่วยมารักษาที่หุบเขาแห่งนี้แทนเพียงไม่นานก็ขึ้นเขามาถึงบริเวณที่ใช้รักษาคนที่ติดเชื้อ เยว่หลิงเดินตามพวกเขามาจนถึงกระโจมหลังหนึ่งที่เวลานี้บริเวณโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่นอนรักษาตัวกันเต็มไปหมด“ท่านหมอขอรับ ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว”เยว่หลิงที่เดินตามพวกเขามาเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันใด‘แผ่นหลังนั้นช่างคุ้นเคยเสียจริง’นางมองไปที่หมอหญิงผู้นั้นอีกครั้งด้วยความสงสัยแต่ท่านหมอผู้นั้นกลับไม่ยอมหันกลับมามองพวกเขาเสียที“ท่านอ่องขออภัยด้วย ข้าต้องรักษาบาดแผลของผู้เฒ่าผู้นี้ไม่สะดวกที่จะหันไปสนทนากับท่านในเวลานี้”“ไม่เป็นไรขอรับท่านหมอ ตงหยางเจ้าพาพระชายาไปนั่งรอทางนั้นก่อนข้าจะสนทนากับท่านหมอเสียหน่อย”“พ่ะย่ะค
‘ด่าได้เร้าใจมาก’“ข้าดูแลตัวเองได้น่า”“ลงไปกับข้า”“ก็ได้ ว๊าย! เหตุใดไม่ให้ข้าเดินลงบันไดไปเล่า”“ข้ายังมีงานต้องทำมัวชักช้ามันเสียเวลา”เมื่อทั้งคู่ลงมาอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าเมืองเล่ออานก็รีบเข้ามาหาพวกเขาทันที“ท่านอ๋อง พระชายา”“ท่านคือ?...”“เขาคือเจ้าเมืองเล่ออานนามว่าหวังตี๋เฟย”“ดีใจที่ได้พบท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ”“ขอบพระทัยที่เป็นห่วงเป็นใยชาวเมืองเล่ออานมากพ่ะย่ะค่ะ”เยว่หลิงได้เพียงแค่ส่งยิ้มให้เขาเพราะถูกหลี๋อ๋องจ้องมองอยู่ไม่วางตา“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้างั้นหรือ”“มีสิมีแน่แต่ไว้หลังจากข้ากลับมา เจ้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้รู้หรือไม่ว่าจะโดนอะไร”เยว่หลิงไม่สนใจที่เขาขู่ไม่ทันจะตอบโต้เขาไปก็ได้ยินเสียงบ
การเดินทางไปเมืองเล่ออานใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้นเพราะระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองหลวงนัก จึงทำให้ฮ่องเต้เป็นกังวลเรื่องโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นอย่างมากจึงมีรับสั่งให้หลี๋อ๋องไปจัดการควบคุมด้วยตัวเองระหว่างการเดินทางหลี๋อ๋องควบม้าไปด้านหน้าขบวนส่วนรถม้าที่บรรจุห่อยาและเสบียงนั้นอยู่ด้านหลัง พวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าพระชายาแอบตามมาด้วยเมืองเล่ออานอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าหลี่และแผ่นดินฝั่งตะวันออกนี้ก็อยู่ติดกับเขตแดนเหนือของแคว้นเป่ยฉีนั่นเองขบวนรถม้าของหลี๋อ๋องเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้เมืองเล่ออานมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางนั้นมีแต่ความเงียบเหงาไม่คึกคักเหมือนครั้งที่เขาเคยมาเยือนเมื่อเจ็ดปีก่อน ในครั้งอดีตที่เคยรุ่งเรืองผู้คนที่มากหน้าหลายตากลับสูญสลายหายไปสิ้นเพราะโรคระบาดที่ไม่อาจยับยั้งได้ในครานี้เมื่อก้าวผ่านประตูเมืองไปแล้วชาวบ้านละแวกนั้นก็เริ่มทยอยกันออกมายืนเฝ้ามองดูกันเต็มทั้งสองข้างทาง หลี๋อ๋ององค์ชายลำดับที่สี่ของฮ่องเต้แคว้นต้าหลี่มาที่เมืองของพวกเขาช่างน่ายินดียิ่งนักเพราะน้อยครั้งมากที่จะเห็นคนในราชวงศ์ห่วงใยประชาชนและลงมาดูแลพว
ยามเหม่า (05.00-07.00น.)เมื่อคืนนี้กว่าหลี๋อ๋องจะหลับตาลงได้ก็เป็นเวลาเกือบยามสามแล้ว (23.00-01.00น.) เป็นเหตุให้เช้านี้เขาตื่นสายกว่าทุกวัน เมื่อหันไปมองเตียงของนางกลับพบเพียงความว่างเปล่าหลังจากลุกได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงของหลี่จิ่งองค์รักษ์คนสนิทของเขาร้องเรียกที่หน้าประตูห้อง“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“มีอะไร”“ท่านอ๋องมาดูนี่เร็วเข้า”‘คงไม่มีอะไรหรอกนะ’เมื่อเดินตามหลี่จิ่งมาจนถึงสวนอุทยานที่เขาลงทุนสร้างขึ้นมาด้วยตนเองนั้น ภาพตรงหน้าเกือบทำให้เขาแข้งขาอ่อนลงทันใด“ท่านอ๋องคือว่าข้าน้อยห้ามนางแล้วแต่ว่า….”หลี๋อ๋องหลับตาลงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์กรุ่นโกรธเอาไว้“เจ้าทำอะไรกับสวนของข้า!”“หืม ทำไมหรือ”“ยังจะกล้าถามอีก นั่นอะไร”“เอ๋ ท่านไม่รู้จักหมูหรอกหรือ ข้าว่ามันน่ารักออกนะเพคะ”“เจ้าปล่อยมันออกมาวิ่งเล่นในสวนของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”“ข้าเห็นมันอยู่ตัวเดียว น่าจะเหงาจึงให้มันออกมาวิ่งเล่นก็เท่านั้น”“เยว่เหวินหลิง!”“ว่
-เจ็ดวันผ่านไป-ขบวนกองทัพของหลี๋อ๋องเคลื่อนพลจากชายแดนเหนือกินเวลาไปสิบสองวันเต็มๆ ในที่สุดก็เข้าสู่เมืองหลวงต้าหลี่ ระหว่างการเดินทางกลับในครั้งนี้เขาไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไรเช่นนี้มาก่อนเหมือนกับครั้งนี้เลย‘นี่เขาคิดถูกหรือไม่นะที่นำนางกลับมาด้วย สตรีผู้นี้ไม่ว่าง่ายเฉกเช่นสตรีคนอื่นเลยจริงๆ’เมื่อเข้าสู่ประตูเมืองสองข้างทางนั้นนอกจากจะเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ออกมายืนมุงดูพวกเขาแล้วก็ยังมีขบวนรถม้าของสตรีชั้นสูงถูกตกแต่งอย่างงดงามน่าจะมาจากหลายๆแคว้นด้วยกัน ต่างก็หยุดนิ่งอยู่บริเวณหน้าประตูเมืองเพื่อรอคอยเข้าสู่เมืองหลวงนั่นเองบรรดาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่นั่งอยู่ในรถม้านั้นต่างก็เลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อชื่นชมขบวนกองทัพของหลี๋อ๋อง แววตาของสตรีที่มองมาที่เขานั้นช่างหวานหยดเยิ้นเหมือนดั่งเจ้าหญิงที่ตกหลุมรักเจ้าชายอย่างไรอย่างไรนั้น‘เสน่ห์แรงเสียจริง’“ท่านอ๋อง นั่นเป็นขบวนรถม้าขององค์หญิงจากแคว้นต่างๆ มาเพื่อแต่งงานเจริญสัมพันไมตรีกับต้าหลี่ของเราพ่ะย่ะค่ะ”“ข้ารู้แล้ว”หลี๋อ๋องไม่ได้หยุดชื่นชมเหล่าสา
ซือเยว่ได้แต่ยืนไว้อาลัยให้ชุดที่เขาเพิ่งได้มาใหม่ นางเป็นใครเขาก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนช่างกล้ามาอาเจียนใส่เขาได้อย่างไรกัน เมื่ออาเจียนจนหมดแรงเยว่หลิงก็เมาหลับไปบนโต๊ะอาหารนั้นโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกเลย“เฮ้อ เจ้านี่มันช่างแตกต่างจากสตรีที่ข้าเคยพบเสียจริง” เขาค่อยๆถอดเสื้อออกอย่างเบามือด้วยกลัวว่ามือที่ใสสะอาดของเขาจะแปดเปื้อนอาหารที่นางอาเจียนออกมา“หงอี้!”“ขอรับ” หงอี้ที่ยังรออยู่นอกกระโจม เมื่อได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นนายก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้กับโต๊ะอาหารก็ถึงกับรีบปิดจมูกทันที‘กลิ่นอาเจียนนั้นมาจากไหนกัน หรือว่า!’“ไปเรียกสาวใช้มาจัดการต่อที”“ขอรับนายท่าน”เมื่อหงอี้ออกจากกระโจมไปแล้วเขาก็ลุกขึ้นก่อนจะช้อนตัวนางขึ้นไว้แนบอกแล้วอุ้มนางไปนอนบนเตียงของเขา“ให้ตายสิ จะขู่ให้เจ้ากลัวจนร้องไห้ขี้มูกโป่งเสียหน่อยแต่ดันกลับกันเสียได้ นอนเสียให้พอใจไปเลยข้าอุตส่าห์เสียสละเตียงนอนนุ่มนิ่มของข้าให้เจ้าเลยนะ”“เฮ้อ…นี่ข้าทำอะไรอยู่เนี่ย หลี๋อ่องชอบสตรีเช่นนี้ไปได้อย่างไรกันนะ”ข