เดินทางมาถึงเชิงเขาชิงซานขบวนขององค์ชายจ้าวชุนเทียนก็พักตั้งค่าย รั้งรอเดินทางในเช้าวันใหม่ หัวหน้าองครักษ์เหลียงก็จำต้องทำตามรับสั่งคือพยายามหาหญิงงามที่พร้อมเดินทางเข้าป่าเพื่อทำหน้าที่ปรนเปรอองค์ชาย
ในช่วงสองวันที่เดินทางมาแทบไม่มีเมืองใหญ่เป็นเพียงหมู่บ้านชาวป่าอยู่อาศัยกันไม่กี่หลัง จำต้องส่งทหารเข้าไปในหมู่บ้านเสาะหาสาวงามที่ยินดีขายตัวรับเงิน หากก็ไม่อาจหาสาวงามให้องค์ชายได้ ทั้งบางครั้งยังถูกขับไล่อย่างน่าอับอาย และหัวหน้าองครักษ์เหลียงก็รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจที่มากขึ้นเรื่อยๆ ของนายตน จึงต้องให้ทหารบากหน้าเข้าหมู่บ้านใกล้เชิงเขาเพื่อหาซื้อหญิงสาวเช่นเคย
การหาซื้อสาวงามในหมู่บ้านเล็กทั้งยากและน่าอับอาย บรรดาทหารต่างก็ถูกก่นด่าบ้าง ไล่ตะเพิดบ้าง จนต้องถอยร่นไม่เป็นกระบวนจำต้องส่ายหน้าเพราะต้องกลับค่ายพักมือเปล่าเช่นเคย ยังดีที่พวกเขาไม่ได้อยู่ในชุดทหาร เหมือนเป็นขบวนพ่อค้าหรือคนเดินทางทั่วไปเสียมากกว่า กระนั้นก็นับว่าทำลายเกียรติของทหารแคว้นจ้าวไม่น้อย
“พวกท่านต้องการซื้อผู้หญิงใช่หรือไม่”
เสียงหนึ่งดังขึ้น ทหารสี่นายที่กำลังเดินออกจากหมู่บ้านหันกลับไปก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินตรงมา โดยมีการฉุดกระชากหญิงสาวมาด้วย ทั้งยังมีเด็กสาวคอยวิ่งตามพลางร้องขอให้ปล่อยพี่ของตน
“ข้าต้องการขายนาง”
“ปล่อยข้านะ”
หญิงสาวที่ดูอายุยังไม่มากนักพยายามสะบัดตัวจากผู้ชายสองคนที่จับอยู่ โดยคนที่เจรจาเป็นผู้ยืนอยู่ด้านหน้าสุด
“ปล่อยพี่สาวข้านะ”
เด็กสาววิ่งเข้าไปตีคนที่จับพี่ตนเอาไว้
“ปล่อยเดี๋ยวนี้”
“จับเด็กนี่ไว้สิ”
คนที่เป็นผู้เจรจาหันไปสั่งลูกน้องตนเสียงเข้ม
“อย่าทำอะไรนางนะ”
ผู้เป็นพี่สาวร้องห้าม เมื่อเห็นน้องสาวตนถูกจับ”
“พี่ลู่ฟาง”
“เสี่ยวเม่ย”
สองพี่น้องที่ถูกจับแยกให้ห่างจากกันต่างตะโกนเรียกกันเอง ขณะที่ทหารผู้เห็นเหตุการณ์รู้สึกถึงความไม่ถูกไม่ควรจึงพูดขึ้น
“พวกท่านจะทำอะไร อยู่ๆ ทำไมจะขายนาง ท่านเป็นอะไรกับนางหรือ”
“พ่อของนางเป็นหนี้ข้า ตายไปหลายปีแล้วบุตรสาวก็ยังหาเงินชดใช้ข้าไม่ครบสักที เดิมทีข้าก็จะเอาตัวพวกนางไปขายเป็นสาวใช้ในเมื่อใหญ่ แต่เมื่อเห็นพวกท่านตามหาซื้อหญิงงาม ข้าจึงเอามาเสนอ”
ทหารที่ได้ยินต่างก็หันมองหน้ากัน ขณะที่หญิงสาวผู้กำลังจะถูกขายส่ายหน้าไปมาไม่ยินยอม
“ไม่นะ ข้าไม่ยอมถูกขาย เงินที่หามาข้าให้ท่านทั้งหมด ข้ากับน้องกินเผือกมันและผักเท่านั้น แต่เงินกลับไม่ลดลงเลย ท่านเอาเปรียบข้า”
“ยืมเงินย่อมต้องมีดอกเบี้ย เจ้าหามาใช้อีกสิบปีก็ไม่มีทางครบ”
“ไม่จริง ท่านโกงพ่อข้า”
“พ่อเจ้ายืมเงินข้าไม่มีปัญญาใช้คืนมาหลายปี ข้าจะโกงได้อย่างไร...นายท่าน ข้าจะขายนาง พวกท่านยินดีให้ค่าตัวนางเท่าใด ข้าพร้อมขายขาดนางให้ท่านไปเลย”
อีกฝ่ายพูดกับลูกหนี้แล้วหันมาถามกับเหล่าทหาร ทว่าทหารทั้งสี่นายลังเล ด้วยรู้สึกว่าไม่ถูกต้องนัก ในเมื่อผู้ถูกขายไม่เต็มใจ
“ขอพวกข้าคิดดูก่อน”
หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น แล้วหันหน้าซุบซิบกันเองเพื่อตัดสินใจ
“หากไม่ช่วยนาง พวกนางสองพี่น้องอาจถูกทำร้ายได้”
“แต่ถ้าซื้อไป นางอาจรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ได้”
“ข้าว่าเราชี้แจงกับท่านหัวหน้าองครักษ์ถึงความจำเป็นที่ต้องซื้อนางได้ และให้ท่านหัวหน้าพูดคุยกับนาง หรือไม่ก็ทูลองค์ชายให้ตัดสิน ไม่แน่องค์ชายอาจปล่อยพวกนางในเมื่อรับสั่งหาผู้ที่เต็มใจ”
“ข้าเห็นด้วย”
เมื่อหนึ่งในนั้นออกความคิดได้ดี ทหารทั้งสี่ก็พยักหน้าตกลง ก่อนคนหนึ่งจะเดินนำไปคุยกับชายเจ้าหนี้
“นี่คือค่าตัวนางที่พวกข้าจะจ่าย”
เขาเอาถุงเงินที่พกไว้ด้านในเสื้อออกมาล้วงทองมาสามก้อนยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย ทองนี้แลกจากมาเรียบร้อยเพื่อการเดินทางที่สะดวก จึงไม่มีตราราชสำนักแคว้นจ้าว
ผู้เห็นถึงกับตาวาว แต่เพราะความโลภทำให้ส่ายหน้า
“หนี้ของนางมากมายยิ่งนัก อย่างน้อยพวกท่านก็จะได้ทั้งนางและน้องสาว เพิ่มให้อีกนิดได้หรือไม่”
ทหารรู้ว่าอีกฝ่ายโก่งราคา แต่เพราะต้องการช่วยคน และไม่อยากให้มีปัญหาโต้แย้งให้มากความจึงเพิ่มทองให้อีกสองก้อน
“ข้าเพิ่มให้ตามนี้ หากยังไม่พอใจก็ไม่ซื้อ แต่หากยินดีรับเงินต่อจากนี้เจ้าไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับพวกนางสองพี่น้องอีก”
เพราะไม่แน่ใจว่าหัวหน้าองครักษ์จะรับพวกนางไว้หรือไม่ เขาจึงเอ่ยตัดไฟแต่ต้นลมไว้ก่อน
“ได้ๆ นับว่าชดเชยเงินกับดอกเบี้ยของข้าได้พอดีเลย”
เป็นคำพูดที่ดูก็รู้ว่าโกหก ทั้งดวงตายังวาววามเมื่อได้เงินไปอยู่ในมือ
“พวกเจ้า เอาตัวพวกนางส่งให้พวกเขาไป”
“ไม่ ข้าไม่ไป ข้าไม่ยอม เจ้าไม่มีสิทธิ์ขายข้ากับน้อง ปล่อยข้า”
“พี่ลู่ฟาง ฮือ...”
เด็กสาวกลัวจนร้องไห้ออกมา คนเป็นพี่สาวสงสารน้องยิ่งนัก แต่ก็พยายามเข้มแข็ง ไม่ยอมมีน้ำตาแม้จะกลัวจับใจไม่รู้ว่าตนกับน้องจะถูกซื้อไปทำสิ่งใด
ทหารทั้งสี่จำต้องแสร้งจับทั้งสองพี่น้องที่พยายามดิ้นรนหนีและร้องปฏิเสธไม่ยอมไปด้วย พาเดินให้ไกลจากหมู่บ้านเพื่อตรงไปค่ายพักแล้วจึงปล่อยตัวก่อนจะกำชับ
“เดินตามพวกข้ามาเงียบๆ พวกข้าไม่ทำสิ่งใดพวกเจ้าหรอก”
สวีลู่ฟางรีบผวาไปกอดน้องสาวมาแนบอกตน ขณะที่คนเป็นน้องร้องไห้ไม่หยุด และแม้จะพาน้องสาวตามผู้ชายทั้งสี่คนไปหากก็พยายามเดินช้าๆ ถ่วงเวลารั้งท้าย
“พวกเจ้าเดินช้าไปแล้ว เวลานี้พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว รีบเดินเร็วเข้า”
หนึ่งนั้นรู้สึกได้จึงหันมาสั่ง
“น้องสาวข้าเดินไม่ไหว ข้าต้องประคองนางก็เลยช้าหน่อย”
นางเพียงอ้างเท่านั้น ด้วยในป่านี้ตนกับน้องสาวมาหาเผือกหน่อไม้และของป่าไปประกอบอาหารกินแทบทุกวัน
“เช่นนั้นก็ค่อยๆ ตามมา”
เหล่าทหารหันมองเป็นระยะ ไม่ได้วางใจแต่อย่างใดเพราะรู้ว่าสองพี่น้องไม่ได้เต็มใจมากับพวกตน บางครั้งก็หยุดรอให้ทั้งสองเดินผ่านไปก่อน
“เมื่อถึงทางเล็กข้างหน้าวิ่งเลยนะเสี่ยวเม่ย”
ลู่ฟางแอบกระซิบกับน้องสาวอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ
ไม่นานก็ถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้ ลู่ฟางก็ฉุดแขนน้องสาวตนออกวิ่งสุดแรง ทหารที่เดินนำไปได้ยินเสียงต่างก็รีบวิ่งตาม การวิ่งหนีผู้ชายให้รอดนั้นยากนัก ลู่ฟางคิดไปด้วยอย่างกังวล ก่อนจะถามผู้เป็นน้องสาว
“เสี่ยวเม่ย เจ้ากล้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับพี่ไหม”
“ข้าไม่กลัวอะไรทั้งนั้นเมื่อมีพี่ลู่ฟางอยู่ด้วย”
ผู้เป็นพี่สาวได้ยินเสียงเครือของน้องสาวแล้วก็ต้องพยายามสะกดน้ำตาของตัวเองไว้เต็มที่
“งั้นเราไปที่หน้าผากัน”
“อื้อ”
เด็กสาวพยักหน้า นางไม่คิดสิ่งใดทั้งนั้น ชีวิตนี้มีเพียงพี่สาวเป็นที่พึ่ง นางพร้อมเดินตามพี่ทุกฝีก้าว
“เป็นหรือตายไม่อาจรู้ แต่พี่จะพยายามปกป้องเจ้าเท่าที่พี่จะทำได้เสี่ยวเม่ย”
ลู่ฟางตะโกนก่อนจะคว้าร่างของน้องสาวมากอดแนบอกพร้อมบอกหลังจากวิ่งมาหยุดตรงหน้าผา ซึ่งนางรู้ว่าด้านล่างเป็นหน้าผาชันที่ไม่สูงนัก
“หลับตาซะ”
สวีเสี่ยวเม่ยทำตามที่พี่สาวบอกแม้จะกลัวมาก ขณะที่รู้สึกได้ว่าแขนพี่สาวรัดร่างตนแน่นแล้วพากระโดดลงหน้าผา
“เดี๋ยวพวกเจ้า!”
ทหารสี่นายตามมาอย่างหวุดหวิดทันเห็นร่างหญิงสาวผลุบลงไปตรงหน้าผาพร้อมหนูน้อยและไม่อาจทำสิ่งใดได้ จึงได้แต่ส่ายหน้าไปตามๆ กัน
=====
จะเกิดอะไรขึ้นกับสองพี่น้องต่อไป ฝากติดตามด้วยนะคะ^^
เขาได้ยินเสียงคนร้องไห้...ขณะกำลังเดินพลังภายในหลอมรวมปราณเซียนฝึกวิชาใหม่ที่ตนลองริเริ่มในการใช้สองพลังผสานให้มีประสิทธิสูงสุดอยู่นั้น ประสาทสัมผัสของเขาก็เปิดรับรอบทิศ และได้ยินในระยะห่างไกลราวหูทิพย์ เป็นครั้งแรกที่รับรู้ได้เช่นนี้ ทำให้จ้าวชุนเทียนตัวปลอมลืมตาขึ้น ลุกจากเตียงที่นั่งขัดสมาธิก้าวเพียงสองก้าวร่างสูงโปร่งก็กลายเป็นกลุ่มควันหายวับไปอึดใจต่อมาร่างของชุนเทียนก็ปรากฏกลางป่าใกล้กับผู้ที่นั่งร้องไห้ข้างร่างซึ่งนอนนิ่งร่างหนึ่ง“พี่ลู่ฟาง ท่านตื่นสิ ตื่นได้แล้ว ข้ากลัว”เด็กสาวพยายามเขย่าร่างแน่นิ่งเบาๆ เอ่ยพลางสะอึกสะอื้นไปด้วยเพียงมองก็รู้ว่าคนที่นอนเฉยนั้นจากไปแล้ว ชุนเทียนตัวปลอมถอนหายใจยาวแล้วหันหลังกลับ ในชีวิตตนนั้นไม่เคยยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้ใดด้วยต้องยืนหยัดให้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ทว่าเสียงเล็กทำให้ต้องหยุดชะงัก“เราต้องรีบหนีพวกคนที่ซื้อเรามานะพี่ลู่ฟาง”ซื้ออย่างนั้นหรือ? อย่าบอกนะว่า...ผู้ปลอมเป็นชุนเทียนหันขวับกลับทั้งยังก้าวเข้าไปหาร่างเล็ก เสียงเหยียบหญ้าและกิ่งไม้ใบไม้บนพื้นทำให้เด็กสาวรู้ตัว เงยหน้ามองเขาด้วยท่าทางหวาดผวา“พี่ลู่ฟางตื่นเร็ว”“พี่เจ้า
‘อยากได้งานหรือ’หนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้นมองผู้ถาม แล้วรีบจับขาอีกฝ่ายพลางบอกอย่างกะตือรือร้น ไม่สนใจร่างกายตนที่เพิ่งถูกร้านขายบะหมี่ไล่ออกมาและผลักล้มลงริมถนนหน้าร้านหลังเข้าไปขอทำงานแต่เสื้อผ้าสกปรกจนลูกค้ารังเกียจ ทำให้เจ้าของร้านไม่ยอมรับทั้งยังขับไสออกมาด้วยความรุนแรงว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่‘ขอรับ ข้าอยากได้งานทำ’ผู้ชายที่เขาคุยด้วยยิ้มมุมปาก‘ข้าจะช่วยเจ้าหาเอง’ร่างผอมเกร็นสูงโย่งรีบลุกขึ้นด้วยความยินดี แล้วอีกฝ่ายก็บอกให้เดินตามไป กระทั่งถึงสถานที่หนึ่งที่ค่อนข้างใหญ่โต แต่ตนถูกพาเข้าไปด้านหลังและยืนรอด้านนอก ครู่หนึ่งก็มีหญิงงามที่ดูมีอายุออกมากับชายผู้นั้น ทั้งสองพูดคุยกระซิบกระซาบกันก่อนหญิงนางนั้นจะก้าวมาดูเขาใกล้ๆ ด้วยสายตาพินิจแล้วใช้ผ้าปิดจมูกพลางเอ่ยถาม‘อายุเท่าไร’‘สิบสามขอรับ’‘ชื่อแซ่อะไร เป็นลูกบ้านไหน’‘ข้าชื่อ เยี่ยนเฉิน อยู่บนภูเขาในป่า ท่านแม่ข้าป่วยต้องใช้เงินซื้อยา ข้าต้องหางานทำ’เขาทำงานหาเงินเลี้ยงดูมารดามาตั้งแต่อายุสิบขวบ ไม่ว่างานใดก็ยอมทำทั้งหมด แต่เพราะต้องดูแลมารดาด้วยทำให้ไม่อาจเป็นบ่าวหรือคนงานของที่ใดได้ถาวร เมื่อกลับไปร้านเดิมก็จะถูกไล่ออกบางครั้ง
“ฝ่าบาท”หัวหน้าองครักษ์เหลียงทัดทาน ขณะที่เหล่าทหารต่างก็ทรุดลงคุกเข่าหน้าซีดเผือด“ทหารเหล่านี้ทำตามคำสั่งข้าและรับสั่งฝ่าบาท เหตุใดจึงรับสั่งลงทัณฑ์พ่ะย่ะค่ะ”“ข้าสั่งให้หาผู้ที่เต็มใจไม่ใช่บังคับ พวกเจ้าทำเรื่องน่าละอายนัก ทั้งยังทำให้คนตายไปด้วยคนนึง สมควรชดใช้ด้วยชีวิต”“ขอพระเมตตา กระหม่อมไม่ได้บังคับ...เอ่อ...”หนึ่งในนั้นรีบทูลทว่าก็เอ่ยผิดถูกเพราะเกรงว่าตนจะคอขาด“คือว่ามีคนบังคับเอาพวกนางมาขายพ่ะย่ะค่ะ”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ มีคนเอาหญิงงามกับน้องของนางมาขาย ต้องการเงินไปแทนหนี้ที่ใช้คืนไม่หมด พวกนางไม่ยินยอมขายตนเองก็จริง แต่พวกกระหม่อมเห็นว่าหากไม่ซื้อ พวกนางอาจเป็นอันตรายได้ จึงตัดสินใจซื้อพ่ะย่ะค่ะ”อีกคนรีบช่วยเสริมสหายของตน“พวกกระหม่อมตั้งใจจะพาพวกนางมาพบหัวหน้าองครักษ์เหลียงเพื่อหารือตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”คนที่สามรีบเอ่ยและตามด้วยคนที่สี่เช่นกัน“พวกกระหม่อมให้พวกนางเดินมาดีๆ โดยไม่ได้มัดหรือบังคับจับไว้เลยพ่ะย่ะค่ะ แต่อยู่ๆ พวกนางก็วิ่งหนีไป ตามไปถึงหน้าผาพี่สาวของนางก็อุ้มนางกระโดดลงไปแล้ว พวกกระหม่อมไม่อาจช่วยได้ทันพ่ะย่ะค่ะ”ฟังคำจากทหารแล้วเยี่ยนเฉินผู้ป
หลังจากอิ่มแล้วเสี่ยวเม่ยก็นั่งนิ่งอยู่นานจนเผลอหลับไป ร่างน้อยนอนบนพื้นใกล้โต๊ะเตี้ยที่วางอาหารร่างสูงโปร่งกลับเข้ามาด้านในเห็นคนตัวเล็กนอนฟุบที่พื้นคิ้วเข้มก็ขมวดก่อนจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ“หลับหรือ”เมื่อแน่ใจแล้วก็ถอนหายใจ“กินอิ่มนอนหลับทั้งที่คราบน้ำตาเปื้อนแก้ม หน้าตาเนื้อตัวมอมแมม นี่แหละนะเด็ก”เอ่ยเบาๆ แล้วก็ออกไปเรียกให้ทหารมาเก็บโต๊ะ แต่กลับคิดว่าการเคลื่อนไหวของทหารใกล้ๆ อาจทำให้เด็กสาวตื่นจึงน่าจะพาไปนอนที่อื่น ไม่ใช่ห่วงแต่เขาไม่อยากเห็นเจ้าตัวนั่งเกร็งน้ำตาคลอเพราะกลัวเขาอีกคิดแล้วเยี่ยนเฉินก็จำต้องอุ้มร่างเล็กขึ้นมองหาที่ที่จะให้อีกฝ่ายนอนได้ หากก็ไม่มี จึงจำใจพาเดินไปยังส่วนที่มีเตียงนอนด้านในแล้ววางแม่หนูเจ้าน้ำตาลง ก่อนจะถอยไปยืนกอดอกมองด้วยความขัดใจ“เตียงข้าที่เคยต้อนรับสาวงามอยู่เป็นนิตย์ คืนนี้กลับกลายเป็นเด็กน้อยไม่ประสาครอบครอง”ผู้เอ่ยไม่คิดอยู่ใกล้ร่างเล็ก จำต้องยกเตียงนี้ให้นางไป“เฮ้อ...น่าเสียดาย ผู้จากไปคือพี่สาวเจ้า ผู้ยังมีชีวิตอยู่เป็นเจ้าที่ไม่อาจใช้งานได้ หากพี่สาวเจ้ายังอยู่ข้าย่อมเกลี้ยกล่อมนางให้ติดตามไปด้วยได้”เยียนเฉินเอ่ยแล้วก็หันหลังเดินออกไ
เยี่ยนเฉินก้มลงมองดวงหน้าเล็กมอมแมม สบตากับดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์อย่างขุ่นเคือง รู้สึกเหมือนกำลังถูกกดดันด้วยแววตาแสนซื่อ“ข้าช่วยเจ้า ไม่ได้ต้องการให้เจ้ามาเป็นภาระข้า”เขากัดฟันเข่นเขี้ยวเสียงเข้ม มั่นใจว่าจะทำให้อีกฝ่ายกลัวจนถอดใจไม่อยากเกาะติดตนได้“แต่ข้าได้ยินว่าท่านต้องการผู้ติดตาม ท่านบอกให้คนไปหาผู้ที่เต็มใจไปกับท่าน”ร่างเล็กสั่นนิดๆ หากก็ยังเชิดหน้าขึ้นพูดกับเขาอย่างฉะฉาน ทว่ากลับทำให้เยี่ยนเฉินฉุนจัด มือหนาจับคางเล็กบีบเบาๆ ขณะก้มหน้าลงไปกระซิบเครียด“ข้าต้องการหญิงงาม ไม่ใช่เด็กที่เป็นภาระ ใช้งานไม่ได้เช่นเจ้า”“ข้าทำอาหารได้ดีมาก พี่ลู่ฟางชมเสมอว่าข้าทำอร่อย ข้าทำให้ท่านกินได้”มุมปากได้รูปอย่างชายชาตรีกระตุกยิ้มหยันพร้อมส่งเสียงในลำคอ“ใครอยากได้เจ้าไปทำอาหารกัน”“แล้วท่านอยากได้ผู้ติดตามหญิงไปทำสิ่งใด ข้าทำได้ทั้งนั้น”เป็นครั้งแรกที่เยี่ยนเฉินต้องหลับตาลงราวหลบดวงตาคู่วาววามใสซื่อ ทว่าความจริงแล้วพยายามระงับอารมณ์ขัดอกขัดใจกับความดื้อด้านของเด็กสาวตรงหน้า เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเขาก็ยืดตัวขึ้น ปล่อยมือจากคางเล็กแล้วมองเมินไปทางอื่นอย่างไม่คิดจะอธิบาย“นะพี่ชาย ได้โปรดให้
อาหารค่อยๆ ลำเลียงมาวางบนโต๊ะตรงหน้าขณะที่เยี่ยนเฉินมองอย่างเอื่อยเฉื่อยหากก็รู้สึกว่ามีอาหารจานหนึ่งเป็นอาหารพื้นๆ ต่างจากจานอื่นที่ปรุงแต่งอย่างน่ากินสวยงามเช่นชาววัง แม้ไม่เรื่องมากเพราะตนก็ชินกับการกินอาหารพื้นบ้านแต่ก็นึกแปลกใจ“จานนี้เป็นฝีมือเสี่ยวเม่ยพ่ะย่ะค่ะ นางขออนุญาตกระหม่อมจัดเตรียมอาหารให้ฝ่าบาท ให้ลองชิมเพื่อพิสูจน์ว่านางสามารถดูแลเรื่องนี้ได้ดีหากติดตามฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ได้รับการเฉลยจากหัวหน้าองครักษ์ที่ดูแลควบคุมตรวจสอบอาหารให้ปลอดภัยทุกมื้อด้วยตนเองแล้วเยี่ยนเฉินก็เอ่ยย้ำ“เสี่ยวเม่ย”“พ่ะย่ะค่ะ”เพราะไม่เคยคิดให้อีกฝ่ายติดตาม เขาจึงไม่เคยสนใจชื่อแซ่เด็กสาว เพิ่งรู้จากหัวหน้าองครักษ์ว่านางชื่อนี้ กระนั้นเยี่ยนเฉินก็เพียงพยักหน้ารับรู้เล็กน้อยก่อนบอก“บอกให้นางเข้ามา”สั่งแล้วก็โบกมือให้หัวหน้าองครักษ์ที่รับคำสั่งออกไป ไม่นานเจ้าของร่างเล็กก็ก้าวเข้ามาด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยน“ที่อยู่ๆ ก็หายเงียบไปเพราะอย่างนี้สินะ”เสี่ยวเม่ยพยักหน้าแล้วเหลือบมองคนตัวโตหวั่นใจว่าตนจะโดนดุหรือไม่“นั่งลงสิ กินด้วยกันนี่แหละ”“แต่ท่านอาที่อยู่ข้างนอกบอกให้รอ บอกว่าไม่ควรร่วมโต๊ะกับพี่
“เจ้าเป็นใคร”ดวงตาคู่คมเข้มเหลือบมองผู้พูด อีกฝ่ายเป็นเหมือนเงาทะมึนอยู่ตรงหน้าด้วยเยี่ยนเฉินไม่ได้จุดตะเกียง ไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ว่าตนยังไม่นอน ทว่าเพียงเสียงที่ได้ยินก็รู้ว่าเป็นผู้ใด“เหตุใดจึงปลอมแปลงเป็นองค์ชายของข้า”“หึ รู้แล้วสินะ”เยี่ยนเฉินเอ่ยเสียงเรียบอย่างไม่มีความหวั่นเกรง ทั้งยังราวกับหยันด้วยซ้ำ“ข้าสงสัยมานานแล้ว นับวันก็ยิ่งมั่นใจว่าเจ้าไม่ใช่องค์ชาย”หัวหน้าองครักษ์เหลียงเข่นเสียงหากก็ไม่ดังนัก ตนผ่านทหารยามด้านหน้าได้ไม่ยากเมื่อบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรีบทูลองค์ชาย หากก็ไม่อยากเสียงดังจนด้านนอกได้ยิน“สมกับเป็นหัวหน้าองครักษ์”แม้จะเอ่ยชม ทว่าแววตาคมเข้มเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ไม่ละสายตาจากปลายดาบอีกฝ่ายแม้เพียงชั่วแวบ“องค์ชายของข้าอยู่ที่ใด”คำถามนี้ทำให้เยี่ยนเฉินยิ้มมุมปากเล็กน้อย“เจ้าคิดดูสิ คาดเดาเก่งไม่ใช่หรือ”เหลียงชื่อซิ่นขบกรามแน่น จากน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจกับแววตากระหยิ่มของอีกฝ่ายเขาก็พอเดาออกไม่อาจมีคนสองคนในเวลาเดียวกันได้ เมื่อมีตัวปลอม ตัวจริงย่อมไม่มี“เจ้าสังหารองค์ชาย”“นับว่าฉลาดทีเดียว”“บังอาจนัก ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้ารอดมือไปแน่”“ก็ลองดู”ปล
“มันคือมารร้ายที่สังหารองค์ชายชุนเทียน ฆ่ามันเสีย”ชื่อซิ่นยกมือชี้ผู้ที่กำลังย่างสามขุมมาหาตนอย่างเชื่องช้า“พวกเจ้าก็เห็นว่าเวลานี้องค์ชายไม่เหมือนเดิมแม้แต่น้อย นั่นเพราะมันผู้นี้ไม่ใช่พระองค์ จะชักช้าอยู่ไย เราต้องแก้แค้นให้องค์ชายเดี๋ยวนี้”พร้อมกับพูดก็พยายามลุกขึ้น ทว่าไม่อาจทำได้ สุดท้ายเหล่าทหารที่ต่างก็ลอบมองกันจึงตัดสินใจช่วยหัวหน้าตน เพราะลำบากมาด้วยกันในฐานะองครักษ์และอีกฝ่ายเป็นผู้ที่จริงจังต่อหน้าที่ ทั้งยังดูแลองค์ชายรองมาเนิ่นนาน รักและเทิดทูนยิ่งกว่าผู้ใด ที่สำคัญความเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือขององค์ชายรองในช่วงสามเดือนมานี้ก็ชัดแจ้งต่อบรรดาองครักษ์ทุกนายเยี่ยนเฉินมองเหล่าทหารที่ต่างก็ยกดาบขึ้นและค่อยๆ ขยับล้อมเข้ามาพลางยิ้มมุมปาก“ในเมื่อเจ้าและคนของเจ้าเลือกเช่นนี้ ก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน”เขาเอ่ยเสียงเหี้ยมก่อนจะตะโกนเสียงดัง“เข้ามาเลย เจ้าพวกทหารหน้าโง่ทั้งหลาย”ทหารหลายนายพุ่งเข้าหาร่างสูงโปร่งตามคำท้า ด้วยต่างก็มั่นใจแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ใช่นายของตน ขณะที่มีคนช่วยพยุงเหลียงชื่อซิ่นจนลุกขึ้นมาได้ แต่เขาไม่ได้อยู่นิ่ง ยังหาดาบเข้าฟาดฟันร่วมกับบรรดาลูกน
“ลาก่อนพี่ชาย”นางไม่ได้กรีดร้องหรือตะโกนเพราะไร้แรงแม้แต่จะส่งเสียง หากก็พึมพำออกไปขณะที่รู้สึกว่าตนตกลงไปด้านล้างเพียงชั่วอึดใจก็หยุดชะงัก กายนางถูกโอบอุ้มเหาะเหินพาไต่ขึ้นไปตามหน้าผายังชะง่อนหินซึ่งสามารถวางเท้าเหยียบได้ด้วยความรวดเร็ว เสี่ยวเม่ยอึ้งตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนตัวแข็ง ใช้เวลาพักหนึ่งร่างสูงโปร่งก็พานางกระโจนขึ้นมายืนบนจุดสูงสุดของหน้าผาร่างเล็กถูกปล่อยลงแล้วแต่ยังยืนนิ่งไม่ขยับ ทว่าดวงตาคู่เรียวงามมองมายังเขาด้วยสายตาประหลาดใจ“อยู่กับข้า ต้องไม่พูดมาก ไม่ถามมาก จำได้หรือไม่”ดวงหน้าเล็กพยักขึ้นลงช้าๆ เยี่ยนเฉินก็ถอนหายใจ สุดท้ายแล้วตนก็ช่วยนางอีกจนได้ แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ตะโกนหากเขาก็ได้ยินเพราะบริเวณนี้ค่อนข้างก้อง ยังดีที่ไหวตัวทันเสี่ยวเม่ยจึงไม่ตกถึงพื้นเสียก่อนแม้ชายหนุ่มสามารถใช้วรยุทธ์ไต่ขึ้นมาได้แต่แรก ทว่าต้องการวัดใจกับเด็กสาวด้วยว่าเจ้าตัวจะถอดใจหรือไม่ และก็ได้เห็นชัดกับตาว่านางใจสู้แม้ร่างกายไม่เอื้ออำนวยก็ตาม มาคิดดูแล้วจิตใจที่แข็งแกร่งและไม่กลัวตายของอีกฝ่ายก็น่าสนใจไม่น้อย อีกอย่างนางอายุยังน้อย ไม่ยากที่เขาจะค่อยๆ สอนให้นางฝึกฝนวิชาอย่างไรนางก็โดด
“หนาว”เสียงเล็กแผ่วเบาหากเยี่ยนเฉินก็ได้ยิน หันไปก็เห็นว่าเด็กสาวหลับไปแล้ว แต่นอนกอดตัวเองละเมอออกมา ในป่าเย็นเกินกว่าผู้ที่ไม่แข็งแรงจะนอนโดยไร้ผ้าห่มได้ แม้มีกองไฟอยู่แต่ก็ไม่สามารถให้ความอบอุ่นได้ดีนักถึงจะคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเสี่ยวเม่ยคือภาระที่ตนไม่ต้องการ ทว่าเยี่ยนเฉินก็ไม่อาจปล่อยอีกฝ่ายไปตามยถากรรมได้ ราวได้ยื่นมือข้างหนึ่งไปในกับดักของใยแมงมุมหนาที่พัวพันยุ่งเหยิงยากจะแกะออกโดยง่ายร่างสูงโปร่งลุกขึ้นพร้อมปลดเสื้อคลุมตัวนอกของตนเอาไปคลุมให้ร่างเล็กแล้วกลับมานั่งใกล้กองไฟเช่นเดิม มองเข้าไปในกองไฟที่ตนสุมใหม่ให้ลุกโชนยิ่งขึ้นเผื่อแผ่ไอร้อนไปถึงเสี่ยวเม่ยที่นอนห่างออกไป ต้องการให้นางพักผ่อนให้มากเพราะนับจากนี้การเดินทางไปสำนักชิงเฉิงนั้นไม่ง่ายอีกแล้วเยี่ยนเฉินไม่ได้อยากเป็นเซียน แต่ต้องการพลังปราณเซียนเพื่อก้าวขึ้นไปยังจุดที่ผู้ใดก็ไม่อาจเหยียบย่ำได้‘บิดาของเจ้าคือจอมมารผู้ยิ่งใหญ่’นี่คือสิ่งที่มารดาเขียนเอาไว้ บิดาของเขาต้องการครอบครองหกพิภพ เป็นใหญ่เหนือดินแดนทั้งปวง ต้องการให้ดินแดนปีศาจหลุดพ้นจากการอยู่ภายใต้การปกครองของสวรรค์ ในเมื่อบิดาเขาก็มีพลังยิ่งใหญ่ไม่ต่างจากจั
เปลือกตาบางค่อยๆ ขยับปรือ กลิ่นเนื้อบางอย่างย่างลอยเข้าจมูกทำให้ต้องรีบลืมตา“บนสวรรค์มีปลาย่างหรือ”“นรกต่างหาก”เสียงเข้มดุ ทว่าราบเรียบดังไม่ห่างตัวนักทำให้นางหันไปมอง แม้จะจำเสียงได้ทว่าเห็นใบหน้าคมเข้มก็ยิ่งมั่นใจ ริมฝีปากเล็กระบายยิ้มกว้าง“พี่ชาย ท่านกลับมาแล้ว”ร่างเล็กพยายามลุกขึ้นไปใกล้เจ้าของร่างสูงโปร่ง ทว่าใบหน้าดุดันกับน้ำเสียงเข้มของเขาทำเอาเท้าเล็กชะงัก“เจ้าเป็นสตรีคนแรกที่ทำให้ข้าอยากฆ่าให้ตายคามือนัก”หันมองนางด้วยสายตาที่ไม่ต่างจากคำพูดแล้วก็หันกลับไปมองสิ่งที่เขากำลังย่างอยู่รอยยิ้มกว้างของเสี่ยวเม่ยค่อยๆ ลดลงเมื่อคิดว่าตนคงถูกพี่ชายโกรธจนเกลียดไปแล้ว ทว่ากลิ่นของเนื้อปลาย่างก็หอมเชิญชวนจนท้องร้องประท้วง นางยืนมองปลาสองตัวที่ชายหนุ่มย่างโดยไม่ละสายตาหากก็ไม่กล้าเอ่ยขอ นานครู่หนึ่งเขาก็ยื่นปลาที่เสียบไม้หนึ่งตัวมาทางนาง“เอาไปสิ หิวแล้วไม่ใช่หรือ”เสี่ยวเม่ยกลืนน้ำลาย ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้แล้วรับปลามาอย่างไม่ปฏิเสธ เวลานี้มืดแล้วไม่แปลกที่นางจะหิวจัด ด้วยไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้าร่างเล็กนั่งลงใกล้ๆ กองไฟไม่ห่างจากร่างสูงโปร่งนัก เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มกินปลาข
“ข้านึกว่าเจ้าฉลาดเสียอีก”เยี่ยนเฉินถอนหายใจแล้วยืดตัวขึ้น เดินเข้าลึกไปในกระโจมขยับมือไพล่หลังพร้อมเอ่ย“เจ้าไปเสีย ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่”การฆ่าผู้ที่เป็นศัตรูของตนไม่ยากเช่นการลงมือกับเด็กไม่มีทางสู้ แม้เขาจะใจเหี้ยมโหดเพียงใดก็ไม่เคยฆ่าเด็กและสตรีไร้ทางสู้ ยกเว้นสตรีผู้นั้นจะร้ายกาจอย่างไม่น่าให้อภัย ทว่าในชีวิตของเยี่ยนเฉินบรรดาสตรีเมื่อได้เห็นโฉมหน้าเขาก็ไม่มีผู้ใดคิดยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาแม้แต่คนเดียว ทุกคนต่างต้องการอยู่เคียงข้างกายเขา ครอบครองเขา บางครั้งก็ตบตีทะเลาะกันอย่างน่ารำคาญ เขาจึงเริ่มอาศัยปลอมแปลงเป็นผู้อื่นเพื่อเข้าฝึกยุทธ์หรือใช้ชีวิต เพราะต้องการเลี่ยงสตรีหลงใหลอย่างเกินเหตุ หากต้องการความสำราญเขาก็สามารถหาได้ด้วยใบหน้าปลอม“ข้าไม่ไป”หลังจากเงียบไปนานเสียงเล็กเครือก็ดังขึ้น“เหตุใดจึงพูดเข้าใจยากนัก ข้าให้โอกาสเจ้ารอดชีวิตไม่รู้หรือไง”เยี่ยนเฉินหันกลับมาตวาดเสียงเข้มทำเอาร่างเล็กสะดุ้งตกใจ ทว่าเจ้าตัวกลับก้มหน้างุดลงไม่ยอมขยับหนีไปไหน“เอาเถิด คืนนี้ดึกเกินกว่าเจ้าจะเดินทางลงเขา เราเพิ่งมาไม่ไกลนัก พรุ่งนี้เจ้าเดินกลับตามรอยของรถม้าก็แล้วกัน จะได้ไม่หลง ตอนน
“มันคือมารร้ายที่สังหารองค์ชายชุนเทียน ฆ่ามันเสีย”ชื่อซิ่นยกมือชี้ผู้ที่กำลังย่างสามขุมมาหาตนอย่างเชื่องช้า“พวกเจ้าก็เห็นว่าเวลานี้องค์ชายไม่เหมือนเดิมแม้แต่น้อย นั่นเพราะมันผู้นี้ไม่ใช่พระองค์ จะชักช้าอยู่ไย เราต้องแก้แค้นให้องค์ชายเดี๋ยวนี้”พร้อมกับพูดก็พยายามลุกขึ้น ทว่าไม่อาจทำได้ สุดท้ายเหล่าทหารที่ต่างก็ลอบมองกันจึงตัดสินใจช่วยหัวหน้าตน เพราะลำบากมาด้วยกันในฐานะองครักษ์และอีกฝ่ายเป็นผู้ที่จริงจังต่อหน้าที่ ทั้งยังดูแลองค์ชายรองมาเนิ่นนาน รักและเทิดทูนยิ่งกว่าผู้ใด ที่สำคัญความเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือขององค์ชายรองในช่วงสามเดือนมานี้ก็ชัดแจ้งต่อบรรดาองครักษ์ทุกนายเยี่ยนเฉินมองเหล่าทหารที่ต่างก็ยกดาบขึ้นและค่อยๆ ขยับล้อมเข้ามาพลางยิ้มมุมปาก“ในเมื่อเจ้าและคนของเจ้าเลือกเช่นนี้ ก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน”เขาเอ่ยเสียงเหี้ยมก่อนจะตะโกนเสียงดัง“เข้ามาเลย เจ้าพวกทหารหน้าโง่ทั้งหลาย”ทหารหลายนายพุ่งเข้าหาร่างสูงโปร่งตามคำท้า ด้วยต่างก็มั่นใจแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ใช่นายของตน ขณะที่มีคนช่วยพยุงเหลียงชื่อซิ่นจนลุกขึ้นมาได้ แต่เขาไม่ได้อยู่นิ่ง ยังหาดาบเข้าฟาดฟันร่วมกับบรรดาลูกน
“เจ้าเป็นใคร”ดวงตาคู่คมเข้มเหลือบมองผู้พูด อีกฝ่ายเป็นเหมือนเงาทะมึนอยู่ตรงหน้าด้วยเยี่ยนเฉินไม่ได้จุดตะเกียง ไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ว่าตนยังไม่นอน ทว่าเพียงเสียงที่ได้ยินก็รู้ว่าเป็นผู้ใด“เหตุใดจึงปลอมแปลงเป็นองค์ชายของข้า”“หึ รู้แล้วสินะ”เยี่ยนเฉินเอ่ยเสียงเรียบอย่างไม่มีความหวั่นเกรง ทั้งยังราวกับหยันด้วยซ้ำ“ข้าสงสัยมานานแล้ว นับวันก็ยิ่งมั่นใจว่าเจ้าไม่ใช่องค์ชาย”หัวหน้าองครักษ์เหลียงเข่นเสียงหากก็ไม่ดังนัก ตนผ่านทหารยามด้านหน้าได้ไม่ยากเมื่อบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรีบทูลองค์ชาย หากก็ไม่อยากเสียงดังจนด้านนอกได้ยิน“สมกับเป็นหัวหน้าองครักษ์”แม้จะเอ่ยชม ทว่าแววตาคมเข้มเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ไม่ละสายตาจากปลายดาบอีกฝ่ายแม้เพียงชั่วแวบ“องค์ชายของข้าอยู่ที่ใด”คำถามนี้ทำให้เยี่ยนเฉินยิ้มมุมปากเล็กน้อย“เจ้าคิดดูสิ คาดเดาเก่งไม่ใช่หรือ”เหลียงชื่อซิ่นขบกรามแน่น จากน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจกับแววตากระหยิ่มของอีกฝ่ายเขาก็พอเดาออกไม่อาจมีคนสองคนในเวลาเดียวกันได้ เมื่อมีตัวปลอม ตัวจริงย่อมไม่มี“เจ้าสังหารองค์ชาย”“นับว่าฉลาดทีเดียว”“บังอาจนัก ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้ารอดมือไปแน่”“ก็ลองดู”ปล
อาหารค่อยๆ ลำเลียงมาวางบนโต๊ะตรงหน้าขณะที่เยี่ยนเฉินมองอย่างเอื่อยเฉื่อยหากก็รู้สึกว่ามีอาหารจานหนึ่งเป็นอาหารพื้นๆ ต่างจากจานอื่นที่ปรุงแต่งอย่างน่ากินสวยงามเช่นชาววัง แม้ไม่เรื่องมากเพราะตนก็ชินกับการกินอาหารพื้นบ้านแต่ก็นึกแปลกใจ“จานนี้เป็นฝีมือเสี่ยวเม่ยพ่ะย่ะค่ะ นางขออนุญาตกระหม่อมจัดเตรียมอาหารให้ฝ่าบาท ให้ลองชิมเพื่อพิสูจน์ว่านางสามารถดูแลเรื่องนี้ได้ดีหากติดตามฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ได้รับการเฉลยจากหัวหน้าองครักษ์ที่ดูแลควบคุมตรวจสอบอาหารให้ปลอดภัยทุกมื้อด้วยตนเองแล้วเยี่ยนเฉินก็เอ่ยย้ำ“เสี่ยวเม่ย”“พ่ะย่ะค่ะ”เพราะไม่เคยคิดให้อีกฝ่ายติดตาม เขาจึงไม่เคยสนใจชื่อแซ่เด็กสาว เพิ่งรู้จากหัวหน้าองครักษ์ว่านางชื่อนี้ กระนั้นเยี่ยนเฉินก็เพียงพยักหน้ารับรู้เล็กน้อยก่อนบอก“บอกให้นางเข้ามา”สั่งแล้วก็โบกมือให้หัวหน้าองครักษ์ที่รับคำสั่งออกไป ไม่นานเจ้าของร่างเล็กก็ก้าวเข้ามาด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยน“ที่อยู่ๆ ก็หายเงียบไปเพราะอย่างนี้สินะ”เสี่ยวเม่ยพยักหน้าแล้วเหลือบมองคนตัวโตหวั่นใจว่าตนจะโดนดุหรือไม่“นั่งลงสิ กินด้วยกันนี่แหละ”“แต่ท่านอาที่อยู่ข้างนอกบอกให้รอ บอกว่าไม่ควรร่วมโต๊ะกับพี่
เยี่ยนเฉินก้มลงมองดวงหน้าเล็กมอมแมม สบตากับดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์อย่างขุ่นเคือง รู้สึกเหมือนกำลังถูกกดดันด้วยแววตาแสนซื่อ“ข้าช่วยเจ้า ไม่ได้ต้องการให้เจ้ามาเป็นภาระข้า”เขากัดฟันเข่นเขี้ยวเสียงเข้ม มั่นใจว่าจะทำให้อีกฝ่ายกลัวจนถอดใจไม่อยากเกาะติดตนได้“แต่ข้าได้ยินว่าท่านต้องการผู้ติดตาม ท่านบอกให้คนไปหาผู้ที่เต็มใจไปกับท่าน”ร่างเล็กสั่นนิดๆ หากก็ยังเชิดหน้าขึ้นพูดกับเขาอย่างฉะฉาน ทว่ากลับทำให้เยี่ยนเฉินฉุนจัด มือหนาจับคางเล็กบีบเบาๆ ขณะก้มหน้าลงไปกระซิบเครียด“ข้าต้องการหญิงงาม ไม่ใช่เด็กที่เป็นภาระ ใช้งานไม่ได้เช่นเจ้า”“ข้าทำอาหารได้ดีมาก พี่ลู่ฟางชมเสมอว่าข้าทำอร่อย ข้าทำให้ท่านกินได้”มุมปากได้รูปอย่างชายชาตรีกระตุกยิ้มหยันพร้อมส่งเสียงในลำคอ“ใครอยากได้เจ้าไปทำอาหารกัน”“แล้วท่านอยากได้ผู้ติดตามหญิงไปทำสิ่งใด ข้าทำได้ทั้งนั้น”เป็นครั้งแรกที่เยี่ยนเฉินต้องหลับตาลงราวหลบดวงตาคู่วาววามใสซื่อ ทว่าความจริงแล้วพยายามระงับอารมณ์ขัดอกขัดใจกับความดื้อด้านของเด็กสาวตรงหน้า เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเขาก็ยืดตัวขึ้น ปล่อยมือจากคางเล็กแล้วมองเมินไปทางอื่นอย่างไม่คิดจะอธิบาย“นะพี่ชาย ได้โปรดให้
หลังจากอิ่มแล้วเสี่ยวเม่ยก็นั่งนิ่งอยู่นานจนเผลอหลับไป ร่างน้อยนอนบนพื้นใกล้โต๊ะเตี้ยที่วางอาหารร่างสูงโปร่งกลับเข้ามาด้านในเห็นคนตัวเล็กนอนฟุบที่พื้นคิ้วเข้มก็ขมวดก่อนจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ“หลับหรือ”เมื่อแน่ใจแล้วก็ถอนหายใจ“กินอิ่มนอนหลับทั้งที่คราบน้ำตาเปื้อนแก้ม หน้าตาเนื้อตัวมอมแมม นี่แหละนะเด็ก”เอ่ยเบาๆ แล้วก็ออกไปเรียกให้ทหารมาเก็บโต๊ะ แต่กลับคิดว่าการเคลื่อนไหวของทหารใกล้ๆ อาจทำให้เด็กสาวตื่นจึงน่าจะพาไปนอนที่อื่น ไม่ใช่ห่วงแต่เขาไม่อยากเห็นเจ้าตัวนั่งเกร็งน้ำตาคลอเพราะกลัวเขาอีกคิดแล้วเยี่ยนเฉินก็จำต้องอุ้มร่างเล็กขึ้นมองหาที่ที่จะให้อีกฝ่ายนอนได้ หากก็ไม่มี จึงจำใจพาเดินไปยังส่วนที่มีเตียงนอนด้านในแล้ววางแม่หนูเจ้าน้ำตาลง ก่อนจะถอยไปยืนกอดอกมองด้วยความขัดใจ“เตียงข้าที่เคยต้อนรับสาวงามอยู่เป็นนิตย์ คืนนี้กลับกลายเป็นเด็กน้อยไม่ประสาครอบครอง”ผู้เอ่ยไม่คิดอยู่ใกล้ร่างเล็ก จำต้องยกเตียงนี้ให้นางไป“เฮ้อ...น่าเสียดาย ผู้จากไปคือพี่สาวเจ้า ผู้ยังมีชีวิตอยู่เป็นเจ้าที่ไม่อาจใช้งานได้ หากพี่สาวเจ้ายังอยู่ข้าย่อมเกลี้ยกล่อมนางให้ติดตามไปด้วยได้”เยียนเฉินเอ่ยแล้วก็หันหลังเดินออกไ