หญิงงามถูกส่งตัวเข้าไปในกระโจมก่อนทหารองครักษ์จะออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“คนก่อนก็ยังไม่ออกมาเลยไม่ใช่หรือ”
ทหารกระซิบถามหัวหน้าองค์รักษ์ ซึ่งอีกฝ่ายก็ส่ายหน้า
“จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อรับสั่งให้หาคนใหม่มา เรามีหน้าที่ทำตามรับสั่ง”
หัวหน้าองครักษ์เหลียงชื่อซิ่นเองก็อ่อนใจ ไม่เคยพบเห็นการกระทำผิดแปลกเช่นนี้จากองค์ชายรองจ้าวชุนเทียนแห่งแคว้นจ้าวมาก่อน ด้วยนับแต่อายุแปดชันษาก็เข้าวัดสวดมนต์ ตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรมและบำเพ็ญตบะ เจ้าอาวาสเห็นว่าองค์ชายมีความตั้งใจจริงเพื่อบรรลุเซียนจึงแนะนำให้เข้าสำนักเซียนขั้นสูงชิงเฉิงที่เขาชิงซานซึ่งเป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรปราณเซียนเพื่อบรรลุขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ โดยญาติผู้พี่ของเจ้าอาวาสซึ่งไม่ได้ฝักใฝ่ทางสายกลางในโลกมนุษย์บำเพ็ญเพียรอยู่ และช่วยทูลสนับสนุนองค์ชายรองกับท่านเจ้าแคว้น หากกว่าท่านเจ้าแคว้นจะยินยอมก็ใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็ม
“ประหลาดนัก องค์ชายรองไม่เคยสนใจอิสตรี ทว่านับแต่ครึ่งทางที่ผ่านมา กลับรับสั่งให้หาหญิงงามเข้าไปปรนนิบัติทุกค่ำคืน ผิดวิสัยองค์ชายนัก”
ในกระโจมที่ประทับมีสัดส่วนชัดเจน พวกตนเข้าไปได้เพียงด้านหน้าที่เป็นส่วนรับรองเท่านั้น ไม่ได้รู้เห็นสิ่งใดมากไปกว่านั้น ในทุกเช้าวันหญิงงามจะนอนอยู่ในส่วนรับรองด้วยท่าทางหมดเรี่ยวแรงไร้สติ และหัวหน้าองค์รักษ์จะให้ทหารนำตัวไปส่งพร้อมทองอีกหนึ่งเท่าเสมอ
ส่วนองค์ชายไม่ได้ออกไปไหนอยู่แล้วนอกจากเวลาเดินทางที่นั่งบนรถม้า ด้วยปกติมักนั่งบำเพ็ญตบะอย่างสม่ำเสมอ ทว่าเมื่อรับสั่งให้ส่งหญิงสาวเข้าไปในที่ประทับก็ยังคงเก็บตัวเช่นเดิม มีเพียงหัวหน้าองครักษ์เหลียงผู้เดียวที่สามารถเข้าไปคอยรับคำสั่งภายในกระโจมได้
“ที่ผ่านมาเราพอจะจัดหานางโลมจากหมู่บ้านใกล้ๆ หรือเมืองที่เดินทางผ่านได้ แต่นี่ใกล้เข้าเขตหุบเขาชิงซานแล้ว การเดินทางไปที่นั่นมีเพียงป่าลึกกว่าจะถึงสำนักชิงเฉิงบนยอดเขา เราไม่มีทางหาหญิงงามมาให้องค์ชายได้แน่ ข้าคงต้องทูลเรื่องนี้อย่างจริงจัง แม้อาจทำให้ไม่พอพระทัยก็ตาม”
หัวหน้าองครักษ์เหลียงเอ่ยพลางถอนหายใจ
ภายในกระโจม นางโลมผู้มาใหม่ก้าวเข้าไปด้านในซึ่งเป็นส่วนเตียงนอนเมื่อได้ยินเสียงอนุญาต นางยินดีมาเมื่อได้รับข้อเสนอเป็นทองชนิดที่ไม่เคยได้รับมาก่อน แม้จะกังวลนิดๆ ว่าจะมาเจอกับผู้ชายเช่นไร ทว่าเมื่อเห็นร่างสูงโปรงเปลือยเปล่า นั่งมองมาด้วยท่าทางสง่าทว่ามีร่างหญิงสาวอีกหนึ่งคนนั่งหันหลังอยู่ระหว่างขาแกร่งขยับหัวขึ้นลงนางก็เข้าใจทันใด ใบหน้าร้อนวูบพร้อมอารมณ์ที่แล่นปราดทั่วกายด้วยเคยชินกับรูปรสกลิ่นเสียงที่ตนเห็นและสัมผัสได้เป็นอย่างดี
“มาสิ”
เสียงราบเรียบเอ่ยอย่างไม่น่าเชื่อว่ากำลังถูกปรนเปรอ ทว่าใบหน้าคมสันนั้นดูดีเกินกว่าจะปฏิเสธได้ นึกดีใจที่ตนได้รับเลือกให้มารับงานนี้อยู่ไม่น้อย
“เจ้าค่ะ”
เจ้าตัวรับคำพร้อมก้าวเข้าไปด้วยรอยยิ้มหวาน แรกทีเดียวก็ขุ่นใจนิดๆ ที่ไม่ได้มีเพียงตน หากมีหญิงอื่นอยู่ก่อนแล้ว แต่อย่างไรก็รับทองมาแล้วย่อมต้องทำหน้าที่ของตนให้เต็มที่
เพียงใบหน้าคมสันพยักพเยิดส่งสัญญาณ มือบางก็ถอดชุดของตนอย่างรู้งาน แล้วก็คุกเข่าลงเคียงข้างหญิงสาวอีกหนึ่งคนที่ยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแม้จะเหลือบมองนางเล็กน้อย ซึ่งนางก็มองอีกฝ่ายแวบหนึ่งเช่นกัน รู้ดีว่าต่างก็ต้องเขม่นกันในใจ ทว่าไม่มีผู้ใดเอ่ยนอกจากหมายมั่นจะทำให้ผู้จ่ายค่าตัวพอใจตน
ปลายนิ้วแกร่งเคลื่อนมาแตะบนปลายยอดทรวงของนาง ผู้มาใหม่ก็ครางเสียงพร่าอย่างจงใจ ยิ่งถูกกดและวนไปมาจนยอดอกแข็งขืนสู้นางก็ยิ่งเสียงดังขึ้น
“ขยำสิ”
ชายหนุ่มผู้สง่างามสั่งอีก นางก็ยินดีทำอย่างเต็มใจ พร้อมกับที่เขาเปลี่ยนมากดปลายนิ้วไล้ริมฝีปากของนาง พยายามแทรกระหว่างกลีบปากนางจึงเผยอรับแล้วคลอเคลียปลายนิ้วแกร่งด้วยลิ้นของตน พร้อมกับรู้สึกว่าอารมณ์ของตนค่อยๆ ทะยานสูงขึ้นเพราะสายตาเหลือบมองความกร้าวแกร่งในมือและปากของหญิงสาวอีกคนเป็นระยะ ทั้งเจ้าตัวยังดูราวพึงใจยิ่งนัก
ครู่หนึ่งมือหนาข้างที่เหลือก็แตะศีรษะของผู้ที่มอบความหฤหรรษ์ให้ตนเป็นเชิงหยุด
“ข้าอยากเห็นพวกเจ้าแตะต้องกันและกัน”
สองสาวต่างก็ชะงักหันมองกันเองอย่างไม่คาดคิด ผู้มาใหม่ยังลังเลเพราะไม่เคยทำเช่นนี้ ทว่าหญิงสาวอีกคนกลับละจากกายแกร่งโถมมาหานางทั้งตัวจนล้มไปกองกับพื้น ปากอีกฝ่ายบดเบียดจูบปากนางอย่างเร่าร้อน เรือนร่างของนางถูกลูบไล้เน้นหนัก ขาเรียวของอีกฝ่ายแทรกมาตรงกลางขยับขึ้นลงอย่างจงใจ อกอวบอยู่ในมือนุ่ม แม้ตอนแรกตะขิดตะขวงใจทว่าสัมผัสนุ่มนิ่มของกันและกันกลับดึงดูดราคะจนไม่อาจห้ามใจ นางจูบตอบทั้งยังกอดรัดเคล้นมือบนสะโพกกลมกลึงเหนือร่างตนอย่างไม่นึกรังเกียจ
“ดี ทำได้ดี”
ผู้พูดมองภาพตรงหน้าอย่างพึงใจ นานจนหญิงสองนางต่างก็มอบความสุขให้แก่กันถึงที่สุดแล้วเขาก็กวักมือเรียก จากนั้นทั้งสองก็คลานขึ้นเตียงมอบรสพิศวาสให้กับเขาพร้อมกัน
“หาในป่าไม่ได้ ก็ต้องหาสักคนติดตามข้าไปด้วย”
องค์ชายตรัสเสียงเรียบเมื่อหัวหน้าองครักษ์ขอทูลบางอย่างหลังมื้อเสวยตอนเช้าในวันใหม่และส่งหญิงงามทั้งสองกลับไปแล้ว
“แต่เป็นเช่นนี้อาจไม่เหมาะนัก เข้าเขตหุบเขาชิงซานเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ฝ่าบาทมาเพื่อบำเพ็ญเพียรควรละเว้นเรื่องเสื่อมเสีย และไม่อาจพาหญิงใดไปอยู่เคียงข้างในสำนักชิงเฉิงได้ ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทอาจต้องการเก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่เคยเรียนรู้ให้เต็มที่ กระหม่อมจึงไม่ได้ทัดทานแต่แรก หากเวลานี้กระหม่อมขอบังอาจทูล...”
ถ้วยชาในมือองค์ชายลอยมากระทบหน้าผากหัวหน้าองครักษ์แล้วตกลงบนพื้นเขาจึงหยุด รู้สึกได้ถึงความเจ็บแปลบน่าจะได้เลือดหากก็ได้เพียงก้มหน้านิ่ง แม้จะประหลาดใจกับอารมณ์ร้อนผิดปกติขององค์ชาย ทว่าเรื่องแปลกมากกว่าอารมณ์ร้อนก็เห็นมาแล้วจึงจำต้องระงับจิตใจตน
“ที่ผ่านมาข้าคงใจดีเกินไป องครักษ์เช่นเจ้าจึงกล้าออกคำสั่งกับข้า”
น้ำเสียงเย็นชาและราบเรียบขององค์ชายรองนั้นต่างจากที่อยู่ในวังซึ่งมักเย็นและนิ่งให้ความรู้สึกสบายใจ ทว่าระยะหลังมานี้เขารู้สึกถึงความน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
“กระหม่อมมิบังอาจ”
“ข้าบำเพ็ญเพียร ไม่ใช่ออกบวช มีสัมพันธ์กับผู้หญิงมิใช่เรื่องต้องห้าม หาหญิงสาวที่เต็มใจเข้าป่ากับเรา หากเข้าสำนักแล้วข้าจะยกให้เจ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้าองครักษ์เหลียงรับคำทั้งที่ไม่อยากได้รางวัลที่องค์ชายตรัสแม้แต่น้อย ก่อนจะถอยออกจากกระโจมที่ประทับไป
“หึ...ตัณหาราคะ ไม่มีในสำนักเซียนจริงน่ะหรือ ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด แต่นั่นแหละ จะมีหรือไม่ ไม่สำคัญ หากข้าต้องการย่อมต้องได้”
ผู้ที่เวลานี้คือองค์ชายชุนเทียนเอ่ยอย่างกระหยิ่มใจ
=====
ฝากติดตามด้วยนะคะ^^
ในตอนท้ายของเรื่อง 'สวรรค์เย็นชา ข้าคือชายาปีศาจ' ไรต์เฉลยไปแล้วเนอะ ว่าตัวละหลักของเรื่องนี้เป็นใคร แต่อาจยังไม่เผยตัวแต่แรก ซึ่งมีเพราะอะไร ต้องติดตามกันเรื่อยๆ ค่า^^
เดินทางมาถึงเชิงเขาชิงซานขบวนขององค์ชายจ้าวชุนเทียนก็พักตั้งค่าย รั้งรอเดินทางในเช้าวันใหม่ หัวหน้าองครักษ์เหลียงก็จำต้องทำตามรับสั่งคือพยายามหาหญิงงามที่พร้อมเดินทางเข้าป่าเพื่อทำหน้าที่ปรนเปรอองค์ชายในช่วงสองวันที่เดินทางมาแทบไม่มีเมืองใหญ่เป็นเพียงหมู่บ้านชาวป่าอยู่อาศัยกันไม่กี่หลัง จำต้องส่งทหารเข้าไปในหมู่บ้านเสาะหาสาวงามที่ยินดีขายตัวรับเงิน หากก็ไม่อาจหาสาวงามให้องค์ชายได้ ทั้งบางครั้งยังถูกขับไล่อย่างน่าอับอาย และหัวหน้าองครักษ์เหลียงก็รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจที่มากขึ้นเรื่อยๆ ของนายตน จึงต้องให้ทหารบากหน้าเข้าหมู่บ้านใกล้เชิงเขาเพื่อหาซื้อหญิงสาวเช่นเคยการหาซื้อสาวงามในหมู่บ้านเล็กทั้งยากและน่าอับอาย บรรดาทหารต่างก็ถูกก่นด่าบ้าง ไล่ตะเพิดบ้าง จนต้องถอยร่นไม่เป็นกระบวนจำต้องส่ายหน้าเพราะต้องกลับค่ายพักมือเปล่าเช่นเคย ยังดีที่พวกเขาไม่ได้อยู่ในชุดทหาร เหมือนเป็นขบวนพ่อค้าหรือคนเดินทางทั่วไปเสียมากกว่า กระนั้นก็นับว่าทำลายเกียรติของทหารแคว้นจ้าวไม่น้อย“พวกท่านต้องการซื้อผู้หญิงใช่หรือไม่”เสียงหนึ่งดังขึ้น ทหารสี่นายที่กำลังเดินออกจากหมู่บ้านหันกลับไปก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินตรง
เขาได้ยินเสียงคนร้องไห้...ขณะกำลังเดินพลังภายในหลอมรวมปราณเซียนฝึกวิชาใหม่ที่ตนลองริเริ่มในการใช้สองพลังผสานให้มีประสิทธิสูงสุดอยู่นั้น ประสาทสัมผัสของเขาก็เปิดรับรอบทิศ และได้ยินในระยะห่างไกลราวหูทิพย์ เป็นครั้งแรกที่รับรู้ได้เช่นนี้ ทำให้จ้าวชุนเทียนตัวปลอมลืมตาขึ้น ลุกจากเตียงที่นั่งขัดสมาธิก้าวเพียงสองก้าวร่างสูงโปร่งก็กลายเป็นกลุ่มควันหายวับไปอึดใจต่อมาร่างของชุนเทียนก็ปรากฏกลางป่าใกล้กับผู้ที่นั่งร้องไห้ข้างร่างซึ่งนอนนิ่งร่างหนึ่ง“พี่ลู่ฟาง ท่านตื่นสิ ตื่นได้แล้ว ข้ากลัว”เด็กสาวพยายามเขย่าร่างแน่นิ่งเบาๆ เอ่ยพลางสะอึกสะอื้นไปด้วยเพียงมองก็รู้ว่าคนที่นอนเฉยนั้นจากไปแล้ว ชุนเทียนตัวปลอมถอนหายใจยาวแล้วหันหลังกลับ ในชีวิตตนนั้นไม่เคยยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้ใดด้วยต้องยืนหยัดให้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ทว่าเสียงเล็กทำให้ต้องหยุดชะงัก“เราต้องรีบหนีพวกคนที่ซื้อเรามานะพี่ลู่ฟาง”ซื้ออย่างนั้นหรือ? อย่าบอกนะว่า...ผู้ปลอมเป็นชุนเทียนหันขวับกลับทั้งยังก้าวเข้าไปหาร่างเล็ก เสียงเหยียบหญ้าและกิ่งไม้ใบไม้บนพื้นทำให้เด็กสาวรู้ตัว เงยหน้ามองเขาด้วยท่าทางหวาดผวา“พี่ลู่ฟางตื่นเร็ว”“พี่เจ้า
‘อยากได้งานหรือ’หนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้นมองผู้ถาม แล้วรีบจับขาอีกฝ่ายพลางบอกอย่างกะตือรือร้น ไม่สนใจร่างกายตนที่เพิ่งถูกร้านขายบะหมี่ไล่ออกมาและผลักล้มลงริมถนนหน้าร้านหลังเข้าไปขอทำงานแต่เสื้อผ้าสกปรกจนลูกค้ารังเกียจ ทำให้เจ้าของร้านไม่ยอมรับทั้งยังขับไสออกมาด้วยความรุนแรงว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่‘ขอรับ ข้าอยากได้งานทำ’ผู้ชายที่เขาคุยด้วยยิ้มมุมปาก‘ข้าจะช่วยเจ้าหาเอง’ร่างผอมเกร็นสูงโย่งรีบลุกขึ้นด้วยความยินดี แล้วอีกฝ่ายก็บอกให้เดินตามไป กระทั่งถึงสถานที่หนึ่งที่ค่อนข้างใหญ่โต แต่ตนถูกพาเข้าไปด้านหลังและยืนรอด้านนอก ครู่หนึ่งก็มีหญิงงามที่ดูมีอายุออกมากับชายผู้นั้น ทั้งสองพูดคุยกระซิบกระซาบกันก่อนหญิงนางนั้นจะก้าวมาดูเขาใกล้ๆ ด้วยสายตาพินิจแล้วใช้ผ้าปิดจมูกพลางเอ่ยถาม‘อายุเท่าไร’‘สิบสามขอรับ’‘ชื่อแซ่อะไร เป็นลูกบ้านไหน’‘ข้าชื่อ เยี่ยนเฉิน อยู่บนภูเขาในป่า ท่านแม่ข้าป่วยต้องใช้เงินซื้อยา ข้าต้องหางานทำ’เขาทำงานหาเงินเลี้ยงดูมารดามาตั้งแต่อายุสิบขวบ ไม่ว่างานใดก็ยอมทำทั้งหมด แต่เพราะต้องดูแลมารดาด้วยทำให้ไม่อาจเป็นบ่าวหรือคนงานของที่ใดได้ถาวร เมื่อกลับไปร้านเดิมก็จะถูกไล่ออกบางครั้ง
“ฝ่าบาท”หัวหน้าองครักษ์เหลียงทัดทาน ขณะที่เหล่าทหารต่างก็ทรุดลงคุกเข่าหน้าซีดเผือด“ทหารเหล่านี้ทำตามคำสั่งข้าและรับสั่งฝ่าบาท เหตุใดจึงรับสั่งลงทัณฑ์พ่ะย่ะค่ะ”“ข้าสั่งให้หาผู้ที่เต็มใจไม่ใช่บังคับ พวกเจ้าทำเรื่องน่าละอายนัก ทั้งยังทำให้คนตายไปด้วยคนนึง สมควรชดใช้ด้วยชีวิต”“ขอพระเมตตา กระหม่อมไม่ได้บังคับ...เอ่อ...”หนึ่งในนั้นรีบทูลทว่าก็เอ่ยผิดถูกเพราะเกรงว่าตนจะคอขาด“คือว่ามีคนบังคับเอาพวกนางมาขายพ่ะย่ะค่ะ”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ มีคนเอาหญิงงามกับน้องของนางมาขาย ต้องการเงินไปแทนหนี้ที่ใช้คืนไม่หมด พวกนางไม่ยินยอมขายตนเองก็จริง แต่พวกกระหม่อมเห็นว่าหากไม่ซื้อ พวกนางอาจเป็นอันตรายได้ จึงตัดสินใจซื้อพ่ะย่ะค่ะ”อีกคนรีบช่วยเสริมสหายของตน“พวกกระหม่อมตั้งใจจะพาพวกนางมาพบหัวหน้าองครักษ์เหลียงเพื่อหารือตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”คนที่สามรีบเอ่ยและตามด้วยคนที่สี่เช่นกัน“พวกกระหม่อมให้พวกนางเดินมาดีๆ โดยไม่ได้มัดหรือบังคับจับไว้เลยพ่ะย่ะค่ะ แต่อยู่ๆ พวกนางก็วิ่งหนีไป ตามไปถึงหน้าผาพี่สาวของนางก็อุ้มนางกระโดดลงไปแล้ว พวกกระหม่อมไม่อาจช่วยได้ทันพ่ะย่ะค่ะ”ฟังคำจากทหารแล้วเยี่ยนเฉินผู้ป
หลังจากอิ่มแล้วเสี่ยวเม่ยก็นั่งนิ่งอยู่นานจนเผลอหลับไป ร่างน้อยนอนบนพื้นใกล้โต๊ะเตี้ยที่วางอาหารร่างสูงโปร่งกลับเข้ามาด้านในเห็นคนตัวเล็กนอนฟุบที่พื้นคิ้วเข้มก็ขมวดก่อนจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ“หลับหรือ”เมื่อแน่ใจแล้วก็ถอนหายใจ“กินอิ่มนอนหลับทั้งที่คราบน้ำตาเปื้อนแก้ม หน้าตาเนื้อตัวมอมแมม นี่แหละนะเด็ก”เอ่ยเบาๆ แล้วก็ออกไปเรียกให้ทหารมาเก็บโต๊ะ แต่กลับคิดว่าการเคลื่อนไหวของทหารใกล้ๆ อาจทำให้เด็กสาวตื่นจึงน่าจะพาไปนอนที่อื่น ไม่ใช่ห่วงแต่เขาไม่อยากเห็นเจ้าตัวนั่งเกร็งน้ำตาคลอเพราะกลัวเขาอีกคิดแล้วเยี่ยนเฉินก็จำต้องอุ้มร่างเล็กขึ้นมองหาที่ที่จะให้อีกฝ่ายนอนได้ หากก็ไม่มี จึงจำใจพาเดินไปยังส่วนที่มีเตียงนอนด้านในแล้ววางแม่หนูเจ้าน้ำตาลง ก่อนจะถอยไปยืนกอดอกมองด้วยความขัดใจ“เตียงข้าที่เคยต้อนรับสาวงามอยู่เป็นนิตย์ คืนนี้กลับกลายเป็นเด็กน้อยไม่ประสาครอบครอง”ผู้เอ่ยไม่คิดอยู่ใกล้ร่างเล็ก จำต้องยกเตียงนี้ให้นางไป“เฮ้อ...น่าเสียดาย ผู้จากไปคือพี่สาวเจ้า ผู้ยังมีชีวิตอยู่เป็นเจ้าที่ไม่อาจใช้งานได้ หากพี่สาวเจ้ายังอยู่ข้าย่อมเกลี้ยกล่อมนางให้ติดตามไปด้วยได้”เยียนเฉินเอ่ยแล้วก็หันหลังเดินออกไ
เยี่ยนเฉินก้มลงมองดวงหน้าเล็กมอมแมม สบตากับดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์อย่างขุ่นเคือง รู้สึกเหมือนกำลังถูกกดดันด้วยแววตาแสนซื่อ“ข้าช่วยเจ้า ไม่ได้ต้องการให้เจ้ามาเป็นภาระข้า”เขากัดฟันเข่นเขี้ยวเสียงเข้ม มั่นใจว่าจะทำให้อีกฝ่ายกลัวจนถอดใจไม่อยากเกาะติดตนได้“แต่ข้าได้ยินว่าท่านต้องการผู้ติดตาม ท่านบอกให้คนไปหาผู้ที่เต็มใจไปกับท่าน”ร่างเล็กสั่นนิดๆ หากก็ยังเชิดหน้าขึ้นพูดกับเขาอย่างฉะฉาน ทว่ากลับทำให้เยี่ยนเฉินฉุนจัด มือหนาจับคางเล็กบีบเบาๆ ขณะก้มหน้าลงไปกระซิบเครียด“ข้าต้องการหญิงงาม ไม่ใช่เด็กที่เป็นภาระ ใช้งานไม่ได้เช่นเจ้า”“ข้าทำอาหารได้ดีมาก พี่ลู่ฟางชมเสมอว่าข้าทำอร่อย ข้าทำให้ท่านกินได้”มุมปากได้รูปอย่างชายชาตรีกระตุกยิ้มหยันพร้อมส่งเสียงในลำคอ“ใครอยากได้เจ้าไปทำอาหารกัน”“แล้วท่านอยากได้ผู้ติดตามหญิงไปทำสิ่งใด ข้าทำได้ทั้งนั้น”เป็นครั้งแรกที่เยี่ยนเฉินต้องหลับตาลงราวหลบดวงตาคู่วาววามใสซื่อ ทว่าความจริงแล้วพยายามระงับอารมณ์ขัดอกขัดใจกับความดื้อด้านของเด็กสาวตรงหน้า เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเขาก็ยืดตัวขึ้น ปล่อยมือจากคางเล็กแล้วมองเมินไปทางอื่นอย่างไม่คิดจะอธิบาย“นะพี่ชาย ได้โปรดให้
อาหารค่อยๆ ลำเลียงมาวางบนโต๊ะตรงหน้าขณะที่เยี่ยนเฉินมองอย่างเอื่อยเฉื่อยหากก็รู้สึกว่ามีอาหารจานหนึ่งเป็นอาหารพื้นๆ ต่างจากจานอื่นที่ปรุงแต่งอย่างน่ากินสวยงามเช่นชาววัง แม้ไม่เรื่องมากเพราะตนก็ชินกับการกินอาหารพื้นบ้านแต่ก็นึกแปลกใจ“จานนี้เป็นฝีมือเสี่ยวเม่ยพ่ะย่ะค่ะ นางขออนุญาตกระหม่อมจัดเตรียมอาหารให้ฝ่าบาท ให้ลองชิมเพื่อพิสูจน์ว่านางสามารถดูแลเรื่องนี้ได้ดีหากติดตามฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ได้รับการเฉลยจากหัวหน้าองครักษ์ที่ดูแลควบคุมตรวจสอบอาหารให้ปลอดภัยทุกมื้อด้วยตนเองแล้วเยี่ยนเฉินก็เอ่ยย้ำ“เสี่ยวเม่ย”“พ่ะย่ะค่ะ”เพราะไม่เคยคิดให้อีกฝ่ายติดตาม เขาจึงไม่เคยสนใจชื่อแซ่เด็กสาว เพิ่งรู้จากหัวหน้าองครักษ์ว่านางชื่อนี้ กระนั้นเยี่ยนเฉินก็เพียงพยักหน้ารับรู้เล็กน้อยก่อนบอก“บอกให้นางเข้ามา”สั่งแล้วก็โบกมือให้หัวหน้าองครักษ์ที่รับคำสั่งออกไป ไม่นานเจ้าของร่างเล็กก็ก้าวเข้ามาด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยน“ที่อยู่ๆ ก็หายเงียบไปเพราะอย่างนี้สินะ”เสี่ยวเม่ยพยักหน้าแล้วเหลือบมองคนตัวโตหวั่นใจว่าตนจะโดนดุหรือไม่“นั่งลงสิ กินด้วยกันนี่แหละ”“แต่ท่านอาที่อยู่ข้างนอกบอกให้รอ บอกว่าไม่ควรร่วมโต๊ะกับพี่
“เจ้าเป็นใคร”ดวงตาคู่คมเข้มเหลือบมองผู้พูด อีกฝ่ายเป็นเหมือนเงาทะมึนอยู่ตรงหน้าด้วยเยี่ยนเฉินไม่ได้จุดตะเกียง ไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ว่าตนยังไม่นอน ทว่าเพียงเสียงที่ได้ยินก็รู้ว่าเป็นผู้ใด“เหตุใดจึงปลอมแปลงเป็นองค์ชายของข้า”“หึ รู้แล้วสินะ”เยี่ยนเฉินเอ่ยเสียงเรียบอย่างไม่มีความหวั่นเกรง ทั้งยังราวกับหยันด้วยซ้ำ“ข้าสงสัยมานานแล้ว นับวันก็ยิ่งมั่นใจว่าเจ้าไม่ใช่องค์ชาย”หัวหน้าองครักษ์เหลียงเข่นเสียงหากก็ไม่ดังนัก ตนผ่านทหารยามด้านหน้าได้ไม่ยากเมื่อบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรีบทูลองค์ชาย หากก็ไม่อยากเสียงดังจนด้านนอกได้ยิน“สมกับเป็นหัวหน้าองครักษ์”แม้จะเอ่ยชม ทว่าแววตาคมเข้มเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ไม่ละสายตาจากปลายดาบอีกฝ่ายแม้เพียงชั่วแวบ“องค์ชายของข้าอยู่ที่ใด”คำถามนี้ทำให้เยี่ยนเฉินยิ้มมุมปากเล็กน้อย“เจ้าคิดดูสิ คาดเดาเก่งไม่ใช่หรือ”เหลียงชื่อซิ่นขบกรามแน่น จากน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจกับแววตากระหยิ่มของอีกฝ่ายเขาก็พอเดาออกไม่อาจมีคนสองคนในเวลาเดียวกันได้ เมื่อมีตัวปลอม ตัวจริงย่อมไม่มี“เจ้าสังหารองค์ชาย”“นับว่าฉลาดทีเดียว”“บังอาจนัก ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้ารอดมือไปแน่”“ก็ลองดู”ปล
“ได้โปรดเถิด ข้าเหนื่อยเหลือเกิน”ดวงหน้างดงามสะบัดอย่างทุรนทุราย เหงื่อซึมเต็มหน้าผาก จนเมื่อร่างสูงใหญ่กระตุกสั่นรุนแรงพร้อมโถมกายมาเต็มตัว อวี้หลันก็ผวาอีกครั้งทั้งกรีดร้องแหบพร่าอย่างสุดกลั้น ขณะหูแว่วเสียงเข้มคำรามดังไม่ต่างจากตนก่อนร่างหนาหนักจะทิ้งลงมาซุกซบนาง แขนเรียวโอบกอดเรือนกายใหญ่โตไว้อย่างเต็มอกเต็มใจพลางยิ้มบางทั้งที่น้ำตาซึมเป็นครั้งแรกที่ได้รับบทรักในฐานะอวี้หลัน หากก็สุขล้นหัวใจเหมือนได้กลับมาโอบกอดคนที่ตนรักดังเช่นเมื่อครั้งเป็นเสี่ยวเม่ย“ข้ารักท่าน พี่เยี่ยนเฉิน”นางเอ่ยกับอีกฝ่ายเสียงเบา“ข้าก็รักเจ้ามากอวี้หลัน”เยี่ยนเฉินเอ่ยตอบแล้วจูบหน้าผากชื้นเหงื่อ หัวใจชุ่มฉ่ำกับคำรักของผู้เป็นดั่งดวงใจเพียงนางเดียวของตนอวี้หวันยิ้มปลาบปลื้มกับคำรักจากอีกฝ่ายมือบางลูบไหล่กับแผ่นหลังกว้างแล้วก็รู้สึกได้ถึงรอยแผลหลายรอยที่ดูคล้ายแซ่ ทำให้ยิ่งขอบตาร้อนผ่าวชายหนุ่มต้องเจ็บปวดทรมานเพียงไหนหนอเมื่อรับทัณฑ์สายฟ้า และผู้ที่ไม่เคยยอมอยู่ภายใต้ผู้ใดกลับต้องเป็นทหารยามในวังสวรรค์ หัวใจแกร่งหยิ่งทระนงของบุรุษที่นางชื่นชมต้องทุกข์ทนเพียงใด“พี่เยี่ยนเฉิน ข้าขอบคุณท่านนักที่ไม่ละทิ้ง
“อื้ม หอมชื่นใจ”ร่างสูงใหญ่ที่โอบกอดจากด้านหลังพร้อมกับหอมลงมาบนแก้มตนทำให้อวี้หลันที่กำลังจะเข้านอนสะดุ้ง ส่วนม่านม่านซึ่งจัดเตรียมที่นอนอยู่ก็ตาโตรีบเลี่ยงหลบหนีทันใด เพราะกลัวว่าจะถูกทำให้หายไปอีก“อ้าว ม่านม่าน ไปไหนล่ะ”“คงกลัวจะหายไปน่ะสิ”เยี่ยนเฉินบอกพร้อมยิ้มมุมปากแล้วก็ต้องร้องเบาๆ“โอ๊ย นิ้วเล็กแค่นี้พิษร้ายแรงจริงเชียว”พร้อมพูดชายหนุ่มก็จับมือบางมาจุมพิตส่งสายตาคมกริบวาววามให้เจ้าของร่างนุ่มนิ่ม“ยังยิ้มอีก ปีศาจนิสัยไม่ดี”อวี้หลันเสียงขุ่น ไม่ชอบใจนักที่อีกฝ่ายนึกสนุกเมื่อทำให้ม่านม่านกลัวเยี่ยนเฉินเพียงหัวเราะในลำคอแล้วจูบแก้มนุ่มซ้ำอีกครั้งก่อนไต่ลงซอกคอหอม ขณะที่หญิงสาวย่นคอหลบเลี่ยง“อื้อ อย่า...”“โธ่...อวี้หลันคนดี ท่านพ่อเจ้าให้ข้าปลูกดอกไม้แทบจะทั้งภูเขากว่าจะเสร็จก็หลายเดือน มีอย่างที่ไหนให้องครักษ์ไปปลูกต้นไม้ดอกไม้ เจ้าจะทรมานข้าอีกคนหรืออย่างไร”เยี่ยนเฉินบ่นอุบ นับแต่มาถึงเผ่าบุปผา บิดาของนางก็เอาแต่มองเขาตาขวางแต่ไม่อาจไล่ได้เพราะเป็นราชโองการ แล้วเขาก็ถูกสั่งให้ปลูกต้นดอกอวี้หลันด้วยมือตนเอง จากด้านหลังกระท่อมริมเขาที่ตนอาศัยไปตามเส้นทางขึ้นเขา เหมือนเ
“เขาปกป้องข้า ไม่ผิดอันใด”หญิงสาวเอ่ยสวนพร้อมทั้งรีบขยับไปคุกเข่าต่อหน้าท่านปู่ของตนพลางส่งสายตาขอร้องให้เห็นใจ“ทูลฝ่าบาท ทหารผู้นี้เป็นทหารองครักษ์ที่ฮองเฮารับสั่งแต่งตั้งที่มีความชอบเมื่อวานนี้เพคะ เขาทำหน้าที่ระมัดระวังช่วยเหลืออวี้หลัน นับว่าเหมาะสมแล้วเพคะ”องค์จักรพรรดิรับรู้ในข้อนี้จากหัวหน้าองครักษ์แล้ว ราชินีสวรรค์ไม่ได้รู้เห็นว่าเยี่ยนเฉินผู้นี้คือปีศาจผู้มีดาวชะตามาร ทั้งกายยังมีปราณเทพเซียนกลบไอปีศาจ หากมีความชอบจะได้รับการแต่งตั้งก็คงไม่ผิดนัก พระองค์เองก็ได้รับรายงานถึงพฤติกรรมที่ตรงเผงและอยู่ในรูปในรอยไม่เคยผิดวินัยของอีกฝ่ายเสมอ ทั้งฝีมือยังเก่งกาจหาตัวจับยาก หากจะแต่งตั้งเป็นองครักษ์ก็ย่อมได้“เทพธิดา ท่านเอ่ยราวรู้จักทหารยามผู้นี้เป็นอย่างดี น่าแปลกนัก”ชิงหลุนมองด้วยสายตาสงสัยอวี้หลันเม้มปาก รู้ว่ากำลังถูกหยั่งเชิง หากยอมรับว่ารู้จักคุ้นเคยทหารยามเป็นอย่างดี ก็จะทำให้ตำแหน่งเทพธิดาบุปผาเสียหาย นางสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะเอ่ยขึ้น“ไม่รู้จักได้อย่างไร ในเมื่อฮองเฮาแต่งตั้งทหารผู้นี้เป็นทหารองครักษ์ แล้วรับสั่งให้ดูแลคุ้มกันข้ากลับเผ่าบุปผา”นางพยายามส่งสายตาขอกั
“เยี่ยนเฉินหรือ?”ราชินีสวรรค์มองทหารยามอย่างพินิจ ท่าทางองอาจดูไม่หวั่นเกรงต่อผู้ใด สายตามั่นคงไม่วอกแวก ทั้งยังปราดเข้ามาสยบสัตว์เวทที่แม้แต่เทพเซียนผู้เป็นเจ้าของยังไม่อาจปราบได้ในชั่วพริบตา ทำให้รู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย“ความชอบของเจ้าครั้งนี้ ข้าคงต้องมีรางวัลเสียแล้ว”“เป็นหน้าที่กระหม่อมอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยนเฉินเอ่ยเสียงเรียบอวี้หลันจ้องมองชายหนุ่มอย่างไม่ละสายตา พยายามจะสบตาอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจ ทว่าเขากลับมองต่ำเพียงอย่างเดียว ทำให้นึกขัดใจนัก“ถึงอย่างไรข้าก็อยากตอบแทนน้ำใจเจ้า”“กระหม่อมไม่...”“เอาอย่างนี้ไหมเพคะ ในเมื่อเขาบอกว่าเป็นหน้าที่ ฮองเฮาก็แต่งตั้งเขาเป็นองครักษ์ให้เป็นรางวัลแทนสิ่งของ”อวี้หลันถือโอกาสเสนอ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่มองตนหญิงสาวเคืองจนแอบถอนหายใจ“อืม นั่นสินะ เช่นนั้นข้าจะบอกกับหัวหน้าองครักษ์ให้แต่งตั้งเจ้าเป็นองครักษ์สวรรค์ก็แล้วกัน”“เป็นพระมหากรุณาพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยนเฉินจำต้องรับไว้ แต่ก็ยังก้มหน้าราวเจียมตนเช่นเดิมผู้เป็นเทพธิดาบุปผาเม้มริมฝีปาก กรุ่นโกรธคนที่หมางเมินต่อตนราวไม่สนใจไยดีเมื่อมีโอกาสอยู่ในที่พักของตนยังตำหนักราชิ
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดหนี”ไท่จื่อซึ่งเป็นผู้คุมตัวตนมาเอ่ยขึ้น ทำให้เยี่ยนเฉินเหลือบมองอย่างหงุดหงิด หากก็ไม่เอ่ยสิ่งใด“แต่เจ้าอาจหลงลืมไปว่าเทพธิดาบุปผาก็มักจะขึ้นมาบนสวรรค์อยู่เนืองๆ ในโอกาสต่างๆ”คำบอกนี้ทำให้เยี่ยนเฉินหยุดเดิน ขณะที่ผู้เป็นไท่จื่อเพียงก้าวเดินต่อไปไม่หันกลับ“อะแฮ่ม”ผู้ที่กระแอมคือหวังหย่งผู้ติดตามไท่จื่อแล้วผายมือให้ปีศาจหนุ่มเดินต่อเยี่ยนเฉินจำต้องก้าวต่อเพื่อไปยังแท่นรับสายฟ้า หากก็ครุ่นคิดไปด้วย แม้แปลกใจที่ไท่จื่อสวรรค์เอ่ยกับตนเช่นนี้ แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าถ้าหนีเขาอาจไม่ได้พบเจอกับอวี้หลันอีก สวรรค์คงต้องหาทางคุ้มกันเทพธิดาเผ่าบุปผาเข้มงวดกว่าก่อนหน้านี้ ทว่าหากอยู่บนสวรรค์ก็ยังมีโอกาสได้เห็นคนที่ตนรักเมื่อมาถึงยังแท่นรับสายฟ้า ไท่จื่อก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง“หญิงสาวที่เจ้ารักอยู่ไกลเกินเอื้อม หากเจ้าจริงใจต่อนาง ย่อมรู้ว่าควรทำอย่างไร ความรักอาจไม่จำเป็นต้องครอบครอง เพียงได้เห็นผู้ที่ตนรักใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขก็เพียงพอ ทุกสิ่งอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเจ้า”จิ่นลี่นั้นไม่ได้ต้องการให้หลานสาวตนลงเอยกับปีศาจตนนี้ แต่ก็รู้ดีว่าหัวใจไม่อาจบังคับได้ ทั้งยัง
ร่างสูงใหญ่ก้าวตามผู้เป็นอาเข้าประตูสวรรค์มาด้วยใบหน้านิ่งขรึม แม้ไม่เต็มใจและมีแผนในหัว หากก็พยายามตีสีหน้าเฉยเข้าไว้เพื่อที่ราชาปีศาจจะได้อ่านความในใจตนไม่ออก พลางสายตาก็กวาดมองสวรรค์ชั้นฟ้าที่งดงามด้วยสายตาดูแคลน ไม่มีความชื่นชมหรือตื่นตาตื่นใจแต่อย่างใด กระทั่งมาถึงยังท้องพระโรงที่มีร่างขององค์จักรพรรดินั่งอยู่บนบัลลังก์และไท่จื่อยืนอยู่ด้านหนึ่ง“องค์จักรพรรดิ”ราชาปีศาจเอ่ยขึ้นพร้อมก้มหัวคำนับเล็กน้อยขณะที่เยี่ยนเฉินยืนเฉย ผู้เป็นอาจึงเอ่ย“เยี่ยนเฉิน”ผู้ถูกเรียกถอนหายใจ ก่อนจะจำใจเอ่ยเสียงดังทั้งที่ยืนนิ่ง“เยี่ยนเฉินคำนับองค์จักรพรรดิ”“เจ้ายอมมาถึงที่นี่ คงเตรียมใจไว้แล้วสินะ”จักรพรรดิจินหวงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ หากสายตาที่มองชายหนุ่มรูปร่างองอาจทว่าหน้าตางามล้ำโดดเด่นนั้นบอกชัดว่าไม่ชอบใจ เพราะอีกฝ่ายทำให้หลานสาวสุดรักต้องเสียศักดิ์ศรี“จะทำอย่างไรก็เชิญ”เยี่ยนเฉินเชิดหน้ามองตรงไม่หลบเลี่ยง“ความผิดเจ้าใหญ่หลวงนัก ทั้งยึดสำนักชิงเชิง ปลุกระดมบังคับศิษย์ในสำนักให้แข็งข้อก่อกบฏต่อขุนเขากลางเวหา แล้วยัง...”“ลอบเข้าไปอุ้มเทพธิดาบุปผา...”“บังอาจ!”ร่างสูงขององค์จักพรรดิลุกขึ้นห
“ความรักหัวใจของเรากำหนด เราไม่อาจเลือกเองได้ว่าจะรักหรือไม่รัก”นางเอ่ยพลางจับหน้าอกของตัวเอง“หัวใจของลูกเจ็บปวดที่เขาจะจากไป ลูกห้ามใจตัวเองไม่ได้ และหากไม่ทำสิ่งใดเลย ลูกคงอยู่ไม่ได้ ท่านพ่อเห็นใจลูกเถิด”หนิงเฟิ่งสงสารลูก ทั้งปวดใจตามจนทนไม่ได้ นางจับมือของสวามีพร้อมเอ่ยขอ“ท่านพี่ หลันเอ๋อร์เพียงขอชีวิต ไม่ได้ขอให้ละเว้นโทษ ช่วยลูกของเราเถิด”เจิ้งหานสบตากับชายาตน อีกฝ่ายพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมส่งสายตาขอร้อง เพราะหากเขาไม่รับปากบุตรสาวก็คงดื้อรั้นอยู่เช่นนี้“จะฟื้นขึ้นมาหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่เอาเถิด พ่อรับปากว่าจะขอให้ท่านปู่เว้นโทษตายก็ได้ แต่โทษเป็นก็คงสาหัสไม่ต่างกับตายทั้งเป็นเช่นกัน”เอ่ยจบเขาก็เดินจากไปด้วยความไม่พอใจ ไม่อยากตามใจอวี้หลันจนเกินควร แต่ไม่อาจใจแข็งกับบุตรสาวได้อวี้หลันได้แต่มองตามบิดาตนแล้วก็สะอึกสะอื้นเบาๆ เพราะไม่รู้ว่าผลสุดท้ายแล้วชายหนุ่มจะเป็นอย่างไร จะฟื้นหรือไม่“หลันเอ๋อร์”หนิงเฟิ่งพยุงบุตรสาวตนอีกครั้ง อีกฝ่ายก็โผเข้ามากอดแทนที่จะยอมลุกขึ้น“ท่านแม่ ลูกผิดหรือเจ้าคะ ลูกผิดที่ผูกพันใจกับปีศาจใช่ไหมเจ้าคะ”“โถ...ลูกแม่”ผู้เป็นแม่ทำได้เพียงโอบกอดบุ
จิตใจอวี้หลันไม่เป็นสุขแม้กลับมายังเผ่าบุปผาหลายวันแล้ว การไม่มีม่านม่านอยู่ด้วยทำให้นางไม่อาจบอกเล่าความในใจกับผู้ใดได้ บิดาของนางไม่เอ่ยถึงข่าวคราวใดจากทางสวรรค์หรือเผ่าปีศาจ ส่วนมารดานั้นแม้จะคอยมาอยู่ด้วยอย่างเป็นห่วงกระทั่งนางเข้านอนจึงกลับไป ทว่าอวี้หลันรู้สึกราวกำลังถูกจับตามองมากกว่านางนอนไม่หลับพลิกไปพลิกมาจนสุดท้ายก็ลุกขึ้นนั่ง มองมือสองข้างของตนที่กดกระบี่ใส่ปีศาจตนนั้นแล้วก็น้ำตาเอ่อคลอ“เจ้าคือพี่เยี่ยนเฉินจริงหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร”แม้คิดว่ายากจะเป็นไปได้ แต่กลับไม่มั่นใจเอาเสียเลย เพราะอีกฝ่ายรู้จักชื่อ ‘เสี่ยวเม่ย’ ของนาง ราชาปีศาจเองก็เรียกเขาว่า‘เยี่ยนเฉิน’ หากเป็นเรื่องจริงเท่ากับนางลงมือสังหารคนรักในชาติมนุษย์ด้วยมือตนเอง อวี้หลันอดปวดร้าวใจกับความกลัวนี้ไม่ได้นางอยากรู้คำตอบ อยากรู้ความจริง แต่ไม่รู้จะได้มาอย่างไร“ถ้ำนั้นอยู่ที่ใดข้าก็ไม่รู้”ถึงอยากไปที่นั่นด้วยตนเองอีกครั้ง อยากรู้ว่าชายหนุ่มดีขึ้นหรือยังพร้อมสอบถามเรื่องที่สงสัย แต่บิดามารดาคงไม่ยอมให้นางคลาดสายตา อวี้หลันรู้สึกได้ถึงสายตาเคร่งเครียดจากบิดาทว่าท่านกลับไม่ถามสิ่งใดแน่นอนว่าสตรีที่อยู่กับบ
“เขายังมีชีวิตอยู่”“จริงหรือ”อวี้หลันหันถามอย่างมีความหวังขึ้นมา และก็ได้รับการพยักหน้าตอบกลับจากราชาปีศาจ ทว่าสะดุดใจชื่อที่อีกฝ่ายเรียกชายหนุ่ม“แต่กระบี่นี้สามารถทำลายวิญญาณอมตะได้ไม่ใช่หรือ”นางเอ่ยด้วยความแปลกใจ แต่ชายหนุ่มยังไม่สูญสลายไปหลังจากถูกนางแทง นั่นเท่ากับว่าเขาอาจยังพอมีทางรอด“กระบี่นี้ ดูเหมือนจะเป็นกระบี่อินทรีไร้พ่ายที่ท่านเทพอาจารย์ของเจ้าสำนักชิงเฉิงสร้างขึ้น ข้าจำได้ตอนไปพบเทพอาจารย์พร้อมท่านเหลียงเฟิ่ง”แม่ทัพสือเฟิ่งก้าวเข้ามาดูใกล้ๆ ด้วยการจะเข้าประตูสวรรค์นั้นไม่ใช่ผู้ใดก็เข้าได้ ตนจึงต้องพาเจ้าสำนักเหลียงเฟิ่งไปพบเทพอาจารย์แห่งสำนักชิงเฉิง“ใช่เจ้าค่ะท่านตา”อวี้หลันรีบสำทับแม่ทัพแห่งเผ่าวิหค ซึ่งเป็นน้องชายราชาวิหคท่านตาของนาง“แต่เท่าที่รู้ กระบี่นี้จะไม่สังหารผู้ที่เป็นเจ้าของกระบี่”คำบอกของผู้ที่นับได้ว่าเป็นตาของตนอีกคนทำให้อวี้หลันหันมองผู้เจ็บอย่างเต็มตา ใบหน้าคมคายที่ล้ำเลิศหาผู้ใดเทียมยากนี้ต่างจากเยี่ยนเฉินโดยสิ้นเชิง ทว่าแม้แต่ราชาปีศาจก็ยังเรียกชายหนุ่มด้วยชื่อนี้ มันหมายความว่าอย่างไร นางได้แต่ครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจ“หากยังไม่ตาย ก็ต้องควบคุ