“ฉันชอบคุณราฮีม และเราก็กำลังดูๆ ใจกันอยู่ หวังว่าเธอจะเข้าใจ ไม่เล่นชู้กับแฟนคนอื่นหรอกนะ”“เล่นชู้เหรอ?” ณาณีมเอ่ยทวนคำที่พราวตะวันใช้ เพราะมันแรงและดูถูกเธอมากทีเดียว นี่ถ้าไม่ถือว่าเป็นเพื่อนกันมาก่อน ณาณีมอาจกระโดดกัดคอไปแล้ว “ใช่…ฉันอ่านสายตาเธอเวลามองคุณราฮีมออก ว่าเธอคิดยังไงกับเขา”“แล้วตอนนี้เธออ่านสายตาฉันออกไหม ว่าคิดยังไงกับเธอ”“ออกสิ” พราวตะวันเอ่ยอย่างมั่นใจ แต่ณาณีมกลับมองบนใส่ เพราะเอาเข้าจริงๆ คนตรงหน้าก็แทบไม่รู้อะไรกับเขาเลย “อย่ามั่ว อย่าคิดแทนฉัน เพราะฉันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด ต่อให้ฉันยังโสด คุณราฮีมก็ไม่ใช่ผู้ชายในสเปคฉันสักนิด เธอสบายใจได้”“เธอพูดเองนะ อย่ากลืนน้ำลายตัวเองเสียล่ะ” พราวตะวันกำชับ “แน่นอน” ณาณีมเอ่ยรับอีกที แต่หารู้ไม่ว่าประโยคเหล่านี้ราฮีมได้ยิน ชายหนุ่มยืนฟังอยู่ไม่ไกล และรู้สึกเสียใจที่ได้ยินแบบนี้อยู่ไม่น้อย อกหักตั้งแต่แรกที่ได้รู้จักกัน มันเป็นแบบไหน วันนี้เขาก็เพิ่งได้สัมผัส ราฮีมกับพราวตะวันกลับเข้ากรุงเทพฯ ก่อน ส่วนณาณีมนั้นยังคงใช้ชีวิตชิลล์ๆ ที่ทะเลต่ออีกคืน กระทั่งช่วงสายของวันรุ่งขึ้น เธอก็กลับเข้ากรุงเทพฯ เช่นเดียวกันณาณีม
ในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เสียงออดที่หน้าประตูดังขึ้นรัวๆ ทำเอาณาณีมที่กำลังนอนคลุมโปงสะดุ้งตื่น เธอลากขาลงจากเตียงแล้วเดินสะโหลสะเหลไปยังประตูพอมองผ่านหน้าจอเล็กๆ ตรงประตูว่าใครมา ณาณีมก็ถึงกับหายง่วง รีบเปิดประตูทันที“คุณราฮีม”“อยู่ๆ น้ำห้องผมมันไม่ไหล ผมขอมาอาบน้ำห้องคุณได้ไหม พอดีผมมีประชุมเช้า” ถึงไม่บอกณาณีมก็พอรู้ เพราะตอนนี้ฟองแชมพูยังอยู่บนหัวของชายหนุ่มเต็มไปหมดแต่การแต่งตัวของเขานี่สิ ที่ทำให้เธอลังเลว่าจะให้เข้าห้องมาดีไหม เพราะราฮีมสวมแค่ผ้าขนหนูผืนเดียว ปมมันก็หมิ่นเหม่จะหลุดไม่หลุดแหล่ ซิกแพคเอย กล้ามเอย ณาณีมได้แต่ท่องยุบหนอพองหนออยู่ในใจ“คุณณา!” เพราะเห็นณาณีมเอาแต่นิ่งเงียบ ราฮีมจึงเอ่ยเรียก“อ้อ…เชิญค่ะ”“ขอบคุณครับ” เสียงทุ้มเอ่ยรับ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของณาณีมแล้วตรงดิ่งไปยังห้องน้ำ เพราะที่นี่ถูกออกแบบมาคล้ายๆ กัน ทำให้ราฮีมพอจะรู้ว่าห้องน้ำ ห้องนอน ห้องครัว ห้องน
“ครับ” เสียงทุ้มเอ่ยรับ ก่อนจะหมุนซ้ายหมุนขวามองหาสวิตช์ไฟภายในห้อง ณาณีมส่ายหน้าให้ผู้ชายตัวโตที่มีความรู้เรื่องช่างน้อยนิด จากนั้นก็เดินไปยังจุดที่ติดตั้งสวิตช์ไฟไว้ ลากเก้าอี้มาวางแล้วเธอก็ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ เพื่อจะได้สับสวิตช์ลงแต่ว่า…ความเตี้ยของเธอก็เป็นเหตุให้เอื้อมมือไม่ถึงสวิตช์ อันที่จริงณาณีมก็ไม่ได้เตี้ยอะไรมาก แต่ผิดที่เพดานของคอนโดมิเนียมที่นี่ค่อนข้างสูง“ให้ผมช่วยไหมคุณ”“ก็ดีค่ะ” ณาณีมหันมาตอบ พร้อมกับก้าวลงจากเก้าอี้ ราฮีมที่ยืนรออยู่ข้างๆ จึงก้าวขึ้นไปยืนบนเก้าอี้แทนเธอ จากนั้นก็สับสวิตช์ให้ณาณีมเดินวกกลับไปยังห้องนอน แกะกล่องหลอดไป มองซ้ายมองขวาหาอุปกรณ์เสริมความสูง เพราะเก้าอี้มันคงจะเตี้ยไปหน่อย กระทั่งได้ยินเสียงราฮีมลากโต๊ะเข้ามาให้ราวกับอ่านความคิดของเธอได้เมื่อเตรียมหลอดไฟอันใหม่เรียบร้อย ณาณีมก็ก้าวขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ โดยมีราฮีมคอยช่วย จากนั้นเธอก็เปลี่ยนหลอดไฟ โดยมีผู้ชายตัวโตที่ไร้ความรู้เรื่องช่างทุกชนิดยืนมองตาป
“ครับ” ราฮีมพยักหน้ารับ ก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องไป ส่วนณาณีมก็เดินกลับห้องตัวเองเช่นกัน สรุปวันนี้เธอก็ไม่ได้เจอณิการ์ สงสัยต้องนัดใหม่เป็นพรุ่งนี้ราฮีมนั่งมองนิ้วโป้งขวา ที่มีผ้าพันแผลพันไว้จนกลมเหมือนก้อนหิมะ พักนี้เขาเป็นอะไรถึงได้ซุ่มซ่ามหาเรื่องใส่ตัวไม่ได้หยุดหย่อน พลอยทำให้ณาณีมต้องมาเป็นธุระให้ด้วย คิดแล้วก็เกรงใจเธอส่วนณาณีมก็อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ตามประสาคนรู้จักทั่วๆ ไป ไม่ได้เข้าใกล้ราฮีมจนเกินพอดี เธอจงใจทิ้งระยะห่าง เพราะไม่อยากใกล้ชิดกับเขาเกินไป แต่ยิ่งเธอทำแบบนั้น ราฮีมก็ยิ่งอยากเข้าใกล้แต่เพราะพักนี้เขาเองก็ยุ่งอยู่กับงาน กลับบ้านก็ค่ำมืด ทำให้ไม่มีโอกาสได้พบณาณีมสักเท่าไหร่นัก แต่ทุกครั้งที่กลับมา ราฮีมมักจะไปยืนอยู่หน้าประตูห้องของณาณีม ก่อนจะกลับเข้าห้องตัวเอง“เฮ้อ...” ราฮีมจ้องนิ้วโป้งขวา ที่ตอนนี้เอาผ้าพันแผลออกไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ณาณีมพาเขาไปโรงพยาบาลจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาสี่วันเข้าไปแล้ว แต่เขากลับไม่ได้เจอหน้าเธออย่างที่ตั้งใจ ถึงจะได้ชื่อว่าอยู่ห้องติด
“โอเค ฉันจะเชื่อแกยัยแป้งโกะ” เอ่ยจบ พราวตะวันก็เดินตรงไปหาณาณีม“แวะมาหาใครที่นี่หรือจ๊ะณา”“คนรู้จักน่ะ เธอมีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่าพราว”“เปล่า อ้อ…แล้วคนรู้จักที่ว่าของเธอ ผู้หญิงหรือว่าผู้ชายจ๊ะ”“ก็ทั้งชายทั้งหญิง” ณาณีมตอบกว้างๆ ไว้ อันที่จริงเธอไม่จำเป็นต้องตอบคำถามอะไรพวกนี้เลยก็ยังได้“หวังว่าจะไม่ใช่ผู้ชายหรอกนะ เพราะถ้าใช่ พี่แดนคงรู้สึกไม่ดีแน่ๆ” พราวตะวันจีบปากจีบคอพูด ซึ่งล้วนแต่กระแนะกระแหนณาณีมทั้งนั้น“อันที่จริง ฉันจะมาพบใคร หญิงหรือชาย นั่นก็เรื่องส่วนตัวของฉัน...ว่าไหม อีกอย่างเราก็แค่คนรู้จักกันแบบห่างๆ เธอไม่ต้องห่วงชีวิตครอบครัวของฉันมากมายเหมือนชีวิตของเธอเองก็ได้มั้ง” ณาณีมเอ่ยประโยคที่จะบอกให้พราวตะวันรู้ว่าเธอไม่ควรล้ำเส้นเกินไป แต่แทนที่จะหยุด พราวตะวันยังเอ่ยถึงดาวินอีก“ฉันก็แค่ห่วงเธอตามประสาเพื่อนมนุษย์ เห็นว่านี่ก็ดึกมากแล้ว เธอยังเตร็ดเตร่
ชายหนุ่มยังไม่ได้เดินเข้าเกท แต่กลับเดินไปนั่งร้านกาแฟเพื่อรอเวลา แต่ขณะที่ยืนรอกาแฟที่สั่งไป อยู่ๆ ราฮีมก็กลับออกไปจากสนามบิน เป้าหมายของเขาคือณาณีม ไม่ว่ายังไงเขาต้องบอกความในใจให้เธอรู้“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน” ราฮีมปลุกใจตัวเอง เวลานี้เขายืนอยู่หน้าห้องของณาณีม ผู้หญิงที่กล้าทำให้ใจเขาปั่นป่วนทั้งๆ ที่ปลุกใจตัวเองมาตลอดทางแล้วแท้ๆ ว่าจะสารภาพความในใจออกไป ถ้าสามีของเธออยู่ เขาก็พร้อมจะขอโทษ หรือถ้าทำให้ทั้งคู่อึดอัดใจ เขาก็พร้อมจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่น แต่พอเอาเข้าจริง กลับประหม่าจนแทบจะถอดใจ“อุ๊ย!” ณาณีมอุทานออกมาอย่างตกใจ เธอกำลังจะออกไปทิ้งขยะ แต่พอเปิดประตูออกมากลับเจอราฮีมยืนอยู่“คุณณา”“มีอะไรหรือเปล่าคะ” เพราะสีหน้านิ่งๆ ของราฮีม ทำเอาณาณีม ต้องถาม เพราะดูเหมือนชายหนุ่มมีอะไรในใจ“ผมขอคุยด้วยสักสองนาทีได้ไหมครับ ถ้าคุณไม่สะดวกให้ผมเข้าไปคุยด้วยในห้อง เราลงไปคุยกันที่สวนก็ได้”“เอ่อ&h
ณาณีมยังคงใช้ชีวิตช่วงลาพักร้อนในแบบที่ชอบ หลังจากกลับจากทะเล เธอก็แบ็คแพ็คไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียว อยากไปที่ไหนเธอก็แค่จองตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พัก จากนั้นก็บินไป ชีวิตอิสระแม้จะเหงาบ้าง แต่ความเหงาก็มาพร้อมกับความอิสระแต่น่าแปลก ทำไมเวลาไปที่ไหนเธอต้องคิดถึงราฮีมด้วย เขามักจะชอบโผล่เข้ามาในความคิดของเธอเสมอๆ สลัดทิ้งเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้สักทีซึ่งความรู้สึกนี้ใช่ว่าจะเป็นแค่ณาณีมคนเดียวเท่านั้น เพราะราฮีมเองก็คิดถึงเธอเช่นกัน ไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน สมองส่วนหนึ่งก็ยังคงวนเวียนคิดถึงแต่เธอ“ท่าจะเป็นเอามาก เธอมีสามีแล้วราฮีม เลิกคิด เลิก!” ราฮีมสั่งตัวเองมาเป็นครั้งที่ร้อย แต่ดูเหมือนสมองรวมทั้งหัวใจจะทรยศ เพราะมันไม่ยอมทำตามง่ายๆแต่ละวันที่ผ่านไป ใช่ว่าความคิดถึงที่ราฮีมมีให้ณาณีมจะลดน้อยลง ยิ่งไม่ได้เห็นเธอเขาก็ยิ่งคิดถึง สงสัยจะตกนรกก็คราวนี้ คิดถึงใครไม่คิด คิดถึงคนที่มีเจ้าของในขณะที่ณาณีมเองก็ยังคงใช้ชีวิตเป็นปกติ หลังหมดวันพักร้อนเธอก็กลับไปทำงาน และก็ตามคาด เ
ณิการ์และธัญมณเลี้ยงส่งณาณีมที่กำลังไปทำงานที่ญี่ปุ่น แม้จะไปแค่ไม่กี่เดือนก็ตามที กระทั่งถึงวันเดินทางทั้งสองสาวก็ได้ไปส่งณาณีมที่สนามบิน และที่นั่นเธอได้พบกับใครคนหนึ่งเข้าณิการ์หันมากระซิบให้ณาณีมรู้พิกัด“แก๊…สองนาฬิกา”“ยัยพราว” ณาณีมเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นพราวตะวัน“อุ๊ย!…โลกกลม มาเจอแก๊งสาว สาว สาวที่สนามบินด้วย จะไปไหนกันจ๊ะ” พราวตะวันเอ่ยทัก“ฉันสองคนไม่ได้ไป แต่ณาไป” ณิการ์เอ่ยขึ้น“จะบินไปไหนหรือจ๊ะณา”“ญี่ปุ่น พอดีต้องไปทำงาน”“แหม…อายุก็เยอะขึ้นทุกวัน แต่ยังทำงานงกๆ เนอะ เขาให้เงินเดือนเท่าไหร่เนี่ย ลาออกแล้วมาเป็นพนักงานบริษัทฉันไหม” พราวตะวันเน้นคำว่าพนักงานแบบชัดถ้อยชัดคำ ทำเอาณิการ์กับธัญมณเบ้ปากให้คนขี้อวด รู้หรอกว่าบ้านรวย แต่ไม่ต้องพองยังกับอึ่งอ่างก็ได้มั้ง หมั่นไส้!“ขอบใจที่มี
ชายหนุ่มดึงตัวณาณีมให้ขึ้นมานั่งคร่อม ยกสะโพกของเธอขึ้นสูงแล้วค่อยๆ กดลงมารับแก่นกายของเขาช้าๆ ให้มันค่อยๆ มุดหายเข้าไปอยู่ในตัวเธอ แม้จะมีอะไรกันมาหลายต่อหลายครั้ง แต่แรงตอดรัด ความอุ่นภายในตัวของณาณีมก็ทำให้ราฮีมคลั่งได้เสมอๆ“อ่า...อาห์…” ณาณีมครางออกมาเมื่อเวลานี้เธอรับแก่นกายของราฮีมไว้จนลึกสุด ชายหนุ่มนอนนิ่งๆ ราวกับต้องการซึมซับความเสียวซ่าน แต่ณาณีมกลับทนไม่ไหวและเธอก็เริ่มขยับสะโพกบดเบียดสลับขึ้นลง จากช้าก็เปลี่ยนมาเป็นเร็วและถี่กระชั้น“ใจเย็นๆ ที่รัก ผมยังอยากอยู่ในตัวคุณ” ราฮีมรีบห้าม นั่นเพราะยังอยากอยู่ในตัวณาณีมให้นาน แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือณาณีมกัดริมฝีปากล่าง มองราฮีมด้วยแววตาเซ็กซี่ ทำเอาหัวใจชายหนุ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ก่อนจะเผลอปล่อยอารมณ์ให้กระเจิดกระเจิงจนเกือบปลดปล่อยและเมื่อรู้ตัวราฮีมก็ถอดถอนความแข็งขืนออกมาจากตัวเธอก่อน แล้วจัดการเปลี่ยนท่าทางด้วยการจับณาณีมให้กลับมานอนหงายบนเตียง ส่วนเขาลงไปยืนอยู่ริมเตียง รั้งเธอให้ขยับเข้าหาแล้วแทรกตั
“ขอบใจแกสองคนมากนะ ที่คอยช่วยเหลือฉันทุกอย่าง” ณิการ์หันไปมองณาณีมกับธัญมณที่ต้องเหนื่อยแทนเธอตั้งหลายเรื่อง โดยเฉพาะณาณีม“เล็กน้อยน่ะ” ธัญมณยิ้มให้“พรุ่งนี้สามีฉันก็บินกลับมาแล้ว โล่งอกไปหน่อย”“สู้ๆ คุณแม่” ณาณีมยิ้มให้คนบนเตียงที่กึ่งนั่งกึ่งนอนด้วยอีกคน“อื้อ…สู้อยู่แล้ว เป็นแม่คนต้องอดทน สิบล้อชนต้องไม่ตาย แต่แค่ผ่าไส้ติ่งทำไมมันเจ็บงี้ก็ไม่รู้” เพิ่งบอกให้อดทนไปหยกๆ แต่อยู่ๆ หน้าณิการ์ก็ยู่ยี่ เพราะยังรู้สึกเจ็บจี๊ดที่แผลผ่าตัด“เอาน่ะ เจ็บแค่นี้เล็กน้อย มันสู้ตอนแกเบ่งคลอดน้องภูมิไม่ได้ด้วยซ้ำ จริงไหม” ณิการ์พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของณาณีม“จริง เพราะงั้นฉันเลยขอมีลูกแค่คนเดียวนี่ไง เข็ดตอนเบ่งคลอด”“แกนี่” ณาณีมส่ายหน้าให้ณิการ์อีกที ก่อนที่ณิการ์จะเอ่ยกับลูกชาย ที่พอทำการบ้านเสร็จก็ตัวติดกับราฮีมทันทีเหมือนกัน“น้องภู
“เชิญค่ะ เพราะการเม้าท์มอยในที่ทำงานถือเป็นงานหลัก เอ้ย! ไม่สิ งานอดิเรกของใครหลายๆ คนอยู่แล้ว แต่ณาว่าพี่ณิอรกับมาตาคงไม่เป็นหรอก ใช่ไหมคะ”“ใช่จ้ะใช่” ณิอรเอ่ยรับก่อน“ใช่ค่ะ มาตากับพี่ณิอรไม่ใช่พวกขาเม้าท์แน่นอน เรื่องเม้าท์ไร้สาระทั้งนั้น” มาตาที่นั่งฟังมานานเอ่ยเสริมขึ้นบ้าง แต่แค่ได้ฟังก็คันปากยิกๆ“กินข้าวกันค่ะ เดี๋ยวเย็นแล้วมันจะไม่อร่อย” ณิอรและมาตาพยักหน้ารับกันหงึกหงักแล้วกินข้าวเที่ยงกันอย่างเงียบๆ ส่วนณาณีมนั้นนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะรู้ว่าสองคนนี้คิดอะไรกันอยู่ ดีไม่ดีกลับเข้าไปทำงานในช่วงบ่าย เธออาจเป็นเซเลบที่มีแต่คนมอง ซึ่งณาณีมก็หาได้แคร์ไม่กระทั่งอิ่ม ณาณีมก็ขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงมื้อกลางวัน ณิอรและมาตาก็ไม่ได้คัดค้าน ดีซะอีก เพราะจะได้ประหยัดเงินค่ามื้อเที่ยงไปอีกหนึ่งมื้อ จากนั้นณาณีมก็ขอตัวกลับออกไปก่อน“ก่อนกินข้าว พี่ณิอรว่าพี่ณาแขวะเราไหมคะ” เมื่ออยู่กันสองคน มาตาก็เอ่ยขึ้น“
“เร็วไปนะคะ พูดถึงท่านปุ๊บก็จะชวนณาไปปั๊บ ใจร้อนเป็นวัยรุ่นไปได้” ณาณีมส่ายหน้าให้คนตัวโตกว่า ที่ตอนนี้เขาเอาแต่นั่งยิ้ม นั่นเพราะแม้รักครั้งนี้เขาจะให้ณาณีมเป็นคนออกแบบ แต่เส้นทางที่เธอเลือกมันก็ไม่ได้ต่างไปจากตัวตนในแบบที่ราฮีมอยากได้“ก็ผมอยากให้ครอบครัวได้เจอกับผู้หญิงคนที่ผมจะใช้ชีวิตด้วยหลังจากนี้ ผมจะได้บอกพ่อกับแม่ว่าวันนี้พระเจ้าได้ประทานผู้หญิงที่มีค่ามาให้ผมแล้ว”“เดี๋ยวณาก็ตัวลอยหรอก”“ผมพูดเรื่องจริง”“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจณา ขอบคุณ” นอกจากคำๆ นี้แล้ว ณาณีมก็ไม่รู้จะเอ่ยคำไหน ถึงแม้ก่อนหน้านี้เธอไม่คิดจะเปิดใจให้เขา แต่สุดท้ายก็แพ้ใจ“ถ้าไม่ให้ผมเข้าใจคนที่ผมรักแล้วจะให้ผมไปเข้าใจใครครับ…หืม” เพราะรักราฮีมจึงเข้าใจด้วยหัวใจ และไม่ต้องการเปลี่ยนตัวตนของณาณีม เขาต่างหากที่ต้องขอบคุณที่เธอเปิดใจให้ นั่นเพราะรู้ว่าความรักสำหรับคนอย่างณาณีมนั้นต่างจากทุกๆ คน“ดึกแล้ว ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้คุณ
“รู้ไหมว่าลูกแกพูดอะไรกับฉันเมื่อวาน น้องภูมิบอกว่ารักแกมาก แกอยากให้เรียนพิเศษอะไร น้องภูมิก็เรียน เรียนเพื่อตามใจแก” ยังฟังไม่ทันจบประโยค ณิการ์ก็ปล่อยโฮออกมาอย่างยากจะกลั้นไว้ได้เธอสะอึกสะอื้นจนตัวโยน ที่ผ่านมาเธอคงเป็นแม่ที่เห็นแก่ตัวจริงๆ คิดเองเออเองในฐานะแม่ ว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับภูมิแผ่นดิน และเมื่อเห็นแม่ร้องไห้ เด็กชายก็เดินเข้ามาหาใกล้ๆ นั่นทำให้ณิการ์คว้าลูกชายมากอดอย่างรู้สึกผิด“แม่ขอโทษนะครับภูมิ แม่ขอโทษ”“คุณแม่ขอโทษน้องภูมิทำไมครับ” เด็กชายเอ่ยถามอย่างงุนงง นั่นเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดนัก ที่สำคัญเมื่อครู่ยังถูกราฮีมจงใจเบี่ยงเบนความสนใจขณะที่ณาณีมคุยกับณิการ์ไปด้วย“วันหลังเราไปเล่นบ้านบอล ไปกินเฟรนช์ฟรายส์กันนะครับ”“จริงๆ นะฮะ” ภูมิแผ่นดินยิ้มกว้างทันที“จริงสิครับ ส่วนเรียนพิเศษ ต่อไปนี้แม่จะถามก่อนว่าน้องภูมิอยากเรียนไหม ถ้าไม่ชอบก็บอกแม่นะครับ”
และใช่ว่าณาณีมจะวาดภาพเหล่านั้นเพียงคนเดียว เพราะเวลาที่ราฮีมเล่นหยอกล้อกับภูมิแผ่นดิน เธอก็แอบคิดแวบๆ ว่าหากวันหนึ่งเธอมีลูกกับเขาขึ้นมา ภาพมันคงจะอบอุ่น น่ามองเหมือนกับตอนนี้ แต่นั่นก็คือเรื่องของอนาคต ที่อาจเกิดหรือไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้ เพราะสังคมสมัยนี้อันตรายรอบด้านจนเธอคิดที่จะไม่มีลูก จะได้ไม่ต้องมีห่วงให้ต้องทุกข์เมื่อใช้เวลาเล่นทดแทนเวลาเรียนพิเศษจนครบ ณาณีมและราฮีมก็พาภูมิแผ่นดินไปหาณิการ์ที่โรงพยาบาล แต่ระหว่างทางเด็กชายก็ผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะวิ่งเล่นมานานหลายชั่วโมง ซึ่งราฮีมก็ใช้จังหวะนั้นเปิดคลิปที่เขาถ่ายไว้ให้ณาณีมดู“ตอนพาน้องภูมิลงสไลเดอร์หน้าณาตลกขนาดนี้เลยเหรอ” เห็นหน้าตัวเองแล้วณาณีมก็ขำ แต่สไลเดอร์ที่เล่นมันสูงจริงๆ นะ เล่นทีก็เสียวที“ตลกมาก ผมยังนั่งขำจนท้องแข็ง” ราฮีมหัวเราะออกมา ส่วนณาณีมนั้นก็เปิดดูคลิปที่ชายหนุ่มแอบถ่ายเอาไว้“ถ้าเพื่อนฉันเห็นคลิปพวกนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ เพราะฉันเองก็ห่วงน้องภูมิที่ถูกปุ้ยอัดสารพัดความรู้ที่คิดว่าจำเป็นใส่หัวตั้งแต่ตัวเท่านี้ ทั้งๆ
“ไม่จุ๊บหน่อยเหรอ” น้ำเสียงอ้อนๆ ของผู้ชายตัวโตเป็นยักษ์เอ่ยถาม มันช่างขัดกับภาพลักษณ์นักธุรกิจหนุ่มผู้ร้อนแรงของเขานัก“ไม่” น้ำเสียงตึงๆ ของณาณีมเอ่ยตอบ แต่ใบหน้าของเธอนั้นกลับแฝงรอยยิ้มไว้ตลอดเวลา“กอดก็ได้นะ”“ไม่กอด ก็วันนี้ณาโสด เรื่องอะไรจะทำตัวเหมือนคนมีแฟน”“งั้นพรุ่งนี้เจอกัน หึ…อย่าคิดว่าน้องภูมิอยู่ด้วยแล้วจะรอด” ราฮีมเอ่ยคาดโทษ นั่นทำให้ณาณีมรีบไล่ชายหนุ่มกลับห้องทันที“กลับห้องไปนอนได้แล้ว” เธอดุนหลังเขามาถึงประตู ร่ำลากันอยู่สองสามนาที ราฮีมจึงยอมกลับห้องของเขาณาณีมส่ายหน้าให้ชายหนุ่ม ก่อนจะกลับมาจัดการอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยๆ ก้าวขึ้นเตียงนอนอย่างระวัง เพราะกลัว ภูมิแผ่นดินที่กำลังหลับจะตื่น วันนี้ณาณีมเองก็เหนื่อยมาทั้งวัน จึงไม่แปลกที่พอหัวถึงหมอนได้ เธอก็หลับสนิทอย่างง่ายดาย 
“คุณแม่ไม่สบายเหรอฮะ” น้ำเสียงของภูมิแผ่นดินดูสลดลงไป เพราะห่วงผู้เป็นแม่“ค่ะ ตอนนี้น้ามณพาคุณแม่ไปโรงพยาบาลแล้ว ส่วนเราก็กำลังจะตามไป”“ฮะ” เด็กชายเอ่ยรับอย่างว่าง่าย ณาณีมจึงรีบพาภูมิแผ่นดินไปยังโรงพยาบาลทันที ซึ่งระหว่างนั้นธัญมณก็ได้โทรศัพท์มาหา โดยบอกว่าณิการ์ไส้ติ่งแตกกะทันหันต้องผ่าตัดด่วนณาณีมจึงเปลี่ยนแผนยังไม่พาภูมิแผ่นดินไปโรงพยาบาลตอนนี้ เพราะถ้าไปก็คงไปนั่งรอในพื้นที่ของโรงพยาบาลจนกว่าจะผ่าตัดเสร็จ ไม่น่าจะดีสักเท่าไหร่“น้องภูมิหิวไหมครับ”“หิวฮะ”“งั้นเราแวะหาอะไรกินกันก่อนดีไหม”“แต่ภูมิเป็นห่วงคุณแม่ อยากไปโรงพยาบาลเร็วๆ” คำตอบของเด็กชายทำให้ณาณีมยิ้มกว้าง รู้สึกอบอุ่นหัวใจแทนณิการ์ที่มีลูกน่ารักๆ แบบนี้“โธ่…ตัวก็เล็กแค่นี้ยังเป็นห่วงคุณแม่อีก แต่น้าณาว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้องนะ ถ้าหิวน้องภูมิจะเอาแรงที่ไหนไปดูแลคุณแม่ล่ะครับ&r
“ฉันดีใจนะที่แกยิ้มได้แบบนี้น่ะณา” ณิการ์เอ่ยขึ้น นั่นเพราะความรักครั้งนี้พลอยทำให้เพื่อนเธอสดใสเป็นกอง ซึ่งธัญมณเองก็เห็นด้วย“ฉันด้วย สีหน้าแกดูมีความสุขอ่ะ ฉันสัมผัสได้”“มันออกขนาดนั้นเลยเหรอ” ณาณีมจับหน้าตัวเอง เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าสีหน้าของเธอจะเป็นแบบที่ทั้งสองคนพูด“มาก...แววตาแกก็วิ้งๆ มีประกายจนฉันอิจฉา ไปหย่าผัวมั่งดีกว่า เผื่อได้ผู้ชายใหม่ ดุ้นใหญ่ๆ บ้าง” ธัญมณยิ้มกริ่ม นั่นทำเอาณิการ์ต้องรีบถาม“เอาจริงเหรอยะยัยมณ”“พูดปากดีไปงั้น เพราะเรื่องอะไรฉันจะหย่าให้ชายโฉดหญิงชั่วมันมีความสุข อยู่เป็นก้างมันอยู่แบบนี้นี่แหละ สะใจดี” ธัญมณนั้นแค้นฝังหุ่นสามีที่มีเมียน้อย เธอจะตายไปพร้อมทะเบียนสมรสนี่ล่ะ สะใจดี“สะใจดี แล้วแกมีความสุขไหม” คำถามของณาณีมทำให้ธัญมณนิ่งไป“มีสิ ถ้าไม่สุข ฉันจะยิ้มได้แบบนี้เหรอ” เอ่ยจบก็ฉีกยิ้มกว้างให้เพื่อนทั้งสองได้เห็น