วินาทีที่ริมฝีปากซ้อนทับกัน รูม่านตาของโจวจี้หลิ่นก็หดลงทันทีนี่เป็นจูบแรกของพวกเราก่อนหน้านี้ฉันเคยจูบเขา แต่ก็แค่จูบที่ใบหน้า เขาเงยหน้าขึ้นและกดท้ายทอยของฉันไว้ เพื่อเพิ่มจูบนี้ให้ลึกซึ้งมากขึ้น หลังจูบกันสักพัก เขาก็พลิกตัวให้ฉันนอนบนเตียง จากนั้นก้มลงมาจูบที่ริมฝีปากของฉันอย่างบ้าคลั่งราวกับเสือที่ดุร้ายบรรยากาศเปลี่ยนเป็นร้อนระอุขึ้นมา“หลินหลิ่น หลินหลิ่น” ฉันรู้สึกหายใจไม่ออกเล็กน้อย ลิ้นก็ชาไปหมด จึงยกมือขึ้นไปดันหน้าอกของเขาไว้ ด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ “พวกเรารีบไปหน่อยหรือเปล่า?”ดวงตาของโจวจี้หลิ่นลึกซึ้ง และแฝงไปด้วยความอ่อนโยน“ขอโทษนะ ฉันน่าจะดื่มมากไปหน่อย” ปากเขาก็บอกแบบนั้น แต่ร่างกายกลับกดทับลงมา กอดที่เอวของฉัน และนอนหลับพร้อมกับโอบกอดฉันไว้ฉันดิ้นเล็กน้อย กลับพบว่าขยับไม่ได้เลยฉันหันหน้ามองเขาเล็กน้อย โครงหน้าของเขาเด่นชัดและลึกซึ้ง ดูเหมือนจะหลับไปแล้วจริง ๆเมื่อเห็นว่าไปไม่ได้แล้ว ฉันจึงนอนอยู่ที่บ้านของโจวจี้หลิ่นหนึ่งคืนเช้าวันรุ่งขึ้น ทันทีที่ฉันพลิกตัวก็เข้าสู่อ้อมแขนที่อบอุ่นทันที เมื่อฉันลืมตาขึ้นก็พบว่าโจวจี้หลิ่นนอนอยู่ข้าง ๆ แต่เมื่
โจวจี้หลิ่นเจอสือเยียนครั้งแรกที่การแสดงของชมรมดนตรีสือเยียนยืนฟังเพลงอยู่ด้านล่างเวทีในค่ำคืนฤดูร้อนที่เสียงจักจั่นร้องไม่หยุด ท่ามกล่างเสียงเพลงที่ไพเราะ สือเยียนถือแท่งไฟเชียร์สองอันโบกอย่างบ้าคลั่ง ตอนนั้นเธอปล่อยผมยาวสลวยถึงบ่า สวมเสื้อยืดสีน้ำเงินและกางเกงยีนส์ ผิวขาวมาก ดวงตาก็เปร่งประกายสดใส ทำให้ตัวเธอดูมีชีวิตชีวาทั้งยังร่าเริงโจวจี้หลิ่นแค่มองก็หลงไหลในทันทีเขายืนอยู่ด้านหลังสือเยียน แต่สือเยียนตื่นเต้นมากเกินไป จนถอยหลังมาสองก้าวและล้มเข้าสู่อ้อมแขนของโจวจี้หลิ่นทันที“ขอโทษนะ ฉันตื่นเต้นมากไปหน่อย” สือเยียนยิ้มมาทางเขาเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มที่สดใสและอ่อนหวานมากโจวจี้หลิ่นตกหลุมพรางแล้วหลังจากนั้นเขาก็ตามหาสือเยียนมาโดยตลอด เพราะอยากจะถามเธอว่าชื่ออะไร แต่พอหาเจอ เขาก็ถูกครอบครัวพาตัวไปต่างประเทศ เขาจึงดรอปเรียนไปสองปีเมื่อกลับมา สือเยียนก็คบหากับหลินจิงเฟิงแล้ว แถมยังได้ยินว่าสือเยียนเข้าโรงพยาบาลเพราะหลินจิงเฟิงอีกเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาก็คลุ้มคลั่งอย่างขีดสุดเขาไปตามหากลุ่มคนที่ทำร้ายสือเยียนและสู้กับพวกเขาเพียงคนเดียว สู้จนพวกนั้นขอความเมตตา และเป็น
แฟนหนุ่มของฉันคือหลินจิงเฟิง คุณชายที่ทรงอิทธิพลของเมืองหลวง เขาดื้อรั้นและเอาแต่ใจมาโดยตลอด ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยไปทีละก้อน ๆ ข้างกายก็ไม่เคยขาดสาว ๆ เลยฉันอยู่ข้างกายเขามาสามปีแล้ว และสามปีนี้เขาก็เชื่อฟังอยู่เสมอ แถมยังขอฉันแต่งงานด้วยแต่ช่วงนี้เขาเจอเหยื่อรายใหม่แล้วเป็นนักศึกษาที่สาวสวยคนหนึ่ง ผิวเธอขาวมาก บุคลิกก็ดูสง่างามและสูงส่ง เขาไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้กับผู้หญิงที่ไร้เดียงสาและจิตใจดีแบบนี้และเพื่อทำให้เธอยิ้ม วันเกิดของฉันในวันนั้น เขาผลักฉันลงไปในทะเลโดยไม่ลังเล......วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส มองไม่เห็นก้อนเมฆแม้แต่ก้อนเดียว ผิวน้ำที่สงบสาดขึ้นมาจนเกิดฟองน้ำขนาดใหญ่ ฉันกระทุ่มอยู่ในน้ำไม่หยุด และมองกลุ่มคนที่อยู่บนเรือยอร์ชด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านบนเรือยอร์ชสวมชุดกระโปรงสีขาว ดวงตาของเธอบริสุทธ์และใสแจ๋ว เมื่อเห็นท่าทางน่าสมเพชหลังตกลงไปในน้ำของฉัน ก็ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากและยิ้มอย่างสดใสเธอยิ้มได้สวยมากหลินจิงเฟิงก็ยิ้มตามไปด้วยเขายิ้มแจ่มใสมาก คิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นล้วนผ่อนคลายลงอยู่หลายส่วน และเมื่อเขาได้ยินเสียงร้องขอความ
“เยียนเยียน เธอกำลังล้อฉันเล่นอยู่ใช่ไหม? ฉันเป็นแฟนของเธอ หลินจิงเฟิงไง!” หลินจิงเฟิงจับมือของฉันอีกครั้งพลางยิ้มแต่เมื่อเขาเห็นสายตาที่ตื่นกลัวของฉัน เขายังนึกว่าฉันแกล้งทำ และน้ำเสียงก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหงุดหงิด “ฉันผลักเธอตกลงไปในน้ำฉันทำไม่ถูกเอง แต่เธอไม่ต้องเป็นแบบนี้ก็ได้นี่ เธอไม่ได้เป็นอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ?”“แฟนเหรอ? คุณพูดจาไร้สาระอะไร?! แฟนของฉันคือโจวจี้หลิ่นต่างหาก!”ฉันสะบัดมือของเขาออกอย่างแรง และกอดหมอนข้างบังด้านหน้าไว้ พลางมองดูเขาด้วยสายตาที่คมกริบและระมัดระวังฉันไม่รู้จักเขาสักหน่อย!“อะไรนะ?! เธอบอกว่าใครคือแฟนของเธอ?!” ดวงตาของหลินจิงเฟิงเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงในพริบตา เขาทุบโต๊ะข้างเตียงอย่างแรงทีหนึ่ง และร้องคำรามด้วยความโมโหโจวจี้หลิ่นเป็นถึงศัตรูคู่อาฆาตของเขา!ตั้งแต่เด็กเลยล่ะ!เขาแพ้ให้กับโจวจี้หลิ่นตั้งแต่เด็ก และก็เกลียดเขาเข้ากระดูก จนไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยถึงด้วยซ้ำฉันมองเตียงผู้ป่วยที่ว่างเปล่า และมองหลินจิงเฟิงที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าที่โกรธแค้น ฉันตะโกนออกไปด้วยความกังวล “อย่าแตะต้องตัวฉันนะ! ฉันไม่รู้จักคุณ!”เสียงนี้ได้เรียกคุณห
“เขาบอกว่าเขาเป็นแฟนของหนู? แต่แฟนของหนูคือโจวจี้หลิ่นนะ!” ฉันจับมือของคุณแม่ฉันไว้แน่น และก็เอ่ยด้วยสายตาที่แน่วแน่พอคุณพ่อคุณแม่ของฉันได้ยิน ท่าทางก็ดูจะชะงักไปเล็กน้อยพวกเขาเปิดรูปถ่ายที่อยู่ในโทรศัพท์ออกมาถามฉันทีละคน พบว่าฉันลืมหลินจิงเฟิงแค่คนเดียว และยอมรับเพียงโจวจี้หลิ่นเท่านั้นหลินจิงเฟิงกลับไม่สนใจเลย และตอนที่ฉันออกจากโรงพยาบาลในวันนั้น เขายังไปไปเลี้ยงอาหารจ้าวจิ้งซินด้วยเขานัดจ้าวจิ้งซินอยู่หลายครั้ง แต่ครั้งนี้เธอกลับตอบตกลง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ลังเลที่จะขับรถสปอร์ตไปรับเธอ รถของเขาแพงมาก และเกิดกระแสพูดคุยกันอย่างคึกคักในมหาวิทยาลัยของจ้าวจิ้งซินทันทีที่ขึ้นรถ จ้าวจิ้งซินก็เหลือบมองหลินจิงเฟิงเล็กน้อยด้วยท่าทางที่ไร้เดียงสาและงดงามเหมือนแต่ก่อน พลางเอ่ยเสียงเบา “แฟนสาวของคุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?”“เธอจะเป็นอะไรได้? ดวงแข็งจะตายไป” หลินจิงเฟิงเอ่ยอย่างประจบเอาใจพอตกตอนบ่ายหลินจิงเฟิงพาเธอไปเดินเล่นดูร้านค้าหรูหลายร้านและใช้เงินไปหลายล้าน สุดท้ายยังพาเธอไปรับประทานอาหารค่ำใต้แสงเทียนที่ร้านอาหารที่แพงที่สุดอีกแต่ตอนที่หลินจิงเฟิงพาเธอมาส่งที่หน้ามหาวิทยาลั
บนตัวของโจวจี้หลิ่นมีกลิ่นน้ำหอมของผู้ชายแบบอ่อน ๆ ผสมกับกลิ่นเหล้า แค่เข้าใกล้ก็ได้กลิ่นแล้วฉันโอบเอวบางของเขาไว้แน่น สายตาก็ลอบผ่านลูกกระเดือกที่ดูเซ็กซี่และนูนเล็กน้อยของเขา พร้อมกับสบตากับดวงตาที่ลึกซึ้งและลึกล้ำคู่นั้น และเรียกด้วยรอยยิ้มที่สดใส “หลินหลิ่น”น้ำเสียงหวานปานน้ำผึ้งชายหนุ่มก้มมองฉัน รู้ม่านตาหดตัวลง และในดวงตาก็แฝงไปด้วยความลังเลอยู่เล็กน้อย“ปล่อยมือนะ!” หลิงจิงเฟิงเห็นพวกเราสองคนกอดกัน โกรธจนดวงตาทั้งสองแดงก่ำ และพุ่งเข้ามาลากฉันออกจากโจวจี้ หลิ่น พลางด่าว่าฉัน “สือเยียน! เธอเป็นคนชั้นต่ำเหรอ? มีแฟนอยู่แล้วยังจะไปให้ท่าผู้ชายคนอื่นอีก!”ฉันตกใจกับท่าทางที่หยาบคายทั้งยังไร้เหตุผลนี้ของเขา จึงสะบัดมือของเขาออกและซ่อนตัวอยู่ด้านหลังโจวจี้หลิ่น“หลินหลิ่น คนนี้เขาเป็นคนบ้า เขาตามฉันมานานแล้ว ฉันกลัว”มือของฉันจับขอบด่านล่างชุดสูทของเขาเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะหนกและน้ำเสียงก็สั่นเครือเล็กน้อย พอได้ยินคำว่า ‘คนบ้า’ หลินจิงเฟิงก็ระเบิดออกมาจนหมดเขาชี้นิ้วด่าว่าฉันต่อหน้าทุกคนในบาร์ “สือเยียน เธอเสแสร้งพอหรือยัง? ฉันแค่ผลักเธอตกลงไปในทะเลเองไม่ใช่เหรอ?
เพล้ง!หลินจิงเฟิงหยิบขวดไวน์ขึ้นมาและฟากไปที่ศีรษะของเจียงจิ่งเซิง ทันใดนั้นเลือดสดๆ ก็ไหลออกมา“ฉันเหมือนกับสือเยียนหรือไง? เธอเป็นผู้หญิง ส่วนฉันเป็นผู้ชาย!” หลินจิงเฟิงเอ่ยด้วยความมั่นใจเจียงจิ่งเซิงกุมศีรษะที่ได้รับบาดเจ็บมองเขาอยู่แวบหนึ่ง และดวงตาก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นก็เอ่ยทิ้งท้าย “ฉันเจียงจิ่งเซิง ไม่มีเพื่อนอย่างนาย”พูดจบ เจียงจิ่งเซิงก็ออกไปจากบาร์โดยไม่หันมามองอีกเลยหลินจิงเฟิงดูไม่แยแส และยังคงดื่มเหล้าและสำมะเลเทเมากับคนอื่นต่อไปขาดเพื่อนแค่คนเดียว เขารู้สึกมันไม่ส่งผลกระทบต่อเขาวันรุ่งขึ้นพระอาทิยต์ก็ยังคงส่องแสงจ้าเมื่อหลินจิงเฟิงตื่นขึ้นมาก็แวะไปหาจ้าวจิ้งซินก่อน และเอาสินค้าราคาแพงที่ซื้อเมื่อครั้งก่อนนำไปด้วยหญิงสาวยังคงสูงส่ง ดวงตาก็ยังบริสุทธิ์และสดใสเหมือนอย่างเคยดวงตาของเธอเย็นชาและไม่แยแส กวาดมองไปทางหลินจิงเฟิงที่มือหนึ่งถือสินค้าราคาแพง ส่วนอีกมือหนึ่งก็ถือกาแฟที่ร้อนกรุ่นอยู่ เธอหยิบกาแฟร้อนในมือซ้ายของหลินจิงเฟิงอย่างรวดเร็วกาแฟยังคงร้อนอยู่ และในเช้าที่มีลมหนาวพัดพามันทำให้ฝ่ามือของเธออบอุ่นในทันทีหลินจิงเฟิงใส่ใจจนถึงที่สุด
แต่เขาค้นในห้องอย่างละเอียดรอบหนึ่งแล้ว ภายในกลับไม่มีร่องรอยของผู้ชายเลย เขายังคงไม่เชื่อ หมุนกลับและจับคอเสื้อของฉันพร้อมกับตะโกน “เธอเอาชายชู้แซ่โจวนั่นไปซ่อนไว้ที่ไหน?!”ฉันตกใจกับท่าทางนี้ของเขา จนรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาตำรวจเห็นแบบนั้นจึงเดินไปข้างหน้าและดึงเขาออกมา ขณะที่ฉันนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้นมือกุมศีรษะ สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด พลางเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ปวดจัง ปวดหัวจัง”พูดจบ ฉันก็เป็นลมไป“คุณผู้หญิงท่านนี้เมื่อคืนเธอมาคนเดียวนะคะ คุณจะใส่ร้ายใครก็ต้องมีขอบเขตบ้างหรือเปล่า?!”ผู้จัดการล็อบบี้เห็นว่าฉันเป็นลม จึงรีบโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล ขณะพูดก็จ้องหลินจิงเฟิงด้วยหลินจิงเฟิงชะงักอยู่กับที่เมื่อเห็นฉันนอนอยู่บนพื้นไม่ไหวติ่ง เขาก็รู้จักรีบร้อนแล้ว และอยากไปโรงพยาบาลพร้อมกับทีมรถพยาบาลด้วย แต่เดินไม่ถึงสองก้าว ก็ถูกตำรวจควบคุมตัวไว้“เยียนเยียน...”เมื่อเขาเห็นฉันขึ้นรถพยาบาล น้ำเสียงของเขาถึงอ่อนลงแต่ตำรวจไม่ให้เวลาเขาแสดงความรู้สึกลึกซึ้ง ก็พาเขากลับไปอบรมที่สถานีตำรวจ จนถึงตอนบ่ายเขาถึงได้ออกมาเมื่อออกมา เขาก็รีบเร่งไปที่โรงพยาบาลทันทีเพี๊