เพล้ง!หลินจิงเฟิงหยิบขวดไวน์ขึ้นมาและฟากไปที่ศีรษะของเจียงจิ่งเซิง ทันใดนั้นเลือดสดๆ ก็ไหลออกมา“ฉันเหมือนกับสือเยียนหรือไง? เธอเป็นผู้หญิง ส่วนฉันเป็นผู้ชาย!” หลินจิงเฟิงเอ่ยด้วยความมั่นใจเจียงจิ่งเซิงกุมศีรษะที่ได้รับบาดเจ็บมองเขาอยู่แวบหนึ่ง และดวงตาก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นก็เอ่ยทิ้งท้าย “ฉันเจียงจิ่งเซิง ไม่มีเพื่อนอย่างนาย”พูดจบ เจียงจิ่งเซิงก็ออกไปจากบาร์โดยไม่หันมามองอีกเลยหลินจิงเฟิงดูไม่แยแส และยังคงดื่มเหล้าและสำมะเลเทเมากับคนอื่นต่อไปขาดเพื่อนแค่คนเดียว เขารู้สึกมันไม่ส่งผลกระทบต่อเขาวันรุ่งขึ้นพระอาทิยต์ก็ยังคงส่องแสงจ้าเมื่อหลินจิงเฟิงตื่นขึ้นมาก็แวะไปหาจ้าวจิ้งซินก่อน และเอาสินค้าราคาแพงที่ซื้อเมื่อครั้งก่อนนำไปด้วยหญิงสาวยังคงสูงส่ง ดวงตาก็ยังบริสุทธิ์และสดใสเหมือนอย่างเคยดวงตาของเธอเย็นชาและไม่แยแส กวาดมองไปทางหลินจิงเฟิงที่มือหนึ่งถือสินค้าราคาแพง ส่วนอีกมือหนึ่งก็ถือกาแฟที่ร้อนกรุ่นอยู่ เธอหยิบกาแฟร้อนในมือซ้ายของหลินจิงเฟิงอย่างรวดเร็วกาแฟยังคงร้อนอยู่ และในเช้าที่มีลมหนาวพัดพามันทำให้ฝ่ามือของเธออบอุ่นในทันทีหลินจิงเฟิงใส่ใจจนถึงที่สุด
แต่เขาค้นในห้องอย่างละเอียดรอบหนึ่งแล้ว ภายในกลับไม่มีร่องรอยของผู้ชายเลย เขายังคงไม่เชื่อ หมุนกลับและจับคอเสื้อของฉันพร้อมกับตะโกน “เธอเอาชายชู้แซ่โจวนั่นไปซ่อนไว้ที่ไหน?!”ฉันตกใจกับท่าทางนี้ของเขา จนรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาตำรวจเห็นแบบนั้นจึงเดินไปข้างหน้าและดึงเขาออกมา ขณะที่ฉันนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้นมือกุมศีรษะ สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด พลางเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ปวดจัง ปวดหัวจัง”พูดจบ ฉันก็เป็นลมไป“คุณผู้หญิงท่านนี้เมื่อคืนเธอมาคนเดียวนะคะ คุณจะใส่ร้ายใครก็ต้องมีขอบเขตบ้างหรือเปล่า?!”ผู้จัดการล็อบบี้เห็นว่าฉันเป็นลม จึงรีบโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล ขณะพูดก็จ้องหลินจิงเฟิงด้วยหลินจิงเฟิงชะงักอยู่กับที่เมื่อเห็นฉันนอนอยู่บนพื้นไม่ไหวติ่ง เขาก็รู้จักรีบร้อนแล้ว และอยากไปโรงพยาบาลพร้อมกับทีมรถพยาบาลด้วย แต่เดินไม่ถึงสองก้าว ก็ถูกตำรวจควบคุมตัวไว้“เยียนเยียน...”เมื่อเขาเห็นฉันขึ้นรถพยาบาล น้ำเสียงของเขาถึงอ่อนลงแต่ตำรวจไม่ให้เวลาเขาแสดงความรู้สึกลึกซึ้ง ก็พาเขากลับไปอบรมที่สถานีตำรวจ จนถึงตอนบ่ายเขาถึงได้ออกมาเมื่อออกมา เขาก็รีบเร่งไปที่โรงพยาบาลทันทีเพี๊
ฉันกอดคอของเขา หยิบโทรศัพท์มือถืออกมา และในตอนที่หอมแก้มของเขาก็ถ่ายรูปมารูปหนึ่งวินาที่ที่หอมลงไป รูม่านตาของโจวจี้หลิ่นก็หดลงเล็กน้อย“ฉันต้องโพสต์ลงโมเมนต์ ไม่อย่างนั้นคุณจะหนีไปอีก”ไม่รอให้เขามีการตอบสนอง ฉันก็โพสต์อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็เปิดกล่องข้าวที่เขานำมาอย่างเป็นธรรมชาติมากกลิ่นหอมของอาหารฟุ้งออกมา มองดูยังร้อนกรุ่นอยู่ฉันพบว่าล้วนเป็นอาหารที่ฉันชอบกินช่วงอยู่มหาวิทยาลัย ทั้งปลาตุ๋นน้ำแดง หัวสิงโตตุ๋นน้ำแดง แถมยังมีเนื้อกับผักที่กระจายอยู่ และการวางเรียงก็ประณีตอย่างมากด้วยฉันเอียงศีรษะมองกระบอกเก็บอุณหภูมิอีกอันหนึ่ง เมื่อเปิดออกมาดูพบว่าเป็นซุปซี่โครงเห็นอาหารพวกนี้แล้ว ฉันก็ชะงักไปเล็กน้อย ขอบตาก็แดงเรื่อขึ้นมา แต่เป็นได้แค่ครู่เดียว ฉันก็กลับมาเป็นปกติในทันทีคุณแม่ฉันมองฉันที่รับประทานอาหารอย่างมีความสุข และมองโจวจี้หลิ่นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขอบคุณมากขึ้นเล็กน้อย และยิ้มอย่างสดใสพลางเอ่ย “เสี่ยวโจว คุณใส่ใจจริง ๆ พวกเรากลับมาอยากจะถามเยียนเยียนอยู่พอดีว่าอยากกินอะไร คุณก็นำอาหารมาด้วยแล้ว”“ไม่เป็นไรครับคุณป้า” โจวจี้หลิ่นยิ้มอย่างสุภาพคุณพ่อคุณ
สายตาของฉันยังคงเย็นชา และมองเขาเหมือนกับคนแปลกหน้า“คุณหลิน คุณพอได้แล้ว อย่ามารบกวนฉันอีกเลย แฟนของฉันมีแค่คนเดียว นั่นก็คือโจวจี้หลิ่น ฉันรักเขามาก และฉันไม่ต้องการใครนอกจากเขา” ฉันโน้มน้าวเขาด้วยเสียงเรียบ ดวงตาทั้งสองข้างของหลินจิงเฟิงแดงก่ำ ดูโมโหมาก ยกมือขึ้นคิดจะตบฉันบางครั้งอาจเป็นเพราะเกรงกลัวคุณพ่อคุณแม่ฉัน เขาถึงชักมือกลับ จ้องโจวจี้หลิ่นอย่างโหดเหี้ยม จากนั้นก็หันกลับไปขึ้นรถและขับไปจากโรงพยาบาล เมื่อรอให้เขาไป ฉันก็รีบหันมาดูโจวจี้หลิ่นทันที และลูบไปที่คอของเขาเล็กน้อย พลางถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “เมื่อกี้คนบ้านั่นไม่ได้ทำคุณเจ็บใช่ไหม?”การสัมผัสที่เย็นเฉียบทำให้โจวจี้หลิ่นชะงักเล็กน้อย ดวงตาฉายแววสั่นไหวขึ้นมา แต่แค่ครู่เดียวเท่านั้น“ฉันยังมีงานที่บริษัท ไปก่อนนะ”หลังจากที่เขาพูดก็รีบบอกลากับคุณพ่อคุณแม่ฉัน และวิ่งไปอย่างรวดเร็วจนหายไปในพริบตา ฉันมองแผ่นหลังที่รีบร้อนของเขาก็หัวเราออกมาเบา ๆ เมื่อกี้หูของโจวจี้หลิ่นเหมือนจะแดงเลย?สามวันต่อมาฉันทนอยู่ที่บ้านไม่ไหว จึงแต่งตัว หยิบประวัติส่วนตัวกับกระเป๋าและก็ไปโจวกรุ๊ปเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของพวกเขา
จ้าวจิ้งซินมีบุคลิกที่สูงส่ง อ่อนโยนใจกว้าง ไม่เหมือนสือเยียนที่เป็นคนขี้น้อยใจ ได้แต่คิดเล็กคิดน้อยเป็นเท่านั้น“ขอโทษนะคุณหลิน ฉันไม่ได้สนิทกับคุณ และก็ไม่สนใจด้วยว่าคุณจะพาใครมา อยากจะพาใครมามันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน”น้ำเสียงของฉันเย็นชา กวาดสายตามองจ้าวจิ้งซินแวบหนึ่ง และเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แต่ถ้าคุณมารบกวนฉันอีก ฉันจะแจ้งตำรวจทันที”“สือเยียน ฉันเป็นแฟนของเธอนะ!” หลินจิงเฟิงเอ่ยพลางขมวดคิ้วแน่นฉันเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา สายตาก็ตกไปอยู่ที่โจวจี้หลิ่นที่เดินมาทางฉัน และผลักเขาออกไปพลางเอ่ย “ขอโทษนะ แฟนของฉันมาแล้ว”ฉันเดินไปข้างหน้า และคล้องแขนของโจวจี้หลิ่นอย่างคุ้นเคยมาก“หลินหลิ่น คุณไปไหนมา? ฉันรอคุณตั้งนาน” ฉันเอียงศีรษะ มองใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่ธรรมดาของโจวจี้หลิ่นและเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่สดใสโจวจี้หลิ่นเงยหน้ามองหลินจิงเฟิง และกำลังอยากจะตอบคำถามของฉัน แต่กลุ่มประธานใหญ่ก็ล้อมกันเข้ามา มองฉันพลางเอ่ยอย่างสงสัย “ไม่ค่อยเห็นประธานโจวพาเพื่อนผู้หญิงมาเลยนะ แต่ว่าคุณผู้หญิงท่านนี้ดูคุ้นตาเล็กน้อยนะ”“เธอเป็นพนักงานในบริษัทของผม สือเยียนครับ” โจวจี้หลิ่นแนะนำเมื่อหลิน
โจวจี้หลิ่นที่อยู่ในห้องทำงานก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เขาเงยหน้าขึ้นมองหลินจิงเฟิงที่ท่าทางดุดันแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็เซ็นเอกสารฉบับสุดท้ายด้วยใบหน้าที่สงบนิ่งจนเสร็จหลินจิงเฟิงถูกท่าทางที่ไร้ความรู้สึกนี้ของเขาทำให้โกรธจนขีดสุด และทุบลงไปบนโต๊ะทำงานของเขาอย่างแรงสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะสั่นไหวเล็กน้อย“โจวจี้หลิ่น ฝีมือใช้ได้เลยนี่ แอบอ้างสถานะของฉันเพื่อเข้าใกล้สือเยียนก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้ยังรับสมัครเธอเข้ามาในบริษัทของนายอีก นายตั้งใจคิดจะทำอะไร?!”หลินจิงเฟิงพูดด้วยความเดือดดาลเป็นชุด แต่สีหน้าของโจวจี้หลิ่นยังคงไร้การเปลี่ยนแปลง มันทำให้หลินจิงเฟิงโมโหมาก“นายคืนเธอมาให้ฉันเลยนะ! ไอ้หัวขโมย!”โจวจี้หลิ่นแอบขโมยสือเยียนไป แอบขโมยความรักที่สือเยียนมีต่อเขาไป!“ขอโทษนะ ฉันทำไม่ได้”น้ำเสียงของโจวจี้หลิ่นทุ้มเล็กน้อย ดวงตาก็เฉียบคมราวกับนกเหยี่ยวหลินจิงเฟิงถูกทำให้โกรธจนหัวเราะออกมา ดึงคอเสื้อของเขาพลางเอ่ยด้วยความเดือดดาล “สือเยียนเป็นของฉัน! นายอย่าคิดว่าตอนนี้เธอมองนายเป็นฉันและจะสามารถครอบครองเธอไว้กับตัวเองได้ตลอดไปนะ!”“สือเยียนคือตัวเธอเอง ฉันบังคับเธอไม่ได้หรอก”โ
หลังหลินจิงเฟิงออกมาจากโจวกรุ๊ป ก็ไปหาจ้าวจิ้งซินที่มหาวิทยาลัยทันทีทันทีที่จ้าวจิ้งซินเห็นแขนของหลินจิงเฟิงมีเลือดไหล เธอก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งนอกรถ และเมื่อเห็นว่าอารมณ์ของเขามั่นคงถึงได้กล้าขึ้นไปบนรถ“เธอว่าสือเยียนโง่หรือเปล่า? ทำไมถึงดันจำฉันไม่ได้? และตอนนี้ถึงกับกล้าถือมีดชี้มาที่ฉันอีก!”หลินจิงเฟิงนึกถึงฉากเมื่อกี้ก็รู้สึกเสียใจ ทุบพวกมาลัยอย่างแรงอยู่หลายครั้งเมื่อฟังที่หลินจิงเฟิงพูดแบนี้ จ้าวจิ้งซินก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุแล้ว“บางทีพี่สือเยียนอาจจะไม่ได้รักคุณมากขนาดนั้น? จะมีใครลืมคนรักของตัวเองได้ล่ะคะ?”จ้าวจิ้งซินพูดไปด้วยพลางวางมือบนต้นขาของเขาเบา ๆ ไปด้วย และสายตาที่มองหลินจิงเฟิงก็เห็นใจมากขึ้นเล็กน้อย “ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่มีทางลืมคนรักของตัวเอง และไม่มีทางลงมือกับคนรักด้วย”หลินจิงเฟิงได้ยินก็รู้สึกซาบซึ้งใจมากจ้าวจิ้งซินสาวและสวย แถมยังไร้เดียวสาแบบนี้อีก ดีกว่าสือเยียนเป็นพันเท่าหมื่นเท่าเลยจริง ๆ เขาค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้ ๆ แต่ครั้งนี้จ้าวจิ้งซินไม่หลบ และเธอก็ใช้ตัวเองปลอบใจหลินจิงเฟิง หลินจิงเฟิงตกอยู่ในความอ่อนละมุนนี้ทั้งสองแตะสัมผัสกันอยู่สักพัก
ท่าทางของฉันหยุดชะงัก ริมฝีปากอ้าออกเล็กน้อย และเมื่อกำลังจะพูด โจวจี้หลิ่นก็ขัดจัวหวะฉันเสียก่อน“ตอนที่ฉันเดินห้างสรรพสินค้าเห็นว่าสร้อยเสร็จนี้สวยดี จึงถือโอกาสซื้อมาให้เธอด้วย”เขาไม่สนใจว่าฉันอยากจะได้ไหม และหยิบมันออกมาจากกล่องแล้วสวมให้ฉันอย่างระมัดระวังการเคลื่อนไหวของเขาช้ามาก และระมัดระวังมากเช่นกัน ราวกับกลัวว่าฉันจะปฏิเสธฉันเคยเห็นท่าทางที่เด็ดขาดและรวดเร็วของเขาในบริษัท ปกติเขาเป็นคนที่ยิ้มน้อยมาก จู่ ๆ มาระมัดระวังแบบนี้ ฉันกลับรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินสักเท่าไรทว่าเรื่องที่เขาถือโอกาสยังมีอีกมากมายถือโอกาสไปเยี่ยมฉันที่โรงพยาบาล ถือโอกาสซื้อข้าวซื้อดอกไม้ให้ฉัน และตอนนี้ยังถือโอกาสซื้อสร้อยคอให้ฉันด้วย“สวยจังเลย ฉันชอบมาก” ฉันหยิบสร้อยคอขึ้นมาลูบเบา ๆ และยิ้มไปให้เขาเมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขายังคงเคร่งเครียดอยู่ ฉันจึงดึงให้เขานั่งลงบนไม้นั่ง ทันทีที่เขานั่งลงกลับกุมมือของฉันไว้ ดวงตาที่ดำสนิทจ้องมองที่ฉันอย่างตั้งใจ และเอ่ยเสียงเบา “เธอไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงบ้างเหรอ?”รอยยิ้มของฉันค้างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดลงทีละนิด แล