เขาน้ำตาคลอเบ้าเขาไม่มีบ้านให้กลับแล้วจริง ๆ ไม่มีเพื่อน ไม่มีพี่น้อง ไม่มีคนรักหลินจิงเฟิงจู่ ๆ ก็นึกถึงช่วงที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย เขาก่อเรื่องและทำร้ายคนอื่นจนเข้าโรงพยาบาล ถูกคุณพ่อไล่ออกจากบ้าน เป็นสือเยียนที่ช่วยเหลือเขา และพาเขาเดินออกมาจากสถานการณ์ที่ยากลำบากเมื่อก่อน ขอแค่เขาโทรศัพท์สักหนึ่งสาย และส่งข้อความสักหนึ่งข้อความ สือเยียนก็จะมาอยู่ข้างกายเขาโดยไม่ลังเล“เยียนเยียน...” หลินจิงเฟิงนั่งอยู่ที่หน้าประตูบ้านฉันนานมากแล้ว เมื่อเห็นฉันออกมา เขาก็รีบลุกขึ้นยืน มองฉันและตะโกนเรียกฉันหยุดฝีเท้าลงสักพักหนึ่ง และเงยหน้าขึ้นมองหลินจิงเฟิงที่ทุลังทุเลอย่างตกตะลึงเล็กน้อย เขาถูกคนตีจนจมูกช้ำใบหน้าบวม สายตาก็ไม่มีประกายสดใสเหมือนเคย เสื้อผ้าก็เปื้อนโคลนด้วย“คุณหลิน คุณมีธุระอะไร?” ฉันเอ่ยด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์เมื่อได้ยินคำว่า ‘คุณหลิน’ หลินจิงเฟิงก็น้ำตาคลอเบ้า และมองฉันด้วยน้ำตานองหน้า เขารู้ว่ากลับไปไม่ได้แล้ว“เยียนเยียน ถ้าเธอไม่ความจำเสื่อมก็คงดี ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราคงแต่งงานกันไปแล้วแน่ๆ” หลินจิงเฟิงเอ่ยพลางสะอึกสะอื้นฉันหัวเราะเสียงเย็นหัวเราะที่เขาคิดง
ฉันหาจนทั่ว และพบว่าโจวจี้หลิ่นอยู่ในห้องนอนชั้นสอง เขามีกลิ่นเหล้าทั่วตัว ทรุดนั่งลงอยู่ข้างเตียง ในมือถือขวดไวน์แดง และในอ้อมแขนกลับกอดกรอบรูปอันหนึ่งไว้ กระดุมบนเสื้อเชิ้ตของเขาปลดออกครึ่งหนึ่ง หน้าอกขาวที่แข็งแรงของเขาก็เปิดเผยอยู่ในอากาศฉันเอื้อมมือไปหยิบขวดไวน์แดง เขาคลายมือแล้วแต่ตอนที่ฉันจะหยิบกรอบรูป เขาก็ลืมตาขึ้นมาในทันที ดวงตาที่มืดสนิทลึกซึ้งจ้องมองมาที่ฉันอย่างตรงไปตรงมา และสายตาของเขาก็สะลืมละลือเล็กน้อยจากอาการเมา“ห้ามแตะ” น้ำเสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อยเขาพูดแบบนี้ ฉันกลับเกิดความอยากรู้ขึ้นมา จึงถามพร้อมกับยิ้ม “ให้ฉันดูหน่อยได้ไหม?”“ไม่ให้” คิ้วและตาของเขาดุร้ายขึ้นมาเมื่อเห็นเขาดึงดันขนาดนี้ ฉันก็ไม่โน้มน้าวเขาอีก พยุงเขาให้ลุกขึ้นยืน วางเขาลงบนเตียง และถอดรองเท้าให้เขา จากนั้นก็วิ่งออกไปเทน้ำแก้วหนึ่งมาให้เขาฉวยโอกาสตอนที่เขาดื่มน้ำอยู่ ฉันพลิกกรอบรูปและแอบมองแวบหนึ่งเป็นรูปที่ถ่ายตอนฉันกำลังหอมแก้มเขาอยู่นี่มันมีอะไรน่าหวงนักหนา?“โจวจี้หลิ่น ทำไมคุณถึงต้องดื่มเหล้าด้วย แถมยังดื่มจนเมาขนาดนี้อีก? นี่ไม่เหมือนคุณเลยนะ” จู่ ๆ ฉันก็ถามด้วยเสียงที่ท
วินาทีที่ริมฝีปากซ้อนทับกัน รูม่านตาของโจวจี้หลิ่นก็หดลงทันทีนี่เป็นจูบแรกของพวกเราก่อนหน้านี้ฉันเคยจูบเขา แต่ก็แค่จูบที่ใบหน้า เขาเงยหน้าขึ้นและกดท้ายทอยของฉันไว้ เพื่อเพิ่มจูบนี้ให้ลึกซึ้งมากขึ้น หลังจูบกันสักพัก เขาก็พลิกตัวให้ฉันนอนบนเตียง จากนั้นก้มลงมาจูบที่ริมฝีปากของฉันอย่างบ้าคลั่งราวกับเสือที่ดุร้ายบรรยากาศเปลี่ยนเป็นร้อนระอุขึ้นมา“หลินหลิ่น หลินหลิ่น” ฉันรู้สึกหายใจไม่ออกเล็กน้อย ลิ้นก็ชาไปหมด จึงยกมือขึ้นไปดันหน้าอกของเขาไว้ ด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ “พวกเรารีบไปหน่อยหรือเปล่า?”ดวงตาของโจวจี้หลิ่นลึกซึ้ง และแฝงไปด้วยความอ่อนโยน“ขอโทษนะ ฉันน่าจะดื่มมากไปหน่อย” ปากเขาก็บอกแบบนั้น แต่ร่างกายกลับกดทับลงมา กอดที่เอวของฉัน และนอนหลับพร้อมกับโอบกอดฉันไว้ฉันดิ้นเล็กน้อย กลับพบว่าขยับไม่ได้เลยฉันหันหน้ามองเขาเล็กน้อย โครงหน้าของเขาเด่นชัดและลึกซึ้ง ดูเหมือนจะหลับไปแล้วจริง ๆเมื่อเห็นว่าไปไม่ได้แล้ว ฉันจึงนอนอยู่ที่บ้านของโจวจี้หลิ่นหนึ่งคืนเช้าวันรุ่งขึ้น ทันทีที่ฉันพลิกตัวก็เข้าสู่อ้อมแขนที่อบอุ่นทันที เมื่อฉันลืมตาขึ้นก็พบว่าโจวจี้หลิ่นนอนอยู่ข้าง ๆ แต่เมื่
โจวจี้หลิ่นเจอสือเยียนครั้งแรกที่การแสดงของชมรมดนตรีสือเยียนยืนฟังเพลงอยู่ด้านล่างเวทีในค่ำคืนฤดูร้อนที่เสียงจักจั่นร้องไม่หยุด ท่ามกล่างเสียงเพลงที่ไพเราะ สือเยียนถือแท่งไฟเชียร์สองอันโบกอย่างบ้าคลั่ง ตอนนั้นเธอปล่อยผมยาวสลวยถึงบ่า สวมเสื้อยืดสีน้ำเงินและกางเกงยีนส์ ผิวขาวมาก ดวงตาก็เปร่งประกายสดใส ทำให้ตัวเธอดูมีชีวิตชีวาทั้งยังร่าเริงโจวจี้หลิ่นแค่มองก็หลงไหลในทันทีเขายืนอยู่ด้านหลังสือเยียน แต่สือเยียนตื่นเต้นมากเกินไป จนถอยหลังมาสองก้าวและล้มเข้าสู่อ้อมแขนของโจวจี้หลิ่นทันที“ขอโทษนะ ฉันตื่นเต้นมากไปหน่อย” สือเยียนยิ้มมาทางเขาเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มที่สดใสและอ่อนหวานมากโจวจี้หลิ่นตกหลุมพรางแล้วหลังจากนั้นเขาก็ตามหาสือเยียนมาโดยตลอด เพราะอยากจะถามเธอว่าชื่ออะไร แต่พอหาเจอ เขาก็ถูกครอบครัวพาตัวไปต่างประเทศ เขาจึงดรอปเรียนไปสองปีเมื่อกลับมา สือเยียนก็คบหากับหลินจิงเฟิงแล้ว แถมยังได้ยินว่าสือเยียนเข้าโรงพยาบาลเพราะหลินจิงเฟิงอีกเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาก็คลุ้มคลั่งอย่างขีดสุดเขาไปตามหากลุ่มคนที่ทำร้ายสือเยียนและสู้กับพวกเขาเพียงคนเดียว สู้จนพวกนั้นขอความเมตตา และเป็น
แฟนหนุ่มของฉันคือหลินจิงเฟิง คุณชายที่ทรงอิทธิพลของเมืองหลวง เขาดื้อรั้นและเอาแต่ใจมาโดยตลอด ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยไปทีละก้อน ๆ ข้างกายก็ไม่เคยขาดสาว ๆ เลยฉันอยู่ข้างกายเขามาสามปีแล้ว และสามปีนี้เขาก็เชื่อฟังอยู่เสมอ แถมยังขอฉันแต่งงานด้วยแต่ช่วงนี้เขาเจอเหยื่อรายใหม่แล้วเป็นนักศึกษาที่สาวสวยคนหนึ่ง ผิวเธอขาวมาก บุคลิกก็ดูสง่างามและสูงส่ง เขาไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้กับผู้หญิงที่ไร้เดียงสาและจิตใจดีแบบนี้และเพื่อทำให้เธอยิ้ม วันเกิดของฉันในวันนั้น เขาผลักฉันลงไปในทะเลโดยไม่ลังเล......วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส มองไม่เห็นก้อนเมฆแม้แต่ก้อนเดียว ผิวน้ำที่สงบสาดขึ้นมาจนเกิดฟองน้ำขนาดใหญ่ ฉันกระทุ่มอยู่ในน้ำไม่หยุด และมองกลุ่มคนที่อยู่บนเรือยอร์ชด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านบนเรือยอร์ชสวมชุดกระโปรงสีขาว ดวงตาของเธอบริสุทธ์และใสแจ๋ว เมื่อเห็นท่าทางน่าสมเพชหลังตกลงไปในน้ำของฉัน ก็ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากและยิ้มอย่างสดใสเธอยิ้มได้สวยมากหลินจิงเฟิงก็ยิ้มตามไปด้วยเขายิ้มแจ่มใสมาก คิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นล้วนผ่อนคลายลงอยู่หลายส่วน และเมื่อเขาได้ยินเสียงร้องขอความ
“เยียนเยียน เธอกำลังล้อฉันเล่นอยู่ใช่ไหม? ฉันเป็นแฟนของเธอ หลินจิงเฟิงไง!” หลินจิงเฟิงจับมือของฉันอีกครั้งพลางยิ้มแต่เมื่อเขาเห็นสายตาที่ตื่นกลัวของฉัน เขายังนึกว่าฉันแกล้งทำ และน้ำเสียงก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหงุดหงิด “ฉันผลักเธอตกลงไปในน้ำฉันทำไม่ถูกเอง แต่เธอไม่ต้องเป็นแบบนี้ก็ได้นี่ เธอไม่ได้เป็นอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ?”“แฟนเหรอ? คุณพูดจาไร้สาระอะไร?! แฟนของฉันคือโจวจี้หลิ่นต่างหาก!”ฉันสะบัดมือของเขาออกอย่างแรง และกอดหมอนข้างบังด้านหน้าไว้ พลางมองดูเขาด้วยสายตาที่คมกริบและระมัดระวังฉันไม่รู้จักเขาสักหน่อย!“อะไรนะ?! เธอบอกว่าใครคือแฟนของเธอ?!” ดวงตาของหลินจิงเฟิงเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงในพริบตา เขาทุบโต๊ะข้างเตียงอย่างแรงทีหนึ่ง และร้องคำรามด้วยความโมโหโจวจี้หลิ่นเป็นถึงศัตรูคู่อาฆาตของเขา!ตั้งแต่เด็กเลยล่ะ!เขาแพ้ให้กับโจวจี้หลิ่นตั้งแต่เด็ก และก็เกลียดเขาเข้ากระดูก จนไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยถึงด้วยซ้ำฉันมองเตียงผู้ป่วยที่ว่างเปล่า และมองหลินจิงเฟิงที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าที่โกรธแค้น ฉันตะโกนออกไปด้วยความกังวล “อย่าแตะต้องตัวฉันนะ! ฉันไม่รู้จักคุณ!”เสียงนี้ได้เรียกคุณห
“เขาบอกว่าเขาเป็นแฟนของหนู? แต่แฟนของหนูคือโจวจี้หลิ่นนะ!” ฉันจับมือของคุณแม่ฉันไว้แน่น และก็เอ่ยด้วยสายตาที่แน่วแน่พอคุณพ่อคุณแม่ของฉันได้ยิน ท่าทางก็ดูจะชะงักไปเล็กน้อยพวกเขาเปิดรูปถ่ายที่อยู่ในโทรศัพท์ออกมาถามฉันทีละคน พบว่าฉันลืมหลินจิงเฟิงแค่คนเดียว และยอมรับเพียงโจวจี้หลิ่นเท่านั้นหลินจิงเฟิงกลับไม่สนใจเลย และตอนที่ฉันออกจากโรงพยาบาลในวันนั้น เขายังไปไปเลี้ยงอาหารจ้าวจิ้งซินด้วยเขานัดจ้าวจิ้งซินอยู่หลายครั้ง แต่ครั้งนี้เธอกลับตอบตกลง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ลังเลที่จะขับรถสปอร์ตไปรับเธอ รถของเขาแพงมาก และเกิดกระแสพูดคุยกันอย่างคึกคักในมหาวิทยาลัยของจ้าวจิ้งซินทันทีที่ขึ้นรถ จ้าวจิ้งซินก็เหลือบมองหลินจิงเฟิงเล็กน้อยด้วยท่าทางที่ไร้เดียงสาและงดงามเหมือนแต่ก่อน พลางเอ่ยเสียงเบา “แฟนสาวของคุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?”“เธอจะเป็นอะไรได้? ดวงแข็งจะตายไป” หลินจิงเฟิงเอ่ยอย่างประจบเอาใจพอตกตอนบ่ายหลินจิงเฟิงพาเธอไปเดินเล่นดูร้านค้าหรูหลายร้านและใช้เงินไปหลายล้าน สุดท้ายยังพาเธอไปรับประทานอาหารค่ำใต้แสงเทียนที่ร้านอาหารที่แพงที่สุดอีกแต่ตอนที่หลินจิงเฟิงพาเธอมาส่งที่หน้ามหาวิทยาลั
บนตัวของโจวจี้หลิ่นมีกลิ่นน้ำหอมของผู้ชายแบบอ่อน ๆ ผสมกับกลิ่นเหล้า แค่เข้าใกล้ก็ได้กลิ่นแล้วฉันโอบเอวบางของเขาไว้แน่น สายตาก็ลอบผ่านลูกกระเดือกที่ดูเซ็กซี่และนูนเล็กน้อยของเขา พร้อมกับสบตากับดวงตาที่ลึกซึ้งและลึกล้ำคู่นั้น และเรียกด้วยรอยยิ้มที่สดใส “หลินหลิ่น”น้ำเสียงหวานปานน้ำผึ้งชายหนุ่มก้มมองฉัน รู้ม่านตาหดตัวลง และในดวงตาก็แฝงไปด้วยความลังเลอยู่เล็กน้อย“ปล่อยมือนะ!” หลิงจิงเฟิงเห็นพวกเราสองคนกอดกัน โกรธจนดวงตาทั้งสองแดงก่ำ และพุ่งเข้ามาลากฉันออกจากโจวจี้ หลิ่น พลางด่าว่าฉัน “สือเยียน! เธอเป็นคนชั้นต่ำเหรอ? มีแฟนอยู่แล้วยังจะไปให้ท่าผู้ชายคนอื่นอีก!”ฉันตกใจกับท่าทางที่หยาบคายทั้งยังไร้เหตุผลนี้ของเขา จึงสะบัดมือของเขาออกและซ่อนตัวอยู่ด้านหลังโจวจี้หลิ่น“หลินหลิ่น คนนี้เขาเป็นคนบ้า เขาตามฉันมานานแล้ว ฉันกลัว”มือของฉันจับขอบด่านล่างชุดสูทของเขาเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะหนกและน้ำเสียงก็สั่นเครือเล็กน้อย พอได้ยินคำว่า ‘คนบ้า’ หลินจิงเฟิงก็ระเบิดออกมาจนหมดเขาชี้นิ้วด่าว่าฉันต่อหน้าทุกคนในบาร์ “สือเยียน เธอเสแสร้งพอหรือยัง? ฉันแค่ผลักเธอตกลงไปในทะเลเองไม่ใช่เหรอ?