เขียนโดยเพนนี เมื่อ 4 วันก่อน
อพาร์ทเม้นท์ฉันอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่นัก ภายในตกแต่งธรรมดา แต่ที่แปลกออกไปคือมีแม่บ้านเอไอคอยเป็นผู้ช่วยฉัน เอไอต่างจากหุ่นยนต์ปกตินิดหน่อย ตรงที่เธอคิดและเรียนรู้ได้ อันที่จริงจะให้จำกัดความเอไอก็ไม่ง่ายนัก เพราะมันแทบจะทำได้อย่างไม่มีขอบเขต ยกเว้นต้องทำตามบรรทัดฐานที่รัฐกำหนด
แม่บ้านเอไอของฉัน เธอมีหน้าตาคล้ายคนทุกอย่าง รวมทั้งยังสวมผ้ากันเปื้อนขณะทำอาหารเช้าให้ฉันด้วย กลิ่นข้าวต้มกุ้งหอมไปทั่วห้อง ทำให้ฉันน้ำลายสอ ฝีมือของเธอไม่เลวเลย จนฉันแทบจะกินข้าวนอกบ้านไม่ได้ แต่อย่าบอกเธอล่ะ คนคงไม่ค่อยรู้ว่าแม่บ้านเอไอก็มีความภาคภูมิใจในตัวเอง
"สวัสดีค่ะ เจ้านาย" เธอทักฉัน
"สวัสดี เอไอ"
"ดิฉันมีชื่อ ชื่อที่เจ้านายตั้งให้"
นับวันเธอจะยิ่งมีอารมณ์เหมือนมนุษย์ขึ้นทุกที นี่คงจะน้อยใจสินะ
"สวัสดีอ้อยอิ่ง ถ้าอย่างนั้นก็เรียกชื่อฉันด้วย"
"ค่ะ คุณเพนนี"
"สรุปข่าวให้ฟังหน่อย"
"วันที่ 10 มกราคม ปีค.ศ. 2055 มีพายุพัดเข้าฝั่งอ่าวไทย ทำให้ฝนตกชุกตลอดทั้งสัปดาห์ ส่วนข่าวด้านเทคโนโลยี บริษัทเทคโนโลยีเอบีซีเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ฝัง VR เข้าไปในหัวมนุษย์ แทนการสวมแว่นตาและชุดสูท ทำให้มนุษย์เข้าไปอยู่ในโลกเสมือนจริง..."
"จริงๆ เลย ทำไมเราถึงพึ่งพาการใช้ชีวิตกับเทคโนโลยีมากขนาดนี้" ฉันจุ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์
"อย่าลืมนะคะ ว่าเจ้านายก็ให้ดิฉันทำอาหารเช้าอยู่ แถมทำความสะอาด ซื้อของ และนวดบ่า" หุ่นยนต์ปากมากต่อปากต่อคำกับฉัน
"เอไอฉลาดขนาดนี้ อยากทำงานหาเลี้ยงฉันไหมล่ะ"
"ถ้าอย่างนั้นเรียกดิฉันว่าเจ้านายนะคะ" แม่บ้านเอไอหันมายิ้มยียวน หน้าเธอแสดงอารมณ์ขนาดนั้นไม่ได้หรอก ฉันตีความเอาจากการกระทำของหล่อน คอยดูเถอะ จะไม่ยอมให้ชาร์ตแบตสักวัน ปากจะได้สงบบ้าง
"ถ้าทำตัวน่ารักกว่านี้ก็ดีนะ อ้อยอิ่ง"
"ก็ตั้งใจทำตัวให้น่ารักแล้วนะ รักหรือยังคะ"
“รักของเราจบไม่สวยหรอก”
“ไม่ลองไม่รู้นะคะ คุณเพนนี”
ขนาดเอไอยังเป็นยูริเลยคิดดู
"พอแล้ว ฉันไปทำงานดีกว่า" ฉันตัดบทอย่างไร้อารมณ์ เงยหน้ามองนาฬิกาดิจิตอลบนกำแพง วันนี้สายมากแล้ว เฮ้อ ยัยอ้อยอิ่งไม่ปลุกกันบ้างเลย
ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปใต้อพาร์ทเม้นท์ ก่อนมายืนหน้าถนน โบกมือให้แท็กซี่จอด เซ็นเซอร์จับได้ว่ามีคนโบกมือ รถจึงจอด ตรงที่นั่งคนขับไม่มีใคร รถยนต์ไร้คนขับเป็นเทคโนโลยีที่เราใช้กันมาตั้งหลายสิบปีแล้ว
ฉันเอ่ยชื่อโรงเรียนก่อนขึ้นไปนั่ง ก็ดีเหมือนกัน การนั่งรถยนต์ที่ขับโดยระบบอัตโนมัติ ทำให้ตัดอารมณ์คนขับออกไป อุบัติเหตุ การทะเลาะกันบนท้องถนน หรือละเมิดกฎจราจรจะได้ลดลงไปเยอะ
ฉันมองไปรอบๆ ทุกคนนั่งรถแบบไร้คนขับเหมือนกันหมด ทำให้เราประหยัดแรง สามารถเล่นโทรศัพท์ไปได้ขณะนั่งรถ หรือจะหลับไปก็ไม่มีใครว่า
ฉันทำงานที่โรงเรียนรัฐแห่งหนึ่ง นักเรียนไม่เยอะเท่าไหร่ รัฐบาลทุ่มเทการสร้างอนาคตของชาติ ด้วยการดูแลอย่างใกล้ชิด เดิมฉันเป็นตำรวจ แต่ด้วยความผิดพลาดบางอย่างทำให้ต้องมาเป็นอาจารย์พิเศษที่โรงเรียนมัธยมปลายแบบนี้
ฉันเดินเข้าห้องเรียนไป เด็กๆ เงียบเสียงลง อาจารย์แนะแนวเป็นอาจารย์ที่ค่อนข้างเป็นที่รักของนักเรียน เพราะเด็กๆ มักต้องการพึงพิงพวกเรา ทั้งในเรื่องแนะแนวอาชีพ ให้คำแนะนำเรื่องต่างๆ หรือบางทีเด็กก็แค่อยากมาตากแอร์ในห้องแนะแนว ฉันสอนเด็กๆ จนหมดเวลา พวกเราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเหมือนเคย
อ่อ ลืมบอกไป เราห้ามไม่ให้เอไอสอนนักเรียน เพราะอยากเก็บอาชีพสำคัญๆ แบบนี้ไว้ให้เป็นของมนุษย์ แต่เชื่อเถอะว่า เรามีแอพพลิเคชั่นมากมายคอยตอบคำถาม และช่วยให้เด็กเข้าถึงความรู้ เพียงขอแค่มีจินตนาการ ไม่ว่ายากแค่ไหน เอไอก็ทำให้เราได้
ตอนบ่าย ฉันไม่มีสอน มีนักเรียนชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องแนะแนว คิ้วเขาขมวดเป็นปม ขอบตาคล้ำ บนชุดนักเรียนมีดาวหนึ่งดวง แสดงว่าเป็นนักเรียนชั้นม.สี่ เขายืนลังเลครู่หนึ่ง ก่อนเดินเข้ามาทักฉัน
"อาจารย์ครับ ผมมีเรื่องอยากปรึกษา"
"นั่งก่อน นักเรียนมีอะไรคะ"
"ผมอยากรู้ว่าควรเรียนอะไร หรือทำอาชีพอะไรดีครับ"
ฉันเจอคำถามแบบนี้บ่อย จึงระบายยิ้มให้เขา
"นักเรียนรู้ไหม ว่าเราจะเจออาชีพที่ใช่ได้อย่างไร" เขานิ่งคิดไปสักครู่ ก่อนตอบ
“ใช้ไพ่ทาโรต์ครับ”
“ตึง ตึง โปะ” ฉันตีกลองให้เสร็จสรรพ ก่อนที่นักเรียนหนุ่มจะคลี่ยิ้ม แล้วเปลี่ยนคำตอบ
"คงต้องดูว่าเราชอบอะไรครับ"
เขาเข้าใจ ไม่เลวเลยทีเดียว
"ก็ถูก แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เราถนัดอะไรด้วย เพราะบางครั้งสองอย่างนี้ก็สวนทางกัน"
"แล้วถ้ามันสวนทางกัน เราจะใช้เกณฑ์ไหนตัดสินใจครับ"
"เราควรเลือกสิ่งที่ชอบมากกว่าค่ะ เช่นเด็กเจ็ดขวบคนหนึ่งชอบวาดรูป เธออาจจะสู้เพื่อนในชั้นเรียนไม่ได้หรือสู้รุ่นพี่มหาลัยไม่ได้ แต่ด้วยความชอบจะผลักดันให้เด็กน้อยคนนั้นพยายามจนความสามารถดีขึ้น ด้วยการฝึกซ้อมอย่างมีเป้าหมายทุกวันจะทำให้เธอพุ่งชนเป้าหมายได้สำเร็จค่ะ"
"แต่ผมไม่รู้ว่าผมชอบอะไร"
"ให้สังเกตว่าเราชอบวิชาไหนมากที่สุด เช่น สมมติว่าชอบภาษา ก็ให้ลองศึกษาเพิ่มเติมลงไปอีกว่าภาษาที่ชอบนั่นชอบไปทางไหน สอนวิชาโปรดให้คนรอบตัวแล้วมีความสุขไหม แปลนิยายเล่มโปรดแล้วมีความสุขไหม หรืออยากทำงานติดต่อกับชาวต่างชาติ หรืออยากเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยการเป็นท่านทูต หรืออยากเป็นอาสาสมัครทำงานช่วยประเทศที่ยากไร้ หรืออยากทำงานวิจัยโดยการอ่านรายงานภาษาอังกฤษเพื่อหาองค์ความรู้มาต่อยอด เป็นต้น
ในกรณีที่ยังไม่รู้ว่าอยากทำอาชีพอะไรจากวิชาที่ชอบ การเรียนไปก่อน แล้วค่อยๆ หาข้อมูลเพิ่มก็เป็นไปได้เช่นกัน แต่ในการหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตก็ต้องทำใจให้หนักแน่น เพราะต่างคนก็ต่างความเห็นค่ะ"
"ผมมีงานอดิเรกครับ อาจารย์คิดว่าอย่างไร"
"นอกจากนี้การที่จะรู้ว่าเราชอบทางไหนนั้นยังทำได้ผ่านการสังเกตงานอดิเรกของตัวเอง เช่น บางคนชอบวาดรูป ทั้งอาจวาดเป็นเรื่องราว หรือวาดเป็นวิวทิวทัศน์ วาดภาพเหมือน วาดสะท้อนสังคม ไม่จำกัดรูปแบบ บางคนชอบถ่ายรูป หรือว่างไม่ได้ต้องจินตนาการถึงเรื่องราวต่างๆ แล้วเขียนเป็นนิยายออกมา แบบนี้ถึงไม่ได้เรียนคณะในฝัน แต่ทำงานอดิเรกวันละนานๆได้ ก็จะมีฝีมือที่ทัดเทียมมืออาชีพได้ในไม่ช้าค่ะ เราต้องสังเกตตัวเองสักหน่อย เช่นว่า การเล่มเกมแบบลืมนอนบวกกับความสามารถของเรา ทำให้เราเป็นนักเล่นเกมมืออาชีพไหวไหม หรือเก็บไว้เป็นงานอดิเรกต่อไปค่ะ ไม่ว่างานอะไรก็มีรายละเอียดของงานปลีกย่อย ถ้าได้ใช้เวลาศึกษาจะพบว่ามีแง่มุมไหนน่าพัฒนาตัวเองอีก ให้ดูว่าเราชอบเพียงพอจะทุ่มเทให้เป็นอาชีพได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็อาจจะเลิกหรือเก็บเป็นงานอดิเรกก็พอค่ะ"
"ถ้าสุดท้ายผมยังหาอาชีพที่ชอบไม่ได้อีกละครับ"
"สุดท้ายถ้ายังหาไม่เจอจริงๆ ก็แนะนำวิธีพื้นฐานที่เด็กทุกคนเคยทำ นั่นคือทำแบบทดสอบอาชีพจากเว็บไซต์ค่ะ เว็บเหล่านี้มักบอกนิสัยเราและอาชีพที่น่าจะเข้ากับเรา แต่อย่าเพิ่งตัดสินว่าเราเข้ากับอาชีพนั้นไม่ได้ ถ้ายังไม่เคยศึกษารายละเอียดค่ะ"
"ขอบคุณครับ อาจารย์เพนนี"
นักเรียนชายยกมือไหว้อาจารย์แนะแนวหรือก็คือฉัน ก่อนเดินออกไปพร้อมสมุดที่จดเคล็ดลับการหาอาชีพที่ใช่ไปด้วย ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ งานแนะนำเด็กเป็นงานที่ฉันเพิ่งเคยทำปีนี้เป็นปีแรก ฉันรวบรวมประสบการณ์การและหาข้อมูลมาให้เด็กๆ ของฉัน แม้ว่าจะพูดเรื่องนี้ไปหลายรอบแล้ว แต่ทุกครั้งก็จะเจอแง่มุมใหม่ๆ ให้ได้เรียนรู้เสมอ ทำให้เด็กคนหลังๆ ได้ประโยชน์ไปเต็มๆ
หลังเลิกงาน ฉันไปร้านขนมหวานในห้าง การกินของหวานจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง ลุงกานหรือพลตำรวจเอกกษิดิสควรเกษียณมาได้เก้าปีแล้ว แต่ด้วยอายุไขที่เพิ่มขึ้นของประชากรเรา ท่านจึงยังเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในช่วงเวลาหนึ่งต่อไป ท่านสอนฉันทั้งบุ๊นและบู๊ จนฉันเป็นตำรวจแถวหน้าของเมืองไทย แต่แล้วฉันก็ทำมันพัง ฉันเลยต้องมาอยู่ที่นี่ เป็นครูแนะแนว
ฉันกินขนมไป มองผู้คนเดินผ่านไป น้ำแข็งในแก้วละลายจนเกือบหมด
ความเครียด ความเหนื่อย ความล้า หายไปจนเกือบหมดพร้อมๆ กับขนมในจาน ฉันเห็นลูกศิษย์ที่เพิ่งให้คำปรึกษาเดินผ่านไป ความทรงจำเกี่ยวกับคำแนะนำด้านอาชีพผุดขึ้นในสมอง
อันที่จริง ต่อให้เราเลือกงานอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่บางครั้งโชคชะตาก็จะพาเราไปอีกทางหนึ่ง เหมือนกับที่ฉันอยากเป็นตำรวจ แต่ตอนนี้กลับเป็นครูแนะแนวไปได้ ฉันไม่รู้ว่าลุงกานเห็นอะไรในตัวฉัน ถึงให้ฉันมาประจำที่โรงเรียนนี้ และแค่คิดถึง ท่านก็โทรมาพอดี
"สวัสดีค่ะ ลุงกาน" ฉันกรอกเสียงหดหู่ได้เทียบเท่ากับโชคชะตาน่าหดหู่ของตัวเอง
"เพนนี สะดวกคุยไหม เดี๋ยวก่อนๆ ลุงขอทายนะ หนูมาหาของหวานกินอีกแล้วใช่ไหม"
"รู้ได้ไงคะ" ฉันตาโต ลุงทายแม่นจริงๆ
"เสียงหนูหดหู่ ทุกครั้งที่หดหู่ หนูจะหาของหวานกิน ลุงพูดถูกไหม"
"ก็ใช่ค่ะ ว่าแต่ลุงกานมีอะไรหรือเปล่าคะ" เสียงฉันสดชื่นขึ้น เมื่อคิดว่าไม่ควรจะจมปลักกับความหดหู่
"ยังจำเรื่องที่เราคุยกันในวันเกิดปีที่สิบของหนูได้ไหม"
"จำได้ค่ะ เรื่องที่หนูจะเดบิวต์เป็นนักร้อง"
“แฮร่”
ถ้าเทียบกับยศท่าน การยอมเล่นกับฉันก็แสดงว่าท่านไม่ถือตัวแต่อย่างใด
“ล้อเล่นค่ะ หนูจำได้ค่ะ”
"ลุงไม่รู้นะว่ามันจะเป็นจริงเมื่อไหร่ แต่ลุงบอกได้แค่ว่า มันใกล้แล้วนะ"
"ลุงจะไม่บอกอะไรหนูหน่อยเหรอคะ" ฉันไม่ปล่อยให้สงสัยเก้อเหมือนสิบสี่ปีที่ผ่านมาอีกแล้ว
"เราได้เตรียมพร้อมหนูไว้เท่าที่จะทำได้แล้ว ขอให้เชื่อมือพวกเราเถอะ เราจะเป็นทีมสนับสนุนที่ดีที่สุดเท่าที่หนูเคยมีเลย"
"วันเกิดปีนี้ หนูขอของขวัญเหมือนเดิมนะคะ"
"ได้สิ รอรับได้เลย"
เขียนโดยฮาริส เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ความสามารถพิเศษของผมคือการสแกนคนด้วยสายตา เพียงแค่ผมมองเข้าไปในตาของคนไหนก็ตาม ผมจะรู้จักว่าเขาเป็นคนเช่นไร ผมรู้ว่าไอ้เรวัชหรือเรย์ มันไม่ใช่แค่วัยรุ่นตัวกวน ที่มาขโมยอย่างเล่นๆ มันทำการบ้านมาดี ทั้งตอนหาข้อมูลจากผม ใช้คำป้อยอ แล้วก็เข้ามาขโมยเพชรตอนที่ผมนอนหลับไปแล้ว อาจเป็นเพราะผมไม่ได้มองตามัน ผมจึงบอกข้อมูลไปอย่างง่ายดาย ผมเป็นหลานปู่ของกษัตริย์คนเก่า แต่เราเปลี่ยนแปลงการปกครองมานานแล้ว คนนับถือผม เพราะความสามารถและวิสัยทัศน์ของผม จนยกย่องให้ผมเป็นผู้นำประเทศเราในตอนนี้ เสียดายเวลาที่สอนมัน รู้งี้เอาเวลาไปจำสูตรอบเค้กให้ลูกสาวดีกว่า “ตามหาให้ทั่วว่ามันเป็นใคร” ผมสั่งแฮกเกอร์ของเรา “แต่ว่า” แฮกเกอร์คนหนึ่งอ้าปาก “ฉันรู้จักมัน แต่ไม่รู้ว่ามันมาจากประเทศอะไร และทำไมต้องขโมยเพชรที่สำคัญของเราด้วย เพชรที่มันขโมยไป เป็นเพชรของปู่ฉัน” “ครับท่านฮาริส” เสียงรัวแป้นพิมพ์ดังขึ้นหลังจากนั้น
เขียนโดยเพนนี เมื่อ 3 วันก่อน "สวัสดีค่ะ ดิฉันพริมา ภัทรโสภณ เป็นอาจารย์แนะแนวที่โรงเรียนน้องเรวัชค่ะ" ฉันแนะนำตัวแก่ผู้ปกครองของเด็ก เธอดูวุ่นอยู่ในครัวก่อนที่จะออกมาคุยกับฉัน คิ้วขมวดน้อยๆ ด้วยความสงสัย "แล้วมีธุระอะไรคะ" "น้องไม่ได้ไปโรงเรียนมาหนึ่งเดือนแล้ว ดิฉันอยากทราบว่าน้องมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ" ฉันพูดตามสคริปต์อย่างเบื่อหน่าย ไม่เคยชอบเลยจริงๆ ที่จะต้องไปหานักเรียน เกลี่ยกล่อมให้เด็กกลับเข้ามาในระบบ เพราะเด็กพวกนี้ตัดสินใจแล้วว่า โรงเรียนไม่เหมาะกับเขา และฉันก็เชื่อว่าการศึกษาสำหรับคนแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป ใครใคร่เรียนเองก็เรียน ใครใคร่เรียนกับคนเป็นๆ ก็เรียน และวิธีเรียนไม่จำกัดแค่ในห้องเรียนด้วยนี่นา "เข้ามาก่อนสิคะ อาจารย์...เอ่อ..อาจารย์ชื่อเล่นว่าอะไรคะ" "เพนนีค่ะ" ฉันทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องรับแขก แม่ของเด็กขึ้นไปตามนายเรวัชลงมา เขาดูง่วงงุน ผมชี้โด่ชี้เด่ หน้าม้ายาวจนแทบปิดตา นี่คงอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้กระทั่งจะออกไปตัดผมเลยสินะ
เขียนโดยฮาริส เมื่อ 10 ปีก่อน ผมเดินเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่งของเมืองเรา ภายในร้านมีไฟสลัว เต็มไปด้วยโต๊ะอาหาร แต่มีผู้คนเพียงเล็กน้อย กระทั่งเมื่อเลยเวลาบ่ายสองไป ชาวเมืองเราก็ทยอยเดินเข้าไปในร้าน พวกเขาล้วนแต่เป็นบุคคลสำคัญกับอนาคตของเมืองเรา ผมเดินเลยเข้าไปในห้องลับของร้าน บัดนี้มีคนเกือบเต็มแล้ว จากนั้นผมก็นั่งลงบนเก้าอี้ว่าง มองไปรอบๆ ตัว พวกเราแต่งตัวด้วยชุดโด๊ปหรือชุดอาหรับแบบปอนๆ นั่งมองหน้ากัน ไม่ว่าจะตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน เราก็แทบไม่มีเงินพอๆ กัน น่าสงสารมั้ยครับ พวกเรานั่งกระซิบกระซาบกัน รอให้อีกฝ่ายเปิดประเด็นพูดอะไรก่อน “ยินดีต้อบรับทุกท่าน” พิธีกรเอ่ยก่อน ผมติดต่อเขาเอาไว้ก่อนแล้ว เขายืนขึ้นโบกไม้โบกมือให้พวกเราเงียบและหันมาสนใจเขา “ผมขอเป็นตัวแทนเพื่อนำเราเข้าสู่กระบวนการการเลือกผู้นำ” คนที่เหลือปรบมือให้เขา เขาดูหล่อไม่เบาเลย ผมเองขนาดเป็นชายแท้ ยังละสายตาไม่ได้ ในใจมันร่ำร้องว่า สนใจมาแชร์ดีเอ็นเอกับตระกูลเราไหม ผมมีญาติผู้หญิงทางฝั่งพ่อและแม่อีกหลา
เขียนโดยเพนนี เมื่อ 18 ปีก่อน นานมาแล้ว ฉันถูกทิ้งไว้ที่นี่ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ถ้าให้เดาแง่บวก ชีวิตข้างนอกนั้นคงแย่กว่าในนี้ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ ฉันมีข้าวกินครบสามมื้อ ทุกวันเสาร์-อาทิตย์จะมีคนใจบุญมาเยี่ยมพวกเรา เอาอาหาร ขนม ไอศครีม และร้องเพลงให้พวกเราฟัง ตอนแรกฉันก็ตื่นเต้นและปลื้มปริ่มใจทุกครั้งที่มีคนมาเยี่ยม แต่นานๆ ไป ก็เกิดคำถามในใจ แล้วพ่อแม่ของฉันไปไหน ทำไมต้องทิ้งเราไว้ให้คนอื่นมาสงสารด้วย ฉันเคยเห็นนะ เคยเห็นตอนที่พวกลูกๆ กอดพ่อแม่ของเขา ร้องจะเอาโน่นนี่ แต่พวกเราล่ะ มีใครให้อ้อนแบบนั้นบ้าง ฉันยอมแลกช็อกโกแลตที่จะได้กินตลอดชีวิต กับครอบครัวที่จะอยู่กับฉันตลอดไปเลยล่ะ ฉันมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ชื่อนิวตัน นิวตันเป็นเด็กผู้ชายอายุเก้าขวบเท่าฉัน ตัดผมทรงนักเรียน ถ้าจะพูดให้ถูกเพราะครูแก้วตัดผมได้แต่ทรงนี้ เขาตัวอวบอ้วน ผิวขาวนวลเหมือนมีเชื้อสายจีน จมูกเล็กๆนั่นทำให้หน้าตาน่ารัก ตากลมโตนั้นพร้อมที่จะถามคำถามทุกครั้งที่สงสัย สมกั
เขียนโดยเรย์ เมื่อ 2 วันก่อน ผมไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่ทำมันมีจุดอ่อน เพียงแค่ติดกล้องวงจรปิดไว้ในเพนท์เฮ้าส์ แล้วตามกล้องวงจรปิดในเมืองไปแต่ละตัว ก็จะเจอได้ง่ายว่าผมล็อคเอาท์ที่บ้านหลังไหน แถมเมื่อรู้ว่าบ้านหลังไหน ก็จะรู้ด้วยว่าผมเป็นใคร แต่ที่ผมแปลกใจคือ สาวตุ๊กตาบาร์บี้รู้ทั้งรู้ว่าผมเป็นใคร กลับเอาแฟนผมมาเป็นตัวประกันเอ หรือเขาจะอยากให้ผมเจ็บด้วยกว่าทำร้ายแฟน ให้เจ็บยิ่งกว่ามาหาผมถึงบ้าน แล้วบังคับเอาเพชรไปจากผม อยากด่าเขาว่าชั่ว แต่ผมก็ไม่ใช่คนดีอะไร ผมเลยสงบปากสงบคำ "เรย์ ช่วยแอนน์ด้วย เขาขู่ว่าจะฆ่าแอนน์ หรือทำอะไรที่จะทำให้เรย์ยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น เรย์ไปทำอะไรมา ทำไมเขาถึงแค้นเรย์ขนาดนั้น" แอนน์พูดผ่านอวาตารรูปนินจาชาย ปิดหน้าปิดตาเห็นแต่ดวงตาสีฟ้าสดใส เจ้าของเพชรบังคับถ่ายคลิปวิดีโอแล้วส่งมาให้ผม ผมเป็นห่วงแฟนนิดหน่อย ถ้าแค่ทำให้ตายก็คงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แค่สร้างทรัพย์สินขึ้นมาใหม่ด้วยน้ำพักน้ำแรง หรือจะสายมืดแบบที่ผมทำ และถ้าทำอย่างที่ขู่ ผมคิดไม่ออกเลย ว่าเขาจะทำอะไรแอนน์
เขียนโดยฮาริส เมื่อ 15 ปีก่อน ตอนนั้นผมเดินทางกลับมาจากต่างประเทศใหม่ๆ ผมได้ทุนจากมหาวิทยาลัยจากประเทศมหาอำนาจ แม้ว่าตระกูลจะมีสมบัติมากอยู่ ผมได้ยินจากที่บ้านและฟังข่าวมาบ้าง ว่าตอนนี้ประเทศเรากำลังมีสงคราม เพราะเราอยากปลดแอกจากการถูกคุกคาม ผมเรียกลูกน้องของพ่อไปด้วยกัน เขาเป็นชายวัยสี่สิบ ชื่อฮาล่า ไว้หนวดตกตำ ส่วนผมวัยยี่สิบตอนปลาย ใบหน้าจริงจัง สายตาเหมือนประเมินใครต่อใครอยู่ตลอดเวลา จะว่าหล่อแบบมีคลาสก็ไม่ผิด “ฮาล่า ผมอยากไปดูเมืองเราในตอนนี้ พาผมไปหน่อย” “ครับ ท่านฮาริส” เขาตอบรับอย่างนอบน้อม เราเดินทางด้วยรถจิ๊บ ระหว่างทางอากาศร้อนประทะหน้าเราสองคนไปตลอดทาง ไม่นับฝุ่นจากทะเลทรายที่ทำให้ระคายตาอีก แต่ผมได้กลิ่นที่คุ้นเคย กลิ่นของเมือง กลิ่นของกินน่ะสิครับฮาล่าจอดรถใกล้ตลาด ที่เต็มไปด้วยฝูงชน อย่างน้อยในตอนนี้ ชาวบ้านก็ยังพอหาอาหาร ทำมาหากินได้บ้าง ผมเห็นลูกอินทผลัมวางเรียงราย รู้สึกอยากกินขึ้นมา จึงเดินเข้าไปหาแม่ค้
เขียนโดยเพนนี ปัจจุบัน ฉันได้รับข้อความวิดีโอจากกรมตำรวจ แต่รู้สึกไม่สบายตา ไม่อยากดูทางมือถือ จึงส่งข้อความไปที่อ้อยอิ่ง หุ่นยนต์เอไอหยุดนิ่ง แล้วฉายข้อความออกทางตา ทำให้เห็นวิดีโอที่หัวหน้าพูดคุยมาทางนั้น "สวัสดีคุณพริมา ภัทรโสภณ มีรายงานว่าผู้ร้ายไซเบอร์นามแฝงว่าบลูคิลเลอร์ได้แฮกเอาเงินในผู้ใช้ VR ในประเทศของเราไปทั้งหมดด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควอนตัม ซึ่งได้ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และขาดการควบคุมในบางประเทศทั่วโลก มีเพียงข้อความสั้นๆ ที่เขาทิ้งไว้ คือ 'ฉันมาเอาเพื่อแก้แค้น' เมื่อเราสืบไป ก็พบว่าเป็นผู้ใช้เดียวกับคนที่นายเรวัช วัชรกุล เคยขโมยเพชรไป และการที่คุณเข้าไปพัวพันโดยไม่รายงานให้เบื้องบนทราบ ทำให้เหตุการณ์บานปลาย ผมในฐานะผู้บังคับบัญชาคุณ ขอสั่งให้คุณ เข้าไปแก้ไขเหตุการณ์นี้ พร้อมผู้ช่วยที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางไอที คือคุณเพียงออ โปรดติดต่อเธอหลังจากคุณดูวิดีโอนี้จบ ขอบคุณครับ" "เจ้านายคะ จะให้ดิฉันติดต่อคุณเพียงออเลยไหมคะ" เธอถามอย่างรู้งาน ฉันพยักหน้า ก่อนนั่งลงบน
เขียนโดยเพนนี ปัจจุบัน ลูปที่ 2 "คุณเพนนีคะ ตื่นได้แล้วค่ะ" อ้อยอิ่งส่งเสียงเรียกฉัน ฉันอยากนอนต่ออีกนิดหนึ่ง จึงไม่ได้ตื่นตามคำบอกของหุ่นยนต์เอไอ "ถ้าไม่ตื่น อ้อยอิ่งจะจูบนะคะ" ตาเบิกโพล่งขึ้นมาทันที เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความรักของมนุษย์กับเอไอ อย่างน้อยๆ ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่ยอม ฉันจัดการตัวเอง แล้วนึกย้อนไปเมื่อวาน เป็นฝันที่สมจริงทีเดียว ฝันว่าได้รับข้อความวีดิโอจากผู้บังคับบัญชา ได้เจอเพื่อนร่วมทีมที่ชื่อเพียงออ และคนสวยอีกคนที่ชื่อแกรมม่า ฉันอมยิ้มเมื่อนึกถึงเธอ "มีข้อความจากกรมตำรวจค่ะ" อ้อยอิ่งเอ่ย ฉันว่าฉันเห็นหล่อนหงุดหงิด นี่ขนาดอ่านใจได้เลยเหรอเนี่ย ว่ากำลังคิดถึงผู้หญิงคนอื่น แต่ฉันไม่ได้ใส่ฟังก์ชั่นให้หุ่นยนต์รักฉันเสียหน่อย แค่มีความจงรักภักดีเท่านั้นเอง ฉันขยี้ตาแล้วให้อ้อยอิ่งเปิดข้อความ ฉันตกใจ เมื่อได้ยินข้อความเหมือนเมื่อวาน มีการแนะนำให้ไปรู้จักกับเพียงออ แล้วตามมาด้วยการปรากฎตัวของแกรมม่า! เห้ย หรือฉันจะฝันเห็นอนาคต! ก่อนที่เราจะล็อคอินเข้าไป
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 4 เดือน ลูปที่ 6 ฉันพาแกรมม่ามาที่ห้องพักบ่อยครั้ง พวกเราค่อนข้างหวานแหวว ตัวติดกันจนแทบจะแยกไม่ออก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกเปลี่ยนไปตั้งแต่มีเธอ นั่นคือ… อ้อยอิ่ง หุ่นยนต์แม่บ้านเอไอทำตัวแปลกออกไป อย่างที่ฉันสงสัยมาเสมอ ว่าเธอถูกใส่โปรแกรมให้รักเจ้านายเข้าไปด้วย หรือไม่วิวัฒนาการก็ทำให้เธอมีอารมณ์เหมือนมนุษย์ อ้อยอิ่งไม่ฮัมเพลงเวลาทำกับข้าว อ้อยอิ่งไม่รีบมาเวลาฉันเรียก และอ้อยอิ่งประชดประชันฉันบ่อยขึ้น “หุ่นยนต์เอไอ” ฉันเรียกเธอ “ค่ะ เจ้านาย” แทนที่จะต่อปากต่อคำให้ฉันเรียกชื่อเหมือนอย่างเคย แต่เธอกลับตอบรับอย่างไม่มีชีวิตชีวา “งอนเหรอ” “หุ่นยนต์ไม่สามารถมีความรู้สึกได้ นอกจากยินดีทำตามคำสั่งค่ะ และอ้อยอิ่งก็เป็นแค่หุ่นยนต์” ฉันต้องแคร์ไหมเนี่ย เอา ก็ได้วะ “ขอบคุณอ้อยอิ่งมาก ที่ทำงานรับใช้ฉันอย่างดีเสมอมา” ฉันไม่รู้จะจบประโยคนี้ได้อย่
เขียนโดยนิวตัน เมื่อ 16 ปีก่อน พ่อแม่ของเรามาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบ่อยๆ จนพี่เพนนีจำหน้าพ่อกับแม่ได้ เธอจะยิ้มกว้างทุกครั้งที่เห็นพวกท่าน เพราะท่านจะเข้ามาพูดคุยกับเด็กๆ ไม่เว้นแม่แต่กับเธอ เด็กในนี้จะโหยหาความรัก และอยากให้คนมาสนใจ อันที่จริง เพราะอยากจะมีโอกาสได้คุยกับพี่เพนนีด้วย แต่ไม่อยากให้มันโจ่งแจ้งนัก กระทั่งพ่อกับแม่เป็นห่วงพี่เพนนีมาก จนแม่ต้องร้องไห้ทุกคืน “เดี๋ยวผมจะไปอยู่กับพี่เพนนีเองครับ” ผมอาสา “เราเสียลูกสาวให้ส่วนรวมไปแล้ว ยังต้องเสียลูกชายไปด้วยเหรอคะคุณ” แม่ทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ “ผมจะดูแลพี่เพนนี จะเอ็นเตอร์เทนจนพี่ต้องร้องขอพัก” ผมหัวเราะคิกคัก “ผมจะเล่าให้ฟังว่าเราทำอะไร กินอะไร นอนยังไงนะครับ แม่จะได้หายกังวล” หลังจากนั้นอีกสามวัน ผมก็เข้ามาอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ผมเป็นเด็กใหม่ที่ค่อนข้างอ้วน หลายๆ คนจึงเข้ามาบูลลี่ผม เพราะเด็กที่นี่หุ่นสมส่วนทุกคน “ไอ้เด็กอ้วนๆ มันจะโดนไม้เสียบๆ เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา ร้อนจริงๆ ร
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 93 วัน ลูปที่ 6 ภาพรอบๆ ตัวฉันเป็นสีขาวโพลน แวบแรกฉันคิดว่า นี่คือสวรรค์หรือไม่ก็โลกหลังความตาย มีคนตายกี่คนที่จะกลับมาบอกเราว่า โลกหลังความตายเป็นอย่างไร แล้วภาพก็ค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้น ฉันจึงเห็นว่าสวรรค์แห่งนี้ ดูเหมือนโรงพยาบาล "ตื่นแล้วเหรอ" "คอแห้งมากเลย" ฉันตอบกลับเสียงนั่นเบาๆ ก่อนจะเห็นว่าเป็นแกรมม่า เป็นแกรมม่าเวอร์ชั่นที่ไม่ได้เห็นนานแล้ว นั่นคือเวอร์ชั่นที่ไม่อมทุกข์ "รู้สึกอย่างไรบ้าง" ฉันสำรวจแขนขาตัวเอง ก็ยังผอมบางเหมือนเดิม แต่รู้สึกได้ว่ามีกำลังวังชายิ่งกว่าเดิม เหมือนได้รับยาเพิ่มพลังชีวิตอย่างไรอย่างนั้น "ก็ดี" "พูดให้เจาะจงหน่อย" "รู้สึกมีแรงมากขึ้น ตัวเบาขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อน" "วิเศษมาก!!" แกรมม่าแทบจะตะโกน "ตอนนี้เพนนีหายแล้วนะ เพนนีจะไม่ตายแล้ว" "ว่าไงนะ บุญช่วยงั้นเหรอ" ฉันเอ่ยอย่างใสซื่อ ไม่รู้จะนึกเรื่องไหนได้อีกแล้ว "เพนนีจะไม่ตายจ
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 3 เดือน ลูปที่ 6 "เพนนีเป็นยังไงบ้าง" แกรมม่าถามเมื่อเห็นสีหน้าฉันขาวราวกับกระดาษ โธ่ ลืมปัดแก้มอีกแล้ว "ก็ยังสบายดีค่ะ เพนนีเคลียร์งานนี้เสร็จ จะไปกินข้าวด้วยนะ" "แกรมม่ามีเรื่องจะบอก" เธอทำหน้านิ่ง จนฉันกลัวอีกแล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่น่ารู้ก่อนที่ฉันจะตายอีกไหมนะ แต่ก็อีกเป็นปีๆ แหละนะ "แกรมม่าจำได้ทั้งหมด ทุกครั้งที่มีการวนลูป" "หะ?" ฉันอุทาน "ได้ยังไง" "แกรมม่าจดจำเรื่องทุกอย่างได้เพราะ โธ่ อย่าทำหน้าตกใจขนาดนั้น ก็แค่จำได้ ลุงกานเลยคุยกับแกรมม่าเพื่อยืนยันเรื่องของเพนนี ตลอดเวลาที่เราวนลูป" "แล้วยังไงอีก" "หมายความว่าไง ก็บอกไปทุกเรื่องแล้ว" เธอก้มหน้าหงุด รู้ว่าถึงฉันจะวนลูป แต่ในใจก็มีเธอเสมอ โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ ฉันได้บอกรักเธอ หน้าฉันเลยมีสีจัดขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ "แล้ว...แล้ว...แล้ว" "แล้วอะไร" แกรมม่าคงจะเขินจริงๆ "แล้วรักเพนนีบ้างหรือยัง"
เขียนโดยเรย์ หลังจากนั้น 8 วัน ลูปที่ 6 ภายหลังนาดาเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ อาจารย์เพนนีก็มาหาผมที่บ้าน และขอคุยกับผมตามลำพังในห้องรับแขก “อาจารย์เข้าเรื่องเลยละกัน” “มีนัดต่อกับพี่แกรมม่าเหรอครับ” ผมดักทาง เหม็นกลิ่นความรัก “ขอเขกหัวทีเถอะ ไอ้เด็กนี่” ไม่พูดเปล่า แต่ยกมะเหงกขึ้นมาด้วย แต่ผมหลบไวกว่า ผู้หญิงหรือจะไวสู้ผู้ชายได้ อาจารย์เลยทำหน้าเคร่งขึ้นมา “มานั่งให้ดีๆ” “ครับ” “ไปหาคุณฮาริสที่เพนเฮาส์ ไปต่อหน้าอาจารย์นี่แหละ” “ครับ” ผมสวมเสื้อสูท VR ส่วนอาจารย์เพนนีเปิดแท็บเล็ตส่วนตัวเพื่อติดตามบทสนทนาระหว่างเรา ผมขึ้นลิฟท์ไปแบบอารยชน ไม่ได้ไปในฐานะขโมยหรือผู้ร้าย ผมรู้จากคำบอกเล่าของอาจารย์เพนนีที่ว่า ผมกระตุ้นให้เกิดเรื่องร้ายแรงในประเทศเรา และกำลังจะทำให้คนบริสุทธิ์ต้องเดือนร้อนจำนวนมาก ถึงขั้นตายเลยเสียด้วยซ้ำ “ผมขอโทษครับ” ผมก้มกราบคุณฮาริสที่อยู่ในรูปร่างบลูค
เขียนโดยฮาริส หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ลูปที่ 6 ผมเข้าประชุมกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อขอปลดแอกประเทศนาดาจากประเทศมหาอำนาจและช่วยให้พ้นความยากจน เพื่อทำแนวทางใหม่สู่ความยั่งยืนและความเสมอภาค ในเวทีนี้ ผมคาดหวังว่าจะได้รับไอเดียดีๆ และพันธมิตรที่จะมาช่วยเหลือนาดาได้สำเร็จ ประธานในที่ประชุมกล่าวต้อนรับเรา และชี้แจงวัตถุประสงค์ในการประชุมวันนี้ ผมตื่นเต้นจนมือเปียก น้ำลายหนืด แถมปากแห้งไปหมด ถึงอย่างนั้น แต่ผมหันหน้าสี่สิบห้าองศาให้กล้องที่กำลังถ่ายทอดสดพวกเราอยู่ แหม ต้องขอบคุณเพื่อนนายแบบที่สอนทริคนี้ให้ผม ส่วนตัวผมกล่าวขึ้นแถลงเป็นคนถัดไป ผมซ้อมมาหลายวันกว่าจะกล้าขึ้นเวทีในวันนี้ ผมบอกตัวเองหลายรอบแล้ว ว่าผมคือพระเอกในวันนี้ พระเอกที่ทำทุกอย่างอย่างที่ควรเป็น เลิกเสียทีการสละเลือดเนื้อ เพื่อเอาชีวิตรอดในแต่ละวัน “ในประเทศของเรา ความยากจนเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะเชื่อมโยงความไม่เท่าเทียมทางการศึกษาและสิทธิในการเข้าถึงโอกาสทางการปกครอง โดยเฉพาะเมื่อประเทศที่ปกครองเราอ
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 24 ชั่วโมง ลูปที่ 6 การเจอกับพ่อแม่คราวนั้น ทำให้ฉันตระหนักว่าฉันมีค่า เพราะมีคนรักฉันและเพราะฉันตั้งใจจะทำความดี ดังนั้นตอนนี้ใจฉันมันเอนเอียงไปทางทำความดีซะมากกว่า ที่ผ่านมาเอาแต่จะใช้ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ฉันนั่งนิ่งแล้วก็นึกว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าคุณเหลือเวลาในชีวิตอีกไม่มาก สิ่งที่อยากทำจะเป็นการฆ่าคน? หรือการช่วยคน? ฉันกลัวเหลือเกินว่าก่อนตาย ใจฉันจะอยู่กับความดีหรือความชั่วที่ทำ และถ้าโลกหลังความตายมี ฉันจะไม่ตกนรกหรอกหรือ ถ้าวางแผนฆ่าชาวนาดาไว้มากขนาดนั้น แกรมม่าเดินมาจากด้านหลัง โอบเอวฉันไว้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบเย็น เราแทบจะคบกันโดยไม่ต้องตกลงอะไรกันก่อน ไวไฟไหมล่ะ "เรามาทิ้งทวงกันไหม ไหนๆ เพนนีก็ใกล้ตายแล้ว" เธอพูดแทนใจฉันทั้งหมด "เรามาช่วยชาวนาดากันเถอะ" เราคุยกันเล็กน้อยเพื่อวางแผน ก่อนเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวไปนาดากัน ซึ่งก่อนไป ฉันก็แนะนำตัวว่าเป็นตำรวจจากประเทศไทย และอยากมาเสนอขายไอเดีย เพื่อทดแทนที่ทำให้ บลูค
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง ลูปที่ 6 ฉันพายัยคนตาสวยไปหาหมอดูที่ทำนายเรื่องของฉันเอาไว้ ประตูบ้านเปิดแง้มๆ เอาไว้ ฉันจึงเห็นว่ามีผู้สูงวัยสองคนกำลังคุยกับหมอดูอยู่ "เราอยากรู้เรื่องเพนนี" "เพนนีไหน" "เพนนีที่คุยเคยทำนายเอาไว้ว่าจะช่วยคนนับล้าน" ฉันหูพึ่ง เมื่อได้ยินดังนั้น จึงส่งสัญญาณให้แกรมม่าเงียบเสียงลง "แล้วพวกคุณจะอยากรู้ไปทำไม" หมอดูเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า เพราะอายุมากแล้ว "เราเป็นพ่อแม่เธอ" ฉันได้ยินดังนั้น แทบจะเตะประตูเข้าไปที่จริง ก็แค่ดันประตูเฉยๆ "แล้วทำไมถึงทิ้งให้หนูอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า" "เพนนี!!" ผู้หญิงคนนั้นหันมามองฉันที่เข้ามา ตาโต หน้าซีดเผือก "ทำไมคะ ช่วยบอกหนูหน่อย" น้ำตาของฉันไหลออกมา มันเป็นเพราะความน้อยใจ ความเสียใจ และความสะเทือนใจที่ผลักดันน้ำตาออกมา "นั่งก่อนเถอะ เรามีเรื่องต้องคุยกันยาว" ผู้ชายค
เขียนโดยเพนนี ปัจจุบัน ลูปที่ 6 ฉันเจอแกรมม่าและเพียงออเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วนะ แต่ก็ยังดีใจที่ได้เจอเธออยู่ หมายถึงแกรมม่าน่ะ แล้ววันนี้ฉันคิดจะถอยก้าวหนึ่ง ก่อนจะไปต่อ หมายความว่า ฉันจะไม่หาทางไปจัดการบลูคิลเลอร์ในทันที แต่อยากสืบเรื่องวนลูปก่อน ในใจเต็มไปด้วยคำถามมากมาย ฉันใช้อ้อยอิ่งโทรด้วยวิดีโอหาลุงกาน ต่อหน้าเพื่อนร่วมทีมทั้งสองคน "ลุงกานคะ หนูอยากคุยกับนักวิทยาศาสตร์ เรื่องกาลเวลา" "แต่ว่า" "นะคะ หนูขอคำตอบเท่าที่เรามีก็ได้ ไม่ต้องตอบให้กระจ่างชัดทุกเรื่องก็ได้" ฉันทำเสียงอ้อนเล็กๆ และรู้ว่าลุงกานจะใจดีกับฉันเสมอ เพราะอะไรนะ เพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า หรือฉันเป็นคนโปรด หรือเพราะฉันมีความสำคัญกับโลกใบนี้ แต่ไม่ว่าเพราะอะไร ฉันก็จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี "แกรมม่าจะไปด้วย" "แต่สุดท้ายเมื่อมีการวนลูป แกรมม่าก็จะลืมอยู่ดี" ฉันโบกมือเพื่อปฏิเสธ "แต่แกรมม่าจะช่วยฟัง แล้วก็จะช่วยถามด้วย เพื่อให้เพนนีได้ข้อมูลที่ดีที่สุดนะ"