เขียนโดยเพนนี เมื่อ 18 ปีก่อน
นานมาแล้ว
ฉันถูกทิ้งไว้ที่นี่ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ถ้าให้เดาแง่บวก ชีวิตข้างนอกนั้นคงแย่กว่าในนี้ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ ฉันมีข้าวกินครบสามมื้อ ทุกวันเสาร์-อาทิตย์จะมีคนใจบุญมาเยี่ยมพวกเรา เอาอาหาร ขนม ไอศครีม และร้องเพลงให้พวกเราฟัง ตอนแรกฉันก็ตื่นเต้นและปลื้มปริ่มใจทุกครั้งที่มีคนมาเยี่ยม แต่นานๆ ไป ก็เกิดคำถามในใจ แล้วพ่อแม่ของฉันไปไหน ทำไมต้องทิ้งเราไว้ให้คนอื่นมาสงสารด้วย
ฉันเคยเห็นนะ
เคยเห็นตอนที่พวกลูกๆ กอดพ่อแม่ของเขา ร้องจะเอาโน่นนี่ แต่พวกเราล่ะ มีใครให้อ้อนแบบนั้นบ้าง ฉันยอมแลกช็อกโกแลตที่จะได้กินตลอดชีวิต กับครอบครัวที่จะอยู่กับฉันตลอดไปเลยล่ะ
ฉันมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ชื่อนิวตัน นิวตันเป็นเด็กผู้ชายอายุเก้าขวบเท่าฉัน ตัดผมทรงนักเรียน ถ้าจะพูดให้ถูกเพราะครูแก้วตัดผมได้แต่ทรงนี้ เขาตัวอวบอ้วน ผิวขาวนวลเหมือนมีเชื้อสายจีน จมูกเล็กๆนั่นทำให้หน้าตาน่ารัก ตากลมโตนั้นพร้อมที่จะถามคำถามทุกครั้งที่สงสัย สมกับชื่อที่เป็นนามสกุลนักวิทยาศาสตร์สมัยก่อน
วันนี้เขามีท่าทางลุกลี้ลุกลน หันซ้ายทีขวาที มันทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะสืบเรื่องเพื่อนสนิทคนนี้
"ถ้านายไม่บอกภารกิจลับกับฉัน ฉันจะไม่ให้นายลอกการบ้านอีกต่อไป"
"มานี่ก่อน เพนนี" นิวตันกระซิบเสียงเบา "ฉันได้ยินมาจากรุ่นพี่ว่า ฝั่งตรงกันข้ามกับบ้านพวกเรา มีร้านน้ำแข็งไสเปิดอยู่ พวกเราได้ค่าขนมไปโรงเรียนทุกวัน" เขาหมายความว่า พวกเราพักที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็จริง แต่ตอนวันธรรมดา เราต้องไปโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆ ดังนั้นจึงได้รับค่าขนมไปด้วย "ฉันรู้ว่าเธอเก็บค่าขนมได้มากอยู่ ไปกินด้วยกันไหม"
คำขู่ได้ผล! มาแล้ว ข้อตกลงพิเศษ
"แต่ครูแก้ว" ฉันเอ่ยถึงผู้ดูแลเรา "จะตีเอานะสิ ถ้ารู้ว่าพวกเราไปที่นั่น"
"ตรงกำแพงด้านข้าง มีช่องเล็กๆ อยู่ ถ้าเราสองคนมุดออกไป ก็น่าจะได้อยู่นะ" เขาทำน้ำเสียงน่าตื่นเต้น ทำให้ฉันพลอยตาโตกับเขาไปด้วย "แต่งตัวให้ดูดีหน่อย ให้เหมือนลูกเจ้าสัวเลยนะ"
"แต่..." ฉันลังเล
"ว่าแล้วเชียว เด็กผู้หญิงหรือจะกล้า ไม่น่าบอกให้เสียเวลาเลย"
นิวตันรู้จักฉันดี รู้ว่าถ้าท้าทายแบบนี้แล้วฉันจะคว้าโอกาสนี้ไว้
ไอ้เพื่อนเจ้าเล่ห์!
"ก็ได้ ถ้าไม่อร่อยจริง นายโดนแน่"
คาดโทษก่อนวิ่งกลับหอนอน ฉันจะสวมชุดที่ดีที่สุด หวีผมให้เรียบที่สุด แต่มันก็กลับมาหยักศกอีก ช่วยไม่ได้แฮะ แล้วฉันก็ติดกิ๊บรูปสตรอว์เบอร์รีอันใหญ่เข้าไป
แน่นอน วันนี้ฉันคิดว่าตัวเองสวยเชียวละ
นิวตันเคยบอกว่า คำชมว่าสวย ควรให้คนอื่นชมไหมเพื่อน หึหึ ฉันเขินความคิดของตัวเองนิดหน่อย ดีนะไม่มีใครรู้
เวลานี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น รถราเริ่มติดเพราะทุกคนกำลังเดินทางกลับบ้าน ริมฟุตบาทที่พวกเราเดิน มีคนเดินขวักไขว่
"เชิดหน้าไว้ เพนนี" นิวตันบอก เมื่อมีผู้ใหญ่มองมาทางเรา
"ฉันดูแพงหรือยัง พอที่จะเป็นลูกเจ้าสัวได้หรือยัง" ฉันกระซิบถามเพื่อน
"ได้สิ" เขาพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนนำทางไปยังร้านน้ำแข็งไส
ร้านอยู่ในคูหาเล็กๆ ประดับประดาด้วยดวงไฟระยิบระยับ ป้ายร้านใช้ฟอนท์วัยรุ่นเตะตาคนที่มองมาจากไกล มีลูกค้าหลากหลายวัย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กผู้หญิง ตอนสบตากันแม่ค้ายิ้มให้เรา เมื่อเห็นเรามากันสองคน ฉันเผลอกันเล็บตัวเอง เพราะกลัวเขาจะจับได้ นิวตันหันมามองตาเขียว
"มั่นใจหน่อย"
"ย่ะ"
ฉันเชิดหน้า แล้วยืดหลังให้ตรง ลบคำดูถูกตัวเองที่อยู่ในหัวให้หมด จิตใจจดจ้องแต่กับ…
ของหวานตรงหน้า
พวกเราสั่งน้ำแข็งไสคนละถ้วย มันไม่ใช่ของหวานที่พิเศษสำหรับคนอื่นๆ แต่สำหรับเรา มันพอจะทดแทนความรู้สึกโหยหาใครสักคนในใจได้ การสนุก การมีความสุข การอิ่ม มันช่วยให้เราผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ อย่างน้อยๆ ตอนที่ไม่รู้จะนึกถึงอะไรเวลาเหงา ฉันก็จะนึกถึงอาหารอร่อยๆ เกรดดีๆ และเพื่อนซี้ของฉัน เพราะฉะนั้นฉันจะเป็นคนสร้างความสุขขึ้นมาด้วยมือของฉันเอง
เราตักน้ำแข็งไสเข้าปากอย่างบ้าคลั่ง ฉันขอวุ้นมะพร้าวจากนิวตันมาคำหนึ่ง มันหนุบหนับดี ถ้าเราได้ออกมาอีก ฉันจะลองสั่งมากินดู
เราไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ทุกอย่างดูปกติดี
นิวตันมองนาฬิกาแขวน ก่อนพยายามเอ่ยเสียงเรียบ
"อีกสิบนาที ครูแก้วจะเรียกพวกเราไปกินข้าว เรากลับกันเถอะ"
"อีกนิดน่า" ฉันขอร้อง อยากซดน้ำหวานที่เหลือให้หมดก่อน
คนหน้าหวานก็ต้องเหมาะกับของหวานแบบนี้ล่ะ
"ถ้าโดนจับได้ ถูกหักค่าขนมไม่รู้ด้วยนะ"
พวกเราเหลือเวลาอีกสามนาที จึงวิ่งสุดฝีเท้ากลับบ้าน เราวิ่งเต็มฝีเท้าเข้าซอยลัด
ชายฉกรรจ์คว้าข้อมือฉันไว้ พวกเขามากันสองคน แต่งชุดดำทั้งตัว หน้าตากร่ำแดด คนหนึ่งดูเหมือนลูกพี่ คนหนึ่งเหมือนลูกน้อง อาจเป็นหน้าตาหรือชุดที่น่าสงสัย ทำให้ฉันใจหายวาบ นอกจากจะโชคร้ายเรื่องครอบครัว บางทีฉันอาจจะมีอายุสั้นกว่าคนอื่นๆ หรือเปล่า เสี้ยวหนึ่งในใจแอบคิดร้าย อดไม่ได้ทีจะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
"ปล่อยนะ ถ้ารู้ว่าหนูลูกใคร ลุงจะต้องหนาว"
ฉันขู่สั้นๆ จำที่นิวตันบอกว่าเราเป็นลูกเจ้าสัว
"ขอโทษนะ เพนนี" นิวตันบอกแล้ววิ่งหายไปในซอย ซึ่งเป็นซอยที่อยู่ของสถานที่ๆ เราเรียกว่าบ้าน
ฉันขาสั่น เมื่อคิดว่าตัวเองอาจถูกฉุดไปขาย หรือเขาจะตัดขา หรือฉันจะไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ อาจจะมีสักวันที่แม่มาตามหาฉัน แล้วครูแก้วก็บอกแม่ว่า ฉันหายตัวไป หรือฉันหนีไปแล้ว ฉันกลัวและโกรธไปพร้อมๆ กัน ที่นิวตันทิ้งฉันไปแล้ว
ไอ้นิวตัน มันไม่ใช่เพื่อนฉันอีกแล้ว!
"พ่อแม่แกคงรวยสินะ แต่ปล่อยให้มาเที่ยวเล่นสองคนแบบนี้ ก็เสร็จพวกลุงสิจ๊ะ"
เขาหัวเราะเสียงแหบ
"หนูไม่ได้รวยค่ะ" สมองของฉันทำงานอย่างรวดเร็ว "หนูมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ถึงจะเอาหนูไปก็ไม่ได้ค่าไถ่หรอกค่ะ"
"คิดเหรอว่าพวกลุงโง่ ดูแต่งตัวเข้าสิ ชุดแพงๆ แล้วผิวแบบไอ้เด็กผู้ชายเมื่อกี้ก็ขาวผ่อง ส่วนเธอปากนิดจมูกหน่อย ผิวก็ขาวเหมือนกัน เหมือนพ่อเป็นเจ้าสัวงั้นแหละ"
หรือพวกลุงจะมีพลังจิตนะ ลูกเจ้าสัวอีกแล้ว ฉันว่าฉันได้ยินไม่ผิดนะ
"ถ้าผิวขาวแล้วบ้านรวย ป่านนี้ คนจีนคงรวยกันทั่วประเทศแล้ว"
ฉันต่อปากต่อคำกับตรรกะประหลาดๆ ลืมไปแล้วว่าต้องทำให้เขาอารมณ์ดีไว้ก่อน
เขาอุ้มฉันเข้าซอย เผื่อว่าใครจะเห็นความผิดสังเกต ฉันควรถ่วงเวลา เผื่อว่า ไอ้นิวตันเพื่อนเฮงซวย จะเรียกครูแก้วมาช่วย
"ลุง หนูกับเพื่อนแค่หนีออกมาหาน้ำแข็งไสกิน แล้วดูซิ มือถือแพงๆ ยังไม่มีใช้สักเครื่องเลย จะเป็นลูกเจ้าสัวได้ไง"
"ค้นตัวมันก่อน" คนที่เป็นลูกพี่บอก เขาล้วงกระเป๋าเป้ของฉัน จับดูรอบๆ ตัว ไม่เจอมือถือสักเครื่อง มีแต่นาฬิการาคาถูกที่ฉันมีติดตัวเพียงอย่างเดียว เป็นนาฬิกาที่รุ่นพี่ให้เป็นของที่ระลึก มันเต็มไปด้วยรอยถลอก แต่ก็ทำให้ฉันตรงต่อเวลาเสมอ
เพราะแบบนั้น เราควรจะวัดที่การทำตัว ไม่ใช่ของภายนอกสิ ถ้าวัดแบบการทำตัวฉันควรเป็นลูกมหาเศรษฐีไปแล้ว
"ถึงจะไม่ใช่ลูกคนรวย แต่มันเห็นหน้าเราแล้วนะลูกพี่" ลูกน้องกระชับแขนที่จับฉันไว้ ไม่ให้ฉันหนีไปไหน "จับไปขายดีไหม อีกไม่กี่ปีก็เป็นสาวแล้ว ขายให้เจ๊ส้ม แม่เล้าในแก๊งเราดีไหมลูกพี่"
ลูกพี่ไม่ตอบ เอามีดออกมาจี้คอฉัน
"ถ้ามึงส่งเสียงดัง กูแทงแน่ ไม่แทงทีเดียวด้วย จะแทงจนกว่ามึงจะตายคามือกูเลย"
เหงื่อของฉันซึมไปทั่วใบหน้า ฉันกลืนถ้อยคำทั้งหมดลงไป พวกเขาดันฉันเข้าไปในรถเก๋งติดกระจกดำ ลูกน้องขับรถ ส่วนลูกพี่นั่งจับฉันไว้ข้างหลังคนขับ นี่คงหลีกเลี่ยงไม่ให้ใครรู้ว่าจะไปไหน เลยใช้คนขับแทน
"พี่แมน ถ้ามันเสียงไม่เพราะ เราตัดแขนขาแล้วส่งไปขอทานดีไหม" ลูกน้องทำท่าครุ่นคิด เหยียบคันเร่งจนแทบสุด เพราะรู้ว่าข้างหน้าไม่มีตำรวจจราจรอยู่
"แถวนี้มีสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เรามาจับตัวไปเดือนละนิดเดือนละหน่อย บอสก็คงจะเพิ่มส่วนแบ่งให้กูมากขึ้น" แมนบีบแขนฉันอย่างเลือดเย็น ฉันว่างานลักพาตัวเป็นงานที่เขาถนัด
ไอ้คนชั่ว ไอ้คนใจทราม ฉันด่าในใจ เพราะว่าปากสั่นจนไม่กล้าเอ่ยอะไร
"ส่งมันที่ซ่องเจ๊ส้มก่อน แล้วค่อยว่ากันว่าจะทำอย่างไรต่อไป"
พวกเขาก็พาฉันเข้าไปในซอยลึกลับ ฉันจำไม่ได้แล้วว่าต้องเลี้ยวกี่ครั้ง ก่อนมาถึงซอยนี้ ในชีวิตนี้จำได้แค่ว่าบ้านและโรงเรียนไปได้ยังไง แล้วสองคนนั้นก็จอดหน้าร้านอาหาร แสงไฟหลากสีกระพริบวิบวับหน้าร้าน ทำให้บรรยายกาศครึกครื้น มีรถจอดอยู่ใกล้ๆ หลายคัน มีผู้หญิงนั่งเรียงกัน แต่งตัววาบหวิว โชว์เนื้อเนียนใต้ร่มผ้า พร้อมรอยยิ้ม และบางคนก็กำลังสูบบุหรี่ไฟฟ้า
"เจ๊ส้ม" คนหัวหน้าตะโกนเรียก หลังจากทิ้งฉันไว้กับลูกน้อง
สักครู่หนึ่ง เจ๊ส้มก็เดินมา หน้ามุ่ยแต่ก็สวยแม้ในวัยสี่สิบกว่า เธอสวมชุดเดรสสีแดงแจ๊ด กระโปรงผ่าขึ้นมาถึงเนิ่นขา ปากแดง เขียนตาเข้ม เจ๊ส้มเห็นฉันก็ทำหน้าพอใจ รู้ว่าเด็กสาวที่สองคนนี้พามาเพราะเรื่องอะไร
"ผิวขาว ปากนิด จมูกหน่อย น่ารักแบบคุณหนู ถ้าส่งไปเดบิวต์เป็นเกิร์ลกรุ๊ปก็คงได้ แต่วาสนาแกนะอีหนู เป็นได้แค่เด็กในซ่อง" เธอเอ่ยอย่างสงสาร
ถ้าสงสารจริง เจ๊คงปล่อยหนูไปนะคะ ฉันตอบในใจ ไม่กล้าพูดอะไรอีก เพราะกลัวมีดในมือพวกคนโฉด
"อายุเท่าไหร่"
"เกือบสิบขวบแล้วค่ะ"
"หัดร้องเพลงไว้ก่อน เด็กใหม่ๆ ซิงๆ ถ้ามีความสามารถพิเศษ จะยิ่งขายได้ราคา" เจ๊ส้มพิจารณาฉันอีกที จนเกือบลืมไปแล้วว่ามีสองคนรอรับเงินอยู่
"เงินละครับเจ๊"
"ทวงอยู่ได้ เอาข้อมือมา" แม้แต่หญิงในซ่องก็ไม่ได้ตกยุคไปกับเขาด้วย แค่สแกนผ่านนาฬิกาก็โอนเงินได้แล้ว
ฉันมองหาจังหวะจะหนีอยู่ตลอด แต่พวกเขาก็จับแขนฉันแน่นจนหนีไปไหนไม่ได้
"ชื่ออะไร"
"เพนนีค่ะ"
"ชื่อเอ็งแปลว่าอะไร"
"หนูตั้งชื่อเอง ให้สัมผัสกับชื่อจริง เพราะตัวหนูไม่มีค่า เท่ากับเงินเพนนียังไงล่ะคะ"
ฉันหวังว่าความจริงนี้จะทำให้เขาสงสารฉันบ้าง แต่เจ๊ส้มแค่ทำหน้าเฉยๆ
เออ ไม่สงสารก็อย่าสงสาร
หลังจากข้อตกลงนั้น ฉันฝึกร้องเพลงอยู่ในซ่องตลอดเจ็ดวัน ความหวังที่จะมีคนมาช่วย ค่อยๆ จางไปเรื่อยๆ หญิงคณิกาอายุมากกว่าฉันทั้งนั้น และทุกคนทำแต่งาน คุยกับแขก และถามเจ๊ส้มนิดๆ หน่อยๆ ไม่มีใครคิดจะคุยหรือสงสารฉันเลย ฉันแอบร้องไห้ทุกวัน ตอนที่ทุกคนหลับไปแล้ว
แน่ละ ตอนเช้าตาฉันบวมเหมือนหมาพันธุ์ชิวาวา
วันนี้เป็นวันที่ฉันจะได้ขึ้นร้องบนเวทีในร้าน เพลงที่ฉันร้องเป็นเพลงยุคยี่สิบปีก่อน เจ๊ส้มบอกว่าผู้ใหญ่ชอบ ไม่แน่ว่าฉันอาจได้ทิปเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ ฉันมีความหวังอีกครั้ง ถ้าเก็บเงินได้แล้วหนีไป ฉันจะกลับไปหาครูแก้ว และขอตบหัวไอ้นิวตันทีเถอะ นี่ไม่คิดจะมาช่วยกันหน่อยหรือไง
เพลงที่ร้องมีแขกชอบหลายคนอยู่ ชายวัยกลางคน สวมเสื้อตัวโคร่งสีน้ำตาล ใส่แหวนและสร้อยทองเต็มตัว ยิ้มแย้มให้ฉัน และเรียกฉันไปคุยด้วย
"เด็กยังใหม่ค่ะท่าน" เจ๊ส้มบอก เพราะกลัวว่าฉันจะทำชื่อเสียงตนพัง
"มานั่งตักป๋ามาหนู" ท่านของเจ๊ส้มบอก ฉันนั่งข้างๆ เขา แล้วไหว้พร้อมกับยิ้ม เหมือนที่คนอื่นทำ แต่ดูท่าทางป๋าจะยังไม่ถูกใจจึงยกฉันมานั่งบนตัก "หน้าตาดีนะ ถึงจะยังเด็ก แต่ป๋าก็ชอบ"
"แต่หนูยังไม่ถึงสิบขวบเลยนะคะ" ฉันทะลุกลางปล้อง แถมทำสีหน้ารังเกียจอย่างเต็มที่
"ขอโทษแทนเด็กนะคะ มันไม่มีพ่อแม่ ก็เลยไม่มีใครสั่งสอน" เจ๊ส้มถลึงตาใส่ฉัน ฉันหาจังหวะที่ป๋าหันไปทางอื่น ทำปากคว่ำใส่เขา "คุยกับท่านดีๆ นะ เพนนี"
"ป๋ายังไม่เคยลองเด็กสักครั้งเลย เขาว่ากินเด็กแล้วเป็นอมตะ" เขาทำหน้ากรุ่มกริ่ม เอามือจับปลายผมของฉัน นี่ประจำเดือนฉันยังไม่มาด้วยซ้ำ เขาคิดอะไรของเขา
"เด็กคนนี้เราจะปั้นให้เป็นดาวนะคะ ท่าน" เจ๊ส้มพูดเพื่อให้สินค้าดูแพงขึ้น "คงจะยอมให้ไปกับแขกง่ายๆ ไม่ได้ เรายังไม่ได้สอนอะไรหลายๆ อย่าง"
"ป๋าสอนเอง" เขาพึมพำ ยิ้มหื่นมาทางฉันอีก "0.0001 บิทคอยน์ต่อคืน"
"0.002 ค่ะ"
"0.0005"
"0.001 ค่ะ"
"ตกลง ตามนั้น" เธอกับเขาเอานาฬิกามาประจันหน้ากัน เป็นอันจบพิธี
ฉันดิ้นให้พ้นตักลุงโรคจิต แต่ยิ่งดิ้นเขายิ่งหัวเราะชอบใจ วางของใช้ส่วนตัวให้ลูกน้องหยิบ จึงเหลือสองมือใหญ่จับแขนฉัน แล้วพาไปออกที่ลานจอดรถ
ฉันร้องไห้ออกมา ทั้งน้ำหูน้ำตาและเสียงสะอื้น
"ปล่อยหนูไปเถอะค่ะ หนูไม่มีพ่อแม่ หนูอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นี่ลุงยังจะเอาหนูไปบำเรอกาม ทั้งๆ ที่หนูยังไม่มีคำนำหน้าว่านางสาวอีกเหรอคะ ถ้าปล่อยหนูไปแล้ว หนูจะหายไปอย่างลึกลับ แล้วไม่บอกเรื่องนี้กับใครเลยค่ะ ปล่อยให้หนูได้ใช้ชีวิตแบบคนปกติบ้างเถอะค่ะ อย่าให้หนูต้องติดอยู่ในนรกนี่เลยนะคะ"
"น่าสงสารจริงๆ คนดีของป๋า ถ้าคืนนี้หนูทำได้ดี ป๋าจะเลี้ยงดูและส่งหนูไปเรียน หนูอาจได้ออกหน้าออกตาเป็นเมียอีกคนของป๋าเลยนะ"
ฉันทั้งขาสั่น สมองตื้อ มองไปรอบๆ ตัวอย่างจนปัญญา ฉันไม่มีใครเลย ไม่เหลือใครให้ช่วยแล้ว หรือนรกบนดินนี่คือปลายทางของชีวิตฉัน ไม่มีใครจะปกป้องฉันได้เลยเหรอ
ป๋าหัวเราะอย่างมีความสุข
ส่วนฉันร้องไห้อย่างสิ้นหวัง
ทำไมฉันถึงซวยแบบนี้ โธ่เว้ย!!
จู่ๆ เสียงไซเรนก็ดังขึ้น รถตำรวจวิ่งเข้ามาในซอยที่ซ่องตั้งอยู่ พวกตำรวจออกมาจากรถ ป๋าดันฉันเข้าไปในรถของเขา แต่มีตำรวจชายวัยกลางคนท่าทางเหมือนเป็นผู้บังคับบัญชาเดินออกมา
"เอาเด็กออกมาจากรถ" เขาประกาศกร้าว "พริมา ไม่สิ เพนนี พวกเรามาช่วยหนูแล้ว และพวกคุณที่เปิดซ่องให้บริการทางเพศแบบผิดกฎหมาย ก็จะมีความผิดพร้อมโดนลงโทษไปด้วย อย่าขัดขวางการจับกุมของเจ้าหน้าที่ ไม่อย่างนั้นเราคงต้องใช้กำลัง"
ฉันหยุดร้องไห้ไม่ได้จริงๆ มีคนเห็นค่าฉันและมาช่วยฉันจนได้ ฉันสาบานกับตัวเองเลย ว่าจะจำวันนี้ไว้จนตาย เพราะเข้าใจคนที่ถูกช่วยไม่ให้ตกนรก มันทำให้คนถูกช่วยดีใจขนาดไหน
ตำรวจมีหน้าที่ปกป้องความสันติสุขของประชาชน ฉันอยากทำอาชีพนี้ อาชีพที่ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าบ้านเมืองสามารถเดินได้อย่างปลอดภัย และบ้านเมืองมีกลุ่มคนที่คอยรักษาความปลอดภัยให้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
ฉันเงยหน้ามองตำรวจวัยกลางคนที่มาช่วยฉัน ฉันจดจำใบหน้าเขาได้อย่างขึ้นใจ
"โตขึ้นหนูจะเป็นตำรวจ" ฉันบอกเขาอย่างภาคภูมิใจ เขายิ้มตอบมาอย่างใจดี
ฉันไม่รู้ว่าเพราะคำพูดนี้หรือเปล่า ในวันเกิดที่ฉันอายุสิบขวบ เขาก็มาหาฉันที่บ้านอีกครั้ง วันนั้นลุงตำรวจคุยกับฉันว่า
"ลุงคือพลตำรวจเอกกษิดิส เกียรติปรีชา" เขาแนะนำตัวอย่างเรียบง่าย ตอนกลางวันฉันเห็นใบหน้าขามีรอยแผลเป็นจางๆ ดวงตามีแววอ่อนโยน เขาดูกระฉับกระเฉงสำหรับคนในวัยห้าสิบกว่า "เรียกลุงว่ากานก็ได้ ลุงกานเป็นตำรวจ ถ้าหนูจำลุงได้"
"หนูจำได้ค่ะ" ฉันตอบตาเป็นประกาย "ลุงกานมาหาหนูเหรอคะ"
"สุขสันต์วันเกิดค่ะ เพนนี" ลุงกานบอกฉัน แล้วหยิบของขวัญให้ฉันเป็นช็อกโกแลตกล่องโต ฉันเห็นเพื่อนๆ น้ำลายหกเมื่อเห็นช็อกโกแลตกล่องนั้น บางทีถ้าให้คนละชิ้นก็คงพอได้ ยกเว้นไอ้นิวตัน แต่จะว่าไปนิวตันหายไปจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่วันเกิดเรื่อง "ลุงมีเรื่องต้องคุยกับหนูด้วย"
"อะไรเหรอคะ หนูทำอะไรผิดหรือเปล่า"
"มีจดหมายฉบับหนึ่งที่ลุงเพิ่งได้ก่อนที่จะไปตามหาตัวเพนนีอะค่ะ" เขาหยิบจดหมายขึ้นมา "พ่อแม่ของหนูเคยไปทำนายอนาคตจากหมอดูที่เก่งที่สุด ซึ่งเป็นคนที่ทำนายสงครามโลกครั้งที่สามได้ถูกเชียวนะ ในการทำนายนั้นทำนายว่าพ่อกับแม่ของหนูจะส่งหนูมาสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตอนหนูอายุห้าขวบ และเมื่อสิบขวบหนูจะได้ไปอยู่กับตำรวจ สุดท้ายชะตาของหนูจะช่วยคนไว้ได้นับล้านคน ด้วยพลังแห่งกาลเวลา พวกผู้ใหญ่ของประเทศเรา ปรึกษากันแล้ว ว่าก่อนถึงเวลานั้น เราต้องเตรียมความพร้อมให้หนู เราหานักวิจัยเก่งๆ มาวิจัยเรื่องเวลา แม้แต่นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลยังได้แต่คลำทางเลยนะ แต่เราจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อปกป้องคนในโลกใบนี้"
หมอดูและนักฟิสิกส์อยู่ในย่อหน้าเดียวกัน น่าสนใจแฮะ
"หนูเป็นหนี้ลุงกาน หนูจะเข้าร่วมโครงการนี้ค่ะ"
ฉันตอบ โดยไม่รู้เลยว่าเรื่องจะยุ่งยากขนาดนี้
เขียนโดยเรย์ เมื่อ 2 วันก่อน ผมไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่ทำมันมีจุดอ่อน เพียงแค่ติดกล้องวงจรปิดไว้ในเพนท์เฮ้าส์ แล้วตามกล้องวงจรปิดในเมืองไปแต่ละตัว ก็จะเจอได้ง่ายว่าผมล็อคเอาท์ที่บ้านหลังไหน แถมเมื่อรู้ว่าบ้านหลังไหน ก็จะรู้ด้วยว่าผมเป็นใคร แต่ที่ผมแปลกใจคือ สาวตุ๊กตาบาร์บี้รู้ทั้งรู้ว่าผมเป็นใคร กลับเอาแฟนผมมาเป็นตัวประกันเอ หรือเขาจะอยากให้ผมเจ็บด้วยกว่าทำร้ายแฟน ให้เจ็บยิ่งกว่ามาหาผมถึงบ้าน แล้วบังคับเอาเพชรไปจากผม อยากด่าเขาว่าชั่ว แต่ผมก็ไม่ใช่คนดีอะไร ผมเลยสงบปากสงบคำ "เรย์ ช่วยแอนน์ด้วย เขาขู่ว่าจะฆ่าแอนน์ หรือทำอะไรที่จะทำให้เรย์ยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น เรย์ไปทำอะไรมา ทำไมเขาถึงแค้นเรย์ขนาดนั้น" แอนน์พูดผ่านอวาตารรูปนินจาชาย ปิดหน้าปิดตาเห็นแต่ดวงตาสีฟ้าสดใส เจ้าของเพชรบังคับถ่ายคลิปวิดีโอแล้วส่งมาให้ผม ผมเป็นห่วงแฟนนิดหน่อย ถ้าแค่ทำให้ตายก็คงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แค่สร้างทรัพย์สินขึ้นมาใหม่ด้วยน้ำพักน้ำแรง หรือจะสายมืดแบบที่ผมทำ และถ้าทำอย่างที่ขู่ ผมคิดไม่ออกเลย ว่าเขาจะทำอะไรแอนน์
เขียนโดยฮาริส เมื่อ 15 ปีก่อน ตอนนั้นผมเดินทางกลับมาจากต่างประเทศใหม่ๆ ผมได้ทุนจากมหาวิทยาลัยจากประเทศมหาอำนาจ แม้ว่าตระกูลจะมีสมบัติมากอยู่ ผมได้ยินจากที่บ้านและฟังข่าวมาบ้าง ว่าตอนนี้ประเทศเรากำลังมีสงคราม เพราะเราอยากปลดแอกจากการถูกคุกคาม ผมเรียกลูกน้องของพ่อไปด้วยกัน เขาเป็นชายวัยสี่สิบ ชื่อฮาล่า ไว้หนวดตกตำ ส่วนผมวัยยี่สิบตอนปลาย ใบหน้าจริงจัง สายตาเหมือนประเมินใครต่อใครอยู่ตลอดเวลา จะว่าหล่อแบบมีคลาสก็ไม่ผิด “ฮาล่า ผมอยากไปดูเมืองเราในตอนนี้ พาผมไปหน่อย” “ครับ ท่านฮาริส” เขาตอบรับอย่างนอบน้อม เราเดินทางด้วยรถจิ๊บ ระหว่างทางอากาศร้อนประทะหน้าเราสองคนไปตลอดทาง ไม่นับฝุ่นจากทะเลทรายที่ทำให้ระคายตาอีก แต่ผมได้กลิ่นที่คุ้นเคย กลิ่นของเมือง กลิ่นของกินน่ะสิครับฮาล่าจอดรถใกล้ตลาด ที่เต็มไปด้วยฝูงชน อย่างน้อยในตอนนี้ ชาวบ้านก็ยังพอหาอาหาร ทำมาหากินได้บ้าง ผมเห็นลูกอินทผลัมวางเรียงราย รู้สึกอยากกินขึ้นมา จึงเดินเข้าไปหาแม่ค้
เขียนโดยเพนนี ปัจจุบัน ฉันได้รับข้อความวิดีโอจากกรมตำรวจ แต่รู้สึกไม่สบายตา ไม่อยากดูทางมือถือ จึงส่งข้อความไปที่อ้อยอิ่ง หุ่นยนต์เอไอหยุดนิ่ง แล้วฉายข้อความออกทางตา ทำให้เห็นวิดีโอที่หัวหน้าพูดคุยมาทางนั้น "สวัสดีคุณพริมา ภัทรโสภณ มีรายงานว่าผู้ร้ายไซเบอร์นามแฝงว่าบลูคิลเลอร์ได้แฮกเอาเงินในผู้ใช้ VR ในประเทศของเราไปทั้งหมดด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควอนตัม ซึ่งได้ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และขาดการควบคุมในบางประเทศทั่วโลก มีเพียงข้อความสั้นๆ ที่เขาทิ้งไว้ คือ 'ฉันมาเอาเพื่อแก้แค้น' เมื่อเราสืบไป ก็พบว่าเป็นผู้ใช้เดียวกับคนที่นายเรวัช วัชรกุล เคยขโมยเพชรไป และการที่คุณเข้าไปพัวพันโดยไม่รายงานให้เบื้องบนทราบ ทำให้เหตุการณ์บานปลาย ผมในฐานะผู้บังคับบัญชาคุณ ขอสั่งให้คุณ เข้าไปแก้ไขเหตุการณ์นี้ พร้อมผู้ช่วยที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางไอที คือคุณเพียงออ โปรดติดต่อเธอหลังจากคุณดูวิดีโอนี้จบ ขอบคุณครับ" "เจ้านายคะ จะให้ดิฉันติดต่อคุณเพียงออเลยไหมคะ" เธอถามอย่างรู้งาน ฉันพยักหน้า ก่อนนั่งลงบน
เขียนโดยเพนนี ปัจจุบัน ลูปที่ 2 "คุณเพนนีคะ ตื่นได้แล้วค่ะ" อ้อยอิ่งส่งเสียงเรียกฉัน ฉันอยากนอนต่ออีกนิดหนึ่ง จึงไม่ได้ตื่นตามคำบอกของหุ่นยนต์เอไอ "ถ้าไม่ตื่น อ้อยอิ่งจะจูบนะคะ" ตาเบิกโพล่งขึ้นมาทันที เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความรักของมนุษย์กับเอไอ อย่างน้อยๆ ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่ยอม ฉันจัดการตัวเอง แล้วนึกย้อนไปเมื่อวาน เป็นฝันที่สมจริงทีเดียว ฝันว่าได้รับข้อความวีดิโอจากผู้บังคับบัญชา ได้เจอเพื่อนร่วมทีมที่ชื่อเพียงออ และคนสวยอีกคนที่ชื่อแกรมม่า ฉันอมยิ้มเมื่อนึกถึงเธอ "มีข้อความจากกรมตำรวจค่ะ" อ้อยอิ่งเอ่ย ฉันว่าฉันเห็นหล่อนหงุดหงิด นี่ขนาดอ่านใจได้เลยเหรอเนี่ย ว่ากำลังคิดถึงผู้หญิงคนอื่น แต่ฉันไม่ได้ใส่ฟังก์ชั่นให้หุ่นยนต์รักฉันเสียหน่อย แค่มีความจงรักภักดีเท่านั้นเอง ฉันขยี้ตาแล้วให้อ้อยอิ่งเปิดข้อความ ฉันตกใจ เมื่อได้ยินข้อความเหมือนเมื่อวาน มีการแนะนำให้ไปรู้จักกับเพียงออ แล้วตามมาด้วยการปรากฎตัวของแกรมม่า! เห้ย หรือฉันจะฝันเห็นอนาคต! ก่อนที่เราจะล็อคอินเข้าไป
เขียนโดยเพนนี เมื่อ 16 ปีก่อน ฉันมาอยู่กับลุงกานได้ปีหนึ่งแล้ว วันนี้ลุงกานจะพาฉันไปธนาคาร ครั้งแรกเลยนะเนี่ย แต่งตัวให้เหมือนลูกเจ้าสัวอีกดีกว่า ฉันหวีผมพองฟูให้เรียบแปล่ จากนั้นก็กลับมาฟูอีกนิดหน่อย ส่วนกิ๊ฟติดผมจะช่วยทำให้ฉันดูสดใสกว่านี้ ภายในธนาคารแทบไม่มีคน การทำธุรกรรมกับคนเป็นเรื่องล้าสมัย แต่การเปิดบัญชีก็จำเป็นต้องเจอหน้าค่าตากันบ้าง เงินในธนาคารเป็นเงินในอากาศเสียมากกว่า แต่ในห้องนิรภัยก็ยังมีธนบัตรอีกจำนวนไม่น้อย ลุงกานมีมาดตำรวจ ไม่เว้นแม้แต่ตอนใส่ชุดไปรเวท พนักงานธนาคารจำลุงได้ จึงยกมือพนมมือกันถ้วนหน้า ฉันไม่อยากอวดเลย ก็ลุงเป็นผบ.ตร.นี่นา ถึงฉันจะไม่ใช่ลูกเจ้าสัว แต่ตอนนี้นายตำรวจเบอร์หนึ่งก็รับฉันมาเลี้ยงด้วยล่ะ เราเดินมารอตรงเก้าอี้ จู่ๆ วันที่เงียบสงบก็แปรเปลี่ยนไป เมื่อโจรใส่หน้ากากทศกัณฐ์กรู่กันเข้ามา จำนวนกว่าสิบคน พวกเขายิงปืนขึ้นฟ้า แล้วล้อมพวกเราไว้ แหม รักซอฟท์พาวเวอร์เมืองไทยเสียจริง! พนักงานหญิงของธนาคารตกใจกลัว กรี๊ดเสียงดัง พวกนั้นไ
เขียนโดยเพนนี ปัจจุบัน ลูปที่ 3 ฉันกระพริบตาถี่ๆ เมื่อตื่นขึ้นในเช้าวันเดิมๆ ฉันนั่งฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาผ่านจากอ้อยอิ่งอีกครั้ง แล้วก็ทำความรู้จักเพียงออและแกรมม่าอีกเช่นเคย "เพนนีขอพูดอะไรหน่อย" ฉันเกริ่นนำและพยายามจะเข้าเรื่องให้เร็วที่สุด "เพนนีเป็นคนในคำทำนาย ที่จะสามารถช่วยคนนับล้านได้ ดังนั้นขอให้ทั้งสองคนทำตามที่เพนนีบอกโดยไม่มีคำถาม โอเค รับทราบ?" แกรมม่าทำหน้านิ่ว ส่วนเพียงออก็เงียบเฉย เอาล่ะ ฉันทำให้ตัวเองเพิ่งกลายเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการแถมไม่น่าคบ และทั้งสองคนก็เพิ่งเจอฉันครั้งแรก แต่ฉันใช้เวลากับทั้งสองคนมาสักพักแล้ว "ก่อนที่เพนนีจะตายจากการวนลูปครั้งที่แล้ว เพนนีเห็นรอยสักที่ต้นแขนของฆาตกร เพนนีให้อ้อยอิ่ง หมายถึงหุ่นยนต์เอไอน่ะ ช่วยทำการเสิร์จหาแล้ว แต่หาไม่เจอ เพนนีเชื่อว่า นี่จะเป็นเบาะแสของ บลูคิลเลอร์ หรือคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้" "ถ้าเพนนีเก่งขนาดไม่ต้องการความช่วยเหลือของเราสองคน แล้วแกรมม่ากับเพียงออจะจำเป็นอะไร เชิญหาไปคนเดียวเถอะ" มันต้
เขียนโดยฮาริส หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง ลูปที่ 3 หลังจากที่ผมได้รับการเลือกเป็นผู้นำนาดา ผมจบการศึกษาปริญญาเอกด้านคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ผมมาเป็นครูสอนการใช้คอมพิวเตอร์ สอนให้ชาวนาดาเป็นแฮกเกอร์ที่เก่งกาจ เพราะคนสอนเองก็เก่งอาจนะสิ เราลงทุนสร้างระบบไอทีที่ทันสมัย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหารายได้เข้าประเทศไม่ได้ ผมคิดถึงการขโมยเงินมาจากต่างประเทศหลายครั้ง เพราะความแค้นใจที่มีต่อนายเรวัช ที่ขโมยเพชรไปจากผม ผมไม่มีทางเลือก และต้องตอบโต้ประเทศไทย ด้วยการแฮกเงินจากผู้ใช้ VR ในไทยไปจนหมด หมดกัน ความหวังที่จะเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ ผมรู้ว่าไอ้เรวัชมันอยู่ที่ไหน แต่ผมอยากได้เพชรคืน ผมจึงหักหลังมันด้วยการเสนอเงินให้แอนน์ แฟนของมัน และตามคาด เธอยอมรับเงินนี้ “ทำไมคุณถึงยอมรับงินของผม” “ฉันเบื่อนิสัยของเรย์ค่ะ เขาชอบทำอะไรเสี่ยงๆ บางทีฉันแค่ต้องการมีชีวิตที่สงบสุข ไม่จำเป็นต้องร่ำรวยหรือสบายขนาดนั้นก็ได้” “เรย์คงเสียใจน่าดู” ผมใ
เขียนโดยแกรมม่า เมื่อ 1 เดือนก่อน ฉันหรือ ร.ต.ต.กมลาภา แดนโกศลถูกส่งมาช่วยราชการลับ โค้ด P001 เพื่อช่วย ร.ต.ต.พริมา ภัทรโสภณ ทำภารกิจช่วยเหลือมนุษย์นับล้าน แม้ว่าจะเกิดแรงต่อต้านจากภายนอกมากเพียงไร แต่ฉันและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็จะต้องสนับสนุนร.ต.ต.พริมา หรือคุณเพนนี ให้ได้มากที่สุด อันที่จริง ฉันถูกส่งมาตามดูคุณเพนนีตามคำสั่งของลุงกาน เพื่อทำให้เราสนิทกันไวขึ้น และไว้วางใจกันทำงานสำคัญๆ ด้วยกัน แม้ว่าเธอจะไม่รู้จักฉันมาก่อนก็ตาม แท็บเล็ตข้างหน้าฉันมีประวัติของเพนนี ตั้งแต่วันเกิดไปจนถึงเหตุผลที่ต้องมาทำงานเป็นครูแนะแนวที่โรงเรียนแห่งนี้ ไฟล์ใหญ่จนกินพื้นที่ในแท็บเล็ตไปเกือบครึ่ง มีทั้งตัวหนังสือ วิดีโอ และภาพถ่ายเต็มไปหมด กระทั่งความชอบหมา หรือถนัดซ้ายก็บรรจุอยู่ในนี้ไม่มีเว้น อ่อ ลืมเล่าไปอีกนิดหนึ่ง ในยุคนี้แท็บเล็ตบางและเบาจนไม่น่าเชื่อ เราสามารถพับเจ้าอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์นี้ได้ไม่ต่างอะไรกับกระดาษเอสี่ แถมยังไวเพราะชิปรุ่นใหม่ที่ทำการประมวลผลได้เร็วราวกับยกคอมพิวเตอร์ควอนตัมมาไว้ในมื
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 4 เดือน ลูปที่ 6 ฉันพาแกรมม่ามาที่ห้องพักบ่อยครั้ง พวกเราค่อนข้างหวานแหวว ตัวติดกันจนแทบจะแยกไม่ออก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกเปลี่ยนไปตั้งแต่มีเธอ นั่นคือ… อ้อยอิ่ง หุ่นยนต์แม่บ้านเอไอทำตัวแปลกออกไป อย่างที่ฉันสงสัยมาเสมอ ว่าเธอถูกใส่โปรแกรมให้รักเจ้านายเข้าไปด้วย หรือไม่วิวัฒนาการก็ทำให้เธอมีอารมณ์เหมือนมนุษย์ อ้อยอิ่งไม่ฮัมเพลงเวลาทำกับข้าว อ้อยอิ่งไม่รีบมาเวลาฉันเรียก และอ้อยอิ่งประชดประชันฉันบ่อยขึ้น “หุ่นยนต์เอไอ” ฉันเรียกเธอ “ค่ะ เจ้านาย” แทนที่จะต่อปากต่อคำให้ฉันเรียกชื่อเหมือนอย่างเคย แต่เธอกลับตอบรับอย่างไม่มีชีวิตชีวา “งอนเหรอ” “หุ่นยนต์ไม่สามารถมีความรู้สึกได้ นอกจากยินดีทำตามคำสั่งค่ะ และอ้อยอิ่งก็เป็นแค่หุ่นยนต์” ฉันต้องแคร์ไหมเนี่ย เอา ก็ได้วะ “ขอบคุณอ้อยอิ่งมาก ที่ทำงานรับใช้ฉันอย่างดีเสมอมา” ฉันไม่รู้จะจบประโยคนี้ได้อย่
เขียนโดยนิวตัน เมื่อ 16 ปีก่อน พ่อแม่ของเรามาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบ่อยๆ จนพี่เพนนีจำหน้าพ่อกับแม่ได้ เธอจะยิ้มกว้างทุกครั้งที่เห็นพวกท่าน เพราะท่านจะเข้ามาพูดคุยกับเด็กๆ ไม่เว้นแม่แต่กับเธอ เด็กในนี้จะโหยหาความรัก และอยากให้คนมาสนใจ อันที่จริง เพราะอยากจะมีโอกาสได้คุยกับพี่เพนนีด้วย แต่ไม่อยากให้มันโจ่งแจ้งนัก กระทั่งพ่อกับแม่เป็นห่วงพี่เพนนีมาก จนแม่ต้องร้องไห้ทุกคืน “เดี๋ยวผมจะไปอยู่กับพี่เพนนีเองครับ” ผมอาสา “เราเสียลูกสาวให้ส่วนรวมไปแล้ว ยังต้องเสียลูกชายไปด้วยเหรอคะคุณ” แม่ทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ “ผมจะดูแลพี่เพนนี จะเอ็นเตอร์เทนจนพี่ต้องร้องขอพัก” ผมหัวเราะคิกคัก “ผมจะเล่าให้ฟังว่าเราทำอะไร กินอะไร นอนยังไงนะครับ แม่จะได้หายกังวล” หลังจากนั้นอีกสามวัน ผมก็เข้ามาอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ผมเป็นเด็กใหม่ที่ค่อนข้างอ้วน หลายๆ คนจึงเข้ามาบูลลี่ผม เพราะเด็กที่นี่หุ่นสมส่วนทุกคน “ไอ้เด็กอ้วนๆ มันจะโดนไม้เสียบๆ เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา ร้อนจริงๆ ร
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 93 วัน ลูปที่ 6 ภาพรอบๆ ตัวฉันเป็นสีขาวโพลน แวบแรกฉันคิดว่า นี่คือสวรรค์หรือไม่ก็โลกหลังความตาย มีคนตายกี่คนที่จะกลับมาบอกเราว่า โลกหลังความตายเป็นอย่างไร แล้วภาพก็ค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้น ฉันจึงเห็นว่าสวรรค์แห่งนี้ ดูเหมือนโรงพยาบาล "ตื่นแล้วเหรอ" "คอแห้งมากเลย" ฉันตอบกลับเสียงนั่นเบาๆ ก่อนจะเห็นว่าเป็นแกรมม่า เป็นแกรมม่าเวอร์ชั่นที่ไม่ได้เห็นนานแล้ว นั่นคือเวอร์ชั่นที่ไม่อมทุกข์ "รู้สึกอย่างไรบ้าง" ฉันสำรวจแขนขาตัวเอง ก็ยังผอมบางเหมือนเดิม แต่รู้สึกได้ว่ามีกำลังวังชายิ่งกว่าเดิม เหมือนได้รับยาเพิ่มพลังชีวิตอย่างไรอย่างนั้น "ก็ดี" "พูดให้เจาะจงหน่อย" "รู้สึกมีแรงมากขึ้น ตัวเบาขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อน" "วิเศษมาก!!" แกรมม่าแทบจะตะโกน "ตอนนี้เพนนีหายแล้วนะ เพนนีจะไม่ตายแล้ว" "ว่าไงนะ บุญช่วยงั้นเหรอ" ฉันเอ่ยอย่างใสซื่อ ไม่รู้จะนึกเรื่องไหนได้อีกแล้ว "เพนนีจะไม่ตายจ
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 3 เดือน ลูปที่ 6 "เพนนีเป็นยังไงบ้าง" แกรมม่าถามเมื่อเห็นสีหน้าฉันขาวราวกับกระดาษ โธ่ ลืมปัดแก้มอีกแล้ว "ก็ยังสบายดีค่ะ เพนนีเคลียร์งานนี้เสร็จ จะไปกินข้าวด้วยนะ" "แกรมม่ามีเรื่องจะบอก" เธอทำหน้านิ่ง จนฉันกลัวอีกแล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่น่ารู้ก่อนที่ฉันจะตายอีกไหมนะ แต่ก็อีกเป็นปีๆ แหละนะ "แกรมม่าจำได้ทั้งหมด ทุกครั้งที่มีการวนลูป" "หะ?" ฉันอุทาน "ได้ยังไง" "แกรมม่าจดจำเรื่องทุกอย่างได้เพราะ โธ่ อย่าทำหน้าตกใจขนาดนั้น ก็แค่จำได้ ลุงกานเลยคุยกับแกรมม่าเพื่อยืนยันเรื่องของเพนนี ตลอดเวลาที่เราวนลูป" "แล้วยังไงอีก" "หมายความว่าไง ก็บอกไปทุกเรื่องแล้ว" เธอก้มหน้าหงุด รู้ว่าถึงฉันจะวนลูป แต่ในใจก็มีเธอเสมอ โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ ฉันได้บอกรักเธอ หน้าฉันเลยมีสีจัดขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ "แล้ว...แล้ว...แล้ว" "แล้วอะไร" แกรมม่าคงจะเขินจริงๆ "แล้วรักเพนนีบ้างหรือยัง"
เขียนโดยเรย์ หลังจากนั้น 8 วัน ลูปที่ 6 ภายหลังนาดาเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ อาจารย์เพนนีก็มาหาผมที่บ้าน และขอคุยกับผมตามลำพังในห้องรับแขก “อาจารย์เข้าเรื่องเลยละกัน” “มีนัดต่อกับพี่แกรมม่าเหรอครับ” ผมดักทาง เหม็นกลิ่นความรัก “ขอเขกหัวทีเถอะ ไอ้เด็กนี่” ไม่พูดเปล่า แต่ยกมะเหงกขึ้นมาด้วย แต่ผมหลบไวกว่า ผู้หญิงหรือจะไวสู้ผู้ชายได้ อาจารย์เลยทำหน้าเคร่งขึ้นมา “มานั่งให้ดีๆ” “ครับ” “ไปหาคุณฮาริสที่เพนเฮาส์ ไปต่อหน้าอาจารย์นี่แหละ” “ครับ” ผมสวมเสื้อสูท VR ส่วนอาจารย์เพนนีเปิดแท็บเล็ตส่วนตัวเพื่อติดตามบทสนทนาระหว่างเรา ผมขึ้นลิฟท์ไปแบบอารยชน ไม่ได้ไปในฐานะขโมยหรือผู้ร้าย ผมรู้จากคำบอกเล่าของอาจารย์เพนนีที่ว่า ผมกระตุ้นให้เกิดเรื่องร้ายแรงในประเทศเรา และกำลังจะทำให้คนบริสุทธิ์ต้องเดือนร้อนจำนวนมาก ถึงขั้นตายเลยเสียด้วยซ้ำ “ผมขอโทษครับ” ผมก้มกราบคุณฮาริสที่อยู่ในรูปร่างบลูค
เขียนโดยฮาริส หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ลูปที่ 6 ผมเข้าประชุมกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อขอปลดแอกประเทศนาดาจากประเทศมหาอำนาจและช่วยให้พ้นความยากจน เพื่อทำแนวทางใหม่สู่ความยั่งยืนและความเสมอภาค ในเวทีนี้ ผมคาดหวังว่าจะได้รับไอเดียดีๆ และพันธมิตรที่จะมาช่วยเหลือนาดาได้สำเร็จ ประธานในที่ประชุมกล่าวต้อนรับเรา และชี้แจงวัตถุประสงค์ในการประชุมวันนี้ ผมตื่นเต้นจนมือเปียก น้ำลายหนืด แถมปากแห้งไปหมด ถึงอย่างนั้น แต่ผมหันหน้าสี่สิบห้าองศาให้กล้องที่กำลังถ่ายทอดสดพวกเราอยู่ แหม ต้องขอบคุณเพื่อนนายแบบที่สอนทริคนี้ให้ผม ส่วนตัวผมกล่าวขึ้นแถลงเป็นคนถัดไป ผมซ้อมมาหลายวันกว่าจะกล้าขึ้นเวทีในวันนี้ ผมบอกตัวเองหลายรอบแล้ว ว่าผมคือพระเอกในวันนี้ พระเอกที่ทำทุกอย่างอย่างที่ควรเป็น เลิกเสียทีการสละเลือดเนื้อ เพื่อเอาชีวิตรอดในแต่ละวัน “ในประเทศของเรา ความยากจนเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะเชื่อมโยงความไม่เท่าเทียมทางการศึกษาและสิทธิในการเข้าถึงโอกาสทางการปกครอง โดยเฉพาะเมื่อประเทศที่ปกครองเราอ
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 24 ชั่วโมง ลูปที่ 6 การเจอกับพ่อแม่คราวนั้น ทำให้ฉันตระหนักว่าฉันมีค่า เพราะมีคนรักฉันและเพราะฉันตั้งใจจะทำความดี ดังนั้นตอนนี้ใจฉันมันเอนเอียงไปทางทำความดีซะมากกว่า ที่ผ่านมาเอาแต่จะใช้ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ฉันนั่งนิ่งแล้วก็นึกว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าคุณเหลือเวลาในชีวิตอีกไม่มาก สิ่งที่อยากทำจะเป็นการฆ่าคน? หรือการช่วยคน? ฉันกลัวเหลือเกินว่าก่อนตาย ใจฉันจะอยู่กับความดีหรือความชั่วที่ทำ และถ้าโลกหลังความตายมี ฉันจะไม่ตกนรกหรอกหรือ ถ้าวางแผนฆ่าชาวนาดาไว้มากขนาดนั้น แกรมม่าเดินมาจากด้านหลัง โอบเอวฉันไว้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบเย็น เราแทบจะคบกันโดยไม่ต้องตกลงอะไรกันก่อน ไวไฟไหมล่ะ "เรามาทิ้งทวงกันไหม ไหนๆ เพนนีก็ใกล้ตายแล้ว" เธอพูดแทนใจฉันทั้งหมด "เรามาช่วยชาวนาดากันเถอะ" เราคุยกันเล็กน้อยเพื่อวางแผน ก่อนเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวไปนาดากัน ซึ่งก่อนไป ฉันก็แนะนำตัวว่าเป็นตำรวจจากประเทศไทย และอยากมาเสนอขายไอเดีย เพื่อทดแทนที่ทำให้ บลูค
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง ลูปที่ 6 ฉันพายัยคนตาสวยไปหาหมอดูที่ทำนายเรื่องของฉันเอาไว้ ประตูบ้านเปิดแง้มๆ เอาไว้ ฉันจึงเห็นว่ามีผู้สูงวัยสองคนกำลังคุยกับหมอดูอยู่ "เราอยากรู้เรื่องเพนนี" "เพนนีไหน" "เพนนีที่คุยเคยทำนายเอาไว้ว่าจะช่วยคนนับล้าน" ฉันหูพึ่ง เมื่อได้ยินดังนั้น จึงส่งสัญญาณให้แกรมม่าเงียบเสียงลง "แล้วพวกคุณจะอยากรู้ไปทำไม" หมอดูเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า เพราะอายุมากแล้ว "เราเป็นพ่อแม่เธอ" ฉันได้ยินดังนั้น แทบจะเตะประตูเข้าไปที่จริง ก็แค่ดันประตูเฉยๆ "แล้วทำไมถึงทิ้งให้หนูอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า" "เพนนี!!" ผู้หญิงคนนั้นหันมามองฉันที่เข้ามา ตาโต หน้าซีดเผือก "ทำไมคะ ช่วยบอกหนูหน่อย" น้ำตาของฉันไหลออกมา มันเป็นเพราะความน้อยใจ ความเสียใจ และความสะเทือนใจที่ผลักดันน้ำตาออกมา "นั่งก่อนเถอะ เรามีเรื่องต้องคุยกันยาว" ผู้ชายค
เขียนโดยเพนนี ปัจจุบัน ลูปที่ 6 ฉันเจอแกรมม่าและเพียงออเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วนะ แต่ก็ยังดีใจที่ได้เจอเธออยู่ หมายถึงแกรมม่าน่ะ แล้ววันนี้ฉันคิดจะถอยก้าวหนึ่ง ก่อนจะไปต่อ หมายความว่า ฉันจะไม่หาทางไปจัดการบลูคิลเลอร์ในทันที แต่อยากสืบเรื่องวนลูปก่อน ในใจเต็มไปด้วยคำถามมากมาย ฉันใช้อ้อยอิ่งโทรด้วยวิดีโอหาลุงกาน ต่อหน้าเพื่อนร่วมทีมทั้งสองคน "ลุงกานคะ หนูอยากคุยกับนักวิทยาศาสตร์ เรื่องกาลเวลา" "แต่ว่า" "นะคะ หนูขอคำตอบเท่าที่เรามีก็ได้ ไม่ต้องตอบให้กระจ่างชัดทุกเรื่องก็ได้" ฉันทำเสียงอ้อนเล็กๆ และรู้ว่าลุงกานจะใจดีกับฉันเสมอ เพราะอะไรนะ เพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า หรือฉันเป็นคนโปรด หรือเพราะฉันมีความสำคัญกับโลกใบนี้ แต่ไม่ว่าเพราะอะไร ฉันก็จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี "แกรมม่าจะไปด้วย" "แต่สุดท้ายเมื่อมีการวนลูป แกรมม่าก็จะลืมอยู่ดี" ฉันโบกมือเพื่อปฏิเสธ "แต่แกรมม่าจะช่วยฟัง แล้วก็จะช่วยถามด้วย เพื่อให้เพนนีได้ข้อมูลที่ดีที่สุดนะ"