คืนวันหนึ่งในฤดูหนาว รถยนต์สีเทาคันใหญ่กำลังมุ่งหน้าไปตามทางเปลี่ยวลาดชัน ถนนสองเลนเล็ก ๆ ลัดเลาะไปตามแนวเทือกเขาคดเคี้ยวหลายสิบกิโลเมตร บางครั้งมีรถจากอีกฝั่งแล่นสวนทางมาบ้างประปราย ช่วยให้รู้สึกโล่งใจได้ว่าไม่ได้มีเพียงพวกเขาบนเส้นทางอันยาวนาน
บรรยากาศภายนอกเงียบสงบและวังเวง สองข้างทางเป็นป่าไม้ที่ผลัดใบจนเหลือแต่กิ่งก้านตามฤดูกาล ส่วนข้างในรถมีครอบครัวแสนอบอุ่นกำลังนั่งอยู่เงียบ ๆ
สายตาของธาวินมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเพียงแสงไฟจากต้นเสาที่อยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ไกลลิบกระพริบเป็นช่วง ๆ เขาตื่นเต้นที่สองสามวันนี้พ่อกับแม่พาเที่ยวต่างจังหวัดตามที่สัญญากันเอาไว้
จุดหมายปลายทางบนแผนที่ถูกปักหมุดเอาไว้เป็นแผนการเดินทางในวันหยุดยาวของครอบครัว เด็กชายตัวน้อยคาดหวังไว้แล้วว่าเช้าวันรุ่งขึ้น เขาจะได้เห็นแสงอาทิตย์ที่ขอบฟ้าลอยเหนือทะเลหมอกบนจุดสูงที่สุดของยอดเขา
“ยังไม่ง่วงอีกเหรอครับ” แม่ของธาวินถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาของเธอเหมือนจันทร์ครึ่งเสี้ยวเวลายิ้มให้เขาเหมือนทุกครั้ง
ลูกชายคนเดียวส่ายหน้า “ไม่ง่วงครับ แม่ไม่นอนเหรอ” เขาสังเกตมาตลอดทางว่าคนเป็นแม่มักจะคอยช่วยพ่อของเขาดูเส้นทางอยู่ตลอด เขาจึงอยากทำแบบนั้นบ้าง “เดี๋ยวผมช่วยพ่อดูทางเองครับ แม่นอนเถอะ”
“แต่ว่าตอนนี้ดึกแล้วนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงไปเที่ยวจะทำยังไงดีล่ะ” พ่อของเขาเอ่ยปาก พลางมองกระจกหลังยิ้มให้ลูกชายแวบหนึ่งแล้วมองถนนตรงหน้าต่อ
บทสนทนาของทั้งสามดูไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุดลงง่าย ๆ เพราะธาวินชวนพ่อกับแม่คุยเรื่องโน้นที ถามเรื่องนี้ทีไม่ยอมหลับยอมนอน นั่นเป็นเพราะนาน ๆ ครั้งถึงจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาบ้างเพราะพ่อมักจะต้องทำงานที่ต่างจังหวัดอยู่บ่อย ๆ
ทันใดนั้น จู่ ๆ รถคันที่วิ่งสวนเลนมากระพริบไฟหน้าเป็นระยะราวกับกำลังเตือนให้พวกเขาระวังอะไรบางอย่าง แสงไฟสาดเข้ามาในห้องโดยสารจนธาวินเองนึกสงสัย
“สงสัยข้างหน้ามีอุบัติเหตุหรือเปล่าคะ” แม่ของเขาถามขึ้น ในขณะที่พ่อลดความเร็วลงแล้วสาดไฟสูงดูลาดเลา แต่ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ กระนั้นยังคงชะลอความเร็วเผื่อมีอะไรไม่คาดคิดโผล่ขึ้นมา
ช่วงจังหวะนั้น รถที่แล่นตามมาข้างหลังขับจี้เข้ามาใกล้หวังให้พวกเขาเร่งเครื่องให้เร็วขึ้นกว่าเดิม
แม้ว่ารถเลนสวนคันที่สองจะกระพริบไฟเตือนด้วยความหวังดีแต่เหมือนกับว่ารถคันหลังยังขับประชิดรถของพวกเขาไม่เปลี่ยน
ครั้นคนเป็นพ่อเห็นว่าข้างหน้าสามารถเบี่ยงหลบได้จึงเริ่มชิดซ้ายเพื่อให้คันที่รีบได้แซงไปก่อนแต่ไม่ทันจะถึงที่ตรงนั้น รถคันหลังกลับเบียดขึ้นมาแล้วตวัดท้ายใส่หน้ารถพวกเขาราวกับตั้งใจอย่างไรอย่างนั้น
ช่วงล่างรถส่งของที่ถูกดัดแปลงมาเพื่อรับน้ำหนักให้มากขึ้นและยางล้อที่ดอกเริ่มสึกจนแทบจะโล้นทำให้เกาะถนนไม่อยู่ รถจึงสะบัดอย่างแรงไปทางฝั่งตรงข้าม
พ่อของธาวินเหยียบเบรก พยายามบังคับพวงมาลัยและประคองรถให้อยู่ห่าง แสงสะท้อนจากผิวถนนแวววาวจนเขาตระหนักได้ว่ารถที่สวนมาต้องการจะบอกอะไร ทางด้านหนึ่งมีรถบรรทุกจอดริมทางราวกับเป็นต้นเหตุ
น้ำมันรถรั่วเจิ่งนองเต็มพื้นทั้งสองฟากฝั่งและรถส่งของคันนั้นกำลังหมุนติ้วไม่อาจควบคุมได้พลันแฉลบกับรถกระบะคันใหญ่ที่วิ่งสวนเลนมาพอดี ก่อนจะประคองตัวเองให้อยู่ในเลนได้ด้วยความโชคดีที่ใช้หมดแล้วภายในเสี้ยววินาที
กระบะคันนั้นจึงต้องเลี้ยวหลบรถส่งของไปริมทางฝั่งตนเอง แต่เพราะเพิ่งจะเห็นว่าเงามืด ๆ นั้นคือท้ายรถบรรทุกขนาดใหญ่จึงเหวี่ยงตัวรถมาทางฝั่งตรงข้ามโดยไม่ได้ตั้งใจ
แสงไฟสุดท้ายที่สาดเข้ามาในรถของธาวิน สีหน้ากังวลที่แม่หันมามองเขาและสายตาของคนเป็นพ่อที่มองมาในชั่วขณะหนึ่งกลายเป็นภาพสุดท้ายของครอบครัวที่ธาวินจำได้ในเวลาที่ตื่นขึ้นมาเช้าวันใหม่
“อาการของธาวินเป็นอย่างไรบ้างครับ” ก้องเกียรติผู้เป็นเพื่อนสนิทกับพ่อของธาวินรีบมาดูอาการของผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในอุบัติเหตุครั้งนี้
เขาสังเกตว่าเด็กน้อยไม่พูดไม่จามาเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้วและยังคงเก็บตัวเงียบเพียงลำพัง แววตาสับสนเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลา
แม้เขาและภรรยาจะค่อย ๆ อธิบายให้เข้าใจแต่ว่าธาวินคงทำใจรับเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงพริบตาไม่ไหว
“ทางเราตรวจร่างกายอย่างละเอียดแล้วครับ ผู้บาดเจ็บอาจจะได้รับผลกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างการสูญเสียคนที่รักไปจึงทำให้การพูดเป็นสิ่งที่ยากลำบากสำหรับเขาครับ และอีกอย่างอาจจะเป็นเพราะอุบัติเหตุ ผลการตรวจที่ผมเพิ่งได้รับมาจึงแจ้งว่ามีเรื่องประสาทหูเสื่อมด้วยครับ” แพทย์ที่รักษาธาวินค่อย ๆ อธิบายอาการของเขาให้ก้องเกียรติฟังทีละส่วน
“ประสาทหูเสื่อมเหรอครับ แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะหายเป็นปกติ เรื่องการพูดด้วยครับ” เขาเอ่ยปากถาม สงสัยว่าต้องใช้วิธีไหนรักษาเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนั้น สายตามองภรรยาด้วยความกังวล
“เรื่องการพูดคงต้องใช้เวลาค่อย ๆ เยียวยา หากมีครอบครัวที่พร้อมจะดูแลเขาก็คงดีครับ ส่วนเรื่องการได้ยินยังคงพอมีโชคดีอยู่บ้างครับ ถึงจะไม่มีวิธีรักษาให้หายแต่ว่าการใส่เครื่องช่วยฟังจะพอประคับประคองไม่ให้ประสาทหูเสื่อมไปมากกว่านี้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนคุณหมอด้วยนะคะ” จันทร์วิมล ภรรยาของก้องเกียรติฝากความหวังไว้ที่เขา
สองสามีภรรยาเข้ามาเยี่ยมธาวินเหมือนอย่างเคย พร้อมกับลูกสาวสองคน สายตาที่ธาวินมองมายังคงคิดว่าพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าอยู่วันยังค่ำและทำตัวห่างเหิน วันทั้งวันรอคอยว่าเมื่อไหร่ที่พ่อแม่ของตนเองจะมารับกลับจากโรงพยาบาลแห่งนี้
“พ่อคะ” เมธาวี ลูกสาวคนโตถามด้วยความสงสัย “เราจะรับน้องไปอยู่ที่บ้านจริง ๆ ใช่ไหมคะ”
เธอได้ยินพ่อแม่ปรึกษากันตั้งแต่ที่เกิดเรื่อง แม้ธาวินจะมีญาติห่าง ๆ อยู่บ้าง แต่ว่าฐานะของพวกเขาไม่อาจเลี้ยงเด็กชายที่ได้รับผลกระทบรุนแรงแบบเขาได้และคิดว่าคงจะดูแลได้ไม่ดี
ยิ่งเมื่อก้องเกียรติเสนอว่าเขาจะดูแลลูกคนเดียวของเพื่อนสนิทเอง พวกเขาจึงยินดีที่จะปล่อยให้เป็นอย่างนั้น
“อืม...” คนเป็นพ่อพยักหน้า “ถือว่ามีน้องชายเพิ่มมาอีกคนแล้วกันเนอะ” เขายิ้มให้ลูกสาว เต็มใจอย่างยิ่งที่จะรับหน้าที่เป็นผู้ปกครองของธาวินจนกว่าเจ้าตัวจะบรรลุนิติภาวะ
ผ่านไปหนึ่งเดือน ครอบครัวอิงสุนทรจึงรับธาวินกลับมาที่บ้านหลังใหญ่ การพยายามทำความสนิทสนมตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่คืบหน้าสักนิดเดียว แต่อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็รับรู้แล้วว่าพ่อแม่ของเขาจากไปอย่างไม่มีวันกลับและเวลานี้กำลังได้ย้ายเข้าไปอยู่ในครอบครัวใหม่ที่รักและเอ็นดูเขาไม่แพ้กัน
“ธาวิน นี่บ้านของเรา” เกวลิน ลูกสาวคนกลางเอ่ยปาก สีหน้ายินดีเป็นอย่างยิ่งก่อนจะจับมือน้อย ๆ ของธาวินพาเดินเล่นดูโน่นนี่ในบ้าน
“เรย์ ลงมาข้างล่างหน่อยสิลูก” จันทร์วิมลเรียกลูกชายคนเล็กที่มีอายุเท่ากันกับธาวิน หากแต่ว่าได้เห็นหน้าตาบูดบึ้งของเขาแทนที่เพราะไม่ชอบใจที่บ้านนี้จะมีคนมาอาศัยอยู่ร่วมชายคา
วเรณย์อายุห่างจากเมธาวีแปดปีและเกวลินหกปี เขาจึงกลายเป็นน้องชายคนเล็กของบ้านที่ทุกคนต่างประคบประหงม คอยเอาใจ ดูแลประดุจเจ้าชายน้อยในรั้ววังหลวงอย่างไรอย่างนั้น
แรกเริ่มรู้สึกว่าคนในบ้านมักจะบอกว่าไปเยี่ยมคนไข้ที่โรงพยาบาลอยู่บ่อย ๆ จึงคิดว่าไม่มีอะไรมาก แต่บางครั้งกลับยกเลิกนัดและช่วงเวลาที่เคยอยู่กับเขาดื้อ ๆ จนรู้สึกว่าไม่ชอบหน้าเด็กที่นอนอยู่ในห้องพักฟื้นเลยสักนิดเดียว
“ทำไมทุกคนต้องสนใจเขาด้วย ฉันเป็นน้องเล็กของบ้านนะ” วเรณย์พึมพำอยู่คนเดียวพลางจ้องหน้าธาวินไม่วางตา “ฉันต้องไล่นายออกจากบ้านให้ได้” ก่อนจะเดินกระทืบเท้าเข้าห้องตัวเองโดยไม่สนใจว่าอาหารเย็นที่แม่บ้านทำไว้ให้จะอร่อยมากแค่ไหนก็ตาม
-------------------------------
สวัสดีค่า เรื่องนี้เป็นนิยายสั้น วาย BL แนวมัธยม ไม่มีดราม่าอะไรมากมาย อ่านสบาย ๆ ลงสองวันหนึ่งตอนจนจบค่ะ
ธาวินใช้ชีวิตอยู่ในบ้านอิงสุนทรอย่างเรียบง่ายในแต่ละวันจะมีก้องเกียรติ จันทร์วิมลและลูกสาวทั้งสองคนแวะเวียนหาเรื่องพูดคุยกับเขาอยู่เสมอเพื่อไม่ให้เจ้าตัวเหงาหงอยอยู่คนเดียว ทั้งยังเต็มใจช่วยกันค่อย ๆ ปรับสภาพจิตใจของเด็กตัวน้อยทีละนิดแม้ธาวินจะไม่พูดอะไรเลยตลอดเกือบหนึ่งปีที่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้แต่ความรู้สึกของทุกคนยังคงเหมือนเดิม เอ็นดูและสงสารพร้อมให้ความช่วยเหลือตลอดเวลาเขาทานอาหารทุกอย่างที่ป้ามล ผู้เป็นแม่บ้านเตรียมไว้ให้ทุกสามมื้อ ไม่เคยบอกว่าต้องการอะไรเป็นพิเศษ ทุกวันนี้ยังไม่เคยมีใครได้ยินเสียงพูดของเขาเลยสักครั้งหากแต่ในบางคืน เขาอาจส่งเสียงร้องเพราะฝันร้ายถึงอุบัติเหตุครั้งนั้นบ้าง ทุกคนในบ้านก็จะพร้อมใจกันเข้ามาปลอบใจจนกว่าเจ้าตัวเล็กจะผล็อยหลับไป
หนึ่งปีผ่านไปธาวินเข้าเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่งช้ากว่าเพื่อนร่วมรุ่นไปสองปีเพราะผลกระทบจากอุบัติเหตุ ก้องเกียรติจ้างครูพิเศษมาสอนเขาอยู่ที่บ้านเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อปรับพื้นฐานการเรียนใหม่ทั้งหมด รวมถึงช่วยให้เขาเริ่มเรียนรู้การเข้าสังคมอีกครั้งหนึ่งแม้พี่สาวทั้งสองคนอย่างเมธาวีและเกวลินจะอยากแอบไปดูน้องที่ห้องเรียนมากแค่ไหนแต่ก็ต้องอดใจเอาไว้เพราะตึกเรียนชั้นมัธยมกับชั้นประถมแยกจากกันโดยสิ้นเชิงดังนั้น ทุกคนจึงฝากความหวังไว้ที่วเรณย์ให้คอยไปส่งและรอรับกลับบ้านพร้อมกัน แม้เจ้าตัวจะทำสีหน้าไม่เต็มใจก็ตาม แต่พอคิดอีกแบบหนึ่งแล้ว คงจะเป็นการดีที่ได้กันธาวินออกจากพี่สาวทั้งสองไปโดยปริยายความคิดนี้ดูเหมือนจะไม่เลว แต่วเรณย์ไม่รู้เลยว่าเพื่อนร่วมห้องชั้นประถ
หลังจากนั้นเป็นต้นมาวเรณย์จึงเรียนรู้ที่จะดูแลสิ่งที่สำคัญสำหรับเขาเป็นครั้งแรก ทุกคนในบ้านต่างเห็นความเปลี่ยนแปลงของเด็กน้อยคนนี้จนคิดว่าความสัมพันธ์ของลูกชายกับธาวินอาจจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นบ้างเฮ้อเสียงถอนหายใจของเกวลินทำให้คนเป็นแม่ลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู เธอบอกอย่างใจเย็นว่า “อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพักนะลูก”“พ่อกับแม่ก็ตามใจน้องอยู่เรื่อยเลย หนูไปเล่นกับวินดีกว่า” เกวลินส่ายหน้าเพราะน้องชายไม่สนใจที่จะทำความคุ้นเคยกับธาวินเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครล้มเลิกความตั้งใจที่จะให้ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันให้ได้ทุก ๆ ครั้งพวกเขามักจะมีแผนกระชับมิตรหลอกล่อให้เจ้าชายน้อยของบ้านลดกำแพงความรู้สึกลงมาบ้าง แต่พอทำบ่อยเข้า เขาจึงรู้ในทันทีว่าควรจะต้องหนีไปให้ไกลที่สุด และสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการเล่นกับแฮปปี้มา
วันเกิดครบรอบอายุสิบเอ็ดปีของวเรณย์เจ้าลูกชายคนเล็กของบ้านยังคงต้องการความเอาใส่ใจและเป็นที่หนึ่งที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญอยู่เหมือนเดิม รวมถึงเพื่อนร่วมชั้นของเขาด้วยแค่เพียงได้ยินเพื่อนสนิทอย่างคีตาบอกว่าวันเกิดปีนี้ถ้าได้จัดงานที่สวนสนุกเหมือนการ์ตูนเรื่องนั้นก็คงจะดี เขาจึงคิดว่าถ้าเพื่อน ๆ มาร่วมงานวันเกิดครั้งนี้ได้จะต้องมีแต่ความสนุกสนานและชอบเขามากขึ้นแน่นอนจึงเอ่ยปากขอร้องผู้ปกครอง“พ่อครับ วันเกิดปีนี้ผมเลือกของขวัญเองได้ไหมครับ” วเรณย์ถามด้วยความลังเลแม้จะรู้ว่าพ่อและแม่ไม่เคยปฏิเสธเขา แต่การที่จะจัดงานในสวนสนุกไม่รู้จะยุ่งยากเกินไปหรือเปล่า“ปกติพ่อกับแม่ก็ซื้อตามใจเรย์อยู่แล้ว ปีนี้ลูกอยากได้อะไรเหรอครับ” ก้องเกียรติถามบ้างเพราะสีหน้าของลูกชายดูคาดหวังไม่น้อย
แม้ระยะเวลาจะผ่านล่วงเลยมาจนเปิดภาคเรียนชั้นมอสามของวเรณย์แล้วความสัมพันธ์ตลอดหลายปีที่ผ่านมาระหว่างเขากับธาวินยังคงเสมอต้นเสมอปลายไม่ชอบหน้าอย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้น หากแต่ว่าเขามีหน้าที่สำคัญหนึ่งอย่างซึ่งได้รับมอบหมายจากคนในบ้านเพราะพวกพี่สาวเรียนมหาวิทยาลัยกันหมดแล้วจึงเหลือเพียงตัวเขาที่ต้องติดแหง็กอยู่กับธาวินที่เพิ่งจะเข้าเรียนชั้นมอหนึ่งแม้ว่าธาวินจะยืนยันอย่างหนักแน่นว่าสามารถดูแลตัวเองได้เพราะเกรงใจทุกคนในบ้าน แต่ไม่อาจปฏิเสธความหวังดีจากพวกเขาได้ง่ายขนาดนั้นถึงใครบางคนจะหน้าหงิกแต่ก็ยอมทำตามโดยไม่งอแงมากนักเพราะรู้ซึ้งถึงการปล่อยให้ธาวินอยู่คนเดียวแล้วพบว่าเจ้าตัวมักจะจำทิศทางไม่ค่อยได้ ทั้ง ๆ ที่เคยเดินผ่านสถานที่แห่งนั้นมาแล้วกี่ร้อยครั้งก็ตามหรือกระทั่งการแอบขึ้นรถเมล์
เช้าวันจันทร์“เมื่อกี้นายว่ายังไงนะ” คีตาถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เขาคิดว่าไม่มีหวังแล้วที่วเรณย์จะตกลงเล่นดนตรีด้วยแต่จู่ ๆ กลับเปลี่ยนใจภายในคืนเดียว“ก็บอกแล้วไงว่าจะทำ นายคิดว่าวงของเราจะมีใครบ้าง” เขาพอจะเดาได้แล้วว่าคีตาชวนเพื่อนคนไหน หลัก ๆ ก็คงจะเป็นคนใส่แว่นกับอีกคนที่ตัวสูง ๆ ที่เรียนห้องเดียวกัน“ฉันกับนาย ร้องนำ กีต้าร์ ส่วนพีตีกลองแล้วก็เจ้าคนตัวสูงเล่นเบส” เขาวางตำแหน่งเอาไว้เรียบร้อยทั้ง ๆ ที่วเรณย์ยังไม่เคยแตะกีต้าร์เลยสักครั้ง ดูจะเป็นภาระให้พีและเขตแดนมากกว่าเพราะสองคนนั้นสนใจตั้งวงดนตรีมาตั้งนานแล้วแถมฝีมือยังโดดเด่นจนอาจารย์ชมรมต้องเอ่ยปากชม“พังแน่ ๆ” วเรณย์ส่ายหน้าคาดเดาอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น“
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาธาวินจึงนั่งรอเขาซ้อมดนตรีกับเพื่อนอยู่ในห้องสมุดพลางทำการบ้านรออย่างเงียบ ๆ กว่าอีกฝ่ายจะเลิกซ้อมก็ทำงานตามที่ครูสั่งได้เรียบร้อยพอดีส่วนวเรณย์นั้น พอเริ่มเรียนดนตรีขึ้นมาจริงจังก็ทำให้เวลาทบทวนบทเรียนน้อยลงไปประมาณหนึ่งจนผลสอบท้ายบทตกลงมาอยู่อันดับสองของห้องทั้ง ๆ ที่เคยเป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด ครูประจำชั้นจึงสงสัยว่าช่วงนี้เขามีปัญหาอะไรหรือเปล่าจนเรียกไปพบที่ห้องพักครู“ผลการสอบของเธอครั้งนี้รู้ไหมว่าได้คะแนนรวมเท่าไหร่” ครูประจำชั้นถามเขาเพราะได้รับผลสอบจากครูรายวิชามารวม ๆ กันจนเห็นว่าผิดปกติไป“ครับ” เขาพยักหน้ารู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร “ครั้งหน้าผมจะพยายามทำให้ดีขึ้นครับ”“ครูถามก็เพราะเป็นห่วงน่ะ ปกติเธอสอบได้ที่หนึ่งทุกวิ
ภูกระดึงรถตู้คันใหญ่สำหรับครอบครัวเคลื่อนเข้ามาจอดตรงลานกว้างของอุทยานแห่งชาติในเวลาแปดนาฬิกาพอดิบพอดี เมธาวีรีบพาน้องสาวคนรองไปติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์เพื่อประทับตราลงในพาสปอร์ตอุทยาน จัดการข้าวของจองลูกหาบและสอบถามเรื่องที่พักแรมข้างบน“ทั้งหมดหกคน เต็นท์สามหลังค่ะ” เกวลินกล่าวกับเจ้าหน้าที่ พลางหันมองน้องชายคนเล็กที่ยังคงไม่รู้เรื่องอะไรด้วยสีหน้ามีเลศนัยก่อนจะกลับมารวมกลุ่มกับคนในบ้านที่เหลือก้องเกียรติตรวจความพร้อมของลูก ๆ ในบ้านทำราวกับว่าตนเองเป็นหัวหน้าลูกเสือที่กำลังตื่นเต้นกับการท่องเที่ยวครั้งนี้จนอดใจไว้ไม่อยู่“เอาล่ะ พ่อจะเดินนำ ตามด้วยแม่ พี่เม พี่ลิน วินแล้วก็เรย์ปิดท้ายขบวนนะ” เขามองหน้าลูกชายแล้วยักคิ้วให้ฝากความหวังว่าจะช่วยดูแลความเรียบร้อยครั้งนี้ได้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพิ่งทำให้วเรณย์ตระหนักได้ว่าธาวินโกรธเขาจริงจังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้รู้จักกันมาถึงแม้ปกติแล้วเขาจะเป็นคนคอยทำตัวห่างเหินกับธาวินแต่ช่วงนี้กลับไม่ต้องทำอะไรแบบนั้นเลย เพราะอีกฝ่ายหลบหน้าเขาเองเวลาที่ต้องเจอหน้ากัน“อย่าลืมเอากล่องของว่างที่ป้ามลทำไว้ไปด้วย” วเรณย์เอ่ยบอกคนตรงหน้า เขาคิดในใจว่าอีกสักพักต้องได้ยินเสียงพึมพำจากธาวินเหมือนอย่างเคยอืม ขอบคุณที่เตือนหรือไม่ก็อืม ไม่ลืมหรอกอะไรแบบนี้ทว่า ธาวินแค่เดินมาหยิบกล่องของว่างออกไปเงียบ ๆ โดยไม่เหลียวมองเขาเลยวันหยุดอยู่บ้าน วเรณย์จะเล่นกีต้าร์ ร้องเพลงคลอเบา ๆ ตรงระเบียงห้องแต่ดีดไปยังไม่ถึงท่อนที่สอง เสียงปิดหน้าต่างห้องข้าง ๆ ก็ดังปังจนดีดผิดคีย์ผ่านไปแ
วันต่อมาธาวินจึงไปห้องซ้อมดนตรีกับณดลตอนเที่ยงเพราะห้องจะว่างช่วงนั้นพอดี จึงมีแค่เพียงพวกเขาอยู่ในห้องเท่านั้นณดลหยิบกีต้าร์ออกมาจากกระเป๋าแล้วปรับเสียงให้เข้ากันกับเพลงที่จะเล่น สลับกับมองใบหน้าของธาวินด้วยความกังวลเล็กน้อย “ไม่ได้เล่นนานแล้ว อาจจะเพี้ยนนิดหน่อยนะ”“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงหูฉันก็เพี้ยนอยู่แล้ว” เจ้าตัวหัวเราะเบา ๆ แล้วนั่งรอฟังด้วยความตั้งใจนิ้วเรียวดีดสายกีต้าร์ทีละจังหวะ นุ่มนวลและให้ความรู้สึกเหมือนจะล่องลอย ธาวินสัมผัสได้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่แค่มือสมัครเล่นทั่วไปแน่ ๆณดลไม่เพียงแค่เล่นกีต้าร์โปร่งได้ เสียงร้องของเขาที่เปล่งออกมายังเพราะเหลือเชื่อจนคนที่นั่งฟังอยู่ตกตะลึงพลันอมยิ้มด้วยความชื่นชมจนกระทั่งเพลงจบลงอย่างสมบูรณ์
วันเปิดเทอมชั้นมอสี่ของวเรณย์เขารู้สึกดีใจที่ยังได้อยู่ห้องเดียวกันกับคีตาเหมือนอย่างเคย ทั้งสองแทบจะเป็นเพื่อนที่ตัวติดกันจนหลายคนแซวว่าเป็นแฝดไปแล้วความนิยมของเขาและวงไอริสเพิ่มมากขึ้นด้วยเพราะภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปจากน้องมอต้นกลายเป็นพี่มอปลายไปแล้ว ปิดเทอมไปไม่กี่เดือน ส่วนสูงของวเรณย์ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนตอนนี้นับว่าราวกับนายแบบใบหน้าหล่อใสเหมือนไอดอล ท่าทางตอนเล่นดนตรี ร้องเพลง เล่นบาสหรือกระทั่งนั่งอยู่เฉย ๆ มักจะมีสายตาของสาว ๆ จ้องมองไม่วางตาจนใครหลายคนอิจฉาหลายครั้งวเรณย์จะได้รับจดหมายสารภาพรักจากทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่ในโรงเรียนแต่เขากลับไม่สนใจใครเลยสักคน“นี่ รุ่นพี่ห้องห้ามารอนายอยู่หน้าห้องอีกแล้ว” คีตาสะกิดเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกัน “พี่เขาก็น่ารักนี
เช้าตรู่วันต่อมาเมธาวีเห็นว่าเต็นท์ของน้องชายยังไม่มีความเคลื่อนไหวจึงเปิดเข้าไปดู ภาพที่เห็นทำให้ต้องกลั้นขำกับความน่าเอ็นดู ถ้าเจ้าน้องชายคนเล็กตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าตัวเองนอนหนุนต้นแขนธาวินแถมกอดอีกฝ่ายไว้คงจะต้องอึ้งน่าดูเกวลินสงสัยว่าทำไมพี่สาวถึงอมยิ้มจึงเดินมาดูด้วยแล้วเรียกพ่อกับแม่พลางถ่ายรูปเอาไว้เพราะเหตุการณ์แบบนี้คงจะไม่ได้มีบ่อย ๆ ก่อนจะปิดเต็นท์ทำทีเป็นไม่รู้ไม่เห็นวเรณย์งัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของคนในเต็นท์ข้าง ๆ พึมพำว่า “หมอนใบนี้นุ่มจัง” พลันนึกได้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในเต็นท์จะไปมีหมอนนุ่ม ๆ เหมือนที่บ้านได้อย่างไรดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกโตเมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังนอนหนุนหน้าอกของธาวินที่หลับไม่รู้เรื่องบ้าไปแล้ว นี่ฉันทำอะไรลงไป ทำไมถึงได้มานอนตรงนี้ได้เจ้านี่
ภูกระดึงรถตู้คันใหญ่สำหรับครอบครัวเคลื่อนเข้ามาจอดตรงลานกว้างของอุทยานแห่งชาติในเวลาแปดนาฬิกาพอดิบพอดี เมธาวีรีบพาน้องสาวคนรองไปติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์เพื่อประทับตราลงในพาสปอร์ตอุทยาน จัดการข้าวของจองลูกหาบและสอบถามเรื่องที่พักแรมข้างบน“ทั้งหมดหกคน เต็นท์สามหลังค่ะ” เกวลินกล่าวกับเจ้าหน้าที่ พลางหันมองน้องชายคนเล็กที่ยังคงไม่รู้เรื่องอะไรด้วยสีหน้ามีเลศนัยก่อนจะกลับมารวมกลุ่มกับคนในบ้านที่เหลือก้องเกียรติตรวจความพร้อมของลูก ๆ ในบ้านทำราวกับว่าตนเองเป็นหัวหน้าลูกเสือที่กำลังตื่นเต้นกับการท่องเที่ยวครั้งนี้จนอดใจไว้ไม่อยู่“เอาล่ะ พ่อจะเดินนำ ตามด้วยแม่ พี่เม พี่ลิน วินแล้วก็เรย์ปิดท้ายขบวนนะ” เขามองหน้าลูกชายแล้วยักคิ้วให้ฝากความหวังว่าจะช่วยดูแลความเรียบร้อยครั้งนี้ได้
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาธาวินจึงนั่งรอเขาซ้อมดนตรีกับเพื่อนอยู่ในห้องสมุดพลางทำการบ้านรออย่างเงียบ ๆ กว่าอีกฝ่ายจะเลิกซ้อมก็ทำงานตามที่ครูสั่งได้เรียบร้อยพอดีส่วนวเรณย์นั้น พอเริ่มเรียนดนตรีขึ้นมาจริงจังก็ทำให้เวลาทบทวนบทเรียนน้อยลงไปประมาณหนึ่งจนผลสอบท้ายบทตกลงมาอยู่อันดับสองของห้องทั้ง ๆ ที่เคยเป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด ครูประจำชั้นจึงสงสัยว่าช่วงนี้เขามีปัญหาอะไรหรือเปล่าจนเรียกไปพบที่ห้องพักครู“ผลการสอบของเธอครั้งนี้รู้ไหมว่าได้คะแนนรวมเท่าไหร่” ครูประจำชั้นถามเขาเพราะได้รับผลสอบจากครูรายวิชามารวม ๆ กันจนเห็นว่าผิดปกติไป“ครับ” เขาพยักหน้ารู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร “ครั้งหน้าผมจะพยายามทำให้ดีขึ้นครับ”“ครูถามก็เพราะเป็นห่วงน่ะ ปกติเธอสอบได้ที่หนึ่งทุกวิ
เช้าวันจันทร์“เมื่อกี้นายว่ายังไงนะ” คีตาถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เขาคิดว่าไม่มีหวังแล้วที่วเรณย์จะตกลงเล่นดนตรีด้วยแต่จู่ ๆ กลับเปลี่ยนใจภายในคืนเดียว“ก็บอกแล้วไงว่าจะทำ นายคิดว่าวงของเราจะมีใครบ้าง” เขาพอจะเดาได้แล้วว่าคีตาชวนเพื่อนคนไหน หลัก ๆ ก็คงจะเป็นคนใส่แว่นกับอีกคนที่ตัวสูง ๆ ที่เรียนห้องเดียวกัน“ฉันกับนาย ร้องนำ กีต้าร์ ส่วนพีตีกลองแล้วก็เจ้าคนตัวสูงเล่นเบส” เขาวางตำแหน่งเอาไว้เรียบร้อยทั้ง ๆ ที่วเรณย์ยังไม่เคยแตะกีต้าร์เลยสักครั้ง ดูจะเป็นภาระให้พีและเขตแดนมากกว่าเพราะสองคนนั้นสนใจตั้งวงดนตรีมาตั้งนานแล้วแถมฝีมือยังโดดเด่นจนอาจารย์ชมรมต้องเอ่ยปากชม“พังแน่ ๆ” วเรณย์ส่ายหน้าคาดเดาอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น“
แม้ระยะเวลาจะผ่านล่วงเลยมาจนเปิดภาคเรียนชั้นมอสามของวเรณย์แล้วความสัมพันธ์ตลอดหลายปีที่ผ่านมาระหว่างเขากับธาวินยังคงเสมอต้นเสมอปลายไม่ชอบหน้าอย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้น หากแต่ว่าเขามีหน้าที่สำคัญหนึ่งอย่างซึ่งได้รับมอบหมายจากคนในบ้านเพราะพวกพี่สาวเรียนมหาวิทยาลัยกันหมดแล้วจึงเหลือเพียงตัวเขาที่ต้องติดแหง็กอยู่กับธาวินที่เพิ่งจะเข้าเรียนชั้นมอหนึ่งแม้ว่าธาวินจะยืนยันอย่างหนักแน่นว่าสามารถดูแลตัวเองได้เพราะเกรงใจทุกคนในบ้าน แต่ไม่อาจปฏิเสธความหวังดีจากพวกเขาได้ง่ายขนาดนั้นถึงใครบางคนจะหน้าหงิกแต่ก็ยอมทำตามโดยไม่งอแงมากนักเพราะรู้ซึ้งถึงการปล่อยให้ธาวินอยู่คนเดียวแล้วพบว่าเจ้าตัวมักจะจำทิศทางไม่ค่อยได้ ทั้ง ๆ ที่เคยเดินผ่านสถานที่แห่งนั้นมาแล้วกี่ร้อยครั้งก็ตามหรือกระทั่งการแอบขึ้นรถเมล์
วันเกิดครบรอบอายุสิบเอ็ดปีของวเรณย์เจ้าลูกชายคนเล็กของบ้านยังคงต้องการความเอาใส่ใจและเป็นที่หนึ่งที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญอยู่เหมือนเดิม รวมถึงเพื่อนร่วมชั้นของเขาด้วยแค่เพียงได้ยินเพื่อนสนิทอย่างคีตาบอกว่าวันเกิดปีนี้ถ้าได้จัดงานที่สวนสนุกเหมือนการ์ตูนเรื่องนั้นก็คงจะดี เขาจึงคิดว่าถ้าเพื่อน ๆ มาร่วมงานวันเกิดครั้งนี้ได้จะต้องมีแต่ความสนุกสนานและชอบเขามากขึ้นแน่นอนจึงเอ่ยปากขอร้องผู้ปกครอง“พ่อครับ วันเกิดปีนี้ผมเลือกของขวัญเองได้ไหมครับ” วเรณย์ถามด้วยความลังเลแม้จะรู้ว่าพ่อและแม่ไม่เคยปฏิเสธเขา แต่การที่จะจัดงานในสวนสนุกไม่รู้จะยุ่งยากเกินไปหรือเปล่า“ปกติพ่อกับแม่ก็ซื้อตามใจเรย์อยู่แล้ว ปีนี้ลูกอยากได้อะไรเหรอครับ” ก้องเกียรติถามบ้างเพราะสีหน้าของลูกชายดูคาดหวังไม่น้อย