คืนวันหนึ่งในฤดูหนาว รถยนต์สีเทาคันใหญ่กำลังมุ่งหน้าไปตามทางเปลี่ยวลาดชัน ถนนสองเลนเล็ก ๆ ลัดเลาะไปตามแนวเทือกเขาคดเคี้ยวหลายสิบกิโลเมตร บางครั้งมีรถจากอีกฝั่งแล่นสวนทางมาบ้างประปราย ช่วยให้รู้สึกโล่งใจได้ว่าไม่ได้มีเพียงพวกเขาบนเส้นทางอันยาวนาน
บรรยากาศภายนอกเงียบสงบและวังเวง สองข้างทางเป็นป่าไม้ที่ผลัดใบจนเหลือแต่กิ่งก้านตามฤดูกาล ส่วนข้างในรถมีครอบครัวแสนอบอุ่นกำลังนั่งอยู่เงียบ ๆ
สายตาของธาวินมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเพียงแสงไฟจากต้นเสาที่อยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ไกลลิบกระพริบเป็นช่วง ๆ เขาตื่นเต้นที่สองสามวันนี้พ่อกับแม่พาเที่ยวต่างจังหวัดตามที่สัญญากันเอาไว้
จุดหมายปลายทางบนแผนที่ถูกปักหมุดเอาไว้เป็นแผนการเดินทางในวันหยุดยาวของครอบครัว เด็กชายตัวน้อยคาดหวังไว้แล้วว่าเช้าวันรุ่งขึ้น เขาจะได้เห็นแสงอาทิตย์ที่ขอบฟ้าลอยเหนือทะเลหมอกบนจุดสูงที่สุดของยอดเขา
“ยังไม่ง่วงอีกเหรอครับ” แม่ของธาวินถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาของเธอเหมือนจันทร์ครึ่งเสี้ยวเวลายิ้มให้เขาเหมือนทุกครั้ง
ลูกชายคนเดียวส่ายหน้า “ไม่ง่วงครับ แม่ไม่นอนเหรอ” เขาสังเกตมาตลอดทางว่าคนเป็นแม่มักจะคอยช่วยพ่อของเขาดูเส้นทางอยู่ตลอด เขาจึงอยากทำแบบนั้นบ้าง “เดี๋ยวผมช่วยพ่อดูทางเองครับ แม่นอนเถอะ”
“แต่ว่าตอนนี้ดึกแล้วนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงไปเที่ยวจะทำยังไงดีล่ะ” พ่อของเขาเอ่ยปาก พลางมองกระจกหลังยิ้มให้ลูกชายแวบหนึ่งแล้วมองถนนตรงหน้าต่อ
บทสนทนาของทั้งสามดูไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุดลงง่าย ๆ เพราะธาวินชวนพ่อกับแม่คุยเรื่องโน้นที ถามเรื่องนี้ทีไม่ยอมหลับยอมนอน นั่นเป็นเพราะนาน ๆ ครั้งถึงจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาบ้างเพราะพ่อมักจะต้องทำงานที่ต่างจังหวัดอยู่บ่อย ๆ
ทันใดนั้น จู่ ๆ รถคันที่วิ่งสวนเลนมากระพริบไฟหน้าเป็นระยะราวกับกำลังเตือนให้พวกเขาระวังอะไรบางอย่าง แสงไฟสาดเข้ามาในห้องโดยสารจนธาวินเองนึกสงสัย
“สงสัยข้างหน้ามีอุบัติเหตุหรือเปล่าคะ” แม่ของเขาถามขึ้น ในขณะที่พ่อลดความเร็วลงแล้วสาดไฟสูงดูลาดเลา แต่ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ กระนั้นยังคงชะลอความเร็วเผื่อมีอะไรไม่คาดคิดโผล่ขึ้นมา
ช่วงจังหวะนั้น รถที่แล่นตามมาข้างหลังขับจี้เข้ามาใกล้หวังให้พวกเขาเร่งเครื่องให้เร็วขึ้นกว่าเดิม
แม้ว่ารถเลนสวนคันที่สองจะกระพริบไฟเตือนด้วยความหวังดีแต่เหมือนกับว่ารถคันหลังยังขับประชิดรถของพวกเขาไม่เปลี่ยน
ครั้นคนเป็นพ่อเห็นว่าข้างหน้าสามารถเบี่ยงหลบได้จึงเริ่มชิดซ้ายเพื่อให้คันที่รีบได้แซงไปก่อนแต่ไม่ทันจะถึงที่ตรงนั้น รถคันหลังกลับเบียดขึ้นมาแล้วตวัดท้ายใส่หน้ารถพวกเขาราวกับตั้งใจอย่างไรอย่างนั้น
ช่วงล่างรถส่งของที่ถูกดัดแปลงมาเพื่อรับน้ำหนักให้มากขึ้นและยางล้อที่ดอกเริ่มสึกจนแทบจะโล้นทำให้เกาะถนนไม่อยู่ รถจึงสะบัดอย่างแรงไปทางฝั่งตรงข้าม
พ่อของธาวินเหยียบเบรก พยายามบังคับพวงมาลัยและประคองรถให้อยู่ห่าง แสงสะท้อนจากผิวถนนแวววาวจนเขาตระหนักได้ว่ารถที่สวนมาต้องการจะบอกอะไร ทางด้านหนึ่งมีรถบรรทุกจอดริมทางราวกับเป็นต้นเหตุ
น้ำมันรถรั่วเจิ่งนองเต็มพื้นทั้งสองฟากฝั่งและรถส่งของคันนั้นกำลังหมุนติ้วไม่อาจควบคุมได้พลันแฉลบกับรถกระบะคันใหญ่ที่วิ่งสวนเลนมาพอดี ก่อนจะประคองตัวเองให้อยู่ในเลนได้ด้วยความโชคดีที่ใช้หมดแล้วภายในเสี้ยววินาที
กระบะคันนั้นจึงต้องเลี้ยวหลบรถส่งของไปริมทางฝั่งตนเอง แต่เพราะเพิ่งจะเห็นว่าเงามืด ๆ นั้นคือท้ายรถบรรทุกขนาดใหญ่จึงเหวี่ยงตัวรถมาทางฝั่งตรงข้ามโดยไม่ได้ตั้งใจ
แสงไฟสุดท้ายที่สาดเข้ามาในรถของธาวิน สีหน้ากังวลที่แม่หันมามองเขาและสายตาของคนเป็นพ่อที่มองมาในชั่วขณะหนึ่งกลายเป็นภาพสุดท้ายของครอบครัวที่ธาวินจำได้ในเวลาที่ตื่นขึ้นมาเช้าวันใหม่
“อาการของธาวินเป็นอย่างไรบ้างครับ” ก้องเกียรติผู้เป็นเพื่อนสนิทกับพ่อของธาวินรีบมาดูอาการของผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในอุบัติเหตุครั้งนี้
เขาสังเกตว่าเด็กน้อยไม่พูดไม่จามาเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้วและยังคงเก็บตัวเงียบเพียงลำพัง แววตาสับสนเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลา
แม้เขาและภรรยาจะค่อย ๆ อธิบายให้เข้าใจแต่ว่าธาวินคงทำใจรับเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงพริบตาไม่ไหว
“ทางเราตรวจร่างกายอย่างละเอียดแล้วครับ ผู้บาดเจ็บอาจจะได้รับผลกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างการสูญเสียคนที่รักไปจึงทำให้การพูดเป็นสิ่งที่ยากลำบากสำหรับเขาครับ และอีกอย่างอาจจะเป็นเพราะอุบัติเหตุ ผลการตรวจที่ผมเพิ่งได้รับมาจึงแจ้งว่ามีเรื่องประสาทหูเสื่อมด้วยครับ” แพทย์ที่รักษาธาวินค่อย ๆ อธิบายอาการของเขาให้ก้องเกียรติฟังทีละส่วน
“ประสาทหูเสื่อมเหรอครับ แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะหายเป็นปกติ เรื่องการพูดด้วยครับ” เขาเอ่ยปากถาม สงสัยว่าต้องใช้วิธีไหนรักษาเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนั้น สายตามองภรรยาด้วยความกังวล
“เรื่องการพูดคงต้องใช้เวลาค่อย ๆ เยียวยา หากมีครอบครัวที่พร้อมจะดูแลเขาก็คงดีครับ ส่วนเรื่องการได้ยินยังคงพอมีโชคดีอยู่บ้างครับ ถึงจะไม่มีวิธีรักษาให้หายแต่ว่าการใส่เครื่องช่วยฟังจะพอประคับประคองไม่ให้ประสาทหูเสื่อมไปมากกว่านี้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนคุณหมอด้วยนะคะ” จันทร์วิมล ภรรยาของก้องเกียรติฝากความหวังไว้ที่เขา
สองสามีภรรยาเข้ามาเยี่ยมธาวินเหมือนอย่างเคย พร้อมกับลูกสาวสองคน สายตาที่ธาวินมองมายังคงคิดว่าพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าอยู่วันยังค่ำและทำตัวห่างเหิน วันทั้งวันรอคอยว่าเมื่อไหร่ที่พ่อแม่ของตนเองจะมารับกลับจากโรงพยาบาลแห่งนี้
“พ่อคะ” เมธาวี ลูกสาวคนโตถามด้วยความสงสัย “เราจะรับน้องไปอยู่ที่บ้านจริง ๆ ใช่ไหมคะ”
เธอได้ยินพ่อแม่ปรึกษากันตั้งแต่ที่เกิดเรื่อง แม้ธาวินจะมีญาติห่าง ๆ อยู่บ้าง แต่ว่าฐานะของพวกเขาไม่อาจเลี้ยงเด็กชายที่ได้รับผลกระทบรุนแรงแบบเขาได้และคิดว่าคงจะดูแลได้ไม่ดี
ยิ่งเมื่อก้องเกียรติเสนอว่าเขาจะดูแลลูกคนเดียวของเพื่อนสนิทเอง พวกเขาจึงยินดีที่จะปล่อยให้เป็นอย่างนั้น
“อืม...” คนเป็นพ่อพยักหน้า “ถือว่ามีน้องชายเพิ่มมาอีกคนแล้วกันเนอะ” เขายิ้มให้ลูกสาว เต็มใจอย่างยิ่งที่จะรับหน้าที่เป็นผู้ปกครองของธาวินจนกว่าเจ้าตัวจะบรรลุนิติภาวะ
ผ่านไปหนึ่งเดือน ครอบครัวอิงสุนทรจึงรับธาวินกลับมาที่บ้านหลังใหญ่ การพยายามทำความสนิทสนมตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่คืบหน้าสักนิดเดียว แต่อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็รับรู้แล้วว่าพ่อแม่ของเขาจากไปอย่างไม่มีวันกลับและเวลานี้กำลังได้ย้ายเข้าไปอยู่ในครอบครัวใหม่ที่รักและเอ็นดูเขาไม่แพ้กัน
“ธาวิน นี่บ้านของเรา” เกวลิน ลูกสาวคนกลางเอ่ยปาก สีหน้ายินดีเป็นอย่างยิ่งก่อนจะจับมือน้อย ๆ ของธาวินพาเดินเล่นดูโน่นนี่ในบ้าน
“เรย์ ลงมาข้างล่างหน่อยสิลูก” จันทร์วิมลเรียกลูกชายคนเล็กที่มีอายุเท่ากันกับธาวิน หากแต่ว่าได้เห็นหน้าตาบูดบึ้งของเขาแทนที่เพราะไม่ชอบใจที่บ้านนี้จะมีคนมาอาศัยอยู่ร่วมชายคา
วเรณย์อายุห่างจากเมธาวีแปดปีและเกวลินหกปี เขาจึงกลายเป็นน้องชายคนเล็กของบ้านที่ทุกคนต่างประคบประหงม คอยเอาใจ ดูแลประดุจเจ้าชายน้อยในรั้ววังหลวงอย่างไรอย่างนั้น
แรกเริ่มรู้สึกว่าคนในบ้านมักจะบอกว่าไปเยี่ยมคนไข้ที่โรงพยาบาลอยู่บ่อย ๆ จึงคิดว่าไม่มีอะไรมาก แต่บางครั้งกลับยกเลิกนัดและช่วงเวลาที่เคยอยู่กับเขาดื้อ ๆ จนรู้สึกว่าไม่ชอบหน้าเด็กที่นอนอยู่ในห้องพักฟื้นเลยสักนิดเดียว
“ทำไมทุกคนต้องสนใจเขาด้วย ฉันเป็นน้องเล็กของบ้านนะ” วเรณย์พึมพำอยู่คนเดียวพลางจ้องหน้าธาวินไม่วางตา “ฉันต้องไล่นายออกจากบ้านให้ได้” ก่อนจะเดินกระทืบเท้าเข้าห้องตัวเองโดยไม่สนใจว่าอาหารเย็นที่แม่บ้านทำไว้ให้จะอร่อยมากแค่ไหนก็ตาม
-------------------------------
สวัสดีค่า เรื่องนี้เป็นนิยายสั้น วาย BL แนวมัธยม ไม่มีดราม่าอะไรมากมาย อ่านสบาย ๆ ลงสองวันหนึ่งตอนจนจบค่ะ
ธาวินใช้ชีวิตอยู่ในบ้านอิงสุนทรอย่างเรียบง่ายในแต่ละวันจะมีก้องเกียรติ จันทร์วิมลและลูกสาวทั้งสองคนแวะเวียนหาเรื่องพูดคุยกับเขาอยู่เสมอเพื่อไม่ให้เจ้าตัวเหงาหงอยอยู่คนเดียว ทั้งยังเต็มใจช่วยกันค่อย ๆ ปรับสภาพจิตใจของเด็กตัวน้อยทีละนิดแม้ธาวินจะไม่พูดอะไรเลยตลอดเกือบหนึ่งปีที่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้แต่ความรู้สึกของทุกคนยังคงเหมือนเดิม เอ็นดูและสงสารพร้อมให้ความช่วยเหลือตลอดเวลาเขาทานอาหารทุกอย่างที่ป้ามล ผู้เป็นแม่บ้านเตรียมไว้ให้ทุกสามมื้อ ไม่เคยบอกว่าต้องการอะไรเป็นพิเศษ ทุกวันนี้ยังไม่เคยมีใครได้ยินเสียงพูดของเขาเลยสักครั้งหากแต่ในบางคืน เขาอาจส่งเสียงร้องเพราะฝันร้ายถึงอุบัติเหตุครั้งนั้นบ้าง ทุกคนในบ้านก็จะพร้อมใจกันเข้ามาปลอบใจจนกว่าเจ้าตัวเล็กจะผล็อยหลับไป
หนึ่งปีผ่านไปธาวินเข้าเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่งช้ากว่าเพื่อนร่วมรุ่นไปสองปีเพราะผลกระทบจากอุบัติเหตุ ก้องเกียรติจ้างครูพิเศษมาสอนเขาอยู่ที่บ้านเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อปรับพื้นฐานการเรียนใหม่ทั้งหมด รวมถึงช่วยให้เขาเริ่มเรียนรู้การเข้าสังคมอีกครั้งหนึ่งแม้พี่สาวทั้งสองคนอย่างเมธาวีและเกวลินจะอยากแอบไปดูน้องที่ห้องเรียนมากแค่ไหนแต่ก็ต้องอดใจเอาไว้เพราะตึกเรียนชั้นมัธยมกับชั้นประถมแยกจากกันโดยสิ้นเชิงดังนั้น ทุกคนจึงฝากความหวังไว้ที่วเรณย์ให้คอยไปส่งและรอรับกลับบ้านพร้อมกัน แม้เจ้าตัวจะทำสีหน้าไม่เต็มใจก็ตาม แต่พอคิดอีกแบบหนึ่งแล้ว คงจะเป็นการดีที่ได้กันธาวินออกจากพี่สาวทั้งสองไปโดยปริยายความคิดนี้ดูเหมือนจะไม่เลว แต่วเรณย์ไม่รู้เลยว่าเพื่อนร่วมห้องชั้นประถ
หนึ่งปีผ่านไปธาวินเข้าเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่งช้ากว่าเพื่อนร่วมรุ่นไปสองปีเพราะผลกระทบจากอุบัติเหตุ ก้องเกียรติจ้างครูพิเศษมาสอนเขาอยู่ที่บ้านเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อปรับพื้นฐานการเรียนใหม่ทั้งหมด รวมถึงช่วยให้เขาเริ่มเรียนรู้การเข้าสังคมอีกครั้งหนึ่งแม้พี่สาวทั้งสองคนอย่างเมธาวีและเกวลินจะอยากแอบไปดูน้องที่ห้องเรียนมากแค่ไหนแต่ก็ต้องอดใจเอาไว้เพราะตึกเรียนชั้นมัธยมกับชั้นประถมแยกจากกันโดยสิ้นเชิงดังนั้น ทุกคนจึงฝากความหวังไว้ที่วเรณย์ให้คอยไปส่งและรอรับกลับบ้านพร้อมกัน แม้เจ้าตัวจะทำสีหน้าไม่เต็มใจก็ตาม แต่พอคิดอีกแบบหนึ่งแล้ว คงจะเป็นการดีที่ได้กันธาวินออกจากพี่สาวทั้งสองไปโดยปริยายความคิดนี้ดูเหมือนจะไม่เลว แต่วเรณย์ไม่รู้เลยว่าเพื่อนร่วมห้องชั้นประถ
ธาวินใช้ชีวิตอยู่ในบ้านอิงสุนทรอย่างเรียบง่ายในแต่ละวันจะมีก้องเกียรติ จันทร์วิมลและลูกสาวทั้งสองคนแวะเวียนหาเรื่องพูดคุยกับเขาอยู่เสมอเพื่อไม่ให้เจ้าตัวเหงาหงอยอยู่คนเดียว ทั้งยังเต็มใจช่วยกันค่อย ๆ ปรับสภาพจิตใจของเด็กตัวน้อยทีละนิดแม้ธาวินจะไม่พูดอะไรเลยตลอดเกือบหนึ่งปีที่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้แต่ความรู้สึกของทุกคนยังคงเหมือนเดิม เอ็นดูและสงสารพร้อมให้ความช่วยเหลือตลอดเวลาเขาทานอาหารทุกอย่างที่ป้ามล ผู้เป็นแม่บ้านเตรียมไว้ให้ทุกสามมื้อ ไม่เคยบอกว่าต้องการอะไรเป็นพิเศษ ทุกวันนี้ยังไม่เคยมีใครได้ยินเสียงพูดของเขาเลยสักครั้งหากแต่ในบางคืน เขาอาจส่งเสียงร้องเพราะฝันร้ายถึงอุบัติเหตุครั้งนั้นบ้าง ทุกคนในบ้านก็จะพร้อมใจกันเข้ามาปลอบใจจนกว่าเจ้าตัวเล็กจะผล็อยหลับไป
คืนวันหนึ่งในฤดูหนาว รถยนต์สีเทาคันใหญ่กำลังมุ่งหน้าไปตามทางเปลี่ยวลาดชัน ถนนสองเลนเล็ก ๆ ลัดเลาะไปตามแนวเทือกเขาคดเคี้ยวหลายสิบกิโลเมตร บางครั้งมีรถจากอีกฝั่งแล่นสวนทางมาบ้างประปราย ช่วยให้รู้สึกโล่งใจได้ว่าไม่ได้มีเพียงพวกเขาบนเส้นทางอันยาวนานบรรยากาศภายนอกเงียบสงบและวังเวง สองข้างทางเป็นป่าไม้ที่ผลัดใบจนเหลือแต่กิ่งก้านตามฤดูกาล ส่วนข้างในรถมีครอบครัวแสนอบอุ่นกำลังนั่งอยู่เงียบ ๆสายตาของธาวินมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเพียงแสงไฟจากต้นเสาที่อยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ไกลลิบกระพริบเป็นช่วง ๆ เขาตื่นเต้นที่สองสามวันนี้พ่อกับแม่พาเที่ยวต่างจังหวัดตามที่สัญญากันเอาไว้จุดหมายปลายทางบนแผนที่ถูกปักหมุดเอาไว้เป็นแผนการเดินทางในวันหยุดยาวของครอบครัว เด็กชายตัวน้อยคาดหวังไว้แล้วว่าเช้าวันรุ่งขึ้น เขาจะได้เห็นแสงอาทิตย์ที่ขอบฟ้าลอยเหนือทะเลหมอกบนจุดสูงที่สุดของยอดเขา“ยังไม่ง่วงอีกเหรอครับ” แม่ของธาวินถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาของเธอเหมือนจันทร์ครึ่งเสี้ยวเวลายิ้มให้เขาเหมือนทุกครั้งลูกชายคนเดียวส่ายหน้า “ไม่ง่วงครับ แม่ไม่นอนเหรอ” เขาสังเกตมาตลอดทางว่าคนเป็นแม่มักจะคอยช่วยพ่อของเขาดูเส้นทา