หนึ่งปีผ่านไป
ธาวินเข้าเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่งช้ากว่าเพื่อนร่วมรุ่นไปสองปีเพราะผลกระทบจากอุบัติเหตุ ก้องเกียรติจ้างครูพิเศษมาสอนเขาอยู่ที่บ้านเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อปรับพื้นฐานการเรียนใหม่ทั้งหมด รวมถึงช่วยให้เขาเริ่มเรียนรู้การเข้าสังคมอีกครั้งหนึ่ง
แม้พี่สาวทั้งสองคนอย่างเมธาวีและเกวลินจะอยากแอบไปดูน้องที่ห้องเรียนมากแค่ไหนแต่ก็ต้องอดใจเอาไว้เพราะตึกเรียนชั้นมัธยมกับชั้นประถมแยกจากกันโดยสิ้นเชิง
ดังนั้น ทุกคนจึงฝากความหวังไว้ที่วเรณย์ให้คอยไปส่งและรอรับกลับบ้านพร้อมกัน แม้เจ้าตัวจะทำสีหน้าไม่เต็มใจก็ตาม แต่พอคิดอีกแบบหนึ่งแล้ว คงจะเป็นการดีที่ได้กันธาวินออกจากพี่สาวทั้งสองไปโดยปริยาย
ความคิดนี้ดูเหมือนจะไม่เลว แต่วเรณย์ไม่รู้เลยว่าเพื่อนร่วมห้องชั้นประถมปีที่สามของเขาจะคิดว่าตัวเขามีน้องชายอีกคนจึงสนใจอยากทำความรู้จักพลันได้มาหาธาวินที่ห้องเรียนกับวเรณย์ทุกวัน
“บอกว่าไม่ใช่น้องไง” เขาตะโกนบอกเพื่อนที่ไม่ยอมหยุดฟังแม้แต่น้อยและกำลังสนใจเครื่องช่วยฟังแบบคล้องหลังหูสีน้ำเงินของธาวิน
อารมณ์หดหู่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว นอกจากคนที่บ้านจะสนใจแต่ธาวินแล้ว เพื่อนของเขาเองก็เหมือนกัน เวลานี้จึงได้แต่ยืนไม่พอใจเงียบ ๆ
“นายได้ยินฉันไหม” คีตา เพื่อนของวเรณย์ถามธาวิน พอเห็นว่าเจ้าตัวไม่ตอบจึงถามใหม่อีกครั้งว่า “นี่ ได้ยินฉันหรือเปล่า”
เสียงตะโกนทำให้ธาวินตกใจเล็กน้อยรีบตอบกลับทันทีเพราะคิดว่าวเรณย์พาคนมาหาเรื่อง แต่ท่าทางของคีตากลับแตกต่างจากที่คิด
“ขอโทษ ถ้านายตกใจ”
ธาวินพยักหน้าพลางเหลือบมองคนบ้านเดียวกันอยู่เนือง ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเพื่อนคนอื่นผลัดกันถาม
“อันนี้อะไรเหรอ”
“ใส่แล้วเจ็บไหม”
“เหมือนที่พวกนักร้องชอบใช้เลย”
“ขอดูใกล้ ๆ หน่อยสิ”
ความสนใจที่ถาโถมเข้ามาเป็นสิ่งที่ธาวินมักเจอจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว จะมีสักกี่คนที่ใส่เครื่องช่วยฟังทั้งสองข้างแบบเขากันล่ะ อย่าว่าแต่พวกเด็ก ๆ หรือเพื่อนร่วมชั้นเลย แม้แต่ผู้ปกครองก็สงสัยสิ่งที่เห็นตรงหน้าเหมือนกัน
วเรณย์คิดในใจ แม้แต่เพื่อนฉันนายก็ไม่เว้นเหรอ คิดจะแย่งทุกคนไปจากฉันหมดเลยหรือไง จนรังสีความไม่เป็นมิตรแผ่ซ่านจากดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น
ธาวินขนลุกราวกับรู้สึกว่ามีอะไรน่ากลัวจ้องมองเขาอยู่จึงไม่หันไปทิศทางนั้นโดยเด็ดขาด
วันหนึ่ง
เพื่อนร่วมชั้นของวเรณย์พูดถึงสัตว์เลี้ยงที่บ้านของตัวเอง พลางอวดรูปให้ดูว่าแต่ละตัวน่ารักขนาดไหน เขาจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าจะลองเลี้ยงอะไรสักอย่างไว้เหมือนกัน อย่างน้อยจะได้มีเรื่องไว้พูดคุยกับเพื่อน ๆ ดึงดูดความสนใจกลับมาที่ตัวเองเหมือนเดิม
เจ้าชายน้อยเดินมุ่งหน้าจริงจังไปหาทุกคนในบ้านที่กำลังนั่งดูละครหลังข่าว
เขายืนบังจอโทรทัศน์แล้วโพล่งออกมาว่า “ผมอยากเลี้ยงหมาครับ”
“นายเนี่ยนะ” เกวลินเลิกคิ้วไม่เข้าใจอารมณ์ของน้องชายพลางหันไปสะกิดถามเมธาวี
“ทำไมถึงอยากเลี้ยงขึ้นมาล่ะ” พี่สาวคนโตจึงเอ่ยถามเหตุผลเพราะดูจากพฤติกรรมของน้องชายที่มักจะเป็นฝ่ายได้รับความรักจากคนอื่นและไม่เคยต้องดูแลใครแล้ว ต้องมีเรื่องอะไรมาพัวพันอย่างแน่นอน
“เลี้ยงไม่ได้เหรอ” สีหน้าของเขาเศร้าสลดในสิบวินาที “ทำไมล่ะ ทำไมผมเลี้ยงไม่ได้ครับ” เจ้าตัวไม่เข้าใจอย่างยิ่งยวดเบะปากเหมือนคนที่กำลังถูกขัดใจ
“ยังไม่มีใครว่าอะไรสักหน่อย” ก้องเกียรติรีบเอ่ยปาก “เรย์อยากเลี้ยงพันธุ์อะไร บอกพ่อหน่อยได้ไหม”
“...” เขานิ่งเงียบ ไม่รู้จะเลือกอะไรดี
ขณะที่ธาวินได้ยินว่าบ้านนี้กำลังจะมีลูกหมาตัวน้อย ๆ เขาจึงตื่นเต้นไม่แพ้กัน พูดพึมพำออกมาว่า “ลาบราดอร์”
สุนัขใจดี เป็นมิตร อ่อนโยน เข้ากับคนได้ง่าย แถมธาวินยังเคยเห็นคนใช้เป็นสุนัขนำทางอีกด้วยจึงอยากลองเล่นกับมันดูสักครั้งหนึ่ง แต่วเรณย์ได้ยินอย่างนั้นจึงคิดเลือกพันธุ์อื่น
“โกลเด้นครับ ผมอยากเลี้ยงโกลเด้น”
สีหน้าของธาวินจ๋อยลงเล็กน้อย แต่ว่าโกลเด้นก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ จะลูกหมาตัวไหนเขาก็อยากเล่นกับมันทั้งนั้น
เช้าวันรุ่งขึ้น จันทร์วิมลจึงพาลูกชายตัวน้อยไปเลือกซื้อถึงฟาร์มเลี้ยง วเรณย์ตาโตเห็นความน่ารักของลูกหมาแล้วอดใจไว้ไม่อยู่ เข้าไปลูบขนแล้วเล่นกับมันด้วยความตื่นเต้น
จากนั้นจึงอุ้มตัวขนสีอ่อนกว่าเพื่อนเพราะหมาน้อยตัวนั้นนอนนิ่งอยู่มุมหนึ่งของรั้วแต่สายตาเอาแต่มองเขาไม่วางจนวเรณย์นึกสนใจ
เขาตั้งชื่อลูกหมาว่า แฮปปี้ แล้วเอาแต่เล่นกับสมาชิกใหม่ไม่ยอมปล่อย ส่วนแฮปปี้เองก็ติดเขาและคิดว่าเป็นเพื่อนคนใหม่เช่นกัน
ธาวินได้แต่แอบมองอยู่ไกล ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะดุเอา
ครั้นวันหนึ่งเห็นว่าแฮปปี้วิ่งลงมาจากห้องนอนด้านบนบ้านกลัวว่าหมาน้อยจะหายไปจึงเข้ามาจับเอาไว้ แต่เจ้าของแฮปปี้ดันเห็นพอดิบพอดีว่าธาวินกำลังอุ้มแฮปปี้ขึ้นมาโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงรีบวิ่งลงบันไดมาดึงแฮปปี้กลับคืน
“นายจะขโมยแฮปปี้ไปจากฉันเหรอ” น้ำเสียงฉุนเฉียวของเขาทำให้ธาวินต้องรีบอธิบายว่าไม่ใช่อย่างนั้น แต่เขาไม่เชื่อคำพูดเลยสักนิด พลันสั่งห้ามเข้าใกล้ลูกหมา “ไม่ต้องมายุ่ง”
ธาวินจึงได้แต่ถอนหายใจ อันที่จริงแล้วเขาอยากเป็นเพื่อนกับวเรณย์แต่ทั้ง ๆ ที่พยายามผูกมิตรตามคำแนะนำของคนในบ้านแล้ว ไม่มีอะไรฟื้นฟูความสัมพันธ์ของพวกเขาได้เลย
ทุกคนในบ้านเข้าใจความรู้สึกของเขาเป็นอย่างดีจึงมักจะหาเรื่องให้ทั้งคู่ได้ใกล้ชิดทำกิจกรรมร่วมกันอยู่เสมอ แต่ว่าวเรณย์ประกาศชัดเจน “ถ้าเขาไป ผมไม่ไป”
วันนี้ก็ด้วย เกวลินชวนพวกเขามาทำไอศกรีมช็อกโกแลตกินด้วยกันแต่วเรณย์ปฏิเสธแล้วเล่นกับแฮปปี้ที่สวนหน้าบ้านแทน เธอจึงมีลูกมือคนเดียวอย่างธาวินคอยช่วยเหลือ
เด็กชายตัวน้อยดูจะค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างถึงขั้นออกปากว่าอยากลองทำรสนู้นรสนี้ในคราวหน้า กล่องไอศกรีมหลากสีสันถูกเก็บไว้ในช่องฟรีซจนแน่นขนัด
ทั้งคู่หยิบไอศกรีมรสที่ตัวเองชอบออกไปนั่งกินข้างนอกพลางมองดูวเรณย์เล่นกับแฮปปี้ไปด้วย แต่ก็นั่นแหละ อีกฝ่ายไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายกับเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาจึงอุ้มแฮปปี้กลับขึ้นห้องทันที
“ให้ตายสิ” เกวลินกุมขมับ ไม่คิดว่าน้องชายจะเป็นเอามากขนาดนี้ จึงหันมาหาธาวินพลางเปลี่ยนเรื่อง “อร่อยไหม คราวหน้าลองทำวานิลลาดูดีไหม”
“ครับ” เจ้าตัวยิ้มแป้นอดใจรอไม่ไหว “ถ้วยผมหมดแล้ว ขอกินอีกได้ไหมครับ”
“ตามใจสิ เอาถ้วยสีแดงมาให้พี่ด้วยนะ”
ธาวินรีบวิ่งมาที่ห้องครัวเพื่อหยิบถ้วยสีแดงตามที่เกวลินบอกหากแต่เห็นวเรณย์กำลังยื่นช็อกโกแลตให้แฮปปี้กินจึงเข้ามาห้ามเอาไว้
“อย่านะ” เขาตะโกนเสียงดัง “กินไม่ได้”
“ไม่ต้องมายุ่ง” วเรณย์สะบัดมือแล้วยื่นให้แฮปปี้ต่อ “แฮปปี้เป็นเพื่อนฉันทำไมจะกินไม่ได้”
“หมาห้ามกินช็อกโกแลต เอาคืนมานะ” ธาวินสู้สุดใจเพราะรู้ว่าอันตรายแต่แรงที่มีและขนาดตัวที่น้อยกว่าไม่อาจยื้อไว้ได้ ตอนที่โดนผลักออกไป ช็อกโกแลตก็เข้าปากแฮปปี้เรียบร้อย เขาจึงรีบวิ่งไปบอกเกวลินที่รออยู่ข้างนอก
ครั้นพี่สาวคนรองเข้ามาเห็นเหตุการณ์จึงตวาดดุน้องชายไปหนึ่งทีแล้วพาแฮปปี้ไปหาหมอทันที
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง วเรณย์เห็นแฮปปี้นอนหมดแรงก็ร้องไห้ไม่ยอมหยุดจนคนเป็นแม่เข้ามาปลอบใจหลังรู้ข่าว
“ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่รู้ว่ากินไม่ได้” เขาสะอึกสะอื้นน้ำตาไหลเปื้อนแก้มแดง ตาบวมฉ่ำเพราะเสียใจที่ทำให้แฮปปี้เป็นแบบนั้น “ผมแค่คิดว่าถ้าแฮปปี้ได้กินของอร่อย ๆ จะต้องชอบผม อยากเล่นกับผมคนเดียว”
คนเป็นแม่เห็นลูกชายร้องไห้ขนาดนี้แล้วก็สะเทือนใจไม่น้อยเพราะวเรณย์ไม่ใช่คนที่จะร้องไห้ง่าย ๆ “เรย์” เธอเรียกเขาน้ำเสียงแผ่วเบา
“...”
“แฮปปี้ไม่เป็นอะไรแล้วครับ แต่ว่าสัญญากับแม่ได้ไหม ว่าตั้งแต่นี้ไป ลูกจะเลี้ยงแฮปปี้ดี ๆ การเลี้ยงลูกหมาตัวหนึ่งก็เหมือนต้องรับผิดชอบดูแลอีกหนึ่งชีวิต ต้องใส่ใจและให้ความรัก” เธอกอดปลอบลูกชายที่กำลังสะอื้นตัวโยน “คงต้องเรียนวิธีการเลี้ยงให้ถูกต้องแล้วล่ะ ลูกทำได้ใช่ไหม ถ้าเป็นแบบนั้น แฮปปี้จะได้อยู่กับลูกไปนาน ๆ”
“ครับ” วเรณย์รับปากแล้วปาดน้ำตา “ผมสัญญา”
หลังจากนั้นเป็นต้นมาวเรณย์จึงเรียนรู้ที่จะดูแลสิ่งที่สำคัญสำหรับเขาเป็นครั้งแรก ทุกคนในบ้านต่างเห็นความเปลี่ยนแปลงของเด็กน้อยคนนี้จนคิดว่าความสัมพันธ์ของลูกชายกับธาวินอาจจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นบ้างเฮ้อเสียงถอนหายใจของเกวลินทำให้คนเป็นแม่ลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู เธอบอกอย่างใจเย็นว่า “อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพักนะลูก”“พ่อกับแม่ก็ตามใจน้องอยู่เรื่อยเลย หนูไปเล่นกับวินดีกว่า” เกวลินส่ายหน้าเพราะน้องชายไม่สนใจที่จะทำความคุ้นเคยกับธาวินเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครล้มเลิกความตั้งใจที่จะให้ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันให้ได้ทุก ๆ ครั้งพวกเขามักจะมีแผนกระชับมิตรหลอกล่อให้เจ้าชายน้อยของบ้านลดกำแพงความรู้สึกลงมาบ้าง แต่พอทำบ่อยเข้า เขาจึงรู้ในทันทีว่าควรจะต้องหนีไปให้ไกลที่สุด และสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการเล่นกับแฮปปี้มา
วันเกิดครบรอบอายุสิบเอ็ดปีของวเรณย์เจ้าลูกชายคนเล็กของบ้านยังคงต้องการความเอาใส่ใจและเป็นที่หนึ่งที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญอยู่เหมือนเดิม รวมถึงเพื่อนร่วมชั้นของเขาด้วยแค่เพียงได้ยินเพื่อนสนิทอย่างคีตาบอกว่าวันเกิดปีนี้ถ้าได้จัดงานที่สวนสนุกเหมือนการ์ตูนเรื่องนั้นก็คงจะดี เขาจึงคิดว่าถ้าเพื่อน ๆ มาร่วมงานวันเกิดครั้งนี้ได้จะต้องมีแต่ความสนุกสนานและชอบเขามากขึ้นแน่นอนจึงเอ่ยปากขอร้องผู้ปกครอง“พ่อครับ วันเกิดปีนี้ผมเลือกของขวัญเองได้ไหมครับ” วเรณย์ถามด้วยความลังเลแม้จะรู้ว่าพ่อและแม่ไม่เคยปฏิเสธเขา แต่การที่จะจัดงานในสวนสนุกไม่รู้จะยุ่งยากเกินไปหรือเปล่า“ปกติพ่อกับแม่ก็ซื้อตามใจเรย์อยู่แล้ว ปีนี้ลูกอยากได้อะไรเหรอครับ” ก้องเกียรติถามบ้างเพราะสีหน้าของลูกชายดูคาดหวังไม่น้อย
แม้ระยะเวลาจะผ่านล่วงเลยมาจนเปิดภาคเรียนชั้นมอสามของวเรณย์แล้วความสัมพันธ์ตลอดหลายปีที่ผ่านมาระหว่างเขากับธาวินยังคงเสมอต้นเสมอปลายไม่ชอบหน้าอย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้น หากแต่ว่าเขามีหน้าที่สำคัญหนึ่งอย่างซึ่งได้รับมอบหมายจากคนในบ้านเพราะพวกพี่สาวเรียนมหาวิทยาลัยกันหมดแล้วจึงเหลือเพียงตัวเขาที่ต้องติดแหง็กอยู่กับธาวินที่เพิ่งจะเข้าเรียนชั้นมอหนึ่งแม้ว่าธาวินจะยืนยันอย่างหนักแน่นว่าสามารถดูแลตัวเองได้เพราะเกรงใจทุกคนในบ้าน แต่ไม่อาจปฏิเสธความหวังดีจากพวกเขาได้ง่ายขนาดนั้นถึงใครบางคนจะหน้าหงิกแต่ก็ยอมทำตามโดยไม่งอแงมากนักเพราะรู้ซึ้งถึงการปล่อยให้ธาวินอยู่คนเดียวแล้วพบว่าเจ้าตัวมักจะจำทิศทางไม่ค่อยได้ ทั้ง ๆ ที่เคยเดินผ่านสถานที่แห่งนั้นมาแล้วกี่ร้อยครั้งก็ตามหรือกระทั่งการแอบขึ้นรถเมล์
เช้าวันจันทร์“เมื่อกี้นายว่ายังไงนะ” คีตาถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เขาคิดว่าไม่มีหวังแล้วที่วเรณย์จะตกลงเล่นดนตรีด้วยแต่จู่ ๆ กลับเปลี่ยนใจภายในคืนเดียว“ก็บอกแล้วไงว่าจะทำ นายคิดว่าวงของเราจะมีใครบ้าง” เขาพอจะเดาได้แล้วว่าคีตาชวนเพื่อนคนไหน หลัก ๆ ก็คงจะเป็นคนใส่แว่นกับอีกคนที่ตัวสูง ๆ ที่เรียนห้องเดียวกัน“ฉันกับนาย ร้องนำ กีต้าร์ ส่วนพีตีกลองแล้วก็เจ้าคนตัวสูงเล่นเบส” เขาวางตำแหน่งเอาไว้เรียบร้อยทั้ง ๆ ที่วเรณย์ยังไม่เคยแตะกีต้าร์เลยสักครั้ง ดูจะเป็นภาระให้พีและเขตแดนมากกว่าเพราะสองคนนั้นสนใจตั้งวงดนตรีมาตั้งนานแล้วแถมฝีมือยังโดดเด่นจนอาจารย์ชมรมต้องเอ่ยปากชม“พังแน่ ๆ” วเรณย์ส่ายหน้าคาดเดาอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น“
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาธาวินจึงนั่งรอเขาซ้อมดนตรีกับเพื่อนอยู่ในห้องสมุดพลางทำการบ้านรออย่างเงียบ ๆ กว่าอีกฝ่ายจะเลิกซ้อมก็ทำงานตามที่ครูสั่งได้เรียบร้อยพอดีส่วนวเรณย์นั้น พอเริ่มเรียนดนตรีขึ้นมาจริงจังก็ทำให้เวลาทบทวนบทเรียนน้อยลงไปประมาณหนึ่งจนผลสอบท้ายบทตกลงมาอยู่อันดับสองของห้องทั้ง ๆ ที่เคยเป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด ครูประจำชั้นจึงสงสัยว่าช่วงนี้เขามีปัญหาอะไรหรือเปล่าจนเรียกไปพบที่ห้องพักครู“ผลการสอบของเธอครั้งนี้รู้ไหมว่าได้คะแนนรวมเท่าไหร่” ครูประจำชั้นถามเขาเพราะได้รับผลสอบจากครูรายวิชามารวม ๆ กันจนเห็นว่าผิดปกติไป“ครับ” เขาพยักหน้ารู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร “ครั้งหน้าผมจะพยายามทำให้ดีขึ้นครับ”“ครูถามก็เพราะเป็นห่วงน่ะ ปกติเธอสอบได้ที่หนึ่งทุกวิ
ภูกระดึงรถตู้คันใหญ่สำหรับครอบครัวเคลื่อนเข้ามาจอดตรงลานกว้างของอุทยานแห่งชาติในเวลาแปดนาฬิกาพอดิบพอดี เมธาวีรีบพาน้องสาวคนรองไปติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์เพื่อประทับตราลงในพาสปอร์ตอุทยาน จัดการข้าวของจองลูกหาบและสอบถามเรื่องที่พักแรมข้างบน“ทั้งหมดหกคน เต็นท์สามหลังค่ะ” เกวลินกล่าวกับเจ้าหน้าที่ พลางหันมองน้องชายคนเล็กที่ยังคงไม่รู้เรื่องอะไรด้วยสีหน้ามีเลศนัยก่อนจะกลับมารวมกลุ่มกับคนในบ้านที่เหลือก้องเกียรติตรวจความพร้อมของลูก ๆ ในบ้านทำราวกับว่าตนเองเป็นหัวหน้าลูกเสือที่กำลังตื่นเต้นกับการท่องเที่ยวครั้งนี้จนอดใจไว้ไม่อยู่“เอาล่ะ พ่อจะเดินนำ ตามด้วยแม่ พี่เม พี่ลิน วินแล้วก็เรย์ปิดท้ายขบวนนะ” เขามองหน้าลูกชายแล้วยักคิ้วให้ฝากความหวังว่าจะช่วยดูแลความเรียบร้อยครั้งนี้ได้
เช้าตรู่วันต่อมาเมธาวีเห็นว่าเต็นท์ของน้องชายยังไม่มีความเคลื่อนไหวจึงเปิดเข้าไปดู ภาพที่เห็นทำให้ต้องกลั้นขำกับความน่าเอ็นดู ถ้าเจ้าน้องชายคนเล็กตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าตัวเองนอนหนุนต้นแขนธาวินแถมกอดอีกฝ่ายไว้คงจะต้องอึ้งน่าดูเกวลินสงสัยว่าทำไมพี่สาวถึงอมยิ้มจึงเดินมาดูด้วยแล้วเรียกพ่อกับแม่พลางถ่ายรูปเอาไว้เพราะเหตุการณ์แบบนี้คงจะไม่ได้มีบ่อย ๆ ก่อนจะปิดเต็นท์ทำทีเป็นไม่รู้ไม่เห็นวเรณย์งัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของคนในเต็นท์ข้าง ๆ พึมพำว่า “หมอนใบนี้นุ่มจัง” พลันนึกได้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในเต็นท์จะไปมีหมอนนุ่ม ๆ เหมือนที่บ้านได้อย่างไรดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกโตเมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังนอนหนุนหน้าอกของธาวินที่หลับไม่รู้เรื่องบ้าไปแล้ว นี่ฉันทำอะไรลงไป ทำไมถึงได้มานอนตรงนี้ได้เจ้านี่
วันเปิดเทอมชั้นมอสี่ของวเรณย์เขารู้สึกดีใจที่ยังได้อยู่ห้องเดียวกันกับคีตาเหมือนอย่างเคย ทั้งสองแทบจะเป็นเพื่อนที่ตัวติดกันจนหลายคนแซวว่าเป็นแฝดไปแล้วความนิยมของเขาและวงไอริสเพิ่มมากขึ้นด้วยเพราะภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปจากน้องมอต้นกลายเป็นพี่มอปลายไปแล้ว ปิดเทอมไปไม่กี่เดือน ส่วนสูงของวเรณย์ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนตอนนี้นับว่าราวกับนายแบบใบหน้าหล่อใสเหมือนไอดอล ท่าทางตอนเล่นดนตรี ร้องเพลง เล่นบาสหรือกระทั่งนั่งอยู่เฉย ๆ มักจะมีสายตาของสาว ๆ จ้องมองไม่วางตาจนใครหลายคนอิจฉาหลายครั้งวเรณย์จะได้รับจดหมายสารภาพรักจากทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่ในโรงเรียนแต่เขากลับไม่สนใจใครเลยสักคน“นี่ รุ่นพี่ห้องห้ามารอนายอยู่หน้าห้องอีกแล้ว” คีตาสะกิดเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกัน “พี่เขาก็น่ารักนี
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพิ่งทำให้วเรณย์ตระหนักได้ว่าธาวินโกรธเขาจริงจังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้รู้จักกันมาถึงแม้ปกติแล้วเขาจะเป็นคนคอยทำตัวห่างเหินกับธาวินแต่ช่วงนี้กลับไม่ต้องทำอะไรแบบนั้นเลย เพราะอีกฝ่ายหลบหน้าเขาเองเวลาที่ต้องเจอหน้ากัน“อย่าลืมเอากล่องของว่างที่ป้ามลทำไว้ไปด้วย” วเรณย์เอ่ยบอกคนตรงหน้า เขาคิดในใจว่าอีกสักพักต้องได้ยินเสียงพึมพำจากธาวินเหมือนอย่างเคยอืม ขอบคุณที่เตือนหรือไม่ก็อืม ไม่ลืมหรอกอะไรแบบนี้ทว่า ธาวินแค่เดินมาหยิบกล่องของว่างออกไปเงียบ ๆ โดยไม่เหลียวมองเขาเลยวันหยุดอยู่บ้าน วเรณย์จะเล่นกีต้าร์ ร้องเพลงคลอเบา ๆ ตรงระเบียงห้องแต่ดีดไปยังไม่ถึงท่อนที่สอง เสียงปิดหน้าต่างห้องข้าง ๆ ก็ดังปังจนดีดผิดคีย์ผ่านไปแ
วันต่อมาธาวินจึงไปห้องซ้อมดนตรีกับณดลตอนเที่ยงเพราะห้องจะว่างช่วงนั้นพอดี จึงมีแค่เพียงพวกเขาอยู่ในห้องเท่านั้นณดลหยิบกีต้าร์ออกมาจากกระเป๋าแล้วปรับเสียงให้เข้ากันกับเพลงที่จะเล่น สลับกับมองใบหน้าของธาวินด้วยความกังวลเล็กน้อย “ไม่ได้เล่นนานแล้ว อาจจะเพี้ยนนิดหน่อยนะ”“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงหูฉันก็เพี้ยนอยู่แล้ว” เจ้าตัวหัวเราะเบา ๆ แล้วนั่งรอฟังด้วยความตั้งใจนิ้วเรียวดีดสายกีต้าร์ทีละจังหวะ นุ่มนวลและให้ความรู้สึกเหมือนจะล่องลอย ธาวินสัมผัสได้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่แค่มือสมัครเล่นทั่วไปแน่ ๆณดลไม่เพียงแค่เล่นกีต้าร์โปร่งได้ เสียงร้องของเขาที่เปล่งออกมายังเพราะเหลือเชื่อจนคนที่นั่งฟังอยู่ตกตะลึงพลันอมยิ้มด้วยความชื่นชมจนกระทั่งเพลงจบลงอย่างสมบูรณ์
วันเปิดเทอมชั้นมอสี่ของวเรณย์เขารู้สึกดีใจที่ยังได้อยู่ห้องเดียวกันกับคีตาเหมือนอย่างเคย ทั้งสองแทบจะเป็นเพื่อนที่ตัวติดกันจนหลายคนแซวว่าเป็นแฝดไปแล้วความนิยมของเขาและวงไอริสเพิ่มมากขึ้นด้วยเพราะภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปจากน้องมอต้นกลายเป็นพี่มอปลายไปแล้ว ปิดเทอมไปไม่กี่เดือน ส่วนสูงของวเรณย์ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนตอนนี้นับว่าราวกับนายแบบใบหน้าหล่อใสเหมือนไอดอล ท่าทางตอนเล่นดนตรี ร้องเพลง เล่นบาสหรือกระทั่งนั่งอยู่เฉย ๆ มักจะมีสายตาของสาว ๆ จ้องมองไม่วางตาจนใครหลายคนอิจฉาหลายครั้งวเรณย์จะได้รับจดหมายสารภาพรักจากทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่ในโรงเรียนแต่เขากลับไม่สนใจใครเลยสักคน“นี่ รุ่นพี่ห้องห้ามารอนายอยู่หน้าห้องอีกแล้ว” คีตาสะกิดเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกัน “พี่เขาก็น่ารักนี
เช้าตรู่วันต่อมาเมธาวีเห็นว่าเต็นท์ของน้องชายยังไม่มีความเคลื่อนไหวจึงเปิดเข้าไปดู ภาพที่เห็นทำให้ต้องกลั้นขำกับความน่าเอ็นดู ถ้าเจ้าน้องชายคนเล็กตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าตัวเองนอนหนุนต้นแขนธาวินแถมกอดอีกฝ่ายไว้คงจะต้องอึ้งน่าดูเกวลินสงสัยว่าทำไมพี่สาวถึงอมยิ้มจึงเดินมาดูด้วยแล้วเรียกพ่อกับแม่พลางถ่ายรูปเอาไว้เพราะเหตุการณ์แบบนี้คงจะไม่ได้มีบ่อย ๆ ก่อนจะปิดเต็นท์ทำทีเป็นไม่รู้ไม่เห็นวเรณย์งัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของคนในเต็นท์ข้าง ๆ พึมพำว่า “หมอนใบนี้นุ่มจัง” พลันนึกได้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในเต็นท์จะไปมีหมอนนุ่ม ๆ เหมือนที่บ้านได้อย่างไรดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกโตเมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังนอนหนุนหน้าอกของธาวินที่หลับไม่รู้เรื่องบ้าไปแล้ว นี่ฉันทำอะไรลงไป ทำไมถึงได้มานอนตรงนี้ได้เจ้านี่
ภูกระดึงรถตู้คันใหญ่สำหรับครอบครัวเคลื่อนเข้ามาจอดตรงลานกว้างของอุทยานแห่งชาติในเวลาแปดนาฬิกาพอดิบพอดี เมธาวีรีบพาน้องสาวคนรองไปติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์เพื่อประทับตราลงในพาสปอร์ตอุทยาน จัดการข้าวของจองลูกหาบและสอบถามเรื่องที่พักแรมข้างบน“ทั้งหมดหกคน เต็นท์สามหลังค่ะ” เกวลินกล่าวกับเจ้าหน้าที่ พลางหันมองน้องชายคนเล็กที่ยังคงไม่รู้เรื่องอะไรด้วยสีหน้ามีเลศนัยก่อนจะกลับมารวมกลุ่มกับคนในบ้านที่เหลือก้องเกียรติตรวจความพร้อมของลูก ๆ ในบ้านทำราวกับว่าตนเองเป็นหัวหน้าลูกเสือที่กำลังตื่นเต้นกับการท่องเที่ยวครั้งนี้จนอดใจไว้ไม่อยู่“เอาล่ะ พ่อจะเดินนำ ตามด้วยแม่ พี่เม พี่ลิน วินแล้วก็เรย์ปิดท้ายขบวนนะ” เขามองหน้าลูกชายแล้วยักคิ้วให้ฝากความหวังว่าจะช่วยดูแลความเรียบร้อยครั้งนี้ได้
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาธาวินจึงนั่งรอเขาซ้อมดนตรีกับเพื่อนอยู่ในห้องสมุดพลางทำการบ้านรออย่างเงียบ ๆ กว่าอีกฝ่ายจะเลิกซ้อมก็ทำงานตามที่ครูสั่งได้เรียบร้อยพอดีส่วนวเรณย์นั้น พอเริ่มเรียนดนตรีขึ้นมาจริงจังก็ทำให้เวลาทบทวนบทเรียนน้อยลงไปประมาณหนึ่งจนผลสอบท้ายบทตกลงมาอยู่อันดับสองของห้องทั้ง ๆ ที่เคยเป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด ครูประจำชั้นจึงสงสัยว่าช่วงนี้เขามีปัญหาอะไรหรือเปล่าจนเรียกไปพบที่ห้องพักครู“ผลการสอบของเธอครั้งนี้รู้ไหมว่าได้คะแนนรวมเท่าไหร่” ครูประจำชั้นถามเขาเพราะได้รับผลสอบจากครูรายวิชามารวม ๆ กันจนเห็นว่าผิดปกติไป“ครับ” เขาพยักหน้ารู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร “ครั้งหน้าผมจะพยายามทำให้ดีขึ้นครับ”“ครูถามก็เพราะเป็นห่วงน่ะ ปกติเธอสอบได้ที่หนึ่งทุกวิ
เช้าวันจันทร์“เมื่อกี้นายว่ายังไงนะ” คีตาถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เขาคิดว่าไม่มีหวังแล้วที่วเรณย์จะตกลงเล่นดนตรีด้วยแต่จู่ ๆ กลับเปลี่ยนใจภายในคืนเดียว“ก็บอกแล้วไงว่าจะทำ นายคิดว่าวงของเราจะมีใครบ้าง” เขาพอจะเดาได้แล้วว่าคีตาชวนเพื่อนคนไหน หลัก ๆ ก็คงจะเป็นคนใส่แว่นกับอีกคนที่ตัวสูง ๆ ที่เรียนห้องเดียวกัน“ฉันกับนาย ร้องนำ กีต้าร์ ส่วนพีตีกลองแล้วก็เจ้าคนตัวสูงเล่นเบส” เขาวางตำแหน่งเอาไว้เรียบร้อยทั้ง ๆ ที่วเรณย์ยังไม่เคยแตะกีต้าร์เลยสักครั้ง ดูจะเป็นภาระให้พีและเขตแดนมากกว่าเพราะสองคนนั้นสนใจตั้งวงดนตรีมาตั้งนานแล้วแถมฝีมือยังโดดเด่นจนอาจารย์ชมรมต้องเอ่ยปากชม“พังแน่ ๆ” วเรณย์ส่ายหน้าคาดเดาอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น“
แม้ระยะเวลาจะผ่านล่วงเลยมาจนเปิดภาคเรียนชั้นมอสามของวเรณย์แล้วความสัมพันธ์ตลอดหลายปีที่ผ่านมาระหว่างเขากับธาวินยังคงเสมอต้นเสมอปลายไม่ชอบหน้าอย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้น หากแต่ว่าเขามีหน้าที่สำคัญหนึ่งอย่างซึ่งได้รับมอบหมายจากคนในบ้านเพราะพวกพี่สาวเรียนมหาวิทยาลัยกันหมดแล้วจึงเหลือเพียงตัวเขาที่ต้องติดแหง็กอยู่กับธาวินที่เพิ่งจะเข้าเรียนชั้นมอหนึ่งแม้ว่าธาวินจะยืนยันอย่างหนักแน่นว่าสามารถดูแลตัวเองได้เพราะเกรงใจทุกคนในบ้าน แต่ไม่อาจปฏิเสธความหวังดีจากพวกเขาได้ง่ายขนาดนั้นถึงใครบางคนจะหน้าหงิกแต่ก็ยอมทำตามโดยไม่งอแงมากนักเพราะรู้ซึ้งถึงการปล่อยให้ธาวินอยู่คนเดียวแล้วพบว่าเจ้าตัวมักจะจำทิศทางไม่ค่อยได้ ทั้ง ๆ ที่เคยเดินผ่านสถานที่แห่งนั้นมาแล้วกี่ร้อยครั้งก็ตามหรือกระทั่งการแอบขึ้นรถเมล์
วันเกิดครบรอบอายุสิบเอ็ดปีของวเรณย์เจ้าลูกชายคนเล็กของบ้านยังคงต้องการความเอาใส่ใจและเป็นที่หนึ่งที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญอยู่เหมือนเดิม รวมถึงเพื่อนร่วมชั้นของเขาด้วยแค่เพียงได้ยินเพื่อนสนิทอย่างคีตาบอกว่าวันเกิดปีนี้ถ้าได้จัดงานที่สวนสนุกเหมือนการ์ตูนเรื่องนั้นก็คงจะดี เขาจึงคิดว่าถ้าเพื่อน ๆ มาร่วมงานวันเกิดครั้งนี้ได้จะต้องมีแต่ความสนุกสนานและชอบเขามากขึ้นแน่นอนจึงเอ่ยปากขอร้องผู้ปกครอง“พ่อครับ วันเกิดปีนี้ผมเลือกของขวัญเองได้ไหมครับ” วเรณย์ถามด้วยความลังเลแม้จะรู้ว่าพ่อและแม่ไม่เคยปฏิเสธเขา แต่การที่จะจัดงานในสวนสนุกไม่รู้จะยุ่งยากเกินไปหรือเปล่า“ปกติพ่อกับแม่ก็ซื้อตามใจเรย์อยู่แล้ว ปีนี้ลูกอยากได้อะไรเหรอครับ” ก้องเกียรติถามบ้างเพราะสีหน้าของลูกชายดูคาดหวังไม่น้อย