เมื่อลงทัณฑ์เจ้าของห้องและสาวใช้จนพอใจ โม๋เอ๋อร์เพียงเปรยเสียงเรียบว่า
“จงหยุดสิ่งที่คิดจะทำ หากต้องการอยู่อย่างสงบเฉกเช่นวันวาน...” ความหมายก็คือจงอยู่ในห้องหับห้ามออกมาทำระยำอีกเด็ดขาด!
แน่นอนว่า สตรีทั้งสองได้อยู่กันอย่างสงบอย่างที่สุด
หญิงสาวกล่าวจบก็อันตรธานหายวูบไป ดั่งปีศาจร้ายภูตผีนรกผุดมาทักทายจากห้วงอเวจีเพียงชั่วครู่
สองนายบ่าวพลันสิ้นสติในทันทีเช่นกัน ไม่แน่ว่าตื่นมาอีกทีครานี้ ทุกอย่างในชีวิตอาจจะเปลี่ยนไป
โม๋เอ๋อร์นั้น หาได้ล่วงรู้แผนการอันซับซ้อนของสตรีสองนางในเรือนแห่งนี้ไม่ รู้เพียงว่าพวกนางมีความผิดที่บังอาจทำร้ายกันขั้นรุนแรง ถึงขนาดหมายปลิดชีวิตคนเช่นผักปลา
คราแรกวางยานางในคืนเข้าหอก็ช่างเถิด
แต่หากมองหยูเสวี่ยเป็นเพียงคนไร้ค่า นึกอยากฆ่าก็ฆ่าได้ง่ายๆ โม๋เอ๋อร์จึงไม่อาจออมมือได้
หญิงสาวใจดีถอนพิษให้เสี่ยวเถาเพราะไม่ต้องการให้มีการสืบสาวให้วุ่นวาย จนอาจจะพาลมาถึงหยูเสวี่ยและตัวนางที่นั่งร่วมสนทนาในศาลายามบ่าย
และเรื่องราวเชื่อมโยงไม่อาจจบสิ้นลงได้ง่าย ต้องถูกสอบสวนประปราย ปราศจากความสงบสุขใดๆ
ทั้งหมดนี้เพราะยาพิษในกายของเสี่ยวเถานั้น อาจจะชักนำให้หยูเสวี่ยถูกลากมาเกี่ยวข้องให้ยุ่งยากใจ
นางจึงมอบเพียงความพิการ พูดไม่ได้ แขนขาอ่อนแรง แก่สตรีวิปลาสทั้งสองก็เท่านั้น หาได้ฆ่าให้ตายตกหรือบั่นทอนอายุขัยจนผิดกฎสวรรค์ขัดต่อบัญชีนรกไม่
เรื่องนี้บิดาสอนสั่งนางเอาไว้ ว่าอย่าได้ทำการสังหารโหดใครเป็นอันขาด เพราะมารดาของนางเคยเข่นฆ่ามนุษย์ประหนึ่งจะล้างเผ่าพันธุ์ นั่นจึงทำมารดาถูกสูบวิญญาณกลับนรก เป็นเหตุให้บิดาตรอมตรมจนตายตก ตัวนางที่เป็นเทพปีศาจครึ่งมนุษย์จึงต้องอยู่เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์แปลกใหม่ ไม่อาจตายได้
ส่วนสตรีน่าตายสองคนนั่น ก็แค่ทำให้ไม่สามารถออกมาเพ่นพ่านทำชั่วอันใดอีกก็พอแล้ว
ความทรมานชนิดนี้เรียกได้อย่างเดียวว่า อยู่มิสู้ตาย!
กินไม่ได้ดี นอนมิได้หลับ นั่งไม่ได้ ยืนไม่ได้ เดินยิ่งไม่ต้องพูดถึง เลื้อยไปกับพื้นยังลำบาก
หากอยากฆ่าตัวตายลิ้นก็ไม่มีให้กัด!
หึ! เกิดเป็นคนธรรมดาใช้ชีวิตปกติกลับไม่ชอบ อยากหาเรื่องชั่วช้าใส่ตัวเอง ช่วยไม่ได้!
โม๋เอ๋อร์คิดในใจเรื่อยเปื่อยยามพาร่างดำทะมึนวูบผ่านวาบไปดั่งสายลมยามราตรี
นี่มิใช่ครั้งแรกที่โม๋เอ๋อร์เคยกระทำ
ยามอยู่ที่จวนโหวครั้งที่หยูเสวี่ยถูกวางยาครั้งแล้วครั้งเล่า จนล่าสุดหวิดเสียโฉม
โม๋เอ๋อร์ก็เคยลอบเอาคืนคนที่วางยาอย่างสาสม
จนกระทั่งน้องสาวของหยูเสวี่ยนามว่าหยูเจวียน ยังต้องใช้ผ้าปิดบังใบหน้าอันอัปลักษณ์อยู่เนิ่นนานหลายเดือน
ปากร่ำร้องว่าเจอปีศาจ หากแต่ก็ไม่มีผู้ใดเชื่อ...
โม๋เอ๋อร์กลับเข้ามาในเรือนชิงเยว่โดยการลอยตัววูบไหวรวดเร็วปานลมกรด คล้ายเงาดำเพียงหมอกควันโฉบไปมา
เหนือชั้นกว่าวิชาตัวเบาของชาวยุทธ์มากโข ทั้งยังไม่ลืมกักเก็บพลังลมปราณได้อย่างดีเยี่ยม
เมื่อกลับเข้ามายังห้องส่วนตัวชั้นใน ยังไม่ลืมเดินปรี่มาดูอาการของหยูเสวี่ยที่เตียงนอน
ทันทีที่ผ้าม่านคลุมเตียงเปิดออก ดวงตากลมโตจึงพบเพียงความว่างเปล่า ไร้ร่างอรชรของหยูเสวี่ยนอนอยู่
หญิงสาวดึงสายตาออกจากเตียงนอนอย่างตระหนกอยู่ในอก นางมองหาหยูเสวี่ยไปทั่วห้องอย่างตกใจ
เพียงชั่วครู่ก็เห็นร่างระหงอ่อนแรงของหยูเสวี่ยยืนอยู่ที่ด้านในของประตูห้อง ในท่ากางแขนออกคล้ายปกป้องประตูอย่างหวงแหน
ประหนึ่งเกรงว่าใครจะเข้ามา แล้วเอาประตูไปกระนั้น
โม๋เอ๋อร์เห็นหยูเสวี่ยใช้สายตากลอกไปด้านข้าง เพื่อบอกทิศทางให้โม๋เอ๋อร์มองตาม
เจ้าของดวงหน้างามพิลาศจึงกลอกตามองไปยังทิศตามสัญญาณของอีกฝ่ายจากมุมมืดนั้น จึงได้เห็นเงาร่างสูงใหญ่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ริมหน้าต่างห้องชั้นนอก มีบ่าวรับใช้ที่นางไล่ให้ออกไปก่อนหน้านั้นกำลังนั่งอยู่รายรอบเต็มไปหมด
โม๋เอ๋อร์พลันเบิกตากว้าง เรือนร่างแข็งทื่อทันใด
นั่นมิใช่ รัชทายาทหมิงเฉิง หรอกหรือไร?
เขามาหานางทำไม?
เมื่อมองเห็นเรือนร่างสูงใหญ่สง่างามแผ่อำนาจบารมีมากล้นของชายผู้เป็นสามีนอกจากไม่กลัวเกรงหรือตระหนกอกสั่นหวาดหวั่นอันใด โม๋เอ๋อร์กลับรู้สึกดีใจยิ่งนักเขามาหานางถึงในเรือนเชียวหรือ?ชั่วขณะที่หญิงสาวกำลังปลื้มปริ่ม เสียงกระซิบพลันดังจากในมุมมืด“พระชายา...เปลี่ยนชุดก่อน!”เจ้าของเสียงคือหยูเสวี่ย นางรีบเคลื่อนกายเข้ามุมอับพร้อมส่งเสียงเอ่ยเตือนโม๋เอ๋อร์อย่างร้อนรน เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังอยู่ในสภาพชุดดำสนิทเยี่ยงผู้ร้ายเช่นนั้นถึงแม้จะมั่นใจในฝีมืออันชั่วร้าย หากแต่ใครมาเห็นเข้าคงยากจะหลุดพ้นจากการถูกสงสัยเป็นแน่โม๋เอ๋อร์พลันฉุกคิดได้ จึงรีบหมุนกายไปเปลี่ยนชุดสีดำออกแล้วสวมชุดพลิ้วไหวสีขาวบางเบา เห็นเนินอกรำไร ใส่ใจในการยั่วยวนเต็มที่หญิงสาวหมุนตัวอยู่หน้ากระจกหนึ่งรอบ นึกลังเลขึ้นมา ระหว่างชุดสีขาวกับชุดสีแดงใส่ชุดใดดี?ทันใดนั้น โม๋เอ๋อร์ก็คิดได้ นางรีบถอดชุดสีขาวออกแล้วสวมชุดสีแดงที่มีเนื้อผ้าโปร่งบางโล่งใสแทนชุดนี้ช่วยขับผิวขาวดั่งหิมะให้สว่างสดใสไปทั่วเรือนร่าง ราวกับว่าเนื้อนวลเปล่งปลั่งจะทะลุออกมานอกชุดเบาบางได้กระนั้นเรียวแขนขาวผ่องนวลเสลา กระทั่งเรียวขาเนียนกระจ่างยังเห็นได้
“เขามานานแล้วหรือ?” แล้วรู้หรือไม่ว่าข้าไม่อยู่ในห้องประโยคหลังโม๋เอ๋อร์มิได้ถามออกมา ทว่าใช้สายตาสื่อความนัยแทน หยูเสวี่ยย่อมเข้าใจ จึงกระซิบตอบเสียงเบาหวิว“พระชายาทรงอ่อนเพลียจึงนอนหลับไป ขอเวลาเตรียมตัวสักเล็กน้อย”นั่นคือคำตอบที่หยูเสวี่ยตอบขันทีหน้าประตูห้องเมื่อสองเค่อที่ผ่านมา เพื่อสื่อความนัยให้สายตาที่ถูกส่งมาจากโม๋เอ๋อร์เมื่อได้รับรู้คำตอบแล้วเป็นอย่างดี โม๋เอ๋อร์จึงบอกกล่าวให้หยูเสวี่ยพักผ่อนให้หายดีอยู่ที่นี่ ไม่ต้องตามออกมา ประเดี๋ยวจะต้องลมเย็นจนล้มพับไป ก่อนจะทำทีเป็นคนที่ถูกปลุกจากนิทรา ทำหน้าง่วงตาปรือ ยามเปิดประตูห้องออกไปหาบุรุษหนุ่มรูปงามผู้เป็นสามี…ภายใต้แสงเทียนสีเหลืองนวลสตรีในอาภรณ์บางเบาสีแดงสด ขับเน้นเรือนร่างระหงอรชรสมส่วนอวบอูมอิ่มน้ำ ดวงตาหรี่ปรือหวานล้ำเพราะถูกปลุกจากนิทรากลางคัน พลันปรากฏในครรลองสายตาของผู้คนนอกห้องความงดงามประหนึ่งน้ำผึ้งหยาดหยดอยู่กลางเปลวเพลิงแห่งเสน่หาร้อนแรงของโม๋เอ๋อร์ ที่ใครเห็นเป็นต้องตกตะลึงพรึงเพริด แม้แต่ขันทีที่ไร้ซึ่งอารมณ์ซับซ้อนยังลืมหายใจไปชั่วขณะ สาวใช้ที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องชั้นนอกยังมองไม่วางตาความเลอโฉมพิลาศล้ำ
มารดาของโม๋เอ๋อร์หาใช่มนุษย์สามัญแต่เป็นถึงมหาเทพปีศาจ ส่วนบิดานั้นเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง โม๋เอ๋อร์จึงเป็นโม๋กุ่ยเสินครึ่งมนุษย์หลังจากมารดาให้กำเนิดโม๋เอ๋อร์ไม่นาน พลังซ่อนเร้นยามคลอดบุตรจึงมิอาจปิดบัง ในที่สุดก็ถูกเจอตัวจากมหาเทพปีศาจและภูตนรก มารดาจึงถูกจับตัวกลับไปยังสถานที่ที่จากมาเมื่อคนหนึ่งสิ้นสลาย อีกคนก็ไม่อาจอยู่ได้ สิ้นใจตายด้วยเด็ดเดี่ยวตรอมตรม บิดาของโม๋เอ๋อร์จึงตรอมใจตายตามไปหลังจากนั้นเจ็ดปี ทิ้งโม๋เอ๋อร์ให้อยู่เพียงลำพังในป่าใหญ่ พร้อมคำสั่งเสียเฉียบขาดว่าให้โม๋เอ๋อร์อยู่โลกมนุษย์ต่อไป ด้วยรู้ดีแก่ใจว่าบุตรสาวที่เป็นครึ่งมนุษย์เทพปีศาจมิอาจอยู่ที่ใดได้ ไม่ว่าสวรรค์หรือนรก มีเพียงต้องอยู่บนภพมนุษย์เท่านั้นโม๋เอ๋อร์ที่เป็นเพียงมนุษย์ครึ่งปีศาจ หาใช่มหาเทพปีศาจเฉกเช่นมารดา หากถูกสูบลงนรกจักต้องสลายหายไปคล้ายหมอกควัน กายหยาบกายทิพอันใดล้วนไม่อาจเป็นได้ทั้งนั้นและสิ่งสำคัญที่สามารถทำให้โม๋เอ๋อร์ดำเนินชีวิตต่อไปได้ นั่นก็คือห้ามฆ่าใครจนถูกล่วงรู้ตัวตน ผสานอีกสิ่งที่สำคัญเหนือกว่าเพื่อที่นางจะยืนหยัดต่อไปได้ นั่นคือพลังหยินหยาง...โม๋เอ๋อร์ซึ่งเกิดเป็นสตรีมีความอ่อนโยน ความ
หญิงสาวรีบขยับกายระเหิดระหงเดินตามแผ่นหลังกว้างด้วยใจไม่คิดจะยอมแพ้ ไม่สนใจกระทั่งบ่าวรับใช้ที่เดินขบวนติดตามเป็นพรวน“ท่านควรเข้าหอกับข้าได้แล้ว”นางกระซิบกระซาบเสียงเบาอยู่ตรงแผ่นหลังผู้เป็นสามี ก่อนจะรีบสืบเท้าขึ้นเคียงข้างไหล่หนา พร้อมส่งสายตากดดันเข้มข้น จนเรียวคิ้วเข้มของผู้ฟังถึงกับกระตุกเล็กน้อยปลายเท้าใหญ่ของหมิงเฉิงหยุดกึกทันใด สายตาคมดำหรี่เล็กแคบยามปรายมองผู้พูดด้วยประกายสังหารแวบหนึ่งเมื่อคนตัวโตหยุดเดิน คนตัวเล็กจึงหยุดตาม ยังผลให้รูปขบวนบริวารหยุดเท้ากันทั้งหมดบรรดาบ่าวไพร่เอาแต่ก้มหน้าหลุบตามองเม็ดดินใต้แสงจันทร์เพ็ญไม่กล้าเงยเลยสักคนมีเพียงหยูเสวี่ยที่แอบเดินตามมาในระยะสายตา ต้องลอบชำเลืองมองโม๋เอ๋อร์อย่างเป็นห่วงเหลือเกินพระชายาโปรดเก็บอาการหน่อยเพคะ!หมิงเฉิงอยากจะหัวเราะเย้ยหยันให้เต็มเสียงสักคราชายหนุ่มไม่คาดคิดว่าพระชายานางนี้จะอยากขึ้นเตียงกับเขาจนไม่อาจเก็บข่มอารมณ์อันใด มิอาจเก็บได้กระทั่งอาการกะสันด้วยการเปล่งวาจาน่าอายแน่นอนว่าหมิงเฉิงเจอมามากมายนัก กับสตรีที่ต้องการปีนเตียงของเขา และสตรีทุกนางล้วนแล้วแต่ร่ายมารยาเพื่อหวังจะมัดใจเขาให้ลุ่มหลงต่างๆ นาน
หมิงเฉิงพาโม๋เอ๋อร์เดินมาตามทางได้ระยะหนึ่งหางตาคมกริบของเขาลอบมองไปทางศาลาริมบึงบัว ซึ่งมีบรรดาบ่าวรับใช้จากตำหนักส่วนพระองค์ฮ่องเต้และขันทีเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์ ที่ถูกส่งมาพร้อมอาหารมื้อค่ำพระราชทาน เพื่อสอดส่องเขากับพระชายาเอกจากตระกูลโหวโดยเฉพาะเป็นความจริงที่ว่า การสร้างความระหองระแหงกับพระชายาจากตระกูลใหญ่ มิใช่การกระทำที่ฉลาดนักนั่นคือสาเหตุที่รัชทายาทหมิงเฉิงต้องลงทุนเดินทางไปรับพระชายาด้วยตนเองถึงเรือนชิงเยว่ พร้อมทั้งต้องแสดงท่าทีว่าโปรดปรานรักใคร่ทะนุถนอมอีกฝ่ายเพื่อตบตาข้าราชบริพารเรื่องนี้โม๋เอ๋อร์หาได้รับรู้อันใดไม่ นางจึงคลี่ยิ้มงดงาม รู้สึกปลาบปลื้มยินดีกับสามีที่ประคองนางให้เดินไปในศาลา รับรู้เพียงฝ่ามืออุ่นหนาและไอร้อนจากกายแกร่งที่อบอุ่นไม่ต่างจากบิดาผู้ล่วงลับ นางซึมซับความรู้สึกดีเช่นนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่ง...มองเห็นอาหารหน้าตาน่ากินเต็มไปหมด!ดวงตาคู่งามพลันสว่างวาบอย่างไม่อาจควบคุมได้เรื่องนี้น่ายินดียิ่งกว่าการเข้าหอกับสามีเสียอีก!แสงโคมสีแดงมงคลประหนึ่งยกห้องหอในงานแต่งงานเมื่อคืนวาน มาวางเอาไว้ในศาลาริมบึงคืนนี้อาหารก็เช่นกัน ทุกจานล้วนมงคล จะแตกต่างก็ตรงที
จวบจนเวลาล่วงเลยจนกลางดึก...ทั้งสองยังคงนั่งดื่มกินด้วยกันอย่างชื่นมื่น ประหนึ่งคู่สามีภรรยาที่รักใคร่ปานกลืนกินโดยฝ่ายหญิงมีแต่ความมุ่งมาดปรารถนา หวังปีนเตียงชายตรงหน้า ให้กำเนิดทายาทและได้รับความรักใคร่โปรดปราน ผสานกลิ่นอายบุรุษเข้ากับกลิ่นอายสตรี ประสานเลือดเนื้อเชื้อไขให้ก่อเกิดเผ่าพันธุ์หายากสืบไปนางซ่อนความเจ้าเล่ห์เหลือร้ายเอาไว้ เผยเพียงดวงตาพิสุทธิ์กระจ่างใส หลงใหลสามีล้นเหลือ ออดอ้อนฉอเลาะประหนึ่งดอกหลีฮวาชุ่มฝนส่วนฝ่ายชายซ่อนความคิดชั่วร้ายกักเก็บกลิ่นอายอันตรายเอาไว้ยากเย็นทว่ามิดชิด เผยเพียงแววตาอบอุ่น รอยยิ้มมุมปากมากเสน่ห์ให้แก่ภรรยาตนคนสองคนยังคงดื่มด่ำกับค่ำคืนอันยาวนาน ท่ามกลางบรรยากาศแสนดี มีแสงโคมสีแดงมงคลเป็นใจ กลิ่นดอกไม้ราตรีหอมกรุ่นลอยวนอยู่ในอากาศรอบด้านยังเป็นเหล่าบริพารห้อมล้อมรอรับใช้ทว่าตรวจสอบในที โดยมีขันทีเฒ่าจ้องเขม็งไม่วางตา พาให้ขันทีผู้น้อยและบ่าวรับใช้คนอื่นๆ ไม่กล้ากะพริบตา แม้ง่วงมากแต่ยังไม่กล้าสัปหงกแม้จังหวะเดียวถัดจากมหาขันที มีบ่าวรับใช้ยืนในตำแหน่งต่างๆ อย่างเป็นระเบียบ ทว่าห่างออกไปอีกระยะหนึ่ง กลับมีเงาร่างสองสายยืนอยู่อย่างไร้ระเบ
ก่อนหน้าที่หมิงเฉิงจะได้สมรสพระราชทานให้แต่งงานกับสตรีสกุลโหวเป็นชายาเอกพี่ชายทั้งสองของเขาก็ได้สมรสพระราชทานกับสตรีสกุลใหญ่มากอำนาจไม่แพ้กันยามนี้พี่ชายของหมิงเฉิงยังขยันสร้างทายาทกันอย่างคึกคัก ในตำหนักยังมีสนมชายามากกว่าตัวเขาที่เป็นรัชทายาทเสียอีกน้ำพระทัยของฮ่องเต้ช่างยากแท้หยั่งถึง ความคิดล้ำลึกยิ่งกว่าก้นบึ้งของมหาสมุทรอันเวิ้งว้างลึกลับ แม้จะทรงให้หมิงเฉิงได้ครอบครองตำแหน่งรัชทายาท ผู้เป็นใต้เพียงหนึ่งแต่เหนือคนนับแสน กระนั้นกลับมอบอำนาจหนุนหลังให้พี่ชายทั้งสองได้อย่างน่าหวั่นเกรง ทั้งยังคานกันได้อย่างน่าชมหมิงเฉิงจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าจักต้องผูกไมตรีกับสกุลโหวให้ดี ถึงแม้ในใจจะเบื่อหน่ายอยากหลีกหนีเหลือเกิน หากมิใช่เพื่อหมิงจินผู้เป็นน้องชาย เขาจะย้ายตัวเองไปอยู่ในป่า ตามหาใครบางคนอย่างจริงจังมิรู้ได้ว่า ป่านนี้มีสามีไปแล้วหรือยัง?หรือต่อให้มีแล้ว เขาก็จะฆ่าสามีนาง แล้วฉุดคร่านางมาเป็นภรรยาของตนเองให้จงได้!รัชทายาทหนุ่มครุ่นคิดอย่างชั่วร้ายไม่สร่างซา ขณะกำลังมอมเมาพระชายาของตนอย่างต่อเนื่องประโยคที่ว่า ใบไม้บังตา ไม่เห็นเขาไท่ซาน[1] กำลังเกิดขึ้นกับบุรุษเช่นหมิงเฉิงอย่
ถึงแม้ว่าหมิงเฉิงจะไม่ล่วงรู้ว่าคนงามมีเรี่ยวแรงมหาศาลปานใด หากแต่ท่าทางพร้อมช้อนร่างขึ้นกระนั้นได้อย่างไร!นั่นจึงทำให้เขาต้องรีบยกฝ่ามือขึ้นโบกเบาๆ หมายปฏิเสธสตรีข้างกายอย่างเด็ดขาด แล้วส่งสัญญาณสายตาเรียกราชองครักษ์คู่ใจทว่ากลับไร้เงาร่างของหมิงจินที่ควรยืนอยู่ในตำแหน่งประจำเสียแล้ว...เมื่อรับรู้ได้ว่าผิดแผนไปหมด ความหงุดหงิดพลันบังเกิดทว่ายังคงไว้ซึ่งท่าทางสุขุมเคร่งขรึม ซ่อนความเย็นชาเยือกเย็นมิดชิด หาได้มีผู้ใดสัมผัสได้ไม่หมิงเฉิงพลันเปลี่ยนแผนใหม่ ไม่คิดสลัดคนงามอีกต่อไป แต่ตรงกันข้าม เขาจะพานางไปกำราบในเรือนตน ให้พ้นหูพ้นตาคนนอกเหล่านี้เมื่อคิดได้เช่นนั้น ร่างสูงจึงโบกมือไล่บรรดาบ่าวรับใช้ให้พากันถอยห่างออกไปไกลตามคำสั่งของพระชายารัชทายาทหนุ่มซึ่งเมามายเพียงลุกขึ้นยืนแสร้งโซเซออกจากเรียวแขนเสลาแล้วเดินเองทว่าโม๋เอ๋อร์ไหนเลยจักปล่อยไปโดยง่าย นางจึงเอื้อมฝ่ามือเล็กนุ่มจับพยุงร่างใหญ่แล้วประคับประคองพากลับเรือนหลักอย่างมีน้ำใจทว่าการถูกสตรีจับประคองย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งของชายชาตินักรบ หมิงเฉิงจึงตวัดวงแขนออกกว้าง แล้วโอบนางข้างกายเอาไว้แน่น เพื่อเป็นฝ่ายควบค
นอกหน้าต่าง รอบด้านเงียบสงบ สายลมอ่อนโชยพัดพลิ้วเข้ามา พากลิ่นไอน้ำผสานดอกบัวเข้าหา ให้สดชื่นรื่นรม ช่างเหมาะสมแก่การสร้างอารมณ์วาดภาพยิ่งทว่าหมิงเฉิงหาได้มีอารมณ์สุนทรีพร้อมร่างภาพวาดลวดลายอันใดใส่กระดาษไม่ ด้วยในใจยังคำนึงถึงนางกำนัลผู้นั้น ที่บังอาจมีนัยน์ตาสีเขียวเหมือนใครบางคน!สายตาคมปลาบลอบพินิจชายาที่ยืนฝนหมึกอยู่ด้านข้าง ดวงหน้าสะคราญโฉมมีดวงตากลมโตอันน่าสงสัย เพื่อความสบายใจเขาควรจักพิสูจน์นางให้มากเข้าไว้หมิงเฉิงพลันหรี่ตา นึกถึงเรื่องราวบางประการดวงตาสีเขียววูบไหวที่เห็นเพียงแวบหนึ่งแต่มากกว่าถึงสามครั้ง ทั้งกลิ่นอายเย็นฉ่ำที่สัมผัสได้ยามโอบกอด ให้รู้สึกดีอย่างประหลาด และยังคุ้นเคยอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่นางเป็นถึงคุณหนูในห้องหอ ไม่เคยย่างกรายออกนอกจวนไปที่ใด ไม่มีทางที่นางจะเคยปรากฏกายในป่าใหญ่หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงอยากเชื่อให้สนิทใจแน่งน้อยในวันวาน บางทีอาจจะเป็นนาง...หมิงเฉิงยิ่งคิดยิ่งรุ่มร้อน ความรู้สึกไม่ยินยอมกำลังเกิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเขาจักให้หมิงจินไปสืบเรื่องนี้ให้รู้แจ้ง ว่าสกุลโหวเล่นกลซ่อนเล่ห์อันใดหรือไม่ ทว่ายามนี้ขอเรียกความมั่นใจส
พระชายาน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ แล้วอีกฝ่ายจักเย็นชาไปเพื่ออันใดเจียงเฟิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง!ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าธิดาสกุลโหวคือสมบัติล้ำค่า จักต้องถนอมเอาไว้จนกว่าบุตรชายคนใดคนหนึ่งได้ขึ้นครองราชย์อันว่าสตรีงามพิลาศปานล่มเมืองล่มแคว้น เป็นนางมารยั่วยวน กระทั่งผู้จับจ้องคล้ายถูกดึงดูดตกบ่วงเสน่หาอันเหลือร้าย จักเป็นใครไปมิได้ นอกจากสตรีนามว่า โม๋เอ๋อร์กระทั่งเจียงฮองเฮายังหลงใหลเข้าให้แล้วแบบเต็มขั้นโม๋เอ๋อร์นั้น ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก แม้แต่สตรีด้วยกัน!สุรเสียงเย็นเยียบจึงตรัสไปทางสวี่กูกูที่ยืนอยู่ไม่ห่าง“ให้คนไปเชิญองค์รัชทายาทเข้ามาในห้องหนังสือ”“เพคะ”เสียงตอบรับนอบน้อมเกิดขึ้นจากนางกำนัลคนสนิท เพียงครู่ขันทีผู้น้อยหน้าห้องก็ถูกสั่งให้ไปแจ้งแก่หมิงเฉิงชั่วอึดใจเท่านั้น ร่างสูงสง่าก็มาปรากฏอยู่ภายในห้องหนังสือชายหนุ่มเหลือบดวงตาคมปลาบมองพระชายาแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจอีก เย็นชาที่สุดโม๋เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะของเจียงฮองเฮาพลันเลิกคิ้วฉงน กะพริบตางุนงง เมื่อเห็นสามีเครียดขรึมสีหน้าเย็นเยียบปานนั้นเจียงฮองเฮากรีดเรียวนิ้วม้วนกระดาษคำกลอนหวานล้ำของโม๋เอ๋อร์อย่างทะนุถนอม แล้วว
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้
ระยะทางจากตำหนักบูรพามายังตำหนักฉีหยางกงนับได้ว่าไกลมากทว่าวันนี้กลับรู้สึกเหมือนใกล้กว่าที่เคย หมิงเฉิงยังมิทันได้ซึมซับไอเย็นจากร่างนุ่มสักเท่าไหร่ก็ถึงเสียแล้วอ้อมกอดอุ่นพลันคลายออก ความร้อนวาบพลันจางหาย โม๋เอ๋อร์รู้สึกถึงความเย็นไหลผ่านร่างกายเมื่อวงแขนกำยำของสามีปลดออกไปความเสียดายบางประการจึงบังเกิดกับพวกเขาโดยมิได้นัดหมาย หญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่น ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับลอบขบกรามทั้งสองพากันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะลงจากรถม้าอย่างงามสง่าเฉกเช่นชนชั้นสูงปกติ หาได้มีพิรุธอันใดไม่ขณะนี้เป็นเวลายามสาย อากาศแจ่มใส แมกไม้ร่มรื่น แสงแดดอ่อนจาง ทางเดินเข้าตำหนักงดงามจับตา ชายผ้าของสองสามีภรรยาถูกสายลมโชยผ่านพัดพลิ้วเกี่ยวประสาน ประหนึ่งเป็นผ้าผืนเดียวกันตั้งแต่ย่างเท้าก้าวใดมิทราบได้ ที่ทั้งคู่เดินใกล้กันมาก โดยไม่รู้ตัวภายในห้องโถงรับแขก ที่แท่นประทับสลักทองคำเจียงฮองเฮายังคงนิ่งเงียบเพื่อฟังวาจานุ่มหวานของสาวใช้นางหนึ่งที่นั่งเคียงข้างกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านล่าง สองชายหญิงช่วยกันร้องช่วยกันรับอยู่หลายประโยค พูดจาส่งกันไปมาอย่างเปิดเผย