จิณณ์ที่แต่งตัวเรียบร้อยก้าวออกจากห้องนอน ด้วยอารมณ์ไม่ปกตินัก เพราะเห็นเสื้อผ้าที่มนตกานต์เตรียมไว้บนเตียง เธอน่าจะใส่ในวันนี้ ความโกรธที่พยายามดับสนิทก่อนก้าวออกจากห้องน้ำ เหมือนจะปะทุขึ้นอีกครั้ง เพราะชุดชั้นในตัวบางสีดำสนิทนั่น มันไม่ต่างจากไอ้สองตัวที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในตะกร้าสักนิด
“ความบางคงที่คงทน ต่างกันแค่สี แล้วมันจะปกปิดอะไรได้ ฮึ่มมมมม...”
ด้านในบางจ๋อย ด้านนอกเสื้อยืดตัวโคร่งสีขาว หากมนตกานต์ใส่ คอที่ปาดกว้างนั้นคงเฉียงมาที่ไหล่ด้านในด้านหนึ่ง แน่นอนหากเธอเอี้ยวตัวหยิบของ สายไส้ไก่เส้นจิ๋วสีดำนี้ก็คงจะมองเห็นได้อย่างหมิ่นเหม่ เขาไม่อยากคิดหากเธอจะก้มหยิบของสักอย่าง นั่นคงเห็นไปถึง...
ท่อนบนว่าหวิว แต่ท่อนล่างดันหวิวกว่า เพราะกางเกงยีนส์สั้นจู๋ตัดชายรุ่ยตามสมัยนิยม เนื้อผ้าแข็งไม่นุ่มเหมือนเลคกิ้งตัวเมื่อวาน เมื่อรวมกันกับเ
เรียวลิ้นอ่อนชื้นอุ่นจัดสอดแทรกตักตวงดึงดูดกวาดต้อนจนมนตกานต์มึนงง ร่างกายไร้แรงต้านทาน เธอปล่อยกายปล่อยใจไปตามแต่จิณณ์จะนำพา ไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าร่างที่เบาหวิวราวล่องลอยนี้ กำลังล่องลอยจริงๆ เพราะเขากำลังโอบอุ้มเธอไปสู่โซนรับรองแขกที่อยู่ติดกันกับห้องทานอาหาร เมื่อจูบนั้นยังคงเคล้าคลอ เรียวลิ้นยังคงตักตวงชอนชิมความหวานไม่หยุด จิณณ์ค่อยๆ วางร่างงามระหงกับโซฟาเบดตัวยาว ขณะเรียวลิ้นยังสอดลึกดูดดึงสร้างความหฤหรรษ์ให้กับมนตกานต์ไม่เลิก ร่างแกร่งคร่อมทาบกลายๆ ไม่ทิ้งน้ำหนัก ปากยังบดจูบดูดดื่ม แต่นิ้วมือทำหน้าที่สนับสนุน ปลายนิ้วมือเร่งเร้าสั่นตามแรงอารมณ์เพราะรับรู้ได้ถึงความเร่าร้อนเด่นนูนที่แทบจะชนกับแผงอกหากเขาไม่โหย่งร่างเอาไว้ รังดุมเม็ดที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ถูกปลดออกอยู่แล้ว เหลือเพียงเม็ดที่ 4 5 6 และ 7 เท่านั้นที่จะเป็นหน้าที่ของเขา จิณณ์ส
ดวงตาสวยล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนหนามองผ่านแว่นกันแดดไปตรงหน้า สิ่งที่เห็นนอกตัวรถของเธอก็คือ อาคารกึ่งเหล็กกึ่งไม้สูง 3 ชั้น ก่อสร้างซ่อนตัวอยู่หลังต้นไทรใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาราวกับเป็นเกราะกำบังเหตุภัย ‘JINN Design Studio Co., Ltd.’ ป้ายไม้แกะตัวอักษรแสดงชื่อสถานที่แขวนอยู่บริเวณทางขึ้นอาคารบ่งบอกว่าเธอมาถึงแล้ว จุดหมายที่ใจใฝ่หา การรอคอย 7 ปีที่ผ่านมาใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น ทุกความพยายามของเธอจะสัมฤทธิ์ผล ริมฝีปากสีชมพูอิ่มเป็นกระจับน้อยๆ คลี่ออกอย่างสมใจพลางก้มมองรูปหนุ่มหล่อคมเข้มที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ นิ้วมือเคลื่อนไปที่ปุ่มกดเตรียมจะโทร. ออก ก่อนจะชะงักนิ้วไว้เพียงเท่านั้นเพราะคิดบางอย่างได้ และนั่นก็ทำให้รอยยิ้มยิ่งระบายกว้างจนใบหน้าสวยที่มีแว่นกรอบโตปิดอยู่เกือบครึ่งดูกระจ่างใสด้วยความสุข แต่ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเช็กความมั่นใจอีกครั้ง กระเป๋าเป้สะพายใบเก๋ถูกคว้ามาวางบนหน้าตัก แว่นกันแดดถูกเคลื่อนไปเหน็บอยู่บนศีรษะเพื่อให้กระจกเงาสะท้อนใบหน้าสวยเด่นชัด สำรวจความเนี้ยบของเครื่องหน้าทุกสัดส่วน ไม่มีจุดไหนให้ต้องตำ
“พี่จิ๋วคิดว่ายังไงล่ะครับ” ณัฐถาม สายตามองเจ้านายอย่างเกรงใจ “ถ้าพี่บอกว่าพี่จะสู้ นายจะสู้กับพี่มั้ยณัฐ นายจะลำบากใจหรือเปล่า” จิณณ์มองหัวหน้าทีมดีไซน์ เขาต้องการคำตอบ และต้องการสื่อความมั่นใจ ความเข้มแข็งของตัวเองให้กับลูกน้อง ไม่อยากให้ผลการตัดสินใจของเขากลายเป็นปัญหาครอบครัวของณัฐ “สู้ครับพี่ พี่จิ๋วว่ายังไงผมก็ว่าอย่างนั้น ผมเดินออกมาแล้ว ผมจะเติบโตด้วยตัวผมเอง” จิณณ์พยักหน้าเมื่อได้ยินคำยืนยันหนักแน่น “ดี แล้วคนอื่นล่ะ คิดว่ายังไงบ้าง อาร์ตกับขิมมีปัญหาอะไรมั้ย ภานุ ใหญ่ พี่นา ทุกคนพร้อมจะสู้มั้ย สี่สิบห้าวัน ห้าสิบร้าน” ดวงตาคมเข้มมอง ‘อาร์ต’ ดีไซน์เนอร์หน้าตี๋ซึ่งเป็นคู่บัดดี้กับณัฐ ‘ขิม’ สาวทอมบอยหน้าหวานหนึ่งในทีมดีไซน์ที่ลุยงานกับเขามาตั้งแต่เปิดบริษัท ‘ภานุ’ หนุ่มใต้หน้าเข้มผู้จัดการโรงงานเฟอร์นิเจอร์ ‘ใหญ่’ หนุ่มหล่อเกาหลีเจ้าหน้าที่การตลาดที่ตัวไม่ใหญ่สมชื่อ และ ‘วีนา’ สาวทึนทึกลูกพี่ลูกน้องของเขาที่เข้ามาช่วยดูแลเรื่องบัญชีและการจัดซื้อ เจ้าหน้าที่หลักๆ ของ ‘JINN Design’ มีอยู่เท่านี้ ส่วนออฟฟิศด้านล
“นายทำฉันอีกแล้วนะนายจิ๋ว... ฉันไปเป็นเมียนายตั้งแต่เมื่อไหร่” น้ำเสียงเข่นเครียดของวีนาทำให้ณัฐอ้าปากค้าง อาร์ตกับขิมหันมองกันแบบเอ๋อๆ ภานุสำลักน้ำ และใหญ่ก็หันมองวีนาก่อนจะขยับตัวออกห่างจากรังสีอำมหิตนั้น มีเพียงจิณณ์คนเดียวที่ยังคงยืนยิ้มทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ “เจ้นากับพี่จิ๋ว... เป็น...” “เฮ้ย! ไม่ใช่ ไม่ได้เป็น” คำพูดอ้ำอึ้งของขิมทำให้จิณณ์รีบปฎิเสธแต่วีนาที่ลุกขึ้นพรวดกลับทำให้ทุกสิ่งหยุดนิ่ง “เป็น! นายไปบอกนังนั่นได้ยังไงว่าฉันเป็นเมียนาย นาย... นาย... นายจิ๋ว! ฉันจะฟ้องอี๊” “ไม่นะเจ้นา โธ่เจ้! เรื่องแค่นี้เอง” จิณณ์เริ่มอยู่ไม่เป็นสุขเมื่อวีนางัดไม้ตายมาใช้ เรื่องนี้จะให้รู้ถึงหูแม่เขาไม่ได้เด็ดขาด “แค่นี้ยังไง แค่นี้ฉันก็ขึ้นคานอยู่แล้ว นี่นายยังจะไปบอกนังพวกนั้นว่าฉันเป็นเมียเก็บของนาย นายทำกับฉันอย่างนี้ได้ยังไงนายจิ๋ว ฉันจะฟ้องอี๊ นายจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่นายทำ” “ไม่เอาน่าเจ้นา อย่าฟ้องม้านะ” ขณะที่สองพี่น้องเถียงข้ามโต๊ะประชุมกันไปมา เหล่าพนักงานทั้ง 5 ก็ได้แต่นั่งยิ้มแหย ไม่ได้อยากฟัง แต่ลุก
“ไม่มีนี่ พี่ไม่ได้นัดใครไว้นะ” “หนู... หนูก็ไม่รู้ค่ะ เธอบอกว่า... ถ้าคุณจิ๋วเห็นเธอ คุณจิ๋วก็จะรู้เองค่ะ” “อย่างนั้นเลยเหรอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างนึกสนุก อยากจะเห็นหน้าผู้หญิงเล่นใหญ่ขนาดนี้ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำตัวมีอิทธิพลเหนือเขา และจากประสบการณ์โชกโชน เขามั่นใจว่าผู้หญิงที่จะพูดแบบนี้ออกมาได้ ถ้าไม่สวยหยาดฟ้ามาดิน ก็คงจะเนื้อนมไข่จนเขาปวดหนึบไปทั้งร่าง แต่เธอคนนี้... เป็นแบบไหนล่ะ “คนไหน...” จิณณ์เดินไปจนสุดผนังกระจกซึ่งจะมองเห็นพื้นที่ออฟฟิศด้านล่างได้ทั่ว ได้เห็นเธอก่อนเขาจะได้วางแผน ‘ไล่ล่า’ ได้ทัน แต่ตลอดทั่วทั้งออฟฟิศชั้นล่างที่รวมเอาจุดรับรองลูกเอาไว้ด้วยนั้น เขาไม่เห็นใครที่แปลกตา “ไหนล่ะน้องนาย ไม่เห็นมีใครนี่” “เอ... เมื่อกี้เธอยังนั่งอยู่ที่ห้องโน้นเลยนะคะ” “โอเค... ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันลงไปเอง” “ค่ะ...” น้องนายหัวหด เพราะเจ้านายคนเดิมกลับมาแล้ว คำว่า ‘พี่’ หายวับ กลับกลายเป็น ‘ฉัน’ มาแทน แต่ก่อนที่จะถอยออกไป สายตาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวจากด้านล่าง
เจ้าของเรือนร่างงดงามที่ยืนอยู่เบื้องหน้า มองมาที่เขาเช่นเดียวกับที่เขามองเธอ จิณณ์ไม่รู้ว่าหญิงสาวมองตรงส่วนไหนของเขาบ้าง แต่เขารู้ว่าตัวเองมองตรงส่วนไหนของเธอ แม้สายตาจะจับจ้องแต่เพียงใบหน้า แต่ในระยะไกลนั้นเขาสำรวจทุกส่วนจนครบแล้ว บอกตัวเองว่าเขาไม่ได้บ้ากาม เพราะไม่เคยสักครั้งจะเสียมารยาทมองสาวสวยคนไหนในสถานที่ทำงานแบบนี้มาก่อน แต่ถ้าเป็นนอกสถานที่ทำงานหรือนอกเวลางานนั้นเขาไม่นับ เพราะของสวยงามบนพื้นโลก เขาซึ่งเป็นผู้ชายทั้งแท่งก็อยากมองและอยากครอบครองสักครั้ง แต่เธอคนนี้เป็นข้อยกเว้น เพราะเธอทำให้ทุกส่วนในร่างกายของเขาตื่นตัวแค่เห็นกันในระยะไกล และถ้าใกล้ขนาดนี้เล่า เขาจะทรมานแค่ไหนกัน ทุกสัดส่วนบนเรือนกาย คือ ตรงสเปคเขาที่สุด เธอจะรู้ไหมว่าเธอรวมเอาทุกส่วนของผู้หญิงที่เขาประทับใจเข้าไว้ด้วยกัน เขาชอบผู้หญิงสวย เฉี่ยว ออกเปรี้ยว และไม่ทิ้งความเท่ ผู้หญิงที่เพอร์เฟคสุดในอุดมคติ ประมาณ ‘แอนเจลีนา โจลี’ บวก ‘สการ์เลตต์ โจแฮนสันส์’ คูณด้วย ‘เมแกน ฟอกซ์’ หารด้วย ‘นาตาลี พอร์ตแมน’ และจับยกกำลังสองด้วย ‘มารียง กอตียาร์’ ทุกสิ่งที่ผสมผสานลงตัว ยังไม่มีใครที่
บ้านเดี่ยวขนาด 4 ห้องนอน มีพื้นที่อเนกประสงค์ครบครัน มีสนามกว้าง มีสระว่ายน้ำ ในพื้นที่รวมทั้งหมด 1 ไร่เศษ ที่เขาเคยมาเยี่ยมเยือนไก่อูและครอบครัวอยู่บ่อยครั้ง และเมื่อกลับมาเยือนเพื่อตรวจดูสภาพบ้านก่อนจะติดต่อหาคนมาซื้อ เขาก็ให้คำตอบกับตัวเองว่า คนที่จะชอบและรักบ้านหลังนี้จริงคงมีเพียงเขาเท่านั้น เขานึกเสียดายแทน หากเจ้าของใหม่ ที่ไม่เคยมีความทรงจำกับบ้านหลังนี้มาก่อน จะเข้ามาครอบครอง แต่พอเขาบอกไก่อูเรื่องที่เขาจะซื้อบ้านหลังนี้ไว้เอง ไก่อูกลับเกรงใจที่มาไหว้วานจนเขาต้องรับซื้อบ้านไว้เอง แม้เขาจะอธิบายว่าเขาเสียดายบ้านและมีความทรงจำในบ้านหลังนี้ร่วมกับไก่อูและครอบครัวอยู่แล้ว ขอให้เขาได้เป็นผู้ดูแล แต่ไก่อูก็ไม่อยากให้เขาต้องใช้เงินก้อนโตมาซื้อบ้าน จนเขาบอกว่าจะใช้บ้านหลังนี้เป็น ‘เรือนหอ’ ไก่อูจึงขอกลับไปคิดดูก่อน และคำตอบก็กลายเป็นว่า ไก่อูขอแบ่งที่ดินเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 นั่นคือตัวบ้านและสวนด้านข้างเล็กน้อย ส่วนที่ 2 คือที่ดินว่างเปล่าที่เคยเป็นลานกิจกรรมเวลาเขามาสังสรรค์ รวมทั้งสระว่ายน้ำด้วย เหตุผลก็เพราะมนตกานต์เปลี่ยนใจไม่ไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่
หลังจากจิณณ์ถอยรถเข้าเก็บในโรงรถเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบลงจากรถเพื่อไปช่วยมนตกานต์ยกกระเป๋าใส่เสื้อผ้า ที่รีบเพราะอยากช่วย และก็เพราะอยากกลบเกลื่อนความอายของตัวเองที่ดันคิดเรื่อยเปื่อยจนขับรถเลยบ้าน แต่มนตกานต์กลับมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบน้อยมาเพียงใบเดียว “อ้าว... ลูกเจี๊ยบมีกระเป๋าแค่นี้เหรอ” ถามแก้เก้อทั้งที่เห็นอยู่แล้ว “ใช่ค่ะ พรุ่งนี้หลังเลิกงาน ลูกเจี๊ยบว่าจะไปซื้อเสื้อผ้าน่ะค่ะ เสื้อผ้าที่ลูกเจี๊ยบมีอยู่มันไม่เหมาะสำหรับไปทำงานหรอกค่ะอาจิ๋ว ซื้อใหม่ดีกว่า” มนตกานต์พูดพลางเดินนำจิณณ์เข้าสู่ตัวบ้าน เพราะนี่เป็นบ้านของเธอ ทุกพื้นที่เธอจึงรู้จักและคุ้นเคยดีอยู่แล้ว แม้พ่อจะให้ทีมงานของจิณณ์เข้ามาปรับปรุงใหม่ แต่แบบที่จิณณ์ส่งให้ เธอดูแล้วไม่ได้เปลี่ยนแปลงสัดส่วนของตัวบ้าน เพียงแต่เปลี่ยนวัสดุที่ชำรุดเท่านั้น “ไม่เห็นต้องซื้อใหม่เลยนะ ที่ออฟฟิศอา ใส่อะไรก็ได้ มีแค่น้องนักศึกษาฝึกงานเท่านั้นแหละที่ต้องใส่ชุดนักศึกษา นอกนั้นก็ฟรีสไตล์ ลูกเจี๊ยบไม่น่าต้องเปลืองเงิน เราน่ะเพิ่งทำงาน ประหยัดไว้ก็ดีนะ เดี๋ยวจะหารายได้ไม่พอรายจ่าย” จิณณ