“พี่จิ๋วคิดว่ายังไงล่ะครับ” ณัฐถาม สายตามองเจ้านายอย่างเกรงใจ
“ถ้าพี่บอกว่าพี่จะสู้ นายจะสู้กับพี่มั้ยณัฐ นายจะลำบากใจหรือเปล่า”
จิณณ์มองหัวหน้าทีมดีไซน์ เขาต้องการคำตอบ และต้องการสื่อความมั่นใจ ความเข้มแข็งของตัวเองให้กับลูกน้อง ไม่อยากให้ผลการตัดสินใจของเขากลายเป็นปัญหาครอบครัวของณัฐ
“สู้ครับพี่ พี่จิ๋วว่ายังไงผมก็ว่าอย่างนั้น ผมเดินออกมาแล้ว ผมจะเติบโตด้วยตัวผมเอง”
จิณณ์พยักหน้าเมื่อได้ยินคำยืนยันหนักแน่น
“ดี แล้วคนอื่นล่ะ คิดว่ายังไงบ้าง อาร์ตกับขิมมีปัญหาอะไรมั้ย ภานุ ใหญ่ พี่นา ทุกคนพร้อมจะสู้มั้ย สี่สิบห้าวัน ห้าสิบร้าน”
ดวงตาคมเข้มมอง ‘อาร์ต’ ดีไซน์เนอร์หน้าตี๋ซึ่งเป็นคู่บัดดี้กับณัฐ ‘ขิม’ สาวทอมบอยหน้าหวานหนึ่งในทีมดีไซน์ที่ลุยงานกับเขามาตั้งแต่เปิดบริษัท ‘ภานุ’ หนุ่มใต้หน้าเข้มผู้จัดการโรงงานเฟอร์นิเจอร์ ‘ใหญ่’ หนุ่มหล่อเกาหลีเจ้าหน้าที่การตลาดที่ตัวไม่ใหญ่สมชื่อ และ ‘วีนา’ สาวทึนทึกลูกพี่ลูกน้องของเขาที่เข้ามาช่วยดูแลเรื่องบัญชีและการจัดซื้อ เจ้าหน้าที่หลักๆ ของ ‘JINN Design’ มีอยู่เท่านี้
ส่วนออฟฟิศด้านล่างนั้นก็จะเป็นนักศึกษาฝึกงาน 3 คน แม่บ้าน 1 และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย 1 พนักงานที่เหลืออีกประมาณ 50 คน จะประจำอยู่ที่โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งภานุเป็นผู้รับผิดชอบควบคุมดูแลทั้งหมด
“พี่จิ๋วครับ”
อาร์ตยกมือขึ้นเหมือนนักเรียนขออนุญาตครูพูด ซึ่งก็ได้รอยยิ้มเอ็นดูปนขำขันจากเพื่อนร่วมงาน แต่เมื่อสายตาคมเข้มตวัดมอง แต่ละคนก็หุบยิ้ม นั่งตัวตรงตั้งใจฟังอาร์ตพูด
“ว่าไงอาร์ต”
“ผมว่าสี่สิบห้าวันทันนะครับ เริ่มนับตั้งแต่วันทำสัญญาจัดจ้างอาทิตย์หน้า เท่ากับว่าเรามีเวลาเพิ่มขึ้นห้าวัน ห้าสิบวัน ห้าสิบร้าน ผม ณัฐ ขิม แบ่งกันคนละสิบห้าร้าน อีกห้าร้านผมจะให้น้องพนักงานใหม่ลองทำดู ทำไปพร้อมๆ กัน ถ้าผลงานน้องดี เราก็จะได้เร็วขึ้นอีก แต่ถ้างานน้องไม่ผ่าน เราก็จะได้มีเวลาแก้ทัน สิบห้าร้านผมขอเวลาหนึ่งอาทิตย์”
อาร์ตพูดพลางมองหน้าณัฐกับขิมดังจะขอคำสนับสนุนว่าอีก 2 คนก็ทำได้เช่นกัน แต่ขิมกลับทำหน้าเหลอหลาเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่อาร์ตพูด
“อะไรของเอ็งว่ะอาร์ต น้องพนักงานใหม่ที่ไหน มีแต่น้องฝึกงาน และขอบอกเลยว่าน้องยังทำไม่ได้แน่ เอ็งกับพี่ณัฐเอาไปคนละสิบเจ็ดร้าน ส่วนข้าสิบหก แค่นี้ก็ลงตัว ใช่มั้ยคะพี่จิ๋ว”
จิณณ์พยักหน้าเห็นด้วยกับขิม “สรุปทีมดีไซน์ขอเวลาหนึ่งอาทิตย์ใช่มั้ย โรงงานจะมีเวลาประมาณสี่สิบห้าวันทำงาน หลังจากแบบอนุมัติ ภานุทันมั้ย”
“ทันครับคุณจิ๋ว ผมจะให้พนักงานเช็กวัตถุดิบคงคลังทั้งหมด และก็เตรียมสั่งวัตถุดิบหลักที่ต้องใช้ เซ็นสัญญาปุ๊บ ก็พร้อมสั่งของได้เลยครับ ส่วนที่ขาดเหลือ เดี๋ยวคำนวณเพิ่มเติมอีกที แต่ผมขอให้ทีมดีไซน์ส่งแบบชิ้นงานที่อนุมัติแล้วให้ผมทุกวัน ตัวไหนเสร็จส่งมาได้เลยครับ ถ้าวัตถุดิบในคลังมี ผมก็จะจ่ายไปทำล่วงหน้า จะได้ทันกัน”
“เริ่มติดตั้งร้านแรก หลังเซ็นสัญญาหนึ่งสัปดาห์ได้มั้ย”
เสียงทุ้มทรงอำนาจของจิณณ์เอ่ยถาม ทว่าปลายน้ำเสียงกลับเจือไปด้วยความเกรงใจในตัวลูกน้อง ดวงตาคมเข้มมองตรงไปยังผู้จัดการฝ่ายการผลิต นี่คือหนึ่งในกลยุทธการปกครองลูกน้อง ความเกรงอกเกรงใจ ความเชื่อใจ ต่อผู้ที่มีอำนาจน้อยกว่า จะทำให้คนผู้นั้นมีความมั่นใจ กล้าตัดสินใจ และมุ่งมั่นทำตามสิ่งที่เขาต้องการได้ทุกอย่าง เพราะคำตอบที่เขาต้องการมีทางเดียว
“ได้ครับคุณจิ๋ว สู้กันครับ”
ภานุชูกำปั้นสู้ๆ ทำให้คนอื่นๆ หันมาชูกำปั้นสู้ๆ ด้วยเช่นกัน
“โอเค งั้นเป็นอันว่าเราจะวางแผนทำงานกันตามนี้นะ ใหญ่กับเจ้นาโอเคมั้ย”
“ผมไม่มีปัญหาครับพี่จิ๋ว ถ้าแผนงานวางตามนี้ ผมก็จะประสานลูกค้าใหม่ทันทีครับ โปรเจกต์ที่ติดต่อมาตอนนี้ก็จะมีฟิตเนส ร้านเบเกอรี่ และก็เพ็ทช็อปครับ พี่จิ๋วอยากให้มาต่อแผนประมาณช่วงไหนครับ”
“อืม...”
อีกครั้งที่จิณณ์กอดอก และใช้นิ้วมือคลึงริมฝีปากล่างของตัวเอง แต่สายตามองณัฐ เพราะต้องการให้เขาเป็นคนตอบ
“อีกสิบวันล่ะกันใหญ่ ให้เคลียร์งานนี้ให้จบก่อน แต่ขอรายละเอียดคร่าวๆ ด้วยนะ เพราะถ้างานนี้จบเร็วก็จะออกแบบให้เลย ขอข้อมูลทั้งสามรายที่ติดต่อมาเลยนั่นล่ะ จะได้ช่วยกันดู”
ณัฐตอบพลางชำเลืองมองปฏิกิริยาของอาร์ตและขิง เมื่อทั้งสองคนไม่ค้านอะไร ณัฐจึงหันไปพยักหน้าให้กับจิณณ์ คือความหมายว่าไม่มีอะไรต้องห่วง เขาผ่านไปได้แน่
“โอเคนะทุกคน มีใครสงสัยอะไรอีกมั้ย ถ้าไม่มีเดี๋ยวเราจะได้ไปดูหน้างานกัน เจ้นาล่ะว่าไง จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ”
จิณณ์มองญาติผู้พี่ที่นั่งหน้ามุ่ยจดอะไรยุกยิกในสมุด เหมือนไม่ใส่ใจที่พวกเขาพูดสักนิด แต่จิณณ์ก็รู้ว่าวีนาใส่ใจ เพียงแต่หล่อนกำลังหงุดหงิดกับบางสิ่ง
“ว่าไงเจ้นา จะถามมั้ย”
วีนาเหลือบสายตามองเจ้านายหนุ่มรูปหล่อ ที่มีศักดิ์เป็นญาติผู้น้องของเธอ แต่จิณณ์ก็ขยันสร้างเรื่องปวดหัวให้เธอไม่เว้นแต่ละวันเช่นกัน สร้างเรื่องมากมายจนเธอ ‘ทึนทึก’ อยู่แบบนี้
“โอเค ไม่พูดก็ไม่พูดนะ บอกตรงว่ากลัว...”
จิณณ์พูดติดตลก แต่วีนาไม่ขำ เธอยังคงหน้ามุ่ย เพราะก่อนจะเข้าห้องประชุม เธอเพิ่งถูกคู่ควงคนล่าสุดของจิณณ์โทรศัพท์มาวีนแตก เพราะจิณณ์ไปอ้างว่า ‘เมียหึง’ และเมียของจิณณ์ก็เป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเธอ
“นายทำฉันอีกแล้วนะนายจิ๋ว... ฉันไปเป็นเมียนายตั้งแต่เมื่อไหร่” น้ำเสียงเข่นเครียดของวีนาทำให้ณัฐอ้าปากค้าง อาร์ตกับขิมหันมองกันแบบเอ๋อๆ ภานุสำลักน้ำ และใหญ่ก็หันมองวีนาก่อนจะขยับตัวออกห่างจากรังสีอำมหิตนั้น มีเพียงจิณณ์คนเดียวที่ยังคงยืนยิ้มทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ “เจ้นากับพี่จิ๋ว... เป็น...” “เฮ้ย! ไม่ใช่ ไม่ได้เป็น” คำพูดอ้ำอึ้งของขิมทำให้จิณณ์รีบปฎิเสธแต่วีนาที่ลุกขึ้นพรวดกลับทำให้ทุกสิ่งหยุดนิ่ง “เป็น! นายไปบอกนังนั่นได้ยังไงว่าฉันเป็นเมียนาย นาย... นาย... นายจิ๋ว! ฉันจะฟ้องอี๊” “ไม่นะเจ้นา โธ่เจ้! เรื่องแค่นี้เอง” จิณณ์เริ่มอยู่ไม่เป็นสุขเมื่อวีนางัดไม้ตายมาใช้ เรื่องนี้จะให้รู้ถึงหูแม่เขาไม่ได้เด็ดขาด “แค่นี้ยังไง แค่นี้ฉันก็ขึ้นคานอยู่แล้ว นี่นายยังจะไปบอกนังพวกนั้นว่าฉันเป็นเมียเก็บของนาย นายทำกับฉันอย่างนี้ได้ยังไงนายจิ๋ว ฉันจะฟ้องอี๊ นายจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่นายทำ” “ไม่เอาน่าเจ้นา อย่าฟ้องม้านะ” ขณะที่สองพี่น้องเถียงข้ามโต๊ะประชุมกันไปมา เหล่าพนักงานทั้ง 5 ก็ได้แต่นั่งยิ้มแหย ไม่ได้อยากฟัง แต่ลุก
“ไม่มีนี่ พี่ไม่ได้นัดใครไว้นะ” “หนู... หนูก็ไม่รู้ค่ะ เธอบอกว่า... ถ้าคุณจิ๋วเห็นเธอ คุณจิ๋วก็จะรู้เองค่ะ” “อย่างนั้นเลยเหรอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างนึกสนุก อยากจะเห็นหน้าผู้หญิงเล่นใหญ่ขนาดนี้ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำตัวมีอิทธิพลเหนือเขา และจากประสบการณ์โชกโชน เขามั่นใจว่าผู้หญิงที่จะพูดแบบนี้ออกมาได้ ถ้าไม่สวยหยาดฟ้ามาดิน ก็คงจะเนื้อนมไข่จนเขาปวดหนึบไปทั้งร่าง แต่เธอคนนี้... เป็นแบบไหนล่ะ “คนไหน...” จิณณ์เดินไปจนสุดผนังกระจกซึ่งจะมองเห็นพื้นที่ออฟฟิศด้านล่างได้ทั่ว ได้เห็นเธอก่อนเขาจะได้วางแผน ‘ไล่ล่า’ ได้ทัน แต่ตลอดทั่วทั้งออฟฟิศชั้นล่างที่รวมเอาจุดรับรองลูกเอาไว้ด้วยนั้น เขาไม่เห็นใครที่แปลกตา “ไหนล่ะน้องนาย ไม่เห็นมีใครนี่” “เอ... เมื่อกี้เธอยังนั่งอยู่ที่ห้องโน้นเลยนะคะ” “โอเค... ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันลงไปเอง” “ค่ะ...” น้องนายหัวหด เพราะเจ้านายคนเดิมกลับมาแล้ว คำว่า ‘พี่’ หายวับ กลับกลายเป็น ‘ฉัน’ มาแทน แต่ก่อนที่จะถอยออกไป สายตาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวจากด้านล่าง
เจ้าของเรือนร่างงดงามที่ยืนอยู่เบื้องหน้า มองมาที่เขาเช่นเดียวกับที่เขามองเธอ จิณณ์ไม่รู้ว่าหญิงสาวมองตรงส่วนไหนของเขาบ้าง แต่เขารู้ว่าตัวเองมองตรงส่วนไหนของเธอ แม้สายตาจะจับจ้องแต่เพียงใบหน้า แต่ในระยะไกลนั้นเขาสำรวจทุกส่วนจนครบแล้ว บอกตัวเองว่าเขาไม่ได้บ้ากาม เพราะไม่เคยสักครั้งจะเสียมารยาทมองสาวสวยคนไหนในสถานที่ทำงานแบบนี้มาก่อน แต่ถ้าเป็นนอกสถานที่ทำงานหรือนอกเวลางานนั้นเขาไม่นับ เพราะของสวยงามบนพื้นโลก เขาซึ่งเป็นผู้ชายทั้งแท่งก็อยากมองและอยากครอบครองสักครั้ง แต่เธอคนนี้เป็นข้อยกเว้น เพราะเธอทำให้ทุกส่วนในร่างกายของเขาตื่นตัวแค่เห็นกันในระยะไกล และถ้าใกล้ขนาดนี้เล่า เขาจะทรมานแค่ไหนกัน ทุกสัดส่วนบนเรือนกาย คือ ตรงสเปคเขาที่สุด เธอจะรู้ไหมว่าเธอรวมเอาทุกส่วนของผู้หญิงที่เขาประทับใจเข้าไว้ด้วยกัน เขาชอบผู้หญิงสวย เฉี่ยว ออกเปรี้ยว และไม่ทิ้งความเท่ ผู้หญิงที่เพอร์เฟคสุดในอุดมคติ ประมาณ ‘แอนเจลีนา โจลี’ บวก ‘สการ์เลตต์ โจแฮนสันส์’ คูณด้วย ‘เมแกน ฟอกซ์’ หารด้วย ‘นาตาลี พอร์ตแมน’ และจับยกกำลังสองด้วย ‘มารียง กอตียาร์’ ทุกสิ่งที่ผสมผสานลงตัว ยังไม่มีใครที่
บ้านเดี่ยวขนาด 4 ห้องนอน มีพื้นที่อเนกประสงค์ครบครัน มีสนามกว้าง มีสระว่ายน้ำ ในพื้นที่รวมทั้งหมด 1 ไร่เศษ ที่เขาเคยมาเยี่ยมเยือนไก่อูและครอบครัวอยู่บ่อยครั้ง และเมื่อกลับมาเยือนเพื่อตรวจดูสภาพบ้านก่อนจะติดต่อหาคนมาซื้อ เขาก็ให้คำตอบกับตัวเองว่า คนที่จะชอบและรักบ้านหลังนี้จริงคงมีเพียงเขาเท่านั้น เขานึกเสียดายแทน หากเจ้าของใหม่ ที่ไม่เคยมีความทรงจำกับบ้านหลังนี้มาก่อน จะเข้ามาครอบครอง แต่พอเขาบอกไก่อูเรื่องที่เขาจะซื้อบ้านหลังนี้ไว้เอง ไก่อูกลับเกรงใจที่มาไหว้วานจนเขาต้องรับซื้อบ้านไว้เอง แม้เขาจะอธิบายว่าเขาเสียดายบ้านและมีความทรงจำในบ้านหลังนี้ร่วมกับไก่อูและครอบครัวอยู่แล้ว ขอให้เขาได้เป็นผู้ดูแล แต่ไก่อูก็ไม่อยากให้เขาต้องใช้เงินก้อนโตมาซื้อบ้าน จนเขาบอกว่าจะใช้บ้านหลังนี้เป็น ‘เรือนหอ’ ไก่อูจึงขอกลับไปคิดดูก่อน และคำตอบก็กลายเป็นว่า ไก่อูขอแบ่งที่ดินเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 นั่นคือตัวบ้านและสวนด้านข้างเล็กน้อย ส่วนที่ 2 คือที่ดินว่างเปล่าที่เคยเป็นลานกิจกรรมเวลาเขามาสังสรรค์ รวมทั้งสระว่ายน้ำด้วย เหตุผลก็เพราะมนตกานต์เปลี่ยนใจไม่ไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่
หลังจากจิณณ์ถอยรถเข้าเก็บในโรงรถเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบลงจากรถเพื่อไปช่วยมนตกานต์ยกกระเป๋าใส่เสื้อผ้า ที่รีบเพราะอยากช่วย และก็เพราะอยากกลบเกลื่อนความอายของตัวเองที่ดันคิดเรื่อยเปื่อยจนขับรถเลยบ้าน แต่มนตกานต์กลับมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบน้อยมาเพียงใบเดียว “อ้าว... ลูกเจี๊ยบมีกระเป๋าแค่นี้เหรอ” ถามแก้เก้อทั้งที่เห็นอยู่แล้ว “ใช่ค่ะ พรุ่งนี้หลังเลิกงาน ลูกเจี๊ยบว่าจะไปซื้อเสื้อผ้าน่ะค่ะ เสื้อผ้าที่ลูกเจี๊ยบมีอยู่มันไม่เหมาะสำหรับไปทำงานหรอกค่ะอาจิ๋ว ซื้อใหม่ดีกว่า” มนตกานต์พูดพลางเดินนำจิณณ์เข้าสู่ตัวบ้าน เพราะนี่เป็นบ้านของเธอ ทุกพื้นที่เธอจึงรู้จักและคุ้นเคยดีอยู่แล้ว แม้พ่อจะให้ทีมงานของจิณณ์เข้ามาปรับปรุงใหม่ แต่แบบที่จิณณ์ส่งให้ เธอดูแล้วไม่ได้เปลี่ยนแปลงสัดส่วนของตัวบ้าน เพียงแต่เปลี่ยนวัสดุที่ชำรุดเท่านั้น “ไม่เห็นต้องซื้อใหม่เลยนะ ที่ออฟฟิศอา ใส่อะไรก็ได้ มีแค่น้องนักศึกษาฝึกงานเท่านั้นแหละที่ต้องใส่ชุดนักศึกษา นอกนั้นก็ฟรีสไตล์ ลูกเจี๊ยบไม่น่าต้องเปลืองเงิน เราน่ะเพิ่งทำงาน ประหยัดไว้ก็ดีนะ เดี๋ยวจะหารายได้ไม่พอรายจ่าย” จิณณ
“อุ๊ย!” มนตกานต์หันขวับมาชนเขา ความตกใจทำให้เธอผงะออกห่างจนตัวเองเซถอยหลัง นาทีนั้นเองที่ความหลงลืมกำเนิดขึ้น เมื่อร่างกายตื่นตัวก่อนความคิด อ้อมแขนของเขาจึงเกี่ยวกระหวัดรัดเอวคอดเข้าประชิดตัว เรือนร่างสมส่วนเต็มตึงอยู่ในอ้อมกอดจนความอวบอิ่มชิดแผงอกแกร่ง ส่งผลให้จิณณ์ยิ่งแข็งไปทั้งร่าง และแข็งที่สุดก็จุดนั้น ระยะกระชั้นชิดจนได้กลิ่นลมหายใจรสเชอร์รี่ จิณณ์สูดดมความหอมอย่างห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ดวงตามองสำรวจความสวยงามตรงหน้า โดยเฉพาะดวงตาสวยหวานตื่นตะลึงมองช่างงดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น จมูกโด่งปลายงอนเล็กๆ นั้นก็ดูรั้น จนเขาอยากจะขบไรฟันกัดนิดๆ ให้เธอสยิวเล่น และริมฝีปากกระจับน้อยๆ เผยอค้าง ก็ช่างเย้ายวนชวนให้เขาชอนชิม “เอ่อ... อาจิ๋วคะ ปล่อยลูกเจี๊ยบได้แล้วค่ะ ลูกเจี๊ยบโอเคแล้วค่ะ” จิณณ์ข่มใจตัวเองเพื่อคลายอ้อมกอด กรามแกร่งขบกันแน่นจนเป็นสัน อีกครั้งแล้วที่เขาพลาด เขากำลังเป็นอะไรกันเนี่ย ไม่เคยสักครั้งที่จะระงับอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แต่วันนี้หลายครั้งแล้วที่เป็น... หวังว่าจะไม่มีครั้งต่อไป “ทีหลังระวังหน่อยนะ จะเดินหน
มนตกานต์ยิ้มอย่างสมใจ เพราะคนที่ทำอะไรซ้ำๆ กันไปมาแบบนั้น จะให้คิดอะไรได้ นอกจาก... กำลัง ‘ฟุ้งซ่าน’ และใครเป็นต้นเหตุแห่งความ ‘ซ่าน’ จนฟุ้งนั้นล่ะ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มปรากฏขึ้นบนหน้า ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เธอมี มือคว้ากระเป๋าเป้ใบเก่ง ควานหาสิ่งที่ต้องการโดยด่วน! กล่องส่องทางไกลขนาดจิ๋วถูกนำออกมา เพราะชอบท่องเที่ยวดูโน่นนี่ตลอด ดังนั้นกล้องขนาดจิ๋วนี้จึงมีติดตัวไม่ขาด แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะให้มากกว่าทุกประโยชน์ที่เคยได้รับ เช่นตอนนี้ กำลังขยาย 30 เท่า ทำให้มองเห็นสิ่งที่ต้องการได้ชัด เมื่อเจ้าของเรือนร่างแข็งแกร่งว่ายไปถึงขอบสระก่อนจะดันตัวขึ้นสู่ด้านบน ภาพหลังเลนส์นั้นปรากฏชัดทุกสัดส่วน และพานให้เธอมองเห็นเสื้อผ้าที่พาดลวกๆ ไว้ที่เก้าอี้ขอบสระ นั่นคือเขายังไม่ได้ไปที่ห้องนอนใหญ่ แต่กลับเดินออกไปที่สระน้ำ ถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่บ็อกเซอร์ ก่อนจะพาความแข็งแกร่งนั้นลงไปในสระว่ายน้ำเพื่อสงบอารมณ์ แค่คิด... มนตกานต์ก็ต้องทาบฝ่ามือเหนือตำแหน่งของหัวใจ เพราะก้อนเนื้อน้อยๆ เต้นรัวเร็ว เธอดีใจที่เห็นจิณณ์เป็นแบบนี้ และเธอก็ไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้
มนตกานต์หยิบสมุดบันทึกเล่มเน่าออกจากกระเป๋าสะพาย ด้านในนั้นมีทุกความรู้สึกที่เธอมีต่อจิณณ์ ทั้งรูปของเขาในหลากหลายอิริยาบถ รูปถ่ายที่เธอแอบจิ๊กมาจากห้องพ่อ รูปภาพจากนิตยสารแต่งบ้าน หรือแม้แต่รูปที่เธอแคปมาจากในเฟสบุ๊คส์แล้วปริ้นต์มาเก็บไว้ แต่รูปที่เธอรักมากที่สุดก็คือ รูปภาพเด็กตัวอ้วน ใส่แว่นหนาเตอะ ที่อาจิ๋วโอบกอดอยู่ด้านหลัง นับจากนี้ไป อาจิ๋วจะกอดใครไม่ได้อีก เธอกลับมาทวงคืนแล้ว “อาจิ๋ว... ลูกเจี๊ยบให้เวลาอาจิ๋วหาเศษหาเลยมาหลายปีแล้วนะคะ ถึงเวลาที่อาจิ๋วต้องเป็นของลูกเจี๊ยบแล้วล่ะค่ะ นับจากวันนี้ไป อาจิ๋วจะกอดใครไม่ได้อีก ในอ้อมกอดของอาจิ๋วต้องเป็นลูกเจี๊ยบเท่านั้น หรือถ้าอาจิ๋วอยากจะกำ ลูกเจี๊ยบก็จะยอมให้อาจิ๋วกำค่ะ แม้จะขัดใจแม่ไปสักหน่อย ลูกเจี๊ยบก็ยอม แต่นั่นจะเกิดหลังจากลูกเจี๊ยบมั่นใจว่าอาจิ๋วอยากปีนขึ้นมาหาลูกเจี๊ยบนะคะ” มนตกานต์นึกถึงคำเตือนแกมตำหนิของแม่ เธอรู้ว่าแม่หวังดีกับเธอเสมอ และคงไม่มีใครในโลกใบนี้ที่จะรักเธอได้เท่าแม่อีกแล้ว เพราะแม่เข้าใจเธอทุกอย่าง แม่ดูแลเธอเป็นอย่างดี จนสังเกตเห็นความผิดปกติในหัวใจดวงนี้แต่แม่ก็ไม่พูดใ