บ้านเดี่ยวขนาด 4 ห้องนอน มีพื้นที่อเนกประสงค์ครบครัน มีสนามกว้าง มีสระว่ายน้ำ ในพื้นที่รวมทั้งหมด 1 ไร่เศษ ที่เขาเคยมาเยี่ยมเยือนไก่อูและครอบครัวอยู่บ่อยครั้ง และเมื่อกลับมาเยือนเพื่อตรวจดูสภาพบ้านก่อนจะติดต่อหาคนมาซื้อ เขาก็ให้คำตอบกับตัวเองว่า คนที่จะชอบและรักบ้านหลังนี้จริงคงมีเพียงเขาเท่านั้น เขานึกเสียดายแทน หากเจ้าของใหม่ ที่ไม่เคยมีความทรงจำกับบ้านหลังนี้มาก่อน จะเข้ามาครอบครอง
แต่พอเขาบอกไก่อูเรื่องที่เขาจะซื้อบ้านหลังนี้ไว้เอง ไก่อูกลับเกรงใจที่มาไหว้วานจนเขาต้องรับซื้อบ้านไว้เอง แม้เขาจะอธิบายว่าเขาเสียดายบ้านและมีความทรงจำในบ้านหลังนี้ร่วมกับไก่อูและครอบครัวอยู่แล้ว ขอให้เขาได้เป็นผู้ดูแล แต่ไก่อูก็ไม่อยากให้เขาต้องใช้เงินก้อนโตมาซื้อบ้าน จนเขาบอกว่าจะใช้บ้านหลังนี้เป็น ‘เรือนหอ’ ไก่อูจึงขอกลับไปคิดดูก่อน
และคำตอบก็กลายเป็นว่า ไก่อูขอแบ่งที่ดินเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 นั่นคือตัวบ้านและสวนด้านข้างเล็กน้อย ส่วนที่ 2 คือที่ดินว่างเปล่าที่เคยเป็นลานกิจกรรมเวลาเขามาสังสรรค์ รวมทั้งสระว่ายน้ำด้วย เหตุผลก็เพราะมนตกานต์เปลี่ยนใจไม่ไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่เธอจะเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ และเธอก็เลือกที่จะอยู่บ้านหลังนี้ เพราะไม่ชอบใช้ชีวิตอยู่บนอาคารสูงอย่างคอนโดมิเนียม
เหตุผลของไก่อูคือสิ่งที่เขายอมรับได้ เพราะจะว่าไปที่ดิน 1 ไร่เศษ ในย่านเศรษฐกิจแบบนี้ก็มากเกินไปสำหรับเขา เพียงครึ่งไร่ก็น่าจะพอเพียง และเมื่อเขาสอบถามเรื่องงานที่มนตกานต์จะมาทำ ไก่อูก็บอกว่าลูกสาวกำลังรอเรียกตัวจากบริษัทรับตกแต่งภายในที่ไปสมัครงานไว้ เขาจึงเสนอให้มนตกานต์มาทำงานกับเขา ไม่ต้องไปลองผิดลองถูกกับบริษัทอื่น แต่ถึงอย่างนั้นไก่อูก็ยังปฏิเสธ
‘ทำไมล่ะครับพี่ไก่ ลูกเจี๊ยบก็เหมือนเป็นหลานผมคนหนึ่ง ผมอยากให้หลานมาทำงานกับผม ดีกว่าไปลองผิดลองถูกกับบริษัทอื่นนะครับ พี่ไก่ก็รู้ว่าตำราเรียนมันใช้ไม่ได้กับการทำงานจริง ชีวิตการทำงานจริงๆ ต่างหากที่จะฝึกให้เราเก่ง ทุกสิ่งที่ผมรู้ ผมจะสอนหลานทุกอย่าง ผมจะให้แกได้ฝึกคิดฝึกทำ จะสอนแกให้เป็นดีไซน์เนอร์อันดับหนึ่งให้ได้ พี่เชื่อมือผมเถอะ’
‘ขอพี่ถามลูกเจี๊ยบก่อนละกันนะจิ๋ว แกน่ะถอดแบบพี่นกมาทุกกระเบียดนิ้ว เหมือนพี่มีแม่คนที่สามว่ะ ถ้าแกว่าไม่ พี่ก็คงต้องบาย แต่พี่จะพยายามบอกความปรารถนาดีของจิ๋วให้แกพิจารณานะ เพราะพี่เองก็อยากให้แกไปทำงานกับจิ๋วนั่นแหละ’
นั่นคือสิ่งที่เขากับไก่อูสนทนากัน และหลังจากนั้นเพียง 2 นาที ไก่อูก็โทรศัพท์มาบอกว่าลูกสาวตกลงจะมาทำงานกับเขา พร้อมทั้งขอให้เขาดำเนินการปรับปรุงบ้านหลังเดิมให้สามารถอยู่อาศัยได้ เพราะบ้านไม่มีใครอยู่มานานจะโทรมมาก ส่วนในเรื่องการซื้อขายที่ดินก็ให้เขาดำเนินการได้เลย จะสร้างบ้าน หรือจะดำเนินการอะไรก็แล้วแต่ความสะดวกของเขา
เขาจึงเข้าไปปรับปรุงพื้นที่ และไก่อูก็บินมาจากเชียงใหม่มาทำเรื่องโอนที่ดิน พร้อมทั้งตรวจดูบ้านที่ต้องปรับปรุงร่วมกับเขา บ้านอาจจะดูทรุดโทรมไปบ้างแต่เพราะเป็นสไตล์วินเทจ จึงยังดูร่วมสมัย สิ่งที่ต้องปรับปรุงมีแค่ทาสี เปลี่ยนประตูและหน้าต่างให้แข็งแรงเท่านั้น จากนั้นก็เดินระบบไฟฟ้าใหม่หมดทั้งหลัง เปลี่ยนสุขภัณฑ์ใหม่เป็นบางห้อง และปรับภูมิทัศน์ให้ดีขึ้น
ส่วนพื้นที่ในส่วนของเขา ตั้งแต่สระว่ายน้ำเป็นต้นไป เขาไม่ได้กั้นรั้วแยกพื้นที่ออกจากกัน เพราะบ้านสไตล์โมเดิลที่เขาสร้างนั้นอยู่ถัดไปจนชิดมุมของพื้นที่ เพื่อเหลือพื้นที่ตรงกลางไว้เป็นลานกิจกรรมดังเดิม จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ 3 เดือนพอดี ที่เขาย้ายตัวเองเข้ามาอยู่อาศัยในบ้านของไก่อู เพื่อความสะดวกในการดูแลการก่อสร้าง แต่วันนี้เขาจะไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป เพราะเจ้าของบ้านตัวจริงมาแล้วน่ะสิ แต่เธอกลับทำให้เขาว้าวุ่น
ก็ใครล่ะจะคิดว่า ‘ลูกเจี๊ยบ’ ตัวอ้วนๆ ฟันเหยิน สิวเกรอะกรัง ใส่แว่นหนาเตอะ จะกลายเป็นสาวสวยโลกสะเทือนได้ถึงขนาดนี้
จริงอยู่ที่เขาเป็นคนนัดแนะให้มนตกานต์มาทำงานวันนี้ และเขาก็พร้อมจะย้ายออกจากบ้านของไก่อูไปอยู่ที่คอนโดฯ ดังเดิม แต่ไก่อูขอร้องให้เขาอยู่เป็นเพื่อนมนตกานต์ก่อน เพราะทีมงานก่อสร้างของเขาเข้าออกบ้านอยู่ตลอด หรือจะเป็นทีมปรับปรุงบ้านของไก่อู ก็รู้ช่องทางเข้าออกบ้านเป็นอย่างดี หากมีใครรู้ว่ามนตกานต์มาอยู่บ้านหลังใหญ่นี้เพียงคนเดียว คงไม่ปลอดภัยแน่
แน่นอนว่าเขาต้องตอบตกลงเพราะเป็นห่วงมนตกานต์ไม่น้อยไปกว่าพ่อแม่ แต่ในเวลานี้เขากลับห่วงตัวเอง ห่วงว่าเขาจะยับยั้งชั่งใจตัวเองไม่ได้เสียมากกว่า ก็ใครใช้ให้ลูกเจี๊ยบขี้เหร่ตัวนั้นแปลงร่างเป็นนางหงส์สง่างาม
‘พี่นุเป็นพี่ชายของเพื่อนลูกเจี๊ยบเองค่ะอาจิ๋ว ลูกเจี๊ยบดีใจนะคะที่ได้เจอพี่นุที่นี่’ นั่นคือคำทักทายที่มนตกานต์มีต่อภานุ
‘ลูกเจี๊ยบยินดีที่ได้รู้จัก พี่ณัฐ พี่อาร์ต พี่ขิม และพี่ใหญ่นะคะ ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพี่ๆ ค่ะ’
นั่นอีกประโยคแสนหวานที่ส่งผลให้เจ้าณัฐ เจ้าอาร์ต และอาจรวมถึงเจ้าใหญ่ หน้าแดงไปตามๆ กัน และเขาก็รู้นะว่าไอ้ 3 ตัว คงคิดไม่ต่างจากเขาเท่าไร นั่นคือยิ่งอยู่ใกล้มนตกานต์ ความหอมก็ยิ่งกำจายไปทั่ว หอมอ่อนๆ หอมจนอยากเข้าไปสูดดมใกล้ หอมจน...
ปริ๊น!
เสียงแหลมที่ดังขึ้นทำให้เขาตื่นจากภวังค์ และเมื่อเหลือบสายตาขึ้นมองกระจกมองหลังก็เห็นว่ารถของมนตกานต์จอด แถมยังเปิดไฟกะพริบดั่งจะเรียกให้เขาลงไปหาซะอีก
“จะเล่นอะไรอีกเนี่ยลูกเจี๊ยบ แค่นี้ยังปั่นหัวอาไม่พอเหรอไง นี่มันยังไม่...”
จิณณ์ถึงกับพ่นลมหายใจออกจากปากเบาๆ เพราะหงุดหงิดที่มนตกานต์บีบแตรเรียกเขาทั้งที่ยังไม่ถึงบ้าน แต่ที่เห็นนั่นคือเขาขับรถเลยรั้วบ้านไปไกลว่า 10 เมตร
หลังจากจิณณ์ถอยรถเข้าเก็บในโรงรถเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบลงจากรถเพื่อไปช่วยมนตกานต์ยกกระเป๋าใส่เสื้อผ้า ที่รีบเพราะอยากช่วย และก็เพราะอยากกลบเกลื่อนความอายของตัวเองที่ดันคิดเรื่อยเปื่อยจนขับรถเลยบ้าน แต่มนตกานต์กลับมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบน้อยมาเพียงใบเดียว “อ้าว... ลูกเจี๊ยบมีกระเป๋าแค่นี้เหรอ” ถามแก้เก้อทั้งที่เห็นอยู่แล้ว “ใช่ค่ะ พรุ่งนี้หลังเลิกงาน ลูกเจี๊ยบว่าจะไปซื้อเสื้อผ้าน่ะค่ะ เสื้อผ้าที่ลูกเจี๊ยบมีอยู่มันไม่เหมาะสำหรับไปทำงานหรอกค่ะอาจิ๋ว ซื้อใหม่ดีกว่า” มนตกานต์พูดพลางเดินนำจิณณ์เข้าสู่ตัวบ้าน เพราะนี่เป็นบ้านของเธอ ทุกพื้นที่เธอจึงรู้จักและคุ้นเคยดีอยู่แล้ว แม้พ่อจะให้ทีมงานของจิณณ์เข้ามาปรับปรุงใหม่ แต่แบบที่จิณณ์ส่งให้ เธอดูแล้วไม่ได้เปลี่ยนแปลงสัดส่วนของตัวบ้าน เพียงแต่เปลี่ยนวัสดุที่ชำรุดเท่านั้น “ไม่เห็นต้องซื้อใหม่เลยนะ ที่ออฟฟิศอา ใส่อะไรก็ได้ มีแค่น้องนักศึกษาฝึกงานเท่านั้นแหละที่ต้องใส่ชุดนักศึกษา นอกนั้นก็ฟรีสไตล์ ลูกเจี๊ยบไม่น่าต้องเปลืองเงิน เราน่ะเพิ่งทำงาน ประหยัดไว้ก็ดีนะ เดี๋ยวจะหารายได้ไม่พอรายจ่าย” จิณณ
“อุ๊ย!” มนตกานต์หันขวับมาชนเขา ความตกใจทำให้เธอผงะออกห่างจนตัวเองเซถอยหลัง นาทีนั้นเองที่ความหลงลืมกำเนิดขึ้น เมื่อร่างกายตื่นตัวก่อนความคิด อ้อมแขนของเขาจึงเกี่ยวกระหวัดรัดเอวคอดเข้าประชิดตัว เรือนร่างสมส่วนเต็มตึงอยู่ในอ้อมกอดจนความอวบอิ่มชิดแผงอกแกร่ง ส่งผลให้จิณณ์ยิ่งแข็งไปทั้งร่าง และแข็งที่สุดก็จุดนั้น ระยะกระชั้นชิดจนได้กลิ่นลมหายใจรสเชอร์รี่ จิณณ์สูดดมความหอมอย่างห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ดวงตามองสำรวจความสวยงามตรงหน้า โดยเฉพาะดวงตาสวยหวานตื่นตะลึงมองช่างงดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น จมูกโด่งปลายงอนเล็กๆ นั้นก็ดูรั้น จนเขาอยากจะขบไรฟันกัดนิดๆ ให้เธอสยิวเล่น และริมฝีปากกระจับน้อยๆ เผยอค้าง ก็ช่างเย้ายวนชวนให้เขาชอนชิม “เอ่อ... อาจิ๋วคะ ปล่อยลูกเจี๊ยบได้แล้วค่ะ ลูกเจี๊ยบโอเคแล้วค่ะ” จิณณ์ข่มใจตัวเองเพื่อคลายอ้อมกอด กรามแกร่งขบกันแน่นจนเป็นสัน อีกครั้งแล้วที่เขาพลาด เขากำลังเป็นอะไรกันเนี่ย ไม่เคยสักครั้งที่จะระงับอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แต่วันนี้หลายครั้งแล้วที่เป็น... หวังว่าจะไม่มีครั้งต่อไป “ทีหลังระวังหน่อยนะ จะเดินหน
มนตกานต์ยิ้มอย่างสมใจ เพราะคนที่ทำอะไรซ้ำๆ กันไปมาแบบนั้น จะให้คิดอะไรได้ นอกจาก... กำลัง ‘ฟุ้งซ่าน’ และใครเป็นต้นเหตุแห่งความ ‘ซ่าน’ จนฟุ้งนั้นล่ะ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มปรากฏขึ้นบนหน้า ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เธอมี มือคว้ากระเป๋าเป้ใบเก่ง ควานหาสิ่งที่ต้องการโดยด่วน! กล่องส่องทางไกลขนาดจิ๋วถูกนำออกมา เพราะชอบท่องเที่ยวดูโน่นนี่ตลอด ดังนั้นกล้องขนาดจิ๋วนี้จึงมีติดตัวไม่ขาด แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะให้มากกว่าทุกประโยชน์ที่เคยได้รับ เช่นตอนนี้ กำลังขยาย 30 เท่า ทำให้มองเห็นสิ่งที่ต้องการได้ชัด เมื่อเจ้าของเรือนร่างแข็งแกร่งว่ายไปถึงขอบสระก่อนจะดันตัวขึ้นสู่ด้านบน ภาพหลังเลนส์นั้นปรากฏชัดทุกสัดส่วน และพานให้เธอมองเห็นเสื้อผ้าที่พาดลวกๆ ไว้ที่เก้าอี้ขอบสระ นั่นคือเขายังไม่ได้ไปที่ห้องนอนใหญ่ แต่กลับเดินออกไปที่สระน้ำ ถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่บ็อกเซอร์ ก่อนจะพาความแข็งแกร่งนั้นลงไปในสระว่ายน้ำเพื่อสงบอารมณ์ แค่คิด... มนตกานต์ก็ต้องทาบฝ่ามือเหนือตำแหน่งของหัวใจ เพราะก้อนเนื้อน้อยๆ เต้นรัวเร็ว เธอดีใจที่เห็นจิณณ์เป็นแบบนี้ และเธอก็ไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้
มนตกานต์หยิบสมุดบันทึกเล่มเน่าออกจากกระเป๋าสะพาย ด้านในนั้นมีทุกความรู้สึกที่เธอมีต่อจิณณ์ ทั้งรูปของเขาในหลากหลายอิริยาบถ รูปถ่ายที่เธอแอบจิ๊กมาจากห้องพ่อ รูปภาพจากนิตยสารแต่งบ้าน หรือแม้แต่รูปที่เธอแคปมาจากในเฟสบุ๊คส์แล้วปริ้นต์มาเก็บไว้ แต่รูปที่เธอรักมากที่สุดก็คือ รูปภาพเด็กตัวอ้วน ใส่แว่นหนาเตอะ ที่อาจิ๋วโอบกอดอยู่ด้านหลัง นับจากนี้ไป อาจิ๋วจะกอดใครไม่ได้อีก เธอกลับมาทวงคืนแล้ว “อาจิ๋ว... ลูกเจี๊ยบให้เวลาอาจิ๋วหาเศษหาเลยมาหลายปีแล้วนะคะ ถึงเวลาที่อาจิ๋วต้องเป็นของลูกเจี๊ยบแล้วล่ะค่ะ นับจากวันนี้ไป อาจิ๋วจะกอดใครไม่ได้อีก ในอ้อมกอดของอาจิ๋วต้องเป็นลูกเจี๊ยบเท่านั้น หรือถ้าอาจิ๋วอยากจะกำ ลูกเจี๊ยบก็จะยอมให้อาจิ๋วกำค่ะ แม้จะขัดใจแม่ไปสักหน่อย ลูกเจี๊ยบก็ยอม แต่นั่นจะเกิดหลังจากลูกเจี๊ยบมั่นใจว่าอาจิ๋วอยากปีนขึ้นมาหาลูกเจี๊ยบนะคะ” มนตกานต์นึกถึงคำเตือนแกมตำหนิของแม่ เธอรู้ว่าแม่หวังดีกับเธอเสมอ และคงไม่มีใครในโลกใบนี้ที่จะรักเธอได้เท่าแม่อีกแล้ว เพราะแม่เข้าใจเธอทุกอย่าง แม่ดูแลเธอเป็นอย่างดี จนสังเกตเห็นความผิดปกติในหัวใจดวงนี้แต่แม่ก็ไม่พูดใ
เสียงกระเส่าเชิญชวนทำให้เขาหมดทุกความยับยั้ง ลำคอแห้งผากอยากน้ำสุดๆ ฝ่ามือกอบกำสาบเสื้อเชิ้ตทั้งสองด้าน ก่อนจะกระชากออกจากกัน “อาจิ๋ว!! อาจิ๋ว!!” ปัง! ปัง! ปัง! เฮือก! จิณณ์สะดุ้งเฮือก ลืมตาขึ้นทันที ก่อนที่ประสาทสัมผัสทุกส่วนจะรับรู้กับสิ่งรอบตัว เสียงเคาะประตูรัวจากด้านนอก เสียงหวานๆ ที่ตะโกนเรียก ‘อาจิ๋วๆ’ ไม่หยุด รวมทั้งแสงแดดที่รอดผ่านเข้ามาตามแนวผ้าม่าน นั่นทำให้ดวงตาคมเข้มขยายกว้าง คำนวณเรื่องราวก่อนหน้านี้กับเรื่องปัจจุบันทันด่วนที่เขาต้องจัดการโดยเร็ว และสายตาที่มองลงต่ำก็เห็น... “ตายโหงล่ะไอ้จิ๋ว” จิณณ์ทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ เพราะไอ้ตัวไม่จิ๋วสมชื่อกำลังประท้วงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแม้ในความฝัน มีอิทธิพลต่อเขามากที่สุด เพราะตอนนี้มันพร้อมแล้วสำหรับการ ‘เช็ด’ “อาจิ๋ว!! ตื่นยังคะ ลูกเจี๊ยบเอาเสื้อผ้ามาให้ อาจิ๋ว!! อาจิ๋วคะ! อาจิ๋ว!!” เสียงหวานๆ ด้านนอกยังตะโกนเร่งเร้า ทำให้ความทรงจำเมื่อคืนกลับมาจนครบ เรื่องจริงที่เกิดขึ้นเพียง 10% แต่เขาดันมาต่อยอดได้จนจะครบ 100% อยู่รอมร่อ แค่เธอจะไม่มาเคาะ แต่ตอนนี้ต้
เขาตอบไปแบบนั้นทั้งที่อยากจะเข้าไปที่สุด เพราะถ้าไม่คิดว่ามนตกานต์เป็นลูกสาวของเพื่อน หญิงสาวและสวยขนาดนี้ ใส่ชุดนอนเป็นเสื้อเชิ้ตผู้ชายตัวเดียว ความยาวน่ะเหรอ ก็แค่ปิดขาอ่อนได้อย่างหมิ่นเหม่ แถมด้วยกระดุมเม็ดบนก็ยังไม่ติด เขาคงอดคิดไม่ได้ว่านี่คือการเชื้อเชิญ แต่เพราะมนตกานต์ถือว่าเป็นหลานสาวของเขาน่ะสิ เขาเลยคิดแบบนั้นไม่ได้ เอิ่ม... แต่นั่นกี่เม็ดกันล่ะ 1 หรือ 2 เม็ดที่เป็นอิสระจากการเกาะกุม ‘อาจิ๋วคะ... อาจิ๋ว...’ ‘ฮะ... ลูกเจี๊ยบว่าอะไรนะ’ ‘ลูกเจี๊ยบว่าอาจิ๋วมองเหม่ออะไรคะ’ ‘อา... อาน่ะเหรอเหม่อ’ ‘ใช่ค่ะ เหม่อและก็มองลูกเจี๊ยบตาไม่กะพริบเลยค่ะ อาจิ๋วคิดอะไรอยู่คะ’ ‘เอ่อ... อา... อาคิดว่าลูกเจี๊ยบไม่ควรใส่ชุดหมิ่นเหม่อย่างนี้น่ะสิ’ ‘หมิ่นเหม่เหรอคะ ตรงไหนคะอาจิ๋ว’ เธอที่ก้มลงสำรวจเครื่องแต่งกายของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าบ้องแบ๊วขึ้นถาม นั่นทำให้จิณณ์ยิ่งต้องกัดฟันกรอด นี่เธอไม่รู้จริงๆ น่ะเหรอ ว่าตรงไหนกันที่มัน... #ยั่ว ‘ก็... ทุกตรงนั่นแหละ เป็นสาวเป็นนาง ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้
ใบหน้าหล่อร้ายส่ายไปมา เอนศีรษะพิงผนังห้อง เป่าลมออกจากปาก พยายามระงับความ ‘ตื่น’ เฉพาะส่วนให้ได้ และเมื่อคิดว่าบรรเทา จิณณ์ก็รีบพาตัวเองเข้าสู่ห้องอาบน้ำอย่างเร็ว หวังว่าน้ำเย็นๆ จะทำให้ ‘ไอ้ใหญ่’ หลับใหลไปได้อีกวัน ทว่าเมื่อออกมาจากห้องอาบน้ำ เขาก็รู้ว่าคิดผิด เพราะ ‘ไอ้ใหญ่’ ตื่นเต้นชูคออีกครั้ง แค่ได้เห็นเสื้อผ้าที่มนตกานต์เตรียมไว้ให้ เพราะเธอช่าง... ตอนที่เธอยื่นหอบเสื้อผ้ามาให้ เขาก็รับมาโดยไม่ได้ดูว่าเธอเตรียมอะไรมาให้บ้าง เพราะถ้าขาดเหลืออะไรก็คงขอเข้าไปหยิบ ทว่าที่เห็นนั่น มนตกานต์เตรียมมาพร้อมสรรพ แม้แต่... ‘กางเกงใน’ พร้อมกระดาษโน้ตมีลายมือกระยุกกระยิกตามสมัยนิยมเขียนไว้ และจำเพาะที่เธอสอดไว้ที่บริเวณ ‘เป้า’ ที่พับขึ้นมาจนนูนเด่น ลูกเจี๊ยบไม่แน่ใจว่าอาจิ๋วอยากใส่สีไหนแบบไหนน่ะค่ะ ก็เลยเอามาอย่างละตัว... อีกครั้งที่จิณณ์ต้องหลับตาข่มความรู้สึก เพราะ ‘ไอ้ใหญ่’ ขยันประท้วงบ่อยครั้ง นั่นเพราะมันรู้น่ะสิว่ามนตกานต์สัมผัสตรงส่วนนั้น และเธอต้องสัมผัสนานเท่าไร จึงจะพับกางเกงใน 3 สี 2 แบบนี้จนครบทั้ง 6 ตัว นั่นหมายความว่า... เธอลูบไล้บริเวณเป้าของเขา ห
‘ก็นั่นล่ะลูกเจี๊ยบ เหตุผลของอา เพราะไม่มีใครรู้เห็นน่ะสิว่าอาจะทำอะไร อาถึงต้องไปให้ห่าง ก่อนที่อาจะอดรนทนไม่ไหว... และทำสิ่งนั้นกับลูกเจี๊ยบซะเอง’ นั่นเขาได้แค่คิด เพราะหยาดน้ำตาของมนตกานต์ยังไหลออกมาไม่หยุด “หรือจริงๆ แล้ว อาจิ๋วอยากไปอยู่คอนโดฯ เพราะสาเหตุอื่นคะ” “สาเหตุอะไร” เขาถามเพราะน้ำเสียงของมนตกานต์แปลกไป ดวงตาฉ่ำน้ำนั้นตวัดวาบขึ้นมองดูเขา เธอไม่พอใจในสิ่งที่กำลังคิด แต่อะไรล่ะ “อะไรเหรอลูกเจี๊ยบ สาเหตุที่ลูกเจี๊ยบคิดว่าอาจะไป” “ก็อาจิ๋วอยากมีพื้นที่ส่วนตัวไว้อยู่กับลูกไก่ในกำมือของอาจิ๋วยังไงล่ะ ใช่มั้ยล่ะคะ เพราะเหตุนี้ใช่มั้ย อาจิ๋วถึงทนอยู่ร่วมบ้านกับลูกเจี๊ยบไม่ได้ อาจิ๋วกลัวลูกไก่ของอาจิ๋วจะบินหนีไปหมดใช่มั้ยล่ะ” “ไปกันใหญ่แล้วลูกเจี๊ยบ ไม่ใช่เหตุผลของอาเลย” “ไม่ใช่แล้วอะไรล่ะคะ ถ้าแค่เรื่องคนครหา ลูกเจี๊ยบว่าอาจิ๋วไม่ได้บอบบางขนาดนั้น เพราะลูกเจี๊ยบเป็นผู้หญิง ลูกเจี๊ยบยังไม่คิดเลยค่ะ พ่อกับแม่ก็ยังไม่ว่า แล้วอาจิ๋วจะแคร์ใครล่ะคะ” “แคร์เรานั่นแหละ...” “แคร์ลูกเจี๊ยบ” “