“ทางมหาวิทยาลัยให้หนูลงไปรายงานตัวเดือนหน้า แม่ดีใจไหม”“ดีใจสิลูก แม่ดีใจมาก” แม่คว้าฉันไปกอด เราสองคนกอดกันตัวกลม ฉันนี่แทบจะอิ่มทิพย์ก็ว่าได้ มันตื้นตัน มันดีใจจนอธิบายไม่ถูก ความเหนื่อยล้าจากการอ่านหนังสือมาตลอด มาวันนี้มันหายไปจนหมดสิ้น และแล้วก็มาถึงวันเดินทาง เมื่อคืนฉันนอนแทบไม่หลับเลยก็ว่าได้ กระทั่งลงรถทัวร์ที่หมอชิต คนที่มารับกลับทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงมาก เกือบปีแล้วที่ไม่ได้เจอหน้าอาปัถย์ คิดถึงจนอยากกระโดดกอด แต่ก็คงได้แค่คิดในใจเท่านั้นอาปัถย์มารับฉันคงเพราะคุยกับแม่ สองคนนี้เห็นคุยกันตลอด เพราะบ่อยครั้งที่อาปัถย์มักจะโทรศัพท์ไปหาแม่ฉันและคุยกันอยู่นานสองนาน แม่สนิทกับอาปัถย์มาก น่าจะมากกว่าน้องชายแท้ๆ ของแม่ด้วยซ้ำ “อาดีใจด้วยนะเวียงพิงค์ เก่งนะตัวแค่นี้”“ค่ะ” ฉันตอบรับเพียงแค่สั้นๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร แต่ใจนั้นเต้นโครมคราม ดีใจที่เขารู้ว่าฉันสอบได้“มา…เราช่วยถือกระเป๋า” อาปัถย์เดินเข้าไปช่วยแม่ฉันถือกระเป๋า ส่วนของฉันคือเป้ที่ฉันสะพายติดตัวไว้ จากนั้นก็พาฉันกับแม่ไปที่รถแม้สรรพนามที่แม่กับอาปัถย์ใช้เรียกกันมันจะต่างไปจากญาติคนอื่นๆ แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจ นั่นเพราะแ
แม่ถูกจับคลุมถุงชนแต่งงานกับพ่อตอนที่แม่อายุแค่สิบห้าสิบหกปีเท่านั้นเอง สังคมต่างจังหวัดธรรมดาๆ แต่ติดวิถีเก่าแก่มาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะแต่งงานนั่นทำให้แม่ต้องหยุดเรียน เงินค่าสินสอดที่ได้มาก็เอาไว้เพื่อส่งน้องชายเรียนสูงๆ แทน แต่สุดท้ายน้องชายแม่ก็ไม่ได้เรียนอย่างที่ผู้ใหญ่ตั้งอกตั้งใจ พอแต่งงานกับพ่อได้หนึ่งปี แม่ก็ตั้งท้องฉัน สังคมต่างจังหวัดกลับมองว่าอายุเท่านี้เหมาะจะเป็นแม่คน ฉันรู้ว่าแม่ลำบากกับการต้องอุ้มท้องและเลี้ยงดูฉันมาตลอด ยิ่งหลังจากพ่อเสียแม่ก็ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว จากที่ขับรถไม่เป็นก็ต้องหัด จากที่ทำบัญชีไม่เป็น เก็บค่าเช่าไม่เป็น ก็ต้องทำเองทั้งหมด บ่อยครั้งที่แม่ชอบนั่งมองเวลานักเรียนเดินผ่านหน้าบ้าน และหมั่นพูดให้ฉันเรียนสูงๆ เรียนเผื่อแม่คนนี้ที่ไม่เคยมีโอกาสได้เรียน ซึ่งฉันก็สัญญาจะทำตามที่แม่บอกแต่วันหนึ่ง ระหว่างที่ฉันกำลังจะขึ้นเรียน เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น และคนที่โทรศัพท์เข้ามาเวลานี้คือคนที่ฉันหลงชอบมานานหลายปี“สวัสดีค่ะอาปัถย์”“เวียงพิงค์ ใจเย็นๆ แล้วตั้งใจฟังอา…” ประโยคที่ได้ยินหลังจากนั้น ทำให้ฉันถึงกับหยุดนิ่ง ใจแทบจะสลายลงไปทัน
ผมชื่อปัถย์ หรือที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ซึ่งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ เรียกผมตั้งแต่เธอยังเล็กๆ ว่าอาปัถย์มาโดยตลอด เพราะเธอเข้าใจว่าผมเป็นญาติ ปีนี้ผมอายุสามสิบกว่าและกำลังมีแผนแต่งงานกับคนรักที่คบหากันมานานถึงเจ็ดปีสิ้นปีนี้ ซึ่งนับเวลาดูก็เหลืออีกแค่เจ็ดแปดเดือนเท่านั้นเองวันนี้เกิดเรื่องมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของแก้ว เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กๆ ของผม เราสองคนโตมาด้วยกัน ก่อนจะแยกกันเมื่อเราเรียนจบมัธยมต้น ตอนนั้นผมย้ายเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ และแทบไม่ได้กลับเชียงราย แต่ผมกับแก้วก็ยังคงติดต่อหากันเสมอๆ วันที่เธอแต่งงาน คือวันที่ผมอกหัก นั่นเพราะผมกับเธอสัญญากันไว้ ว่าเมื่อไหร่ที่เราเรียนจบ มีงานทำ เราจะแต่งงานกัน แต่บ้านของแก้วกลับให้เธอแต่งงานกับคนที่หามาให้ คำว่าลูกกตัญญูทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ไปได้ ผมทำใจอยู่นานกับเรื่องนี้ กว่าจะกลับมาคุยกันในฐานะเพื่อนก็ผ่านมาหลายปี จำได้ว่าครั้งแรกที่เจอกันหลังจากแก้วแต่งงานคือวันที่เวียงพิงค์อายุครบห้าขวบ “หิวไหม”“หนูไม่หิวค่ะ” เธอสะอื้นตอบผม แต่ถึงเธอไม่หิว ผมก็จะบังคับให้เธอกิน ไม่อย่างนั้นจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาสู้“แต่อาหิว เราแวะหา
ฉันตื่นมาเรียนด้วยตาที่คล้ำเป็นหมีแพนด้า ซึ่งฉันก็ไม่ได้สนใจสภาพตัวเอง นั่นเพราะใจจดจ่ออยู่แต่โรงพยาบาล ถึงขนาดเรียนไม่รู้เรื่อง อยากโดดเรียนแล้วไปเฝ้าแม่ แต่ถ้าแม่รู้แม่คงเสียใจที่ฉันทำแบบนั้น จึงได้แต่ทนเรียนกระทั่งหมดคาบสุดท้าย“วันนี้เป็นอะไรหรือเปล่าเวียงพิงค์ หน้าตาซีดๆ ไม่สบายหรือเปล่า”“เราสบายดี แต่แม่เราไม่สบายนิดหน่อย เราเลยกังวล”“นั่นไง...ว่าแล้วเชียวว่าต้องมีสาเหตุ” ฉันเอาแต่เงียบ นั่นเพราะตอนนี้คิดแต่เรื่องของแม่ กระทั่งคนข้างๆ เอ่ยอีกประโยค ที่ทำให้ฉันซึ้งใจ“ถ้าต้องหยุดเพื่อดูแลแม่ก็หยุดนะ เดี๋ยวเราจดเลคเชอร์เผื่อเอง” “ขอบใจจ้ะหวาน ถ้ายังไงวันนี้เรากลับก่อนนะ”“อื้อ…ไว้เจอกันพรุ่งนี้ เอ้ย! ไม่ใช่สิ พรุ่งนี้วันหยุด ไว้เจอกันวันจันทร์” ฉันพยักหน้ารับ ก่อนจะโบกมือลาลลิตหรือน้ำหวาน เพื่อนคนแรกจากรั้วมหาวิทยาลัย ด้วยความที่เราเป็นคนเชียงรายเหมือนกัน เรียนคณะเดียวกัน ปีเดียวกัน จึงสนิทกันได้เร็วกว่าคนอื่นๆ พอเลิกเรียน ฉันก็ตรงดิ่งไปยังโรงพยาบาล วันนี้ฉันใจชื้นขึ้นมาก เมื่อรู้ว่าแม่ย้ายออกมาพักฟื้นที่ห้องพิเศษได้แล้ว นั่นทำให้ฉันมีความหวังว่าแม่จะหายวันหายคืนและกลับไปอยู่ก
ผมมาช้าไปครับ นั่นทำให้ผมไม่มีโอกาสได้ร่ำลากับแก้ว ผมเข้าไปคุยกับร่างที่ไร้วิญญาณของเพื่อนแท้ เพื่อนที่มีแต่ความหวังดีให้กันและกันมาตลอดผมกุมมือที่ยังคงอุ่นของแก้วแล้วลูบมันเบาๆ ก่อนที่เธอจะจากไป เธอมักจะพูดให้ผมดูแลลูกสาวของเธอเสมอๆ นั่นเพราะเวียงพิงค์เหมือนตัวคนเดียว เธอเสียพ่อไปแล้วและวันนี้ยังต้องมาเสียแม่ไปอีก ส่วนญาติก็เหมือนจะตัดขาด ไม่แม้จะติดต่อหากัน“หลับให้สบายนะแก้ว เราสัญญาว่าจะดูแลเวียงพิงค์ให้เป็นอย่างดี” นี่คือคำสัญญาของผม หรือต่อให้แก้วไม่จากไป ผมก็พร้อมจะทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้ผมจัดการเรื่องงานศพของแก้วแทนเวียงพิงค์ ที่ตอนนี้ยังคงเห็นว่าเธอร้องไห้ด้วยความเสียใจ แม้บางครั้งจะพยายามเข้มแข็งเพื่อปิดซ่อนน้ำตาไว้ก็ตามทีเพื่อนๆ และอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยที่รู้ข่าวต่างมางานสวดอภิธรรมศพของแก้ว ผิดกับญาติแท้ๆ ซึ่งเวียงพิงค์ได้โทรศัพท์ไปบอก หวังให้ตายายและน้าชายมาเจอกับแม่ของเธอเป็นครั้งสุดท้าย แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำลายหัวใจของเวียงพิงค์อีก“แม่เอ็งเสีย เอ็งก็จัดการเองสิ
“หลานนอกไส้น่ะสิไม่ว่า ปัถย์บอกฝนเองว่าเด็กนั่นไม่ใช่ญาติแล้วจะแคร์ทำไม สามสี่เดือนมานี้ ฝนเป็นอะไร เป็นคู่หมั้นของปัถย์นะ เรากำลังจะแต่งงานกันแท้ๆ แต่ปัถย์แทบจะไม่มีเวลาให้ฝนเลย ไม่แม้แต่จะไปดูชุดแต่งงานด้วยกัน”“ฝน…เรื่องวันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจ พอดีผมมีประชุมด่วน อย่าเอาเรื่องนี้ไปโยงกับเวียงพิงค์” ฉันมองไปที่อาปัถย์ เวลานี้สีหน้าของอาปัถย์บ่งบอกว่ากำลังไม่พอใจ“ปกป้องยัยเด็กเหลือขอนั่นทำไม หรือปัถย์ชอบมัน นี่จะเป็นสมภารกินไก่วัดอย่างนั้นเหรอปัถย์” คำว่ายัยเด็กเหลือขอที่อาสายฝนเอ่ยว่าฉัน มันทำให้ฉันต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ ฉันรู้ทั้งรู้ว่าอาปัถย์ไม่ใช่ญาติ แต่ก็ชอบทำเป็นลืม นั่นทำให้ฉันรู้สึกผิดอยู่เหมือนกันแต่ประโยคที่อาสายฝนบอกว่าอาปัถย์ชอบเธอล่ะ มันคืออะไร หรือเธอจะหูฝาดได้ยินไปเอง“ฝนพูดแรงไปแล้วนะ”“หรือไม่จริง ถ้าปัถย์ไม่สนใจมัน จะเป็นอย่างนี้เหรอ”“ฝน…ผมบอกให้เลิกพูด”“หึ…มันแทงใจดำใช่ไหมล่ะ” แทนที่จะหยุดพูด แต่อาสายฝนกลับ