แม่ถูกจับคลุมถุงชนแต่งงานกับพ่อตอนที่แม่อายุแค่สิบห้าสิบหกปีเท่านั้นเอง สังคมต่างจังหวัดธรรมดาๆ แต่ติดวิถีเก่าแก่มาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะแต่งงานนั่นทำให้แม่ต้องหยุดเรียน เงินค่าสินสอดที่ได้มาก็เอาไว้เพื่อส่งน้องชายเรียนสูงๆ แทน แต่สุดท้ายน้องชายแม่ก็ไม่ได้เรียนอย่างที่ผู้ใหญ่ตั้งอกตั้งใจ พอแต่งงานกับพ่อได้หนึ่งปี แม่ก็ตั้งท้องฉัน สังคมต่างจังหวัดกลับมองว่าอายุเท่านี้เหมาะจะเป็นแม่คน ฉันรู้ว่าแม่ลำบากกับการต้องอุ้มท้องและเลี้ยงดูฉันมาตลอด ยิ่งหลังจากพ่อเสียแม่ก็ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว จากที่ขับรถไม่เป็นก็ต้องหัด จากที่ทำบัญชีไม่เป็น เก็บค่าเช่าไม่เป็น ก็ต้องทำเองทั้งหมด บ่อยครั้งที่แม่ชอบนั่งมองเวลานักเรียนเดินผ่านหน้าบ้าน และหมั่นพูดให้ฉันเรียนสูงๆ เรียนเผื่อแม่คนนี้ที่ไม่เคยมีโอกาสได้เรียน ซึ่งฉันก็สัญญาจะทำตามที่แม่บอกแต่วันหนึ่ง ระหว่างที่ฉันกำลังจะขึ้นเรียน เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น และคนที่โทรศัพท์เข้ามาเวลานี้คือคนที่ฉันหลงชอบมานานหลายปี“สวัสดีค่ะอาปัถย์”“เวียงพิงค์ ใจเย็นๆ แล้วตั้งใจฟังอา…” ประโยคที่ได้ยินหลังจากนั้น ทำให้ฉันถึงกับหยุดนิ่ง ใจแทบจะสลายลงไปทัน
ผมชื่อปัถย์ หรือที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ซึ่งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ เรียกผมตั้งแต่เธอยังเล็กๆ ว่าอาปัถย์มาโดยตลอด เพราะเธอเข้าใจว่าผมเป็นญาติ ปีนี้ผมอายุสามสิบกว่าและกำลังมีแผนแต่งงานกับคนรักที่คบหากันมานานถึงเจ็ดปีสิ้นปีนี้ ซึ่งนับเวลาดูก็เหลืออีกแค่เจ็ดแปดเดือนเท่านั้นเองวันนี้เกิดเรื่องมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของแก้ว เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กๆ ของผม เราสองคนโตมาด้วยกัน ก่อนจะแยกกันเมื่อเราเรียนจบมัธยมต้น ตอนนั้นผมย้ายเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ และแทบไม่ได้กลับเชียงราย แต่ผมกับแก้วก็ยังคงติดต่อหากันเสมอๆ วันที่เธอแต่งงาน คือวันที่ผมอกหัก นั่นเพราะผมกับเธอสัญญากันไว้ ว่าเมื่อไหร่ที่เราเรียนจบ มีงานทำ เราจะแต่งงานกัน แต่บ้านของแก้วกลับให้เธอแต่งงานกับคนที่หามาให้ คำว่าลูกกตัญญูทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ไปได้ ผมทำใจอยู่นานกับเรื่องนี้ กว่าจะกลับมาคุยกันในฐานะเพื่อนก็ผ่านมาหลายปี จำได้ว่าครั้งแรกที่เจอกันหลังจากแก้วแต่งงานคือวันที่เวียงพิงค์อายุครบห้าขวบ “หิวไหม”“หนูไม่หิวค่ะ” เธอสะอื้นตอบผม แต่ถึงเธอไม่หิว ผมก็จะบังคับให้เธอกิน ไม่อย่างนั้นจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาสู้“แต่อาหิว เราแวะหา
ฉันตื่นมาเรียนด้วยตาที่คล้ำเป็นหมีแพนด้า ซึ่งฉันก็ไม่ได้สนใจสภาพตัวเอง นั่นเพราะใจจดจ่ออยู่แต่โรงพยาบาล ถึงขนาดเรียนไม่รู้เรื่อง อยากโดดเรียนแล้วไปเฝ้าแม่ แต่ถ้าแม่รู้แม่คงเสียใจที่ฉันทำแบบนั้น จึงได้แต่ทนเรียนกระทั่งหมดคาบสุดท้าย“วันนี้เป็นอะไรหรือเปล่าเวียงพิงค์ หน้าตาซีดๆ ไม่สบายหรือเปล่า”“เราสบายดี แต่แม่เราไม่สบายนิดหน่อย เราเลยกังวล”“นั่นไง...ว่าแล้วเชียวว่าต้องมีสาเหตุ” ฉันเอาแต่เงียบ นั่นเพราะตอนนี้คิดแต่เรื่องของแม่ กระทั่งคนข้างๆ เอ่ยอีกประโยค ที่ทำให้ฉันซึ้งใจ“ถ้าต้องหยุดเพื่อดูแลแม่ก็หยุดนะ เดี๋ยวเราจดเลคเชอร์เผื่อเอง” “ขอบใจจ้ะหวาน ถ้ายังไงวันนี้เรากลับก่อนนะ”“อื้อ…ไว้เจอกันพรุ่งนี้ เอ้ย! ไม่ใช่สิ พรุ่งนี้วันหยุด ไว้เจอกันวันจันทร์” ฉันพยักหน้ารับ ก่อนจะโบกมือลาลลิตหรือน้ำหวาน เพื่อนคนแรกจากรั้วมหาวิทยาลัย ด้วยความที่เราเป็นคนเชียงรายเหมือนกัน เรียนคณะเดียวกัน ปีเดียวกัน จึงสนิทกันได้เร็วกว่าคนอื่นๆ พอเลิกเรียน ฉันก็ตรงดิ่งไปยังโรงพยาบาล วันนี้ฉันใจชื้นขึ้นมาก เมื่อรู้ว่าแม่ย้ายออกมาพักฟื้นที่ห้องพิเศษได้แล้ว นั่นทำให้ฉันมีความหวังว่าแม่จะหายวันหายคืนและกลับไปอยู่ก
ผมมาช้าไปครับ นั่นทำให้ผมไม่มีโอกาสได้ร่ำลากับแก้ว ผมเข้าไปคุยกับร่างที่ไร้วิญญาณของเพื่อนแท้ เพื่อนที่มีแต่ความหวังดีให้กันและกันมาตลอดผมกุมมือที่ยังคงอุ่นของแก้วแล้วลูบมันเบาๆ ก่อนที่เธอจะจากไป เธอมักจะพูดให้ผมดูแลลูกสาวของเธอเสมอๆ นั่นเพราะเวียงพิงค์เหมือนตัวคนเดียว เธอเสียพ่อไปแล้วและวันนี้ยังต้องมาเสียแม่ไปอีก ส่วนญาติก็เหมือนจะตัดขาด ไม่แม้จะติดต่อหากัน“หลับให้สบายนะแก้ว เราสัญญาว่าจะดูแลเวียงพิงค์ให้เป็นอย่างดี” นี่คือคำสัญญาของผม หรือต่อให้แก้วไม่จากไป ผมก็พร้อมจะทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้ผมจัดการเรื่องงานศพของแก้วแทนเวียงพิงค์ ที่ตอนนี้ยังคงเห็นว่าเธอร้องไห้ด้วยความเสียใจ แม้บางครั้งจะพยายามเข้มแข็งเพื่อปิดซ่อนน้ำตาไว้ก็ตามทีเพื่อนๆ และอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยที่รู้ข่าวต่างมางานสวดอภิธรรมศพของแก้ว ผิดกับญาติแท้ๆ ซึ่งเวียงพิงค์ได้โทรศัพท์ไปบอก หวังให้ตายายและน้าชายมาเจอกับแม่ของเธอเป็นครั้งสุดท้าย แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำลายหัวใจของเวียงพิงค์อีก“แม่เอ็งเสีย เอ็งก็จัดการเองสิ
“หลานนอกไส้น่ะสิไม่ว่า ปัถย์บอกฝนเองว่าเด็กนั่นไม่ใช่ญาติแล้วจะแคร์ทำไม สามสี่เดือนมานี้ ฝนเป็นอะไร เป็นคู่หมั้นของปัถย์นะ เรากำลังจะแต่งงานกันแท้ๆ แต่ปัถย์แทบจะไม่มีเวลาให้ฝนเลย ไม่แม้แต่จะไปดูชุดแต่งงานด้วยกัน”“ฝน…เรื่องวันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจ พอดีผมมีประชุมด่วน อย่าเอาเรื่องนี้ไปโยงกับเวียงพิงค์” ฉันมองไปที่อาปัถย์ เวลานี้สีหน้าของอาปัถย์บ่งบอกว่ากำลังไม่พอใจ“ปกป้องยัยเด็กเหลือขอนั่นทำไม หรือปัถย์ชอบมัน นี่จะเป็นสมภารกินไก่วัดอย่างนั้นเหรอปัถย์” คำว่ายัยเด็กเหลือขอที่อาสายฝนเอ่ยว่าฉัน มันทำให้ฉันต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ ฉันรู้ทั้งรู้ว่าอาปัถย์ไม่ใช่ญาติ แต่ก็ชอบทำเป็นลืม นั่นทำให้ฉันรู้สึกผิดอยู่เหมือนกันแต่ประโยคที่อาสายฝนบอกว่าอาปัถย์ชอบเธอล่ะ มันคืออะไร หรือเธอจะหูฝาดได้ยินไปเอง“ฝนพูดแรงไปแล้วนะ”“หรือไม่จริง ถ้าปัถย์ไม่สนใจมัน จะเป็นอย่างนี้เหรอ”“ฝน…ผมบอกให้เลิกพูด”“หึ…มันแทงใจดำใช่ไหมล่ะ” แทนที่จะหยุดพูด แต่อาสายฝนกลับ
“เรื่องไหนคะ”“เรื่องที่รู้ว่าอาไม่ใช่อาแท้ๆ ของเรา” ฉันอยากบอกเสียงดังๆ ว่าดีใจมากถึงมากที่สุด ที่รู้ว่าอาปัถย์ไม่ใช่อาแท้ๆ ของฉัน แต่ก็ต้องเก็บประโยคเหล่านั้นไว้แค่เพียงในใจเท่านั้น“อันที่จริงเรื่องที่อาปัถย์ไม่ใช่อาแท้ๆ ของหนู หนูรู้ก่อนที่แม่จะเสียอีก บังเอิญวันนั้นผ่านมาได้ยินตอนที่แม่กับอาปัถย์คุยกัน...แฮ่”“อืมม์” อาปัถย์เอ่ยรับฉันแค่นี้ คำว่า ‘อืมม์’ ที่ยากจะเดาความหมาย“ส่วนเรื่องที่อาฝนเข้าใจอาปัถย์ผิด คิดว่าอาปัถย์ชอบหนู อันนี้มันก็ไม่มีความจริงสักนิด”“ฝนเข้าใจถูก” คำพูดของอาปัถย์ทำเอาฉันสตั้นไปสามวิ สมองมึนงง อึ้งไปหมด อึ้งจนหูอื้อตาลายไปชั่วขณะ ทุกอย่างรอบตัวหยุดการเคลื่อนไหวฉันคิดทบทวนกับตัวเอง ว่านี่คือเรื่องจริงหรือกำลังฝันไปกันแน่ เมื่อครู่อาปัถย์บอกว่าชอบเธออยู่ใช่ไหม...ใช่ไหม“แต่อย่าห่วงไปเลย เดี๋ยวอาจัดการความรู้สึกของอาเอง ส่วนเวียงพิงค์ก็คิดซะ
“ส่วนเรื่องที่อาฝนเข้าใจอาปัถย์ผิด คิดว่าอาปัถย์ชอบหนู อันนี้มันก็ไม่มีความจริงสักนิด”“ฝนเข้าใจถูก”“แต่อย่าห่วงไปเลย เดี๋ยวอาจัดการความรู้สึกของอาเอง…”ประโยคเหล่านี้ตามหลอกหลอนฉันมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ได้ยินประโยคที่หมายถึงอาปัถย์ชอบฉัน เหมือนที่ฉันชอบอาปัถย์มาตลอด ฉันไม่คิดไม่ฝันว่าวันหนึ่งจะมีวันนี้ ฉันเอาแต่นอนยิ้มเหมือนคนบ้า กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง ใจสั่นไปหมด ฉันพยายามควบคุมสีหน้าอารมณ์ตอนที่อยู่ต่อหน้าอาปัถย์ ทั้งๆ ที่ใจของฉันมันเต้นโครมคราม มือไม้ก็เย็นเฉียบไปหมด“อาปัถย์ชอบเรา อาปัถย์ชอบเรา กรี๊ดดด!!!” ฉันเอาหน้าซุกหมอนแล้วกรีดร้องเหมือนคนบ้า ก็คนมันดีใจนี่นา แต่อยู่ๆ ความดีใจของฉันก็ค่อยๆ หายไป เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอาปัถย์กำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่เดือนนี้แล้ว และเจ้าสาวของอาปัถย์ก็คืออาสายฝน ต่อให้พวกเขาจะทะเลาะกัน พรุ่งนี้ก็คงปรับความเข้าใจกันเองได้แต่…ทำไมฉันแอบแช่งพวกเขาให้เลิกกันนะ&ld
ตลอดทางเวียงพิงค์ชวนผมคุยเรื่องนั้น เรื่องนี้ เธอดูสดใสขึ้นกว่าเมื่อหลายเดือนก่อนมาก คงทำใจเรื่องที่ต้องเสียแม่ได้ในระดับหนึ่งแล้ว“ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีที่วันนี้ไปรับพามากินข้าว แถมยังซื้อสมุดสวยๆ พวกนี้ให้หนูอีก” เมื่อผมจอดรถที่หน้าคอนโดเสร็จ เธอก็เอ่ยประโยคนี้ขึ้น“ก็อาสัญญากับแม่เราไว้แล้วนี่ ว่าจะดูแลเราให้ดี”“หนูเข้าใจมาตลอดว่าอาปัถย์คืออาแท้ๆ เป็นญาติหนู แต่พอรู้ความจริงแล้วมันก็โล่งอกมากๆ เลย” เธอโล่งอก แต่ผมกลับรู้สึกผิดที่คิดอกุศลกับลูกสาวของเพื่อน“ทำไมถึงโล่งอก”“ก็เพราะหนู...หนู เอ่อ…หนูรักอาปัถย์”“เวียงพิงค์ รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา” ผมเอ็ดเธอ ทั้งๆ ที่ในใจของผมมันโลดแล่นที่ได้ยินแบบนี้“หนูพูดเรื่องจริง หนูรักอาปัถย์มาตั้งนานแล้ว รักมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยซ้ำ รักทั้งๆ ที่ยังเข้าใจว่าอาปัถย์คือญาติตัวเอง”“เลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว&rdquo
“อ่ะ…อา” ฉันครางออกมา เมื่ออาปัถย์จงใจใช้แก่นกายเสียดสีกับดอกไม้กลางลำตัวของฉันราวกับต้องการขออนุญาต ทั้งๆ ที่มันไม่จำเป็นอาปัถย์จูบฉันอย่างร้อนแรง มือทั้งสองข้างก็บีบคลึงหน้าอกทั้งสองข้างไปด้วย พร้อมกับค่อยๆ ส่งแก่นกายเข้าหาฉันช้าๆ“ยังเจ็บอยู่ไหม”“ไม่ค่ะ” ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ กัดฟัน เพราะแม้มันยังคงเจ็บอยู่บ้าง แต่ความเจ็บมันก็มาพร้อมความเสียวซ่านที่ฉันปรารถนาจะสัมผัสอาปัถย์ค่อยๆ แทรกตัวเองเข้าหาฉัน ความคับแน่น ตอดรัดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทั่งฉันรับอาปัถย์เข้ามาอยู่ในตัวจนลึกสุด“อืมม์…อารักเวียงพิงค์”“หนูก็รักอาปัถย์” เราเอ่ยคำว่ารักออกมา อาปัถย์หยุดรอในขณะที่ร่างกายของฉันมันส่งสัญญาณให้อาปัถย์ไปต่อ ภายในตัวฉันตอดรัดถี่กระชั้นมากขึ้น จนได้ยินอาปัถย์เป่าลมออกปากหนักๆ อยู่หลายครั้งและในที่สุดอาปัถย์ก็เร่งจังหวะสะโพก ทุกจังหวะที่อาปัถย์ส่งมานั้น มันทำให้ฉันทรมานเหลือเกิน ฉันครางออกมาอ
“งั้นเราก็เจ๊ากัน”“เจ๊าก็เจ๊า แต่เรื่องเมื่อคืนอาเสียเปรียบอยู่นะ เพราะเวียงพิงค์ปลดปล่อยตั้งหลายครั้ง ส่วนอา…แค่ครั้งเดียว” ผมพูดเย้าเธอให้หน้าแดงซ่าน เพราะผมชอบมองเวลาเธอเขิน และตอนนี้สาวน้อยของผมก็เขินจนทำตัวไม่ถูก“ทะลึ่ง”“งั้นคืนนี้อาขอทวงคืนความเสมอภาค ตกลงนะ”“อาปัถย์พูดอะไร บ้า!” เวียงพิงค์ยื่นมือมาทุบแขนผมแรงๆ ก่อนจะรั้งผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง หนีหน้าผมไปเสียแล้วผมหัวเราะชอบใจก่อนจะกระโดดขึ้นเตียง คว้าเธอมากอด มาหอมและจูบอยู่นาน อยากทำอะไรๆ ที่มากกว่านี้ แต่ต้องอดใจรอเราลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว จัดกระเป๋า จากนั้นผมก็ขับรถพาว่าที่เจ้าสาวแสนสวยไปยังหัวหิน หัวใจผมกระชุ่มกระชวยเสียจริงๆ มองไปทางไหนก็มีความสุขไปหมด ความสุขที่เฝ้ารอมานาน เมื่อมันมาถึง มันหอมหวานแบบนี้นี่เองผมเลือกพักรีสอร์ทริมทะเล โดยเลือกห้องพักที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว ก็บอกแล้วว่าผมพาเวียงพิงค์มาพรีฮันนีมูน ต้องขอความเป็นส
แต่กลับยิ่งเร่งจังหวะมากขึ้นและมากขึ้น กระทั่งเปลี่ยนมาเป็นช้าในตอนท้าย ใช่ว่าอาปัถย์จะรู้สึกดีเพียงคนเดียว เพราะฉันเองก็รู้สึกดีกับเซ็กซ์ครั้งแรกนี้มากเช่นเดียวกัน อาปัถย์คือคนที่มาเติมเต็มชีวิตของฉันร่างกายของฉันเป็นของอาปัถย์อย่างสมบูรณ์ อาปัถย์ทำให้ฉันเร่าร้อนเหมือนเปลวเพลิง ของขวัญวันรับปริญญาชิ้นพิเศษชิ้นนี้ของฉัน มันช่างเร่าร้อนจนฉันแทบหยุดหายใจ“อุ๊ย! อาปัถย์” ฉันอุทานตกใจ เมื่ออยู่ๆ อาปัถย์ก็จับฉันนอนตะแคง และสอดแทรกแก่นกายเข้าหาฉันจากด้านข้าง ความคับแน่นที่มีมากอยู่แล้วตอนนี้ยิ่งมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ขาข้างหนึ่งของฉันถูกอาปัถย์ยกขึ้นสูง ฉันแอบก้มตัวมองยามที่อาปัถย์ส่งตัวเองเข้าออกภายในตัวฉัน แต่ยิ่งมองฉันก็ยิ่งเร่าร้อนจนไม่อาจต้านทาน จนต้องปลดปล่อยความต้องการออกมา ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก แต่มันคือครั้งที่สี่แล้วต่างหากร่างกายฉันกระตุกบ่งบอกว่าฉันปลดปล่อยออกมาแล้ว อาปัถย์ได้แต่ยิ้มแล้วกระซิบถามฉันว่าฉันมีความสุขไหม ฉันจึงพยักหน้ารับ“อะ…อาปัถย์ จะตอบแทนความรักที่มั่นคงขอ
“อาอดทนรอให้สาวน้อยของอาเรียนจบมาสี่ปี หนึ่งพันสี่ร้อยหกสิบวัน สามหมื่นห้าพันสี่สิบชั่วโมง หรืออาจจะมากกว่านี้ถ้าเรานับตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน” จุมพิตจากริมฝีปากร้อนๆ ของอาปัถย์ที่สัมผัสลงมาหนักๆ ตรงหัวไหล่ของฉันทำเอาฉันสะดุ้ง“เวียงพิงค์ยังรักอาอยู่ใช่ไหม”“รักสิคะ ทำไมจะ...ไม่...รัก” ประโยคท้ายๆ ของฉันมันฟังดูกระท่อนกระแท่น นั่นเพราะอาปัถย์กำลังจูบไซ้ท้ายทอยของฉันและลดระดับต่ำลงไปเรื่อยๆ“สาวน้อยของอาน่ารักที่สุด” อาปัถย์กำลังทำให้ฉันทรมานกับสัมผัสอันแปลกใหม่ มันเสียวซ่าน วาบหวามยากที่จะอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นในเวลานี้ออกมาเป็นคำพูดได้“อืมม์…อาปัถย์ขา” ฉันหลับตาพริ้ม อารมณ์ไม่คุ้นชินถูกปลุกเร้าจากการสัมผัสอันช่ำชองของอาปัถย์ โดยเฉพาะฝ่ามือทั้งสองข้าง ที่เอื้อมมาลูบไล้หน้าท้องแล้วลากสูงขึ้นกระทั่งถึงหน้าอกหน้าใจที่ฉันไม่เคยให้ใครสัมผัสมันมาก่อนแม้แต่คนเดียวมืออุ่นจัดของอาปัถย์บีบคลึง ฟอนเฟ้นหน้าอกอวบหยุ่นของฉันจนมันตั
นั่นทำให้ฉันฝันดี ก่อนจะสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ฉันตื่นมาอาบน้ำ แต่งตัว แต่งหน้า ทำผมด้วยตัวเอง จากนั้นก็ตั้งใจจะลงไปใส่บาตร แต่ดูเหมือนอาปัถย์จะรู้ใจ เพราะพอลงมาถึงชั้นล่าง ฉันก็เห็นอาปัถย์เตรียมของใส่บาตรไว้ให้ฉันแล้ว“วันนี้เวียงพิงค์ของอาสวยเป็นพิเศษ” คำชมของอาปัถย์ทำให้ฉันยิ้มเขิน“ก็วันนี้เป็นวันสำคัญนี่คะ”“ไปรอใส่บาตรกันจ้ะ” ฉันพยักหน้ารับ เราสองคนออกไปใส่บาตรด้วยกันที่หน้าหมู่บ้าน จากนั้นอาปัถย์ก็ขับรถพาฉันไปส่งและทำหน้าที่ช่างภาพเก็บภาพให้ฉันตลอดวันสำคัญ กว่าพิธีการจะเสร็จสิ้นก็บ่ายคล้อย“เป็นไงบัณฑิต เหนื่อยไหมครับ”“ไม่เหนื่อยค่ะ” ฉันยิ้มให้ วันนี้มันมีแต่ความภูมิใจ ดีใจจนแทบไม่รู้สึกว่าเหนื่อย จากนั้นอาปัถย์ก็พาฉันไปกินข้าว ลึกๆ ฉันก็แอบคิดว่าอาปัถย์จะมีของขวัญอะไรเซอร์ไพรส์ให้ฉันบ้างไหม แต่พอไม่มีก็พอเข้าใจ เพราะเท่าที่รู้จักกัน อาปัถย์ไม่ใช่คนโรแมนติก คงไม่มีอารมณ์แบบมุ้งมิ้งเหมือนวัยรุ่นทั่วๆ ไปเขาทำกันหรอกมั้ง
“อาปัถย์เลิกรักหนูได้จริงๆ เหรอคะ”“ได้สิ” ผมใจร้ายที่ตอบออกไปแบบนี้ แต่ผมก็ต้องทำ“แต่ทำไมหนูถึงเลิกรักอาปัถย์ไม่ได้เลย” ผมสัมผัสได้ว่าเธอกำลังลุกขึ้น จากนั้นเวียงพิงค์ก็สวมกอดผมจากด้านหลัง อ้อมกอดของเธอมันอุ่นเข้าไปในหัวใจของผม มันทำให้ผมใจอ่อนลงไปอย่างไม่ควรจะเป็น“หนูรักอาปัถย์ อาปัถย์อย่าเลิกรักหนูได้ไหม”“เวียงพิงค์”“หนูรู้แล้วว่าตอนนี้อาปัถย์กับอาสายฝนเลิกกันแล้ว และรู้ด้วยว่าเราอายุห่างกันมาก แต่หนูไม่แคร์ หนูรักอาปัถย์ของหนูจริงๆ นะ” ประโยคที่ได้ยินจากเธอ มันทำให้หัวใจของผมพองโต“ถ้ารักอาจริงๆ ตั้งใจเรียนให้จบ แล้วเราค่อยมาพูดเรื่องนี้กัน”“ระหว่างที่หนูตั้งใจเรียน อาปัถย์สัญญามาก่อนว่าจะไม่ไปแอบรักใคร ที่ไม่ใช่หนู” คำขอของเธอที่ดังขึ้น ทำให้ผมหันหน้ามาสบตาด้วย แล้วรับปากสัญญา“สัญญา”“เกี่ยวก้อยด้วยค่ะ&rd
ตลอดทางเวียงพิงค์ชวนผมคุยเรื่องนั้น เรื่องนี้ เธอดูสดใสขึ้นกว่าเมื่อหลายเดือนก่อนมาก คงทำใจเรื่องที่ต้องเสียแม่ได้ในระดับหนึ่งแล้ว“ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีที่วันนี้ไปรับพามากินข้าว แถมยังซื้อสมุดสวยๆ พวกนี้ให้หนูอีก” เมื่อผมจอดรถที่หน้าคอนโดเสร็จ เธอก็เอ่ยประโยคนี้ขึ้น“ก็อาสัญญากับแม่เราไว้แล้วนี่ ว่าจะดูแลเราให้ดี”“หนูเข้าใจมาตลอดว่าอาปัถย์คืออาแท้ๆ เป็นญาติหนู แต่พอรู้ความจริงแล้วมันก็โล่งอกมากๆ เลย” เธอโล่งอก แต่ผมกลับรู้สึกผิดที่คิดอกุศลกับลูกสาวของเพื่อน“ทำไมถึงโล่งอก”“ก็เพราะหนู...หนู เอ่อ…หนูรักอาปัถย์”“เวียงพิงค์ รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา” ผมเอ็ดเธอ ทั้งๆ ที่ในใจของผมมันโลดแล่นที่ได้ยินแบบนี้“หนูพูดเรื่องจริง หนูรักอาปัถย์มาตั้งนานแล้ว รักมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยซ้ำ รักทั้งๆ ที่ยังเข้าใจว่าอาปัถย์คือญาติตัวเอง”“เลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว&rdquo
“ส่วนเรื่องที่อาฝนเข้าใจอาปัถย์ผิด คิดว่าอาปัถย์ชอบหนู อันนี้มันก็ไม่มีความจริงสักนิด”“ฝนเข้าใจถูก”“แต่อย่าห่วงไปเลย เดี๋ยวอาจัดการความรู้สึกของอาเอง…”ประโยคเหล่านี้ตามหลอกหลอนฉันมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ได้ยินประโยคที่หมายถึงอาปัถย์ชอบฉัน เหมือนที่ฉันชอบอาปัถย์มาตลอด ฉันไม่คิดไม่ฝันว่าวันหนึ่งจะมีวันนี้ ฉันเอาแต่นอนยิ้มเหมือนคนบ้า กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง ใจสั่นไปหมด ฉันพยายามควบคุมสีหน้าอารมณ์ตอนที่อยู่ต่อหน้าอาปัถย์ ทั้งๆ ที่ใจของฉันมันเต้นโครมคราม มือไม้ก็เย็นเฉียบไปหมด“อาปัถย์ชอบเรา อาปัถย์ชอบเรา กรี๊ดดด!!!” ฉันเอาหน้าซุกหมอนแล้วกรีดร้องเหมือนคนบ้า ก็คนมันดีใจนี่นา แต่อยู่ๆ ความดีใจของฉันก็ค่อยๆ หายไป เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอาปัถย์กำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่เดือนนี้แล้ว และเจ้าสาวของอาปัถย์ก็คืออาสายฝน ต่อให้พวกเขาจะทะเลาะกัน พรุ่งนี้ก็คงปรับความเข้าใจกันเองได้แต่…ทำไมฉันแอบแช่งพวกเขาให้เลิกกันนะ&ld
“เรื่องไหนคะ”“เรื่องที่รู้ว่าอาไม่ใช่อาแท้ๆ ของเรา” ฉันอยากบอกเสียงดังๆ ว่าดีใจมากถึงมากที่สุด ที่รู้ว่าอาปัถย์ไม่ใช่อาแท้ๆ ของฉัน แต่ก็ต้องเก็บประโยคเหล่านั้นไว้แค่เพียงในใจเท่านั้น“อันที่จริงเรื่องที่อาปัถย์ไม่ใช่อาแท้ๆ ของหนู หนูรู้ก่อนที่แม่จะเสียอีก บังเอิญวันนั้นผ่านมาได้ยินตอนที่แม่กับอาปัถย์คุยกัน...แฮ่”“อืมม์” อาปัถย์เอ่ยรับฉันแค่นี้ คำว่า ‘อืมม์’ ที่ยากจะเดาความหมาย“ส่วนเรื่องที่อาฝนเข้าใจอาปัถย์ผิด คิดว่าอาปัถย์ชอบหนู อันนี้มันก็ไม่มีความจริงสักนิด”“ฝนเข้าใจถูก” คำพูดของอาปัถย์ทำเอาฉันสตั้นไปสามวิ สมองมึนงง อึ้งไปหมด อึ้งจนหูอื้อตาลายไปชั่วขณะ ทุกอย่างรอบตัวหยุดการเคลื่อนไหวฉันคิดทบทวนกับตัวเอง ว่านี่คือเรื่องจริงหรือกำลังฝันไปกันแน่ เมื่อครู่อาปัถย์บอกว่าชอบเธออยู่ใช่ไหม...ใช่ไหม“แต่อย่าห่วงไปเลย เดี๋ยวอาจัดการความรู้สึกของอาเอง ส่วนเวียงพิงค์ก็คิดซะ