Share

บทที่ 4 จุดเปลี่ยน (1)

ผมชื่อปัถย์ หรือที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ซึ่งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ เรียกผมตั้งแต่เธอยังเล็กๆ ว่าอาปัถย์มาโดยตลอด เพราะเธอเข้าใจว่าผมเป็นญาติ ปีนี้ผมอายุสามสิบกว่าและกำลังมีแผนแต่งงานกับคนรักที่คบหากันมานานถึงเจ็ดปีสิ้นปีนี้ ซึ่งนับเวลาดูก็เหลืออีกแค่เจ็ดแปดเดือนเท่านั้นเอง

วันนี้เกิดเรื่องมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของแก้ว เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กๆ ของผม เราสองคนโตมาด้วยกัน ก่อนจะแยกกันเมื่อเราเรียนจบมัธยมต้น ตอนนั้นผมย้ายเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ และแทบไม่ได้กลับเชียงราย แต่ผมกับแก้วก็ยังคงติดต่อหากันเสมอๆ 

วันที่เธอแต่งงาน คือวันที่ผมอกหัก นั่นเพราะผมกับเธอสัญญากันไว้ ว่าเมื่อไหร่ที่เราเรียนจบ มีงานทำ เราจะแต่งงานกัน แต่บ้านของแก้วกลับให้เธอแต่งงานกับคนที่หามาให้ คำว่าลูกกตัญญูทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ไปได้ ผมทำใจอยู่นานกับเรื่องนี้ กว่าจะกลับมาคุยกันในฐานะเพื่อนก็ผ่านมาหลายปี จำได้ว่าครั้งแรกที่เจอกันหลังจากแก้วแต่งงานคือวันที่เวียงพิงค์อายุครบห้าขวบ 

“หิวไหม”

“หนูไม่หิวค่ะ” เธอสะอื้นตอบผม แต่ถึงเธอไม่หิว ผมก็จะบังคับให้เธอกิน ไม่อย่างนั้นจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาสู้

“แต่อาหิว เราแวะหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า” พูดจบผมก็จอดรถ ข้างๆ คือลานอาหารที่เปิดขายตามริมถนน มีอาหารให้เลือกมากมาย ผมพาเธอเดินไปยังร้านอาหารตามสั่ง เมื่อสั่งของผมเสร็จ ผมก็ถามเธอว่าอยากกินอะไร แต่เวียงพิงค์เอาแต่เงียบ ผมเลยสั่งของโปรดของเธอให้ นั่นคือข้าวผัดกุ้ง 

“แม่จะเป็นอะไรไหมคะอาปัถย์” ระหว่างที่รออาหารที่สั่งไปมาเสิร์ฟ เธอที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาก็เอ่ยถามผมเสียงสั่นเครือ แถมยังยกมือขึ้นปาดน้ำตาอีก 

“แม่อยู่ใกล้มือหมอ ไม่เป็นอะไรหรอก” ผมเอ่ยปลอบ ทั้งๆ ที่ในใจนั้นก็ห่วงอาการของแก้วอยู่ไม่น้อย เพราะก้อนเนื้อตรงแกนสมอง มันอาจทำให้เธอหมดลมหายใจได้ทุกเมื่อ

วันนี้ผมตั้งใจแวะไปหาเธอที่คอนโดมิเนียม แต่พอไปถึง ยังไม่ทันจะได้นั่ง แก้วก็เป็นลมล้มฟุบไปต่อหน้าต่อตา ผมจึงรีบพาเธอส่งโรงพยาบาล และผลการตรวจร่างกายอย่างละเอียดก็ทำให้ผมช็อกอยู่ไม่น้อย 

แต่ผมต้องไม่แสดงความอ่อนแอหรือลนลานตอนนี้ ต้องมีสติรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะผมต้องเข้มแข็งเพื่อแก้ว เพื่อลูกของเธอ ตอนนี้เวียงพิงค์ไม่เหลือใครอีกแล้ว ขืนพากันอ่อนแอไปหมดก็ไม่ดีแน่ 

“แต่หนูกลัว”

“อย่ากลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิด เวียงพิงค์ต้องเข้มแข็งให้แม่เห็น ไม่อย่างนั้นแม่จะไป…” ผมพูดไม่ออก เพราะผมกับเธอเข้าไปพบหมอมาพร้อมๆ กัน จึงรู้ว่าต้องทำใจ

“หนูไม่อยากให้แม่ตาย หนูเสียพ่อไปคนหนึ่งแล้ว หนูไม่อยากเสียแม่ไปอีก” จากที่ร้องไห้เงียบๆ ตอนนี้เวียงพิงค์ก็พรั่งพรูน้ำตาออกมา ผมสงสารเธอจับใจ 

“อารู้ อาเข้าใจ อาจะอยู่ข้างๆ เวียงพิงค์เอง” ผมยื่นมือไปวางบนหัวไหล่เล็กๆ ของเธอ สัมผัสได้ถึงแรงสะอื้นไห้ กระทั่งข้าวที่ผมสั่งไปมาเสิร์ฟ ผมจึงได้ทีเปลี่ยนเรื่อง 

“ข้าวมาแล้ว กินข้าวกันเถอะ” เพราะทั้งวันผมเองก็แทบไม่ได้กินอะไร นี่คือข้าวจานแรก จึงกินแบบรวดเร็วยังกับพายุเข้า แป๊บเดียวก็หมดจาน

ผิดกับเวียงพิงค์ที่เอาแต่นั่งเขี่ย จนถูกผมคะยั้นคะยอให้กิน เธอจึงฝืนกินไปเจ็ดแปดคำ ก่อนจะบอกว่าอิ่ม 

เมื่ออิ่มผมจึงขับรถไปส่งเธอที่คอนโดมิเนียม ซึ่งที่นี่คือห้องที่ผมซื้อเก็บไว้เอง ผมตั้งใจซื้อเมื่อรู้ว่าแก้วอยากให้ลูกลงมาเรียนที่กรุงเทพฯ ก่อนจะจัดฉากพาแก้วกับเวียงพิงค์มาดู ห้องน่าอยู่ ทำเลไม่ห่างจากมหาวิทยาลัย มิหนำซ้ำราคาไม่แพงด้วย ซึ่งสองคนก็ชอบที่นี่มากและตกลงเช่าทันที

“ถ้ามีอะไรก็โทร.หาอาได้ตลอดเวลา รู้ไหม” ก่อนที่เธอจะเปิดประตูลงจากรถไป ผมก็เอ่ยขึ้น 

“ค่ะ”

“พรุ่งนี้มีเรียนหรือเปล่า”

“มีค่ะ”

“ไปเรียนก่อน เลิกเรียนแล้วค่อยไปหาแม่”

“แต่หนู…” ผมรู้ว่าเธอจะแย้งอะไร แต่เวลานี้เวียงพิงค์ต้องเรียน เดี๋ยวจะตามเพื่อนไม่ทัน ส่วนเรื่องเฝ้าแก้ว ผมอาสาเอง เพราะผมสามารถหิ้วงานไปทำที่หน้าห้องไอซียูได้อย่างสบาย อ้อ…ลืมบอกไปว่าผมมีธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเองครับ เป็นธุรกิจเกี่ยวกับส่งออกอาหาร ซึ่งผมสานต่อจากพ่อ

“ตอนกลางวัน อาจะเฝ้าแม่ให้เอง มีอะไรจะรีบโทร.บอก”

“ค่ะ” เธอเอ่ยรับเสียงเนือยๆ ก่อนจะเปิดประตูแล้วขึ้นคอนโดมิเนียมไป ผมมองตามหลังจนเธอเข้าไปข้างใน จึงขับรถกลับบ้าน แต่คืนนั้นทั้งคืนผมก็นอนไม่หลับ เพราะนึกห่วงแก้วตลอดเวลา ความรู้สึกของผมมันบอกว่าแก้วจะอยู่ได้ไม่นาน

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status