Share

บทที่ 5 จุดเปลี่ยน (2)

ฉันตื่นมาเรียนด้วยตาที่คล้ำเป็นหมีแพนด้า ซึ่งฉันก็ไม่ได้สนใจสภาพตัวเอง นั่นเพราะใจจดจ่ออยู่แต่โรงพยาบาล ถึงขนาดเรียนไม่รู้เรื่อง อยากโดดเรียนแล้วไปเฝ้าแม่ แต่ถ้าแม่รู้แม่คงเสียใจที่ฉันทำแบบนั้น จึงได้แต่ทนเรียนกระทั่งหมดคาบสุดท้าย

“วันนี้เป็นอะไรหรือเปล่าเวียงพิงค์ หน้าตาซีดๆ ไม่สบายหรือเปล่า”

“เราสบายดี แต่แม่เราไม่สบายนิดหน่อย เราเลยกังวล”

“นั่นไง...ว่าแล้วเชียวว่าต้องมีสาเหตุ” ฉันเอาแต่เงียบ นั่นเพราะตอนนี้คิดแต่เรื่องของแม่ กระทั่งคนข้างๆ เอ่ยอีกประโยค ที่ทำให้ฉันซึ้งใจ

“ถ้าต้องหยุดเพื่อดูแลแม่ก็หยุดนะ เดี๋ยวเราจดเลคเชอร์เผื่อเอง” 

“ขอบใจจ้ะหวาน ถ้ายังไงวันนี้เรากลับก่อนนะ”

“อื้อ…ไว้เจอกันพรุ่งนี้ เอ้ย! ไม่ใช่สิ พรุ่งนี้วันหยุด ไว้เจอกันวันจันทร์” ฉันพยักหน้ารับ ก่อนจะโบกมือลาลลิตหรือน้ำหวาน เพื่อนคนแรกจากรั้วมหาวิทยาลัย ด้วยความที่เราเป็นคนเชียงรายเหมือนกัน เรียนคณะเดียวกัน ปีเดียวกัน จึงสนิทกันได้เร็วกว่าคนอื่นๆ 

พอเลิกเรียน ฉันก็ตรงดิ่งไปยังโรงพยาบาล วันนี้ฉันใจชื้นขึ้นมาก เมื่อรู้ว่าแม่ย้ายออกมาพักฟื้นที่ห้องพิเศษได้แล้ว นั่นทำให้ฉันมีความหวังว่าแม่จะหายวันหายคืนและกลับไปอยู่กับฉันได้ในเร็ววัน โดยไม่รู้เลยว่าแม่เป็นคนขอย้ายออกมา ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในสภาวะเสี่ยง เพราะแม่อยากอยู่ใกล้ฉันให้นานที่สุด 

คืนนั้นฉันนั่งกุมมือแม่ไว้ ฟังความฝัน ฟังเรื่องราวในอดีตที่แม่เล่าให้ฟังราวกับแม่ต้องการสั่งเสีย! 

แม่เล่าว่าก่อนที่แม่จะถูกจับคลุมถุงชนให้แต่งงานกับพ่อ แม่มีคนรักอยู่แล้ว ซึ่งฉันเดาว่าคนรักของแม่ที่แม่ไม่ยอมเอ่ยชื่อนั่นคืออาปัถย์ แม่กับคนรัก สัญญากันไว้ว่าโตขึ้นจะแต่งงานกัน แต่สุดท้ายแม่ก็ผิดสัญญา

แม่ยังคงมีคนรักอยู่ในหัวใจ และพ่อก็รู้เรื่องนี้ พ่อรักแม่มากและพยายามเอาชนะใจด้วยความดี ความซื่อสัตย์ ทำทุกอย่างเพื่อแม่ แม้จะแต่งงานกันแต่ก็ไม่เคยมีอะไรกัน กระทั่งผ่านไปครึ่งปีแม่ถึงยอมใจอ่อนในความรักที่พ่อมีให้ 

“ความดีของพ่อมันค่อยๆ ซึมซับเข้าสู่หัวใจแม่” ประโยคนี้ทำให้ฉันยิ้มกว้าง เพราะแม่เองก็รักพ่อมาก แม่ไม่เคยทำผิดต่อพ่อเลยสักครั้ง 

ฉันใช้วันหยุดทั้งหมดไปกับการอยู่เฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล โดยมีอาปัถย์คอยมาส่งข้าว ส่งน้ำ หาอะไรมาฝากอยู่ทุกวัน และฉันก็มักจะได้ยินแม่ฝากฝังให้อาปัถย์คอยดูแลฉันเสมอๆ ด้วย ซึ่งฉันไม่อยากให้แม่ท้อที่จะอยู่บนโลกใบนี้เลย 

ฉันอยากให้แม่ผ่าตัดเอาก้อนเนื้อที่สมองออก แต่หมอกลับบอกว่ามันเสี่ยงเกินไป โอกาสที่จะผ่าตัดสำเร็จแล้วแม่ฉันรอดมันมีแค่ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นทำให้ใจฉันสลาย ต้องมองดูแม่เจ็บ โดยช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย 

อาการของแม่มีแต่ทรงกับทรุด จากหนึ่งวันก็เพิ่มมาเป็นสอง สาม สี่ ห้า และวันนี้ก็ครบหนึ่งอาทิตย์พอดีที่แม่ต้องมานอนอยู่โรงพยาบาล 

เช้ามืดของวันรุ่งขึ้น อยู่ๆ แม่ก็อาการทรุดลงอย่างน่าเป็นห่วง จนต้องรีบย้ายกลับไปห้องไอซียู แม่หัวใจหยุดเต้นไปสองครั้ง ก่อนที่หมอจะปั๊มกลับมา และหมอก็เดินออกมาบอกให้ฉันทำใจ พร้อมทั้งให้ฉันเข้าไปหาแม่เป็นครั้งสุดท้าย 

“แม่จ๋า” ฉันกุมมือแม่ไว้ด้วยมือที่สั่นเทา น้ำตาแม้มันจะไม่ไหลออกมาจากดวงตาของฉัน เพราะมันไหลย้อนกลับเข้าไปในหัวใจที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ฉันหวังพึ่งปาฏิหาริย์ แต่มันคงไม่มีจริงสำหรับฉัน 

“เวียงพิงค์ แม่อาจจะอยู่กับลูกไม่ได้แล้วนะ”

“แม่…อย่าพูดแบบนี้สิ” ฉันสะอื้นไห้จนตัวโยน ความรู้สึกตอนนี้มันทรมานจนยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดได้ 

“แม่รู้ตัวเองดี ว่ามีเวลาเหลือเท่าไหร่”

“แม่”

“แม่ไม่อยู่แล้ว ลูกต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ นะ เชื่อฟังอาปัถย์มากๆ รู้ไหมลูก”

“แม่ขา” ฉันไม่รับฟังอะไรทั้งนั้น เพราะสิ่งเดียวที่ฉันต้องการคือแม่ 

“แม่รักเวียงพิงค์มากนะลูก”

“แม่…แม่จ๋า แม่กลับมาอยู่กับลูกก่อน...แม่” ฉันร้องไห้ออกมาอย่างหนัก สวมกอดร่างที่ไร้วิญญาณของแม่ไว้ด้วยหัวใจที่ปวดร้าวไปหมด 

เวลานี้แม่หมดลมหายใจไปต่อหน้าฉัน ฟ้าถล่มลงมาต่อหน้าอีกครั้ง ฉันเคยรู้สึกแบบนี้เมื่อสองปีก่อนตอนที่ต้องสูญเสียพ่อไปอย่างไม่มีวันกลับ ฉันน่าจะตั้งรับได้ดี แต่พอถึงเวลาเสียแม่ไปจริงๆ มันกลับทำให้ฉันทรมานหลายเท่า 

 ฉันเดินเหมือนคนไร้วิญญาณออกมาจากห้องไอซียู ก่อนจะทรุดลงไปนั่งกับพื้น เวลานี้ร่างกายของฉันมันไร้เรี่ยวแรงจนลุกไม่ขึ้น ฉันก้มหน้ามองพื้นและร้องไห้เงียบๆ ถึงมันจะไม่มีเสียง แต่ระดับความเจ็บปวดนั้นมันสูงเกินจะรับไหว 

“เวียงพิงค์” ฉันได้ยินเสียงของอาปัถย์ แต่มองไม่เห็นว่าอยู่ตรงไหน เพราะเอาแต่ร้องไห้ กระทั่งถูกอาปัถย์คว้าตัวไปกอด 

ฉันปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย พร่ำบอกเสียงสั่นเครือว่าตอนนี้แม่จากฉันไปแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอาปัถย์จะฟังฉันรู้เรื่องไหม อ้อมกอดของอาปัถย์คือที่พึ่งของฉันในตอนนี้

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status