ฉันตื่นมาเรียนด้วยตาที่คล้ำเป็นหมีแพนด้า ซึ่งฉันก็ไม่ได้สนใจสภาพตัวเอง นั่นเพราะใจจดจ่ออยู่แต่โรงพยาบาล ถึงขนาดเรียนไม่รู้เรื่อง อยากโดดเรียนแล้วไปเฝ้าแม่ แต่ถ้าแม่รู้แม่คงเสียใจที่ฉันทำแบบนั้น จึงได้แต่ทนเรียนกระทั่งหมดคาบสุดท้าย
“วันนี้เป็นอะไรหรือเปล่าเวียงพิงค์ หน้าตาซีดๆ ไม่สบายหรือเปล่า” “เราสบายดี แต่แม่เราไม่สบายนิดหน่อย เราเลยกังวล” “นั่นไง...ว่าแล้วเชียวว่าต้องมีสาเหตุ” ฉันเอาแต่เงียบ นั่นเพราะตอนนี้คิดแต่เรื่องของแม่ กระทั่งคนข้างๆ เอ่ยอีกประโยค ที่ทำให้ฉันซึ้งใจ “ถ้าต้องหยุดเพื่อดูแลแม่ก็หยุดนะ เดี๋ยวเราจดเลคเชอร์เผื่อเอง” “ขอบใจจ้ะหวาน ถ้ายังไงวันนี้เรากลับก่อนนะ” “อื้อ…ไว้เจอกันพรุ่งนี้ เอ้ย! ไม่ใช่สิ พรุ่งนี้วันหยุด ไว้เจอกันวันจันทร์” ฉันพยักหน้ารับ ก่อนจะโบกมือลาลลิตหรือน้ำหวาน เพื่อนคนแรกจากรั้วมหาวิทยาลัย ด้วยความที่เราเป็นคนเชียงรายเหมือนกัน เรียนคณะเดียวกัน ปีเดียวกัน จึงสนิทกันได้เร็วกว่าคนอื่นๆ พอเลิกเรียน ฉันก็ตรงดิ่งไปยังโรงพยาบาล วันนี้ฉันใจชื้นขึ้นมาก เมื่อรู้ว่าแม่ย้ายออกมาพักฟื้นที่ห้องพิเศษได้แล้ว นั่นทำให้ฉันมีความหวังว่าแม่จะหายวันหายคืนและกลับไปอยู่กับฉันได้ในเร็ววัน โดยไม่รู้เลยว่าแม่เป็นคนขอย้ายออกมา ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในสภาวะเสี่ยง เพราะแม่อยากอยู่ใกล้ฉันให้นานที่สุด คืนนั้นฉันนั่งกุมมือแม่ไว้ ฟังความฝัน ฟังเรื่องราวในอดีตที่แม่เล่าให้ฟังราวกับแม่ต้องการสั่งเสีย! แม่เล่าว่าก่อนที่แม่จะถูกจับคลุมถุงชนให้แต่งงานกับพ่อ แม่มีคนรักอยู่แล้ว ซึ่งฉันเดาว่าคนรักของแม่ที่แม่ไม่ยอมเอ่ยชื่อนั่นคืออาปัถย์ แม่กับคนรัก สัญญากันไว้ว่าโตขึ้นจะแต่งงานกัน แต่สุดท้ายแม่ก็ผิดสัญญา แม่ยังคงมีคนรักอยู่ในหัวใจ และพ่อก็รู้เรื่องนี้ พ่อรักแม่มากและพยายามเอาชนะใจด้วยความดี ความซื่อสัตย์ ทำทุกอย่างเพื่อแม่ แม้จะแต่งงานกันแต่ก็ไม่เคยมีอะไรกัน กระทั่งผ่านไปครึ่งปีแม่ถึงยอมใจอ่อนในความรักที่พ่อมีให้ “ความดีของพ่อมันค่อยๆ ซึมซับเข้าสู่หัวใจแม่” ประโยคนี้ทำให้ฉันยิ้มกว้าง เพราะแม่เองก็รักพ่อมาก แม่ไม่เคยทำผิดต่อพ่อเลยสักครั้ง ฉันใช้วันหยุดทั้งหมดไปกับการอยู่เฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล โดยมีอาปัถย์คอยมาส่งข้าว ส่งน้ำ หาอะไรมาฝากอยู่ทุกวัน และฉันก็มักจะได้ยินแม่ฝากฝังให้อาปัถย์คอยดูแลฉันเสมอๆ ด้วย ซึ่งฉันไม่อยากให้แม่ท้อที่จะอยู่บนโลกใบนี้เลย ฉันอยากให้แม่ผ่าตัดเอาก้อนเนื้อที่สมองออก แต่หมอกลับบอกว่ามันเสี่ยงเกินไป โอกาสที่จะผ่าตัดสำเร็จแล้วแม่ฉันรอดมันมีแค่ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นทำให้ใจฉันสลาย ต้องมองดูแม่เจ็บ โดยช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย อาการของแม่มีแต่ทรงกับทรุด จากหนึ่งวันก็เพิ่มมาเป็นสอง สาม สี่ ห้า และวันนี้ก็ครบหนึ่งอาทิตย์พอดีที่แม่ต้องมานอนอยู่โรงพยาบาล เช้ามืดของวันรุ่งขึ้น อยู่ๆ แม่ก็อาการทรุดลงอย่างน่าเป็นห่วง จนต้องรีบย้ายกลับไปห้องไอซียู แม่หัวใจหยุดเต้นไปสองครั้ง ก่อนที่หมอจะปั๊มกลับมา และหมอก็เดินออกมาบอกให้ฉันทำใจ พร้อมทั้งให้ฉันเข้าไปหาแม่เป็นครั้งสุดท้าย “แม่จ๋า” ฉันกุมมือแม่ไว้ด้วยมือที่สั่นเทา น้ำตาแม้มันจะไม่ไหลออกมาจากดวงตาของฉัน เพราะมันไหลย้อนกลับเข้าไปในหัวใจที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ฉันหวังพึ่งปาฏิหาริย์ แต่มันคงไม่มีจริงสำหรับฉัน “เวียงพิงค์ แม่อาจจะอยู่กับลูกไม่ได้แล้วนะ” “แม่…อย่าพูดแบบนี้สิ” ฉันสะอื้นไห้จนตัวโยน ความรู้สึกตอนนี้มันทรมานจนยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดได้ “แม่รู้ตัวเองดี ว่ามีเวลาเหลือเท่าไหร่” “แม่” “แม่ไม่อยู่แล้ว ลูกต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ นะ เชื่อฟังอาปัถย์มากๆ รู้ไหมลูก” “แม่ขา” ฉันไม่รับฟังอะไรทั้งนั้น เพราะสิ่งเดียวที่ฉันต้องการคือแม่ “แม่รักเวียงพิงค์มากนะลูก” “แม่…แม่จ๋า แม่กลับมาอยู่กับลูกก่อน...แม่” ฉันร้องไห้ออกมาอย่างหนัก สวมกอดร่างที่ไร้วิญญาณของแม่ไว้ด้วยหัวใจที่ปวดร้าวไปหมด เวลานี้แม่หมดลมหายใจไปต่อหน้าฉัน ฟ้าถล่มลงมาต่อหน้าอีกครั้ง ฉันเคยรู้สึกแบบนี้เมื่อสองปีก่อนตอนที่ต้องสูญเสียพ่อไปอย่างไม่มีวันกลับ ฉันน่าจะตั้งรับได้ดี แต่พอถึงเวลาเสียแม่ไปจริงๆ มันกลับทำให้ฉันทรมานหลายเท่า ฉันเดินเหมือนคนไร้วิญญาณออกมาจากห้องไอซียู ก่อนจะทรุดลงไปนั่งกับพื้น เวลานี้ร่างกายของฉันมันไร้เรี่ยวแรงจนลุกไม่ขึ้น ฉันก้มหน้ามองพื้นและร้องไห้เงียบๆ ถึงมันจะไม่มีเสียง แต่ระดับความเจ็บปวดนั้นมันสูงเกินจะรับไหว “เวียงพิงค์” ฉันได้ยินเสียงของอาปัถย์ แต่มองไม่เห็นว่าอยู่ตรงไหน เพราะเอาแต่ร้องไห้ กระทั่งถูกอาปัถย์คว้าตัวไปกอด ฉันปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย พร่ำบอกเสียงสั่นเครือว่าตอนนี้แม่จากฉันไปแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอาปัถย์จะฟังฉันรู้เรื่องไหม อ้อมกอดของอาปัถย์คือที่พึ่งของฉันในตอนนี้ผมมาช้าไปครับ นั่นทำให้ผมไม่มีโอกาสได้ร่ำลากับแก้ว ผมเข้าไปคุยกับร่างที่ไร้วิญญาณของเพื่อนแท้ เพื่อนที่มีแต่ความหวังดีให้กันและกันมาตลอดผมกุมมือที่ยังคงอุ่นของแก้วแล้วลูบมันเบาๆ ก่อนที่เธอจะจากไป เธอมักจะพูดให้ผมดูแลลูกสาวของเธอเสมอๆ นั่นเพราะเวียงพิงค์เหมือนตัวคนเดียว เธอเสียพ่อไปแล้วและวันนี้ยังต้องมาเสียแม่ไปอีก ส่วนญาติก็เหมือนจะตัดขาด ไม่แม้จะติดต่อหากัน“หลับให้สบายนะแก้ว เราสัญญาว่าจะดูแลเวียงพิงค์ให้เป็นอย่างดี” นี่คือคำสัญญาของผม หรือต่อให้แก้วไม่จากไป ผมก็พร้อมจะทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้ผมจัดการเรื่องงานศพของแก้วแทนเวียงพิงค์ ที่ตอนนี้ยังคงเห็นว่าเธอร้องไห้ด้วยความเสียใจ แม้บางครั้งจะพยายามเข้มแข็งเพื่อปิดซ่อนน้ำตาไว้ก็ตามทีเพื่อนๆ และอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยที่รู้ข่าวต่างมางานสวดอภิธรรมศพของแก้ว ผิดกับญาติแท้ๆ ซึ่งเวียงพิงค์ได้โทรศัพท์ไปบอก หวังให้ตายายและน้าชายมาเจอกับแม่ของเธอเป็นครั้งสุดท้าย แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำลายหัวใจของเวียงพิงค์อีก“แม่เอ็งเสีย เอ็งก็จัดการเองสิ
“หลานนอกไส้น่ะสิไม่ว่า ปัถย์บอกฝนเองว่าเด็กนั่นไม่ใช่ญาติแล้วจะแคร์ทำไม สามสี่เดือนมานี้ ฝนเป็นอะไร เป็นคู่หมั้นของปัถย์นะ เรากำลังจะแต่งงานกันแท้ๆ แต่ปัถย์แทบจะไม่มีเวลาให้ฝนเลย ไม่แม้แต่จะไปดูชุดแต่งงานด้วยกัน”“ฝน…เรื่องวันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจ พอดีผมมีประชุมด่วน อย่าเอาเรื่องนี้ไปโยงกับเวียงพิงค์” ฉันมองไปที่อาปัถย์ เวลานี้สีหน้าของอาปัถย์บ่งบอกว่ากำลังไม่พอใจ“ปกป้องยัยเด็กเหลือขอนั่นทำไม หรือปัถย์ชอบมัน นี่จะเป็นสมภารกินไก่วัดอย่างนั้นเหรอปัถย์” คำว่ายัยเด็กเหลือขอที่อาสายฝนเอ่ยว่าฉัน มันทำให้ฉันต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ ฉันรู้ทั้งรู้ว่าอาปัถย์ไม่ใช่ญาติ แต่ก็ชอบทำเป็นลืม นั่นทำให้ฉันรู้สึกผิดอยู่เหมือนกันแต่ประโยคที่อาสายฝนบอกว่าอาปัถย์ชอบเธอล่ะ มันคืออะไร หรือเธอจะหูฝาดได้ยินไปเอง“ฝนพูดแรงไปแล้วนะ”“หรือไม่จริง ถ้าปัถย์ไม่สนใจมัน จะเป็นอย่างนี้เหรอ”“ฝน…ผมบอกให้เลิกพูด”“หึ…มันแทงใจดำใช่ไหมล่ะ” แทนที่จะหยุดพูด แต่อาสายฝนกลับ
“สวัสดีอาปัถย์สิจ๊ะเวียงพิงค์” นี่คือการได้พบกันครั้งแรกระหว่างฉัน ที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงเด็กหญิงเวียงพิงค์ อายุแค่ห้าขวบ ที่ชอบผูกผมแกะสองข้างตลอดเวลา “สวัสดีค่ะเวียงพิงค์” น้ำเสียงอบอุ่นของชายตรงหน้าเอ่ยทักทายฉันพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ แต่ฉันกลับเอาแต่หลบอยู่หลังแม่ ไม่กล้าคุยด้วย “เอ้า! เขินอาปัถย์เสียแล้วสิ” “ไม่เป็นไร เรามันหน้าโหด เด็กๆ คงไม่ชอบ” ฉันได้ยินประโยคนี้ชัดเจน และเพราะอยากมองชายตรงหน้า ฉันจึงค่อยๆ ยื่นหน้ามาแอบมอง พอเห็นเขายิ้มให้ก็หลบอยู่หลังแม่อีก ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ รู้แต่ว่ามันเขินเขา จนเอาแต่ยืนหลบอยู่หลังแม่สลับแอบมองเป็นระยะๆ ก็เขาดูดี ดูหล่อกว่าใครๆ นี่นา ตอนนั้นฉันยังเด็กก็เลยไม่รู้ว่าเป็นอะไร ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น อาปัถย์มักจะกลับมาบ้านตอนปีใหม่เสมอๆ ทุกครั้งที่มาก็มักจะมีขนมอร่อยๆ มาฝากฉันถุงใหญ่ แต่เจอกันทีไรฉันก็เอาแต่หลบมุมแอบดูตลอดเวลา พอโตขึ้นหน่อยก็เลี่ยงที่จะไม่ยอมลงมาหา บอกว่าทำการบ้านบ้างล่ะ ทำนั่นนี่อยู่บ้างล่ะ และก็จะแอบมองผ่านหน้าต่าง ออกอาการหน้าแดง ทำตัวไม่ถูกอยู่คนเดียว วันเวลาผ่านไป ตั้งแต่วันแรกที่ได
“ทางมหาวิทยาลัยให้หนูลงไปรายงานตัวเดือนหน้า แม่ดีใจไหม”“ดีใจสิลูก แม่ดีใจมาก” แม่คว้าฉันไปกอด เราสองคนกอดกันตัวกลม ฉันนี่แทบจะอิ่มทิพย์ก็ว่าได้ มันตื้นตัน มันดีใจจนอธิบายไม่ถูก ความเหนื่อยล้าจากการอ่านหนังสือมาตลอด มาวันนี้มันหายไปจนหมดสิ้น และแล้วก็มาถึงวันเดินทาง เมื่อคืนฉันนอนแทบไม่หลับเลยก็ว่าได้ กระทั่งลงรถทัวร์ที่หมอชิต คนที่มารับกลับทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงมาก เกือบปีแล้วที่ไม่ได้เจอหน้าอาปัถย์ คิดถึงจนอยากกระโดดกอด แต่ก็คงได้แค่คิดในใจเท่านั้นอาปัถย์มารับฉันคงเพราะคุยกับแม่ สองคนนี้เห็นคุยกันตลอด เพราะบ่อยครั้งที่อาปัถย์มักจะโทรศัพท์ไปหาแม่ฉันและคุยกันอยู่นานสองนาน แม่สนิทกับอาปัถย์มาก น่าจะมากกว่าน้องชายแท้ๆ ของแม่ด้วยซ้ำ “อาดีใจด้วยนะเวียงพิงค์ เก่งนะตัวแค่นี้”“ค่ะ” ฉันตอบรับเพียงแค่สั้นๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร แต่ใจนั้นเต้นโครมคราม ดีใจที่เขารู้ว่าฉันสอบได้“มา…เราช่วยถือกระเป๋า” อาปัถย์เดินเข้าไปช่วยแม่ฉันถือกระเป๋า ส่วนของฉันคือเป้ที่ฉันสะพายติดตัวไว้ จากนั้นก็พาฉันกับแม่ไปที่รถแม้สรรพนามที่แม่กับอาปัถย์ใช้เรียกกันมันจะต่างไปจากญาติคนอื่นๆ แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจ นั่นเพราะแ
แม่ถูกจับคลุมถุงชนแต่งงานกับพ่อตอนที่แม่อายุแค่สิบห้าสิบหกปีเท่านั้นเอง สังคมต่างจังหวัดธรรมดาๆ แต่ติดวิถีเก่าแก่มาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะแต่งงานนั่นทำให้แม่ต้องหยุดเรียน เงินค่าสินสอดที่ได้มาก็เอาไว้เพื่อส่งน้องชายเรียนสูงๆ แทน แต่สุดท้ายน้องชายแม่ก็ไม่ได้เรียนอย่างที่ผู้ใหญ่ตั้งอกตั้งใจ พอแต่งงานกับพ่อได้หนึ่งปี แม่ก็ตั้งท้องฉัน สังคมต่างจังหวัดกลับมองว่าอายุเท่านี้เหมาะจะเป็นแม่คน ฉันรู้ว่าแม่ลำบากกับการต้องอุ้มท้องและเลี้ยงดูฉันมาตลอด ยิ่งหลังจากพ่อเสียแม่ก็ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว จากที่ขับรถไม่เป็นก็ต้องหัด จากที่ทำบัญชีไม่เป็น เก็บค่าเช่าไม่เป็น ก็ต้องทำเองทั้งหมด บ่อยครั้งที่แม่ชอบนั่งมองเวลานักเรียนเดินผ่านหน้าบ้าน และหมั่นพูดให้ฉันเรียนสูงๆ เรียนเผื่อแม่คนนี้ที่ไม่เคยมีโอกาสได้เรียน ซึ่งฉันก็สัญญาจะทำตามที่แม่บอกแต่วันหนึ่ง ระหว่างที่ฉันกำลังจะขึ้นเรียน เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น และคนที่โทรศัพท์เข้ามาเวลานี้คือคนที่ฉันหลงชอบมานานหลายปี“สวัสดีค่ะอาปัถย์”“เวียงพิงค์ ใจเย็นๆ แล้วตั้งใจฟังอา…” ประโยคที่ได้ยินหลังจากนั้น ทำให้ฉันถึงกับหยุดนิ่ง ใจแทบจะสลายลงไปทัน
ผมชื่อปัถย์ หรือที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ซึ่งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ เรียกผมตั้งแต่เธอยังเล็กๆ ว่าอาปัถย์มาโดยตลอด เพราะเธอเข้าใจว่าผมเป็นญาติ ปีนี้ผมอายุสามสิบกว่าและกำลังมีแผนแต่งงานกับคนรักที่คบหากันมานานถึงเจ็ดปีสิ้นปีนี้ ซึ่งนับเวลาดูก็เหลืออีกแค่เจ็ดแปดเดือนเท่านั้นเองวันนี้เกิดเรื่องมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของแก้ว เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กๆ ของผม เราสองคนโตมาด้วยกัน ก่อนจะแยกกันเมื่อเราเรียนจบมัธยมต้น ตอนนั้นผมย้ายเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ และแทบไม่ได้กลับเชียงราย แต่ผมกับแก้วก็ยังคงติดต่อหากันเสมอๆ วันที่เธอแต่งงาน คือวันที่ผมอกหัก นั่นเพราะผมกับเธอสัญญากันไว้ ว่าเมื่อไหร่ที่เราเรียนจบ มีงานทำ เราจะแต่งงานกัน แต่บ้านของแก้วกลับให้เธอแต่งงานกับคนที่หามาให้ คำว่าลูกกตัญญูทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ไปได้ ผมทำใจอยู่นานกับเรื่องนี้ กว่าจะกลับมาคุยกันในฐานะเพื่อนก็ผ่านมาหลายปี จำได้ว่าครั้งแรกที่เจอกันหลังจากแก้วแต่งงานคือวันที่เวียงพิงค์อายุครบห้าขวบ “หิวไหม”“หนูไม่หิวค่ะ” เธอสะอื้นตอบผม แต่ถึงเธอไม่หิว ผมก็จะบังคับให้เธอกิน ไม่อย่างนั้นจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาสู้“แต่อาหิว เราแวะหา