Share

บทที่ 3 ถูกจับคลุมถุงชน

แม่ถูกจับคลุมถุงชนแต่งงานกับพ่อตอนที่แม่อายุแค่สิบห้าสิบหกปีเท่านั้นเอง สังคมต่างจังหวัดธรรมดาๆ แต่ติดวิถีเก่าแก่มาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะแต่งงานนั่นทำให้แม่ต้องหยุดเรียน เงินค่าสินสอดที่ได้มาก็เอาไว้เพื่อส่งน้องชายเรียนสูงๆ แทน แต่สุดท้ายน้องชายแม่ก็ไม่ได้เรียนอย่างที่ผู้ใหญ่ตั้งอกตั้งใจ 

พอแต่งงานกับพ่อได้หนึ่งปี แม่ก็ตั้งท้องฉัน สังคมต่างจังหวัดกลับมองว่าอายุเท่านี้เหมาะจะเป็นแม่คน ฉันรู้ว่าแม่ลำบากกับการต้องอุ้มท้องและเลี้ยงดูฉันมาตลอด ยิ่งหลังจากพ่อเสียแม่ก็ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว จากที่ขับรถไม่เป็นก็ต้องหัด จากที่ทำบัญชีไม่เป็น เก็บค่าเช่าไม่เป็น ก็ต้องทำเองทั้งหมด 

บ่อยครั้งที่แม่ชอบนั่งมองเวลานักเรียนเดินผ่านหน้าบ้าน และหมั่นพูดให้ฉันเรียนสูงๆ เรียนเผื่อแม่คนนี้ที่ไม่เคยมีโอกาสได้เรียน ซึ่งฉันก็สัญญาจะทำตามที่แม่บอก

แต่วันหนึ่ง ระหว่างที่ฉันกำลังจะขึ้นเรียน เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น และคนที่โทรศัพท์เข้ามาเวลานี้คือคนที่ฉันหลงชอบมานานหลายปี

“สวัสดีค่ะอาปัถย์”

“เวียงพิงค์ ใจเย็นๆ แล้วตั้งใจฟังอา…” ประโยคที่ได้ยินหลังจากนั้น ทำให้ฉันถึงกับหยุดนิ่ง ใจแทบจะสลายลงไปทันที 

“เวียงพิงค์ได้ยินอาไหม”

“ดะ…ได้ยินค่ะ”

“รีบมา แม่รออยู่” 

“คะ…ค่ะ” ฉันตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นเครือ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปหน้ามหาวิทยาลัย โดยมีเสียงเพื่อนตะโกนตามหลังมา

“ไปไหนน่ะเวียงพิงค์ จะถึงเวลาเรียนแล้วนะ” ฉันไม่ทำแม้จะหันไปตอบ เพราะเอาแต่วิ่งไปข้างหน้า โดยน้ำตาเองก็กำลังเอ่อ ฉันไม่รีรอที่จะเรียกแท็กซี่แล้วให้คนขับรีบขับพาฉันไปส่งที่โรงพยาบาล

เมื่อมาถึง ฉันก็ลนลานรีบวิ่งตรงไปยังห้องไอซียู ซึ่งอาปัถย์ยืนรอฉันอยู่ที่นั่น ฉันสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ ปาดน้ำตาที่เอาแต่ร้องมาตลอดทางออกไปจากแก้มลวกๆ จากนั้นก็เปิดประตูเข้าไปข้างใน เมื่อทำความสะอาดร่างกาย รวมทั้งสวมหมวก สวมเสื้อคลุมเรียบร้อย ฉันก็ได้เจอแม่ 

“แม่จ๋า”

“เวียงพิงค์” น้ำเสียงแหบพร่าของแม่เอ่ยเรียกฉัน ตอนนี้ตามตัวแม่มีสายน้ำเกลือรวมทั้งสายอะไรไม่รู้ระโยงระยางเต็มไปหมด 

พอเห็นแบบนี้ จากที่พยายามกลั้นน้ำตาไว้ มันกลับพรั่งพรูออกมาไม่ยอมหยุด ฉันรู้แค่ว่าแม่ไม่สบาย แต่ไม่รู้ว่าอาการจะหนักถึงขนาดนี้

“แม่เป็นยังไงบ้างจ๊ะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“เปล่าจ้ะลูก แม่แค่ไม่สบายนิดหน่อยเท่านั้นเอง” แม่ยังคงเป็นแม่ที่เข้มแข็งสำหรับฉันเสมอ ขนาดไม่สบายหนักยังบอกว่าไม่เป็นไร

“งั้นวันสองวันแม่ก็คงหายดีแล้วเนอะ” 

“จ้ะ” แม่เอ่ยรับ สีหน้าดูอิดโรยอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งๆ ที่เมื่อเช้าแม่ยังไม่เป็นอะไรเลย ฉันกุมมือแม่ไว้แน่น พยายามเข้มแข็งให้ได้สักครึ่งของแม่ 

แม่เหมือนอยากจะคุย อยากจะพูดกับฉัน แต่ร่างกายของแม่มันกลับบอกว่าไม่ไหว เราสองคนแม่ลูกจึงทำได้เพียงกุมมือกันและกันไว้ กระทั่งหมดเวลาเยี่ยม พยาบาลจึงให้ฉันกลับออกมาจากห้องไอซียู 

“อาปัถย์ แม่เป็นอะไรคะ”

“มะเร็งปากมดลูกระยะที่สอง แต่นั่นก็ไม่น่าห่วงเท่าการที่หมอตรวจพบก้อนเนื้อที่แกนสมองด้วย ซึ่งไอ้เจ้าก้อนเนื้อนี้มันร้ายแรงถึงขนาดอาจทำให้แม่ของเวียงพิงค์เสียชีวิตได้ทุกเมื่อ” 

“ว่าไงนะคะ” ฉันถึงกับทรุดลงไปนั่งกับเก้าอี้อย่างคนหมดเรี่ยวแรง แม่ป่วยหนักขนาดนี้เชียวเหรอ ส่วนฉันที่เป็นลูกแท้ๆ กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด 

“อาจะพยายามให้หมอรักษาแม่ให้ดีที่สุด อาสัญญา” คำสัญญาที่ได้ยินจากอาปัถย์ ทำให้ใจฉันชื้นขึ้นมาได้บ้าง แต่อาการป่วยของแม่ที่หมอบอกให้เตรียมใจ มันก็ทำให้ใจฉันห่อเหี่ยว โลกทั้งโลกมืดมนไปหมด 

ฉันอยากอยู่เฝ้าแม่ แต่ห้องไอซียูห้ามเฝ้า ฉันจึงต้องกลับไปพร้อมอาปัถย์

 

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status