ตอนที่
[1] ชีวิตที่เลือกไม่ได้ ท่ามกลางสายลมหนาวที่เริ่มคืบคลานเข้ามา ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนแต่ไม่อยากพานพบกับความเหน็บหนาวที่แสนทรมานเช่นนี้ หากแต่บนพื้นที่แสนสกปรกและเต็มไปด้วยเศษใบไม้ร่วงที่ถูกพัดพาเข้ามาจนเต็มพื้นเรือน ยังมีร่างของสตรีนางหนึ่งที่อยู่ในสภาพราวกับเศษผ้าที่ใช้งานจนหมดสภาพแล้วนอนนิ่งอยู่ ร่างนั้นนอนคุดคู้งอตัวเข้าหากันไร้ผ้าห่มหนาคลุมกาย หนำซ้ำบนเนื้อตัวยังเต็มไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรัง ใบหน้านั้นไม่สามารถมองออกได้ว่าก่อนหน้านี้มีหน้าตาเป็นเช่นไร สายตาที่พร่ามัวมองไปยังจุดจุดหนึ่งด้วยความเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง เขาไม่หันกลับมามองนางแม้เพียงนิด หากแต่เร่งรีบจับจูงมือของสตรีที่อยู่ด้านข้างออกจากเรือนไป ฉีจื่อหราน นึกสมเพชในโชคชะตาตนเอง นางมาอยู่ในจุดนี้ได้อย่างไร หากจะผิดก็คงผิดตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ที่นางเกิดมาเป็นบุตรสาวตระกูลฉี เป็นบุตรสาวที่ไร้ค่าที่ไม่มีผู้ใดสนใจ ทั้งยังผลักไสราวกับเชื้อโรคที่ต้องหลีกหนีให้ไกลที่สุด หึ สุดท้ายชีวิตของนางก็ต้องจบลงเช่นนี้ เกิดมาเป็นคนไร้ค่า ก็ต้องตายอย่างคนไร้ค่าเช่นนั้นหรือ หนำซ้ำ….คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เช่นลูกในท้องของนางก็ต้องมารับกรรมตายตกทั้งที่ยังไม่มีโอกาสได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกด้วยซ้ำ นี่มันชีวิตบัดซบแบบใดกัน แม่ต้องขอโทษเจ้าด้วย ที่ไม่อาจให้เจ้าเกิดมาใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็นได้ คิดแล้วมืออันขาวซีดที่แทบจะแข็งชาเพราะความหนาวก็ลูบไปที่หน้าท้องอันแบนเรียบของตนเองที่เคยมีชีวิตน้อย ๆ อยู่ในนั้นด้วยความสั่นเทา ที่บอกว่าเคยมี นั่นก็เพราะว่าก่อนหน้านั้นเพียงแค่เค่อเดียว ท้องน้อย ๆ ของนางถูกผู้ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นสามีลงไม้ลงมือทุบตีอย่างหนักเพราะนางไม่ยินยอมที่จะให้เขานำเงินเก็บของนางจากไปพร้อมกับสตรีอื่น แต่สุดท้ายนอกจากเงินเก็บจะไม่สามารถรักษาไว้ด้วย ชีวิตของลูกน้อยอายุสองเดือนก็ไม่สามารถรักษาไว้เช่นกัน และสุดท้ายแม้แต่ชีวิตของนางเองก็คงต้องสังเวยให้กับการตัดสินอันโง่เขลาและโชคชะตาอันบัดซบของตนเอง น่าเสียดายที่เกิดมาชาตินี้นางได้พบเจอกับโลกภายนอกน้อยเหลือเกิน จึงทำให้ชีวิตของนางราวกับถูกปิดกั้น ถูกปิดตาและไร้ทางเลือกมาโดยตลอด น่าเสียดาย…. หากได้มีโอกาสอีกครั้ง…..ก็คงจะดี คิดแล้วดวงตาอันพร่าเลือนก็ค่อย ๆ เริ่มปิดลงพร้อมกับลมหายใจที่เริ่มขาดห้วงขึ้นเรื่อย ๆ ‘อย่าเสียใจไปเลยนี่คือโชคชะตาของเจ้า จบชีวิตครานี้ก็เพื่อไปพานพบชีวิตใหม่ที่เจ้าสามารถเลือกทางเดินของตนเองได้อีกครั้ง’ เสียงอันอบอุ่นดังขึ้นในโสตประสาทของฉีจื่อหราน ดวงตาของนางไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเขาคือผู้ใด อีกทั้งก่อนที่นางจะจากไปเขายังพูดขึ้นอีกว่า ‘นอกจากนี้ข้ายังจะพาเจ้าไปพานพบอีกโลกหนึ่งที่จะทำให้เจ้าได้พบกับประสบการณ์ดี ๆ ที่ไม่สามารถไปหาจากที่ใดได้อีก’ เฮือก!! ร่างของหญิงสาวโฉมสะคราญกระเด้งกายขึ้นมาจากเตียงที่นอนอยู่กะทันหันจนทำให้สาวใช้คนสนิทได้แต่ตกใจต่อปฏิกิริยาเช่นนี้ของผู้เป็นนาย อ้ายมี่ถึงจะตกใจแต่ก็รู้สึกยินดี เพราะคุณหนูของตนจู่ ๆ ก็นอนซมไปนานกว่าสามวันไม่มีวี่แววจะฟื้นขึ้นมาแต่อย่างใด เมื่อไปแจ้งคนเรือนใหญ่ก็ราวกับว่าคำพูดของนางได้เลือนหายไปตามสายลม พวกเขาไม่ได้สนใจอันใดบอกเพียงว่าให้นอนพักผ่อนให้มาก ๆ ก็เท่านั้น จะได้อย่างไรกัน คุณหนูของนางเป็นหนักถึงเพียงนี้ แม้จะยังมีลมหายใจอยู่ แต่ก็ช่างรวยรินเสียเหลือเกิน ระหว่างที่อ้ายมี่กำลังรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น ฉีจื่อหรานกำลังยกมือทั้งสองข้างของตนขึ้นมาสำรวจดูก่อนจะหยิบคันฉ่องที่อยู่ไม่ไกลมาพิศมองรูปลักษณ์ในยามนี้ของตนเองอย่างละเอียด เมื่อเห็นว่านางได้กลับมายังเวลาที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินไปแววตาที่เคยสว่างใสก็ปรากฏความบ้าคลั่งขึ้นมาสายหนึ่ง นอกจากนั้นยังหัวเราะขึ้นมาเสียงดังจนลั่นเรือน “ฮ่า ๆ แม้แต่นรกและสวรรค์ยังเข้าข้างข้า” ใบหน้าที่แต่เดิมมักจะเต็มไปด้วยการซ่อนอารมณ์ที่แท้จริงของตน ยามนี้กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพร้อมพ่นถ้อยคำที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจได้ออกมานอกจากเจ้าตัว ยามนี้อ้ายมี่ยิ่งเป็นห่วงนายของตนมากขึ้น คุณหนูหลับไปนานหลายวันตื่นมาก็เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางหวาดกลัวได้เช่นไร ฉีจื่อหรานหลังจากที่ได้ระบายอารมณ์ที่คั่งค้างในใจและยินดีกับการกลับมาของตนเองเสร็จก็เริ่มเห็นปฏิกิริยาของสาวใช้คนสนิทว่ากำลังตกใจเพียงใด นางจึงค่อย ๆ คลี่ยิ้ม “อ้ายมี่ ขอข้ากอดที” “…..” แต่นอกจากสาวใช้ตัวน้อยจะไม่ขยับเข้ามาหา ยังขยับกายออกไปอย่างไม่รู้ตัวอีกด้วย ฉีจื่อหรานส่ายหน้าก่อนจะทำการดึงแขนของอีกฝ่ายเข้ามาหาตัว หมับ! “คุณหนู!” “อ้ายมี่ ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้กลับมา” อ้ายมี่ตัวแข็งทื่อไม่เข้าใจว่าคุณหนูกล่าวถึงเรื่องใด กลับมาหรือ กลับมาจากที่ใดในเมื่อคุณหนูแทบจะไม่ได้ออกจากจวนเลยด้วยซ้ำ และเมื่อสามวันที่แล้วจู่ ๆ ก็ล้มป่วยลงและไม่ฟื้นมาเลยนับจากนั้น ฉีจื่อหรานรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใด จึงได้ผละกายออกมา “ข้าหลับไปกี่วันหรือ” แม้จะไม่เข้าใจแต่ปากเล็ก ๆ ก็ยังตอบผู้เป็นนาย “สามวันเจ้าค่ะ คุณหนูหลับไปสามวัน” “เช่นนั้นอ้ายมี่ ข้าจะเล่าเรื่องที่น่าเหลือเชื่อระหว่างที่ข้าหลับไปสามวันให้เจ้าฟังดีหรือไม่ ว่าข้าไปพบเจอสิ่งใดมา” กล่าวว่าสามวันแต่แท้จริงแล้วนางไปอยู่ที่แห่งนั้น ที่ที่เป็นเหมือนโลกอนาคตที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อนานนับสิบปี ซึ่งที่นั่นทำให้นางได้สะสมความรู้และความสามารถมากมาย ก่อนที่จะได้รับโอกาสให้กลับมาที่นี่ จวนตระกูลฉีที่เต็มไปด้วยความจอมปลอมแห่งนี้ ทั้งยังกลับมาในช่วงก่อนที่ชีวิตของนางจะถูกผลักดันให้ไปอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุด และจบลงด้วยความตายที่แสนอนาถ! นอกจากเล่าเรื่องราวโลกอนาคตที่นางไปประสบพบเจอมา นางยังจะเล่าเรื่องราวก่อนที่นางจะถูกส่งไปยังที่นั่นด้วย การถ่ายทอดเรื่องราวที่นางไปพบเจอให้กับอ้ายมี่ฟัง นางไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะเชื่อหรือไม่ เพียงแต่แค่อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าที่นางทำตัวแปลกไป นั่นเพราะนางไม่ใช่ฉีจื่อหรานคนเดิมอีกต่อไปแล้ว หลังฟังจบดวงตาของสาวใช้คนสนิทของฉี่จื่อหรานก็เบิกโพลง อ้าปากค้างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าอ้ายมี่นั้นเชื่อนายของตนจนหมดใจ ตั้งแต่ที่เป็นนายบ่าวกันมานางอยู่กับคุณหนูมาตั้งแต่ที่นางอายุห้าหนาว คุณหนูก็อายุเพียงเจ็ดหนาว ไม่เคยมีสักครั้งที่คุณหนูจะมีท่าทางเช่นนี้ ความเด็ดเดี่ยว ความแข็งแกร่ง ดวงหน้าที่ไม่หวาดกลัวผู้ใดหากมิใช่คนที่ผ่านพ้นประสบการณ์ที่คาดไม่ถึงมา คงไม่สามารถที่จะแสดงออกเช่นนี้ได้ “คุณหนู ต่อจากนี้ไม่ว่าจะต้องพานพบกับสิ่งใด บ่าวก็จะอยู่เคียงข้างกับคุณหนูให้นานที่สุดเจ้าค่ะ” “เจ้าเชื่อในสิ่งที่ข้าเล่าหรือ” ฉีจื่อหรานเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ “เชื่อเจ้าค่ะ บ่าวเชื่อคุณหนู” ในชาติที่แล้ว คุณหนูเล่าว่านางถูกโบยจนตาย เพราะถูกใส่ความว่าละเลยต่อการดูแลคุณหนูของตน ทั้งที่ความจริงแล้ว นางถูกคนชั่วนามว่าโก่วอี๋จับลากเข้าไปในเรือนเก็บฟืน ก่อนจะลงมือย่ำยีนางแล้วขังเอาไว้ ขณะเดียวกันนายของมันก็ไปลงมือกับคุณหนูของนางเช่นกัน และเรื่องราวเหล่านี้ล้วนมีเบื้องลึกเบื้องหลัง ชาตินี้นางจะร่วมหัวจมท้ายกับคุณหนูเพื่อแก้แค้นทุกคนที่เกี่ยวข้องและจะไม่ให้คุณหนูของนางได้รับความอัปยศอดสูอีก “เช่นนั้นวันนี้เจ้าช่วยข้าแต่งกาย เย็นนี้ข้าจะไปกินอาหารกับครอบครัวที่รักของข้าเสียหน่อย” กล่าวแล้วรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลศนัยก็ปรากฏขึ้น หากแต่ดวงตานั้นลึกล้ำจนแม้แต่อ้ายมี่ยังไม่กล้ามองนาน ยิ่งฝีเท้าของนางเข้าใกล้เรือนใหญ่มากเท่าใด ก็ยิ่งได้ยินเสียงพูดคุยอย่างครึกครื้นของพวกเขาดังขึ้นมาเท่านั้น นางไม่เคยได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความครื้นเครงกลมเกลียวเช่นนี้สักครั้ง ทั้งที่นางก็เป็นลูก เป็นหนึ่งในพี่น้องของพวกเขาเช่นกัน! รอยยิ้มเหยียดหยันปรากฏขึ้นพร้อมสายตาที่ดูแคลน “ไหน ๆ ก็มากันครบแล้ว เรามาเริ่มกินข้าวกันเถิด” สิ้นคำของผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวกล่าว สมาชิกทุกคนก็หันไปหยิบจับตะเกียบของตนขึ้นมา หากแต่ยังไม่ทันได้ลงมือกินอาหารเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาเสียก่อน “จะครบได้อย่างไรเจ้าคะ ยังขาดข้าอีกคน” “…..”ตอนที่[2]ตระกูลฉี สมาชิกทุกคนต่างคาดไม่ถึงว่าผู้ที่มาใหม่นี้จะเป็นคนที่พวกเขาแทบจะลืมไปแล้วว่าในจวนตระกูลฉีมีคนผู้นี้อยู่ จะว่าลืมก็มิใช่แต่พวกเขาไม่ได้สนใจมากกว่า “เหตุใดเพียงแค่พบข้าจะต้องตกใจกันถึงเพียงนั้นเจ้าคะ” และดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะกลายเป็นคนที่ไม่คุ้นเคยเสียแล้ว ทุกคนต่างคิดเช่นเดียวกัน ฉีจื่อหรานยกยิ้มขึ้นพลางมองไปที่สมาชิกของตระกูลฉีแต่ละคนที่กำลังแสดงสีหน้าไม่ต่างกัน ยามนี้บนโต๊ะอาหารมีคนที่ร่วมโต๊ะอยู่ทั้งหมดหกคนประกอบด้วย ฉีหวัง บิดาผู้เป็นขุนนางกรมราชวงศ์ เสิ่นเจียงหรือฉีฮูหยินผู้เป็นมารดา ถัดมาจากมารดานั้นคือฉีเยว่อิน พี่รองของนาง ถัดมานั้นคือพี่สาม ฉีเยว่ชิง ตรงข้ามกันกับพี่สามนั้นคือพี่สี่นามฉีเยว่ซิน ถัดจากพี่สี่คือพี่ห้า ฉีเยว่เผิง เดิมทีบนโต๊ะควรจะมีพี่ใหญ่นามฉีเยว่สืออยู่ด้วย หากแต่นางออกเรือนไปแล้วเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้จึงเหลือสมาชิกทั้งหมดหกคน จะเห็นได้ว่าชื่อพวกนางล้วนแต่คล้ายกันทั้งหมด มีก็เพียงแต่นาง ที่ไม่เหมือนผู้ใด มีใช่เพราะว่าพิเศษ แต่เป็นเพราะไม่ใส่ใจ ไม่สิ อาจจะเพราะเกลียดชังด้วยกระมังจึงไม่อยากให้นางเหมือนผู้ใดในครอบครัวนี้ “น้องหกเหตุใดจึง
ตอนที่[2]ตระกูลฉี ในค่ำคืนนั้นพี่น้องตระกูลฉีต่างพูดคุยกันว่าเหตุใดฉีจื่อหรานจึงทำเช่นนี้ เหตุใดคนที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่นมาเกือบสิบปี กินข้าวก็กินที่เรือนตนเองจึงได้ลุกมาร่วมกินข้าวที่เรือนใหญ่เช่นนี้ แต่คิดไปแล้วก็ไร้คำตอบ ได้แต่รอดูท่าทีของอีกฝ่ายอีกสักนิด สุดท้ายจึงได้แยกย้ายกันไปเช่นนั้น แต่แล้วพวกเขาก็ต้องตกใจ เมื่อในยามเช้าก็พบว่าฉีจื่อหรานกำลังนั่งรอที่โต๊ะอาหารพร้อมกับรอยยิ้มสดใส เมื่อผู้เป็นบิดาและมารดาเห็นเช่นนั้น จึงได้ชะงักก่อนจะพากันเดินสะบัดหน้าหนีไปเฉกเช่นเมื่อวาน หากแต่ฉีจื่อหรานกลับคล้ายไม่กระทบกระเทือนอันใด นางยังคงกินอาหารที่เรือนใหญ่ด้วยความเอร็ดอร่อย อีกทั้งตลอดมื้ออาหารทั้งสามมื้อนางก็มากินที่เรือนใหญ่ทั้งสามมื้อไม่ขาดแม้แต่มื้อเดียว จนในเช้าวันต่อมาบนโต๊ะอาหารที่เรือนใหญ่กลับไม่มีผู้ใดมาเลยแม้แต่คนเดียว กระทั่งอาหารก็ไม่มีเช่นกัน เห็นทีคงจะสุดทนกับนางแล้วกระมังแม้แต่กินอาหารร่วมกันก็ไม่อาจทำได้ แต่นางก็ยังคงเป็นนายผู้หนึ่งของจวนนี้มิใช่หรือ เหตุใดถึงผู้อื่นไม่มาแล้วอาหารในส่วนของนางก็ไม่มาเช่นกัน แม้นางจะรู้คำตอบ แต่ก็อยากจะสร้างความปั่นป่วนให้กับจวนน
ตอนที่[3]บ้าไปเสียแล้ว ฉีจื่อหรานลากศีรษะของหัวหน้าแม่ครัวไปจุ่มกับถาดน้ำมันที่เหมือนจะจัดเตรียมไว้ทอดบางอย่างจนเปียกชุ่ม ผมของสุ่นเย้ายามนี้จึงมีแต่ความมันเยิ้มรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนดูเหนอะหนะยิ่ง ผู้อื่นที่เห็นเหตุการณ์เห็นดังนั้นจึงไม่อาจที่จะปล่อยให้ฉีจื่อหรานกระทำการได้ตามใจ จึงได้พากันกรูเข้าไปหาหญิงสาวคิดหวังจะช่วยเหลือหัวหน้าแม่ครัว อ้ายมี่พยายามจะใช้เรี่ยวแรงของตนเองขัดขวางไว้แต่คนเดียวหรือจะสู้กำลังหลายคนที่มีทั้งหญิงและชาย เมื่อผลักอ้ายมี่ไปยังทิศทางหนึ่งสำเร็จ พวกเขาก็รีบเข้าไปหาฉีจื่อหราน หากแต่ยังช้าไป หญิงสาวกำผมของสุ่นเย้าไว้แน่นก่อนจะลากไปที่หม้อตุ๋นขนาดใหญ่ที่สุมถ่านไม้มีไฟลุกโชติช่วงอยู่ข้างใต้ ในนั้นมีไก่ตุ๋นอยู่หลายตัว ใบหน้าของสุ่นเย้าห่างจากน้ำที่กำลังเดือดพล่านเพียงแค่ไม่กี่ชุ่น เหล่าผู้คนที่คิดจะเข้ามาช่วยเหลือสุ่นเย้าจึงได้ชะงักฝีเท้าของตนลงแล้วสูดหายใจเข้าด้วยความลุ้นระทึก “นั่น…. คุณหนูหกกำลังคิดจะฆ่าหัวหน้าแม่ครัวหรือ!!” คนผู้หนึ่งเห็นท่าไม่ดีจึงได้รีบปลีกตัวออกไปรายงานเจ้านายที่เรือนใหญ่ “ทำไมไม่เข้ามากันแล้วเล่า” เมื่อครู่ฉีจื่อหรานเห็นคนที่ปลีกต
ตอนที่[3]บ้าไปเสียแล้ว ไม่นานหลังจากนั้นฉีจื่อหรานก็ถูกบ่าวจากเรือนใหญ่ถูกตามตัวให้ไปพบ สองขาเดินอย่างไม่รีบร้อน พลางชมธรรมชาติไปเรื่อยเปื่อย บ่าวผู้นั้นถึงกับไม่พอใจที่หญิงสาวทำท่าทางราวกับไม่ทุกข์ร้อนเช่นนี้ พลางดูถูกในการแต่งกายของฉีจื่อหราน งดงามเสียเปล่าหากแต่แต่งตัวซอมซ่อยิ่งกว่าบ่าวในจวนเช่นตนเสียอีก ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเรือนใหญ่ที่เป็นห้องโถงหลักจนได้ ฉีจื่อหรานใช้สายตากวาดมองทุกคนที่อยู่ในห้องนั้น แหมอยู่กันครบเลยนะ ทีเมื่อเช้าล่ะหายกันไปหมด “ฉีจื่อหรานเจ้าได้ทำความผิดอันใดไว้หรือไม่!” เสียงของบิดาที่ไม่ได้เอ่ยเรียกนางมาเนิ่นนานดังขึ้น ทั้งยังเรียกแบบเต็มยศเสียด้วย ดูท่าจะไม่พอใจ “หืม มีอันใดหรือเจ้าคะ” กล่าวแล้วปั้นสีหน้าไร้เดียงสาก่อนจะหันไปมองเหล่าคนครัวด้วยความตกใจ เหล่าคนครัวยามนี้ล้วนแต่มีใบหน้าปูดบวม นางเกือบจะขำออกมา หากแต่ต้องรักษากิริยาเอาไว้ “นี่เกิดอะไรขึ้นเหตุใดใบหน้าพวกเจ้าจึงเป็นเช่นนั้น” “เจ้าอย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง หากไม่มีผู้ใดทำ พวกเขาจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร” ครานี้ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ชอบใจ “ข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ เจ้าค่ะ
ตอนที่[4]ฉีจื่อหราน “คุณหนูทำเช่นนี้จะเป็นการดีหรือเจ้าคะ” อ้ายมี่เอ่ยถามขึ้นเมื่อกลับมาถึงเรือน นางไม่ได้เอ่ยถามสักครั้งว่าแผนการของคุณหนูมีแผนอย่างไรบ้าง แต่เพราะหากคุณหนูยังทำเช่นนี้ต่อไป เห็นทีต่อไปจะอยู่จวนตระกูลฉีได้อย่างลำบาก เอ๊ะหรือว่า…. ฉีจื่อหรานเห็นสาวใช้คนสนิทคล้ายจะตกผลึกบางอย่างได้จึงได้แย้มยิ้มออกมา “ข้ามิคิดจะอยู่ที่นี่ จึงได้หาทางที่จะออกจากที่นี่ตามแบบฉบับของข้า” “เป็นเช่นนี้เอง” อ้ายมี่พยักหน้า “แล้วพวกเราจะไปจากที่นี่อย่างไรหรือเมื่อใดเจ้าคะ” ทันใดนั้นดวงตาของผู้เป็นนายก็เข้มขึ้น “เร็ว ๆ นี้ ส่วนวิธีการเจ้าก็ค่อยรอดู” พอเสียทีกับชีวิตของสตรีนามว่าฉีจื่อหราน สตรีอาภัพที่ไม่มีผู้ใดต้องการ เดิมทีการเป็นบุตรสาวคนเล็กควรจะเป็นคนที่ได้รับความสนใจมากที่สุด เพราะบุตรคนเล็กจะอายุน้อยและมักจะดูน่าเอ็นดูกว่าใครเสมอ ทั้งในสายตาบิดามารดาและผู้อื่นที่ได้พบเห็น หากแต่กับนางนั้นมิใช่ นางเป็นคนที่บิดามารดาเกลียดชังและผลักไสให้มีชีวิตอย่างโดดเดี่ยว หากจะย้อนไปยังจุดเริ่มต้น บิดากับมารดาของนางแต่งงานกันด้วยความรักที่มีให้กัน ณ ขณะนั้น และผู้ใหญ่ต่างก็เห็นว่าทั้งคู่มีฐ
ตอนที่[4]ฉีจื่อหราน “คุณหนูทำเช่นนี้จะเป็นการดีหรือเจ้าคะ” อ้ายมี่เอ่ยถามขึ้นเมื่อกลับมาถึงเรือน นางไม่ได้เอ่ยถามสักครั้งว่าแผนการของคุณหนูมีแผนอย่างไรบ้าง แต่เพราะหากคุณหนูยังทำเช่นนี้ต่อไป เห็นทีต่อไปจะอยู่จวนตระกูลฉีได้อย่างลำบาก เอ๊ะหรือว่า…. ฉีจื่อหรานเห็นสาวใช้คนสนิทคล้ายจะตกผลึกบางอย่างได้จึงได้แย้มยิ้มออกมา “ข้ามิคิดจะอยู่ที่นี่ จึงได้หาทางที่จะออกจากที่นี่ตามแบบฉบับของข้า” “เป็นเช่นนี้เอง” อ้ายมี่พยักหน้า “แล้วพวกเราจะไปจากที่นี่อย่างไรหรือเมื่อใดเจ้าคะ” ทันใดนั้นดวงตาของผู้เป็นนายก็เข้มขึ้น “เร็ว ๆ นี้ ส่วนวิธีการเจ้าก็ค่อยรอดู” พอเสียทีกับชีวิตของสตรีนามว่าฉีจื่อหราน สตรีอาภัพที่ไม่มีผู้ใดต้องการ เดิมทีการเป็นบุตรสาวคนเล็กควรจะเป็นคนที่ได้รับความสนใจมากที่สุด เพราะบุตรคนเล็กจะอายุน้อยและมักจะดูน่าเอ็นดูกว่าใครเสมอ ทั้งในสายตาบิดามารดาและผู้อื่นที่ได้พบเห็น หากแต่กับนางนั้นมิใช่ นางเป็นคนที่บิดามารดาเกลียดชังและผลักไสให้มีชีวิตอย่างโดดเดี่ยว หากจะย้อนไปยังจุดเริ่มต้น บิดากับมารดาของนางแต่งงานกันด้วยความรักที่มีให้กัน ณ ขณะนั้น และผู้ใหญ่ต่างก็เห็นว่าทั้งคู่มีฐ
ตอนที่[3]บ้าไปเสียแล้ว ไม่นานหลังจากนั้นฉีจื่อหรานก็ถูกบ่าวจากเรือนใหญ่ถูกตามตัวให้ไปพบ สองขาเดินอย่างไม่รีบร้อน พลางชมธรรมชาติไปเรื่อยเปื่อย บ่าวผู้นั้นถึงกับไม่พอใจที่หญิงสาวทำท่าทางราวกับไม่ทุกข์ร้อนเช่นนี้ พลางดูถูกในการแต่งกายของฉีจื่อหราน งดงามเสียเปล่าหากแต่แต่งตัวซอมซ่อยิ่งกว่าบ่าวในจวนเช่นตนเสียอีก ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเรือนใหญ่ที่เป็นห้องโถงหลักจนได้ ฉีจื่อหรานใช้สายตากวาดมองทุกคนที่อยู่ในห้องนั้น แหมอยู่กันครบเลยนะ ทีเมื่อเช้าล่ะหายกันไปหมด “ฉีจื่อหรานเจ้าได้ทำความผิดอันใดไว้หรือไม่!” เสียงของบิดาที่ไม่ได้เอ่ยเรียกนางมาเนิ่นนานดังขึ้น ทั้งยังเรียกแบบเต็มยศเสียด้วย ดูท่าจะไม่พอใจ “หืม มีอันใดหรือเจ้าคะ” กล่าวแล้วปั้นสีหน้าไร้เดียงสาก่อนจะหันไปมองเหล่าคนครัวด้วยความตกใจ เหล่าคนครัวยามนี้ล้วนแต่มีใบหน้าปูดบวม นางเกือบจะขำออกมา หากแต่ต้องรักษากิริยาเอาไว้ “นี่เกิดอะไรขึ้นเหตุใดใบหน้าพวกเจ้าจึงเป็นเช่นนั้น” “เจ้าอย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง หากไม่มีผู้ใดทำ พวกเขาจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร” ครานี้ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ชอบใจ “ข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ เจ้าค่ะ
ตอนที่[3]บ้าไปเสียแล้ว ฉีจื่อหรานลากศีรษะของหัวหน้าแม่ครัวไปจุ่มกับถาดน้ำมันที่เหมือนจะจัดเตรียมไว้ทอดบางอย่างจนเปียกชุ่ม ผมของสุ่นเย้ายามนี้จึงมีแต่ความมันเยิ้มรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนดูเหนอะหนะยิ่ง ผู้อื่นที่เห็นเหตุการณ์เห็นดังนั้นจึงไม่อาจที่จะปล่อยให้ฉีจื่อหรานกระทำการได้ตามใจ จึงได้พากันกรูเข้าไปหาหญิงสาวคิดหวังจะช่วยเหลือหัวหน้าแม่ครัว อ้ายมี่พยายามจะใช้เรี่ยวแรงของตนเองขัดขวางไว้แต่คนเดียวหรือจะสู้กำลังหลายคนที่มีทั้งหญิงและชาย เมื่อผลักอ้ายมี่ไปยังทิศทางหนึ่งสำเร็จ พวกเขาก็รีบเข้าไปหาฉีจื่อหราน หากแต่ยังช้าไป หญิงสาวกำผมของสุ่นเย้าไว้แน่นก่อนจะลากไปที่หม้อตุ๋นขนาดใหญ่ที่สุมถ่านไม้มีไฟลุกโชติช่วงอยู่ข้างใต้ ในนั้นมีไก่ตุ๋นอยู่หลายตัว ใบหน้าของสุ่นเย้าห่างจากน้ำที่กำลังเดือดพล่านเพียงแค่ไม่กี่ชุ่น เหล่าผู้คนที่คิดจะเข้ามาช่วยเหลือสุ่นเย้าจึงได้ชะงักฝีเท้าของตนลงแล้วสูดหายใจเข้าด้วยความลุ้นระทึก “นั่น…. คุณหนูหกกำลังคิดจะฆ่าหัวหน้าแม่ครัวหรือ!!” คนผู้หนึ่งเห็นท่าไม่ดีจึงได้รีบปลีกตัวออกไปรายงานเจ้านายที่เรือนใหญ่ “ทำไมไม่เข้ามากันแล้วเล่า” เมื่อครู่ฉีจื่อหรานเห็นคนที่ปลีกต
ตอนที่[2]ตระกูลฉี ในค่ำคืนนั้นพี่น้องตระกูลฉีต่างพูดคุยกันว่าเหตุใดฉีจื่อหรานจึงทำเช่นนี้ เหตุใดคนที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่นมาเกือบสิบปี กินข้าวก็กินที่เรือนตนเองจึงได้ลุกมาร่วมกินข้าวที่เรือนใหญ่เช่นนี้ แต่คิดไปแล้วก็ไร้คำตอบ ได้แต่รอดูท่าทีของอีกฝ่ายอีกสักนิด สุดท้ายจึงได้แยกย้ายกันไปเช่นนั้น แต่แล้วพวกเขาก็ต้องตกใจ เมื่อในยามเช้าก็พบว่าฉีจื่อหรานกำลังนั่งรอที่โต๊ะอาหารพร้อมกับรอยยิ้มสดใส เมื่อผู้เป็นบิดาและมารดาเห็นเช่นนั้น จึงได้ชะงักก่อนจะพากันเดินสะบัดหน้าหนีไปเฉกเช่นเมื่อวาน หากแต่ฉีจื่อหรานกลับคล้ายไม่กระทบกระเทือนอันใด นางยังคงกินอาหารที่เรือนใหญ่ด้วยความเอร็ดอร่อย อีกทั้งตลอดมื้ออาหารทั้งสามมื้อนางก็มากินที่เรือนใหญ่ทั้งสามมื้อไม่ขาดแม้แต่มื้อเดียว จนในเช้าวันต่อมาบนโต๊ะอาหารที่เรือนใหญ่กลับไม่มีผู้ใดมาเลยแม้แต่คนเดียว กระทั่งอาหารก็ไม่มีเช่นกัน เห็นทีคงจะสุดทนกับนางแล้วกระมังแม้แต่กินอาหารร่วมกันก็ไม่อาจทำได้ แต่นางก็ยังคงเป็นนายผู้หนึ่งของจวนนี้มิใช่หรือ เหตุใดถึงผู้อื่นไม่มาแล้วอาหารในส่วนของนางก็ไม่มาเช่นกัน แม้นางจะรู้คำตอบ แต่ก็อยากจะสร้างความปั่นป่วนให้กับจวนน
ตอนที่[2]ตระกูลฉี สมาชิกทุกคนต่างคาดไม่ถึงว่าผู้ที่มาใหม่นี้จะเป็นคนที่พวกเขาแทบจะลืมไปแล้วว่าในจวนตระกูลฉีมีคนผู้นี้อยู่ จะว่าลืมก็มิใช่แต่พวกเขาไม่ได้สนใจมากกว่า “เหตุใดเพียงแค่พบข้าจะต้องตกใจกันถึงเพียงนั้นเจ้าคะ” และดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะกลายเป็นคนที่ไม่คุ้นเคยเสียแล้ว ทุกคนต่างคิดเช่นเดียวกัน ฉีจื่อหรานยกยิ้มขึ้นพลางมองไปที่สมาชิกของตระกูลฉีแต่ละคนที่กำลังแสดงสีหน้าไม่ต่างกัน ยามนี้บนโต๊ะอาหารมีคนที่ร่วมโต๊ะอยู่ทั้งหมดหกคนประกอบด้วย ฉีหวัง บิดาผู้เป็นขุนนางกรมราชวงศ์ เสิ่นเจียงหรือฉีฮูหยินผู้เป็นมารดา ถัดมาจากมารดานั้นคือฉีเยว่อิน พี่รองของนาง ถัดมานั้นคือพี่สาม ฉีเยว่ชิง ตรงข้ามกันกับพี่สามนั้นคือพี่สี่นามฉีเยว่ซิน ถัดจากพี่สี่คือพี่ห้า ฉีเยว่เผิง เดิมทีบนโต๊ะควรจะมีพี่ใหญ่นามฉีเยว่สืออยู่ด้วย หากแต่นางออกเรือนไปแล้วเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้จึงเหลือสมาชิกทั้งหมดหกคน จะเห็นได้ว่าชื่อพวกนางล้วนแต่คล้ายกันทั้งหมด มีก็เพียงแต่นาง ที่ไม่เหมือนผู้ใด มีใช่เพราะว่าพิเศษ แต่เป็นเพราะไม่ใส่ใจ ไม่สิ อาจจะเพราะเกลียดชังด้วยกระมังจึงไม่อยากให้นางเหมือนผู้ใดในครอบครัวนี้ “น้องหกเหตุใดจึง
ตอนที่[1]ชีวิตที่เลือกไม่ได้ ท่ามกลางสายลมหนาวที่เริ่มคืบคลานเข้ามา ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนแต่ไม่อยากพานพบกับความเหน็บหนาวที่แสนทรมานเช่นนี้ หากแต่บนพื้นที่แสนสกปรกและเต็มไปด้วยเศษใบไม้ร่วงที่ถูกพัดพาเข้ามาจนเต็มพื้นเรือน ยังมีร่างของสตรีนางหนึ่งที่อยู่ในสภาพราวกับเศษผ้าที่ใช้งานจนหมดสภาพแล้วนอนนิ่งอยู่ ร่างนั้นนอนคุดคู้งอตัวเข้าหากันไร้ผ้าห่มหนาคลุมกาย หนำซ้ำบนเนื้อตัวยังเต็มไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรัง ใบหน้านั้นไม่สามารถมองออกได้ว่าก่อนหน้านี้มีหน้าตาเป็นเช่นไร สายตาที่พร่ามัวมองไปยังจุดจุดหนึ่งด้วยความเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง เขาไม่หันกลับมามองนางแม้เพียงนิด หากแต่เร่งรีบจับจูงมือของสตรีที่อยู่ด้านข้างออกจากเรือนไป ฉีจื่อหราน นึกสมเพชในโชคชะตาตนเอง นางมาอยู่ในจุดนี้ได้อย่างไร หากจะผิดก็คงผิดตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ที่นางเกิดมาเป็นบุตรสาวตระกูลฉี เป็นบุตรสาวที่ไร้ค่าที่ไม่มีผู้ใดสนใจ ทั้งยังผลักไสราวกับเชื้อโรคที่ต้องหลีกหนีให้ไกลที่สุด หึ สุดท้ายชีวิตของนางก็ต้องจบลงเช่นนี้ เกิดมาเป็นคนไร้ค่า ก็ต้องตายอย่างคนไร้ค่าเช่นนั้นหรือ หนำซ้ำ….คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เช่นลูกในท้องของนางก็ต้องมารับกรร